วิ่งตามโจรวิ่งราวอยู่ดีๆ ทะลุมิติมาโผล่ในสถานที่ที่ไม่รู้จัก รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นภรรยาของสามีที่แสนเย็นชาแถมยังมีลูกด้วยกันอีกหนึ่งคน มิหนำซ้ำแม่สามีก็ไม่ชอบหน้า จะอยู่ที่นี่ไม่ได้ก็ให้มันรู้ไปสิ
View Moreความฝันประหลาดได้เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อคืนนี้ จางซูเจินรู้ได้ทันที และไปที่ตรอกนั้นเพื่อที่จะขอร้องให้จางซูเจินคนนั้นให้เธอได้อยู่ต่อที่นี่เธอเดินทางไปยังตอกที่คับแคบนั้นด้วยชุดเดิมที่เหมือนในความฝัน จากนั้นเมื่อถึงเวลาประตูก็ค่อยๆ ปรากฏแก่สายตามือเรียวค่อยๆ ยื่นออกไปเพื่อที่จะเปิดประตู แต่ว่าจางซูเจินอีกคนเปิดประตูออกมาก่อน แล้วทั้งสองก็มองหน้ากันราวกับว่าทุกอย่างมันเป็นเพียงแค่ฝัน“ซูเจิน” ทั้งสองเรียกชื่อของกันและกัน แล้วจางซูเจินที่ยืนในฝั่งปัจจุบันได้เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน“ซูเจิน ฉันไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกแล้ว ให้ฉันอยู่ที่นี้ในฐานะของเธอได้หรือไม่” เธอกล่าวด้วยนำเสียงที่สั่นเครือ ไม่อยากสูญเสียเยี่ยหลี่เฉียงที่รักตัวเองไปเลยสักนิด และที่สำคัญไม่อยากกลับไปที่สกุลเยี่ยอีกแล้ว“ฉันมาที่นี่ก็เพื่อที่จะบอกเธอ ว่าฉันก็ไม่อยากกลับไป ฉันอยากอยู่ที่นี่ต่อในฐานะของเธอเช่นเดียวกัน” จางซูเจินอีกคนพูดด้วยน้ำเสียงที่ยินดี เมื่ออีกฝ่ายมีความคิดที่ตรงกันต่างคนต่างโล่งใจที่อีกฝ่ายไม่ได้อยากกลับไปยังที่ของตน“ฉันไม่มีอะไรต้องห่วง แม่สามีกดขี่ข่มเหงฉันเหลือเกิน หลี่เฉียงก็เย็นชาและใจร้าย มีเพีย
นับวันจางซูเจินก็ยิ่งไม่มีความสุขที่อยู่ในบ้านสกุลเยี่ย เธอต้องแบกรับความกดดันทั้งจากเยี่ยหงและสามีของตนเองแม่สามีที่ร้ายกาจทั้งการกระทำและคำพูด จ้องจะกำจัดเธอออกไปจากลูกชายสามีที่เย็นชาและไม่เคยปกป้องตนเลยสักครั้ง เย็นชา ไร้ความรู้สึก ตลอดห้าปีที่แต่งงานกับเขาเธอไม่เคยมีความสุขเลยสักวัน“วันนี้แม่จะออกไปข้างนอก ลูกอยู่กับย่านะ” เธอบอกลูกสาวแล้วหยิบเงินในลิ้นชักที่สามีซ่อนไว้ออกมาจำนวนหนึ่ง“แม่คะ...” เยี่ยซิ่วอิงอยากห้าม แต่ก็กลัวว่ามารดาจะต่อว่าจึงไม่ได้พูดอะไร“เด็กดี อย่าบอกพ่อกับย่านะว่าแม่เอาเงินไป หากวันนี้โชคดีแม่จะซื้อลูกกวาดและเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้” น้ำเสียงนั้นพูดแล้วลูบศีรษะของเด็กหญิงวัยสี่ขวบอย่างรักใคร่เมื่อคืนนี้เธอฝันแปลกๆ แต่ไม่ใช่ฝันร้ายแต่อย่างใด ฝันว่ามีตัวเองอีกคนในกระจกในชุดที่สวยงาม วันนี้จึงเลือกชุดที่คล้ายกับในความฝันแล้วแต่งหน้าเพื่อให้แม่สามีเข้าใจว่าเธอมีธุระ“นั่นจะไปไหน” เยี่ยหงถามอย่างรู้ทัน“ฉันนัดเพื่อนเอาไว้ค่ะ” เธอโกหกแล้วหลบสายตาของหญิงวัยห้าสิบ รีบเดินออกจากประตูบ้านแล้วจูงจักรยานออกไปวันนี้มั่นใจว่าอย่างไรก็ต้องได้ไม่มากก็น้อย แล้วปั่นจักรยานไ
