Share

บทที่ 3

ซือเจ๋อเยว่นึกถึงภาพที่เยียนเซียวหรานเตะกวนมามาจนตาย แล้วก็นึกถึงเหตุการณ์ที่นางเผลอหลับนอนกับเขา จากนั้นเขาก็ถือดาบเดินไล่ล่านางไปทั่วทั้งตำบล นางก็อดตัวสั่นไม่ได้

หากเขารู้ว่าคนที่หลับนอนกับเขาในคืนนั้นคือนาง นางคงตายอย่างอนาถยิ่งกว่ากวนมามาเสียอีก!

นางทุบอกตัวเองด้วยความหงุดหงิด ถ้ารู้อย่างนี้ แต่แรกก็คงไม่หลงใหลในความหล่อของเขาจนไปหลับนอนกับเขาหรอก

ตอนนี้นางจะหนีทันไหมนะ?

ทันทีที่นางยกม่านเกี้ยวขึ้น ทหารองครักษ์จากจวนเยียนอ๋องที่ขี่ม้าอยู่ข้าง ๆ ต่างหันมามองอย่างพร้อมเพรียง

นางรีบปล่อยม่านลงอย่างรวดเร็ว สถานการณ์เช่นนี้ หากนางไม่มีปีกบินออกไป ก็อย่าหวังว่าจะหนีรอดได้

นางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง คิดว่าคงต้องค่อย ๆ คิดไปทีละขั้น

เกี้ยวมงคลเป็นสีแดงสด และสินเดิมทั้งหมดก็ถูกพันด้วยผ้าไหมสีแดง ทว่าขบวนรับเจ้าสาวกลับไม่มีความรื่นเริงแม้แต่น้อย เงียบเหงาวังเวงราวกับขบวนแห่ศพ

เมื่อถึงจวนเยียนอ๋อง บรรยากาศเช่นนี้ ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก

หน้าประตูจวนเยียนอ๋อง ผ้าขาวที่ผูกไว้กับรูปปั้นสิงโตหินยังไม่ได้ถูกถอดออกทั้งหมด กลับมีการผูกผ้าไหมสีแดงทับลงไปอีก

เมื่อเกี้ยวมงคลลงถึงพื้น เสียงประทัดดังสนั่นและเสียงกลองฆ้องดังกึกก้องไปทั่ว แต่กลับไม่สามารถปกปิดบรรยากาศที่เคร่งขรึมของจวนเยียนอ๋องได้

ที่หน้าประตูจวนอ๋อง นอกจากขบวนรับเจ้าสาวและขุนนางจากกรมพิธีการที่ถูกส่งมาจัดพิธีแล้ว ไม่มีผู้คนมาร่วมงานเลยแม้แต่คนเดียว บรรยากาศเงียบเหงาอย่างยิ่ง

เยียนเซียวหรานเตะประตูเกี้ยวอย่างเป็นพิธี จากนั้นก็ยกม่านเกี้ยวขึ้นและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “องค์หญิง เชิญลงจากเกี้ยว”

ซือเจ๋อเยว่ตอบรับเบา ๆ และจับผ้าไหมสีแดงที่เขายื่นมา เดินตามเขาเข้าไปในจวน

เมื่อนางก้าวข้ามประตูจวนเยียนอ๋อง เสียงประทัดก็หยุดลง เสียงกลองฆ้องเงียบหาย ทั่วบริเวณเหลือเพียงบรรยากาศที่กดดัน

ขุนนางจากกรมพิธีการที่ถูกส่งมาจัดงานแต่งต่างตะโกนคำอวยพรอย่างขะมักเขม้น แต่ไม่สามารถขจัดความเศร้าหมองและสิ้นหวังที่มาจากโลงศพหกโลงที่ตั้งอยู่ในลานหน้าจวนได้

ซือเจ๋อเยว่ที่เติบโตในสำนักเต๋า แม้จะมีผ้าคลุมหน้าอยู่ นางก็ยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของเลือดและความอาฆาตที่แผ่กระจายออกมาจากโลงศพเหล่านั้น

โถงจัดพิธีแต่งงานอยู่ติดกับลานที่ตั้งโลงศพ ในห้องโถงพิธีนั้น เหล่าไท่จวิน[1]ของจวนเยียนอ๋องนั่งอยู่ตรงกลาง พร้อมด้วยพระชายาเยียนอ๋องและคุณหนูในจวน

เหล่าไท่จวินมีผมขาวโพลน มือจับไม้เท้า ใบหน้าดูใจดี แต่แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน

พระชายาเยียนอ๋องดวงตาบวมแดง รอยฟกช้ำปรากฏรอบดวงตา ยามนี้ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้จึงร้องสะอื้นเบา ๆ

ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการกล่าวเสียงเย็นชา “พระชายาเยียนอ๋อง วันมงคลเช่นนี้ ท่านแสดงท่าทีเช่นนี้ แสดงความไม่พอใจต่อสมรสพระราชทานจากฝ่าบาท หรือท่านต้องการขัดขืนราชโองการ?”

พระชายาเยียนอ๋องโกรธจนดวงตาแดงก่ำ ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการผู้นี้ เมื่อวานเพิ่งได้รับราชโองการมาจัดงานสมรสในจวนเยียนอ๋อง แต่กลับกลั่นแกล้งพวกเขาหลายครั้งทั้งต่อหน้าและลับหลัง

บัดนี้ยังจะใส่ร้ายว่าพวกเขาต้องการขัดขืนราชโองการอีก ช่างอำมหิตนัก!

เหล่าไท่จวินดึงแขนเสื้อของพระชายาเยียนอ๋องเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “สมรสพระราชทานจากฝ่าบาท คือเรื่องมงคลน่ายินดีของจวนเยียนอ๋อง”

“จวนเยียนอ๋องได้แต่งองค์หญิงเข้ามา ย่อมทำให้คนทั้งจวนดีใจจนต้องหลั่งน้ำตาแห่งความปีติ”

ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการแสร้งยิ้มและกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงเมตตา ความยินดีเป็นสิ่งสมควร แต่การหลั่งน้ำตาแห่งความปีติคงไม่จำเป็นเท่าไร”

“เชิญเหล่าไท่จวินและพระชายาเยียนอ๋องยิ้มให้มากกว่านี้ มิฉะนั้นอาจมีคนเข้าใจผิดว่าจวนเยียนอ๋องไม่ต้องการแต่งงานกับองค์หญิง”

พระชายาเยียนอ๋องอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เหล่าไท่จวินก็ยับยั้งไว้ พลางยิ้มและกล่าวว่า “ใต้เท้าพูดถูกต้อง”

ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการยิ้มอย่างลำพองใจพลางกล่าวว่า “เหล่าไท่จวินนับว่าเข้าใจสถานการณ์ดี จวนเยียนอ๋องก็แค่มีผู้ชายไปไม่กี่คนเท่านั้นเอง”

“พวกท่านทำหน้าแบบนี้ คนไม่รู้เรื่องคงคิดว่าคนในจวนเยียนอ๋องตายกันหมดแล้ว”

เขาพูดจบก็ชี้ไปที่เยียนเซียวหราน “นั่นไง คุณชายสามก็ยังมีชีวิตอยู่ดี! เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก!”

ก่อนหน้านี้ บุตรชายของผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการผู้นี้เคยขี่ม้าอย่างคึกคะนองในเมืองจนทำร้ายประชาชนหลายคน เยียนอ๋องจึงลงโทษเขาด้วยการหักขา ตั้งแต่นั้นมา คนผู้นี้ก็เก็บความโกรธแค้นต่อจวนเยียนอ๋องไว้ในใจ

บัดนี้ ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการได้โอกาส เขาจึงไม่พลาดที่จะหยามเหยียดทั้งจวนเยียนอ๋องให้มากที่สุด

ทางที่ดีก็หวังว่าจวนเยียนอ๋องจะเผยท่าทีไม่พอใจออกมา เพื่อที่เขาจะได้หาเรื่องและยัดเยียดความผิดให้จวนเยียนอ๋องถึงขั้นถูกประหารทั้งตระกูล

ทว่าเป็นที่น่าเสียดาย เหล่าไท่จวินกลับสุขุมและมีปัญญา เขาจึงไม่อาจหาช่องผิดใด ๆ ได้เลย

เมื่อซือเจ๋อเยว่เดินตามเยียนเซียวหรานเข้ามาในโถงจัดพิธี นางได้ยินบทสนทนาของพวกเขาทั้งหมด

ริมฝีปากของนางเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน ดวงตาของแฝงไว้ด้วยความลึกล้ำ บางเรื่องนั้นไม่อาจปล่อยให้ผ่านเลยไป

ในขณะนั้น คนประกอบพิธีตะโกนร้องเสียงดังว่า “ถึงฤกษ์มงคลแล้ว ขอเชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาวทำพิธีไหว้ฟ้าดิน!”

ซือเจ๋อเยว่พลันยกผ้าคลุมหน้าขึ้นแล้วพูดเสียงดัง “ช้าก่อน”

ทุกคนต่างหันมามองนางพร้อมกัน คนของจวนเยียนอ๋องคิดว่านางไม่เต็มใจที่จะแต่งงานเข้าจวน จึงแสดงสีหน้าซับซ้อน

เยียนเซียวหรานเองก็แสดงท่าทีไม่พอใจพลางถามว่า “องค์หญิงจะทำสิ่งใดหรือ?”

ซือเจ๋อเยว่ยิ้มให้เขาเล็กน้อย “ข้ามีบางเรื่องต้องจัดการก่อน ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ทำให้พลาดฤกษ์มงคลในการทำพิธีแน่นอน”

เยียนเซียวหรานมองไปที่นาง ในวันนี้นางแต่งหน้าในฐานะเจ้าสาว งดงามราวกับดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิที่สะท้อนกับผิวน้ำ เปล่งประกายเจิดจรัส

พวกเขามีสถานะที่แตกต่างกัน การจ้องมองนางเป็นเวลานานนั้นไม่เหมาะสม เขาจึงรีบเบือนสายตาไปทางอื่น

ทว่าในขณะที่เขามองมา ซือเจ๋อเยว่กลับพบเรื่องน่าตกตะลึง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปจากครั้งที่พบกันก่อนหน้านี้

ตอนนี้หน้าผากของเขามีสีดำคล้ำ และรอบคิ้วของเขาแผ่กลิ่นอายแห่งความอาฆาต นี่คือเค้าลางของผู้ที่จะตายอย่างกะทันหัน

ทว่าโหงวเฮ้งของเยียนเซียวหรานเดิมทีกลับบ่งบอกถึงความสูงศักดิ์ เป็นบุคคลที่มีวาสนาและอายุยืนยาว

การที่มีสองลักษณะตรงข้ามกันเช่นนี้ ช่างน่าแปลกใจอย่างยิ่ง จนนางเองก็ยังไม่เข้าใจ

ดวงชะตาของเขาช่างน่าสนใจยิ่งนัก!

เยียนเซียวหรานเห็นนางจ้องมองเขานานเกินไป จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย

นางจึงได้สติกลับมาและหันไปถามผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการว่า “งานสมรสของข้า ใต้เท้าก็คงดีใจมากเช่นกันใช่หรือไม่?”

ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการไม่รู้ว่านางต้องการทำอะไร แต่ยังคงยิ้มตอบอย่างมีมารยาท “งานสมรสขององค์หญิง ช่างเป็นเรื่องน่ายินดี กระหม่อมย่อมรู้สึกยินดีด้วยอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

“แต่ในเวลานี้องค์หญิงกลับยกผ้าคลุมหน้าเอง ซึ่งไม่สมควรตามธรรมเนียม ขอองค์หญิงโปรดคลุมผ้ากลับด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ในใจเขากลับเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามต่อนาง ฐานะอย่างนางน่ะหรือ ไหนเลยจะคู่ควรถูกเรียกขวนว่าองค์หญิง?

ฮ่องเต้เจาหมิงให้นางแต่งเข้าจวนเยียนอ๋องครั้งนี้มีอะไรแอบแฝงอยู่ คนที่มองออกย่อมรู้ดี

อย่างไรก็ตาม ต่อหน้าเช่นนี้ เขาก็ต้องแสดงความเคารพต่อนางตามสมควร เพราะหากนางก่อเรื่องขึ้นมา เขาย่อมอธิบายได้ลำบาก

ซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่าเห็นด้วยว่า “ข้าจะคลุมผ้ากลับหลังจากทำธุระเสร็จ รอยยิ้มของท่านดีมาก ขอให้รักษาไว้”

ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการยิ้มอย่างไม่จริงใจ นางถามต่อว่า “ตอนนี้ข้ายังไม่ได้ทำพิธีไหว้ฟ้าดิน ยังไม่ถือว่าเป็นคนของจวนเยียนอ๋องใช่หรือไม่?”

ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการพยักหน้า “ใช่พ่ะย่ะค่ะ หลังจากองค์หญิงทำพิธีไหว้ฟ้าดินจึงจะถือเป็นคนของจวนเยียนอ๋อง”

ซือเจ๋อเยว่ถามต่ออีกว่า “เช่นนั้น สิ่งที่ข้าทำก่อนจะทำพิธีไหว้ฟ้าดินย่อมไม่เกี่ยวข้องกับจวนเยียนอ๋องใช่หรือไม่?”

ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการพยักหน้าอีกครั้ง “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงคิดจะทำอะไรหรือ?”

ซือเจ๋อเยว่ยิ้มบาง ๆ พลางกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว”

เมื่อพูดจบ นางกวาดตามองไปรอบ ๆ ในโถงจัดพิธีราวกับกำลังหาอะไรบางอย่าง สุดท้ายสายตาของนางไปหยุดอยู่ที่เหล่าไท่จวิน

นางเดินไปตรงหน้าเหล่าไท่จวินแล้วถามว่า “ขอยืมไม้เท้าของท่านสักครู่ได้หรือไม่? ข้าใช้เสร็จแล้วจะคืนให้ท่าน”

เหล่าไท่จวินไม่แน่ใจว่านางจะทำอะไร แต่ก็ยื่นไม้เท้าให้นาง

นางรับไม้เท้ามาชั่งน้ำหนักในมืออย่างพอใจ จากนั้นนางก็หันกลับไปและฟาดไม้เท้าไปที่ศีรษะของผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการทันที

ไม้เท้าของเหล่าไท่จวินเป็นอาวุธของนาง หัวไม้เท้าทำจากเหล็กชั้นดี การฟาดลงไปครั้งนี้ทำให้ศีรษะของผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการแตกและมีเลือดไหลทันที

ทุกคนในงานต่างตกตะลึงอีกครั้ง มองนางอย่างพูดไม่ออก

ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการโกรธจัด พลางตะโกนว่า “องค์หญิง นี่ท่านทำอะไรของท่าน?”

------------------------------------------

[1] เหล่าไท่จวิน คือ คำเรียกสตรีสูงศักดิ์ ในที่นี้หมายถึงอดีตพระชายาเยียนอ๋อง

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status