ในตอนเย็นเธอพยายามจะเข้าไปช่วยแม่สามีในครัว แต่ก็ถูกไล่ตะเพิดออกมาจึงมานั่งดูรายการโทรทัศน์อยู่ที่ห้องนั่งเล่นเยี่ยหลี่เฉียงกลับมาเห็นว่าภรรยานั่งเล่นอยู่อย่างสุขสบาย ในขณะที่มารดาของเขากำลังอยู่ในครัว เขาก็ยิ่งรู้สึกชิงชังภรรยาของตนเป็นอย่างมากในสายตาเขา เธอเป็นผู้หญิงที่เกียจคร้านไม่ทำอะไร ใช้แผนสกปรกเข้าหาผู้ชาย สองเดือนที่ผ่านมาเขาให้โอกาสเธอได้เปลี่ยนแปลงตัวเองแต่ก็ยังคงเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาว ปล่อยให้แม่ของเขาทำงานบ้านแบบนี้แล้วจะให้เขาเปิดใจยอมรับเธอ แล้วรักเธอลงได้อย่างไร“กลับมาแล้วเหรอคะ”เมื่อรู้ว่าสามีมาถึงแล้ว จางซูเจินก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาเขา“วันนี้คุณกลับค่ำกว่าปกติ งั้นกินข้าวก่อนค่อยอาบน้ำดีหรือไม่” เธอถามสามีด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็ยังคงเป็นสายตาที่เย็นชาของเขาเธอจึงเดินเข้าไปช่วยแม่สามียกอาหารออกมา พร้อมกับเตรียมถ้วยข้าวเพื่อที่จะตักข้าวให้แก่ทุกคนจากนั้นกลิ่นของอาหารก็ทำให้เธอรู้สึกคลื่นเหียน หญิงสาววิ่งออกไปที่หลังบ้านแล้วโก่งคออาเจียนกับกลิ่นที่เหม็นหืนนั้น“เป็นอะไรไปอีกล่ะ วันๆ เอาแต่เรียกร้องความสนใจ” เยี่ยหงพูดขึ้นมา ไม่ได้ส
“เมื่อคืนคุณขืนใจฉัน คุณต้องรับผิดชอบ” เมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็ได้ยินประโยคแรกจากปากของเธอร่องรอยหย่อมเลือดที่อยู่บนเตียงนั้นเป็นหลักฐานได้กว่าเขาได้ล่วงล้ำเธอไปแล้ว“แต่เท่าที่จำได้ คุณเป็นฝ่ายขึ้นมาอยู่บนตัวผม” น้ำเสียงของเขาราบเรียบ และเต็มไปด้วยความรู้สึกโกรธเคืองผู้หญิงตรงหน้าเป็นอย่างมาก“คุณทำอย่างนั้นไปแล้ว หากไม่รับผิดชอบฉันจะต้องเข้าแจ้งความที่โรงพัก” เธอขู่เขา ทำให้เยี่ยหลี่เฉียงยิ่งรู้สึกรังเกียจเป็นอย่างมากเกิดเรื่องเช่นนี้เขาจะต้องถูกไล่ออกจากงานและหมดอนาคตเลยทีเดียวหลังจากพูดคุยกันแล้ว เขาพาเธอกลับไปส่งที่บ้านสกุลจาง ไป่ลิ่วเมื่อรู้ว่าลูกเลี้ยงหายไปกับผู้ชายทั้งคืนก็ถึงกับโกรธจนตัวสั่นแล้วบอกให้เยี่ยหลี่เฉียงรีบมาสู่ขอหลังจากนั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ งานแต่งงานเล็กๆ ก็ถูกจัดขึ้นที่บ้านสกุลจาง สินสอดก็ไม่ได้มากมายอย่างที่ไป่ลิ่วขอเอาไว้ตนไม่สามารถขายเธอให้กับเศรษฐีแก่ที่นัดหมายเอาไว้ก่อนหน้านี้ได้แล้ว จึงจำใจรับสินสอดเล็กน้อยเท่านั้นเยี่ยหงมองลูกสะใภ้ของตนด้วยความเกลียดชัง ยิ่งรู้ว่าการแต่งงานนี้เกิดขึ้นเพราะสาเหตุใดก็ยิ่งรังเกียจและต่อต้านอยู่ในใจ แต่หาทำอะไรได้ไม่หากไม่
คุณหนูสกุลจางที่เคยมีบิดากางปีกปกป้อง เมื่อสิ้นบิดาไปแล้วจางซูเจินกลายเป็นคุณหนูตกอับที่ถูกแม่เลี้ยงยักยอกทรัพย์สมบัติทุกอย่างไปเป็นของตน แล้วให้เธออยู่ที่บ้านคอยรับใช้เยี่ยงทาสหญิงสาวไม่เคยเข้าครัวมาก่อนก็ต้องเข้าไปฝึกฝน แต่ด้วยความไม่ชำนาญจึงไม่ได้ทำอาหารให้รสชาติออกมาดี จนถูกแม่เลี้ยงต่อว่าและถูกตีอยู่เสมอไป่ลิ่วในวัยสี่สิบยังสวยสะพรั่ง เธอเป็นแม่เลี้ยงที่ไร้ความเมตตาต่อจางซูเจิน เพราะตอนที่สามียังมีชีวิตอยู่ให้ท้ายลูกเลี้ยงคนนี้มากจึงไม่กล้าแตะต้องแต่เมื่อสามีตายไป ความแค้นที่ถูกสามีละเลยจึงนำมาลงที่จางซูเจิน จนหญิงสาวแทบทนไม่ไหวแต่ก็ต้องอยู่ที่สกุลจางต่อไป เพราะที่นี่เป็นบ้านของเธอในช่วงสามเดือนแรกหลังจากที่บิดาของเธอจากไป ไป่ลิ่วครอบครองทรัพย์สมบัติทั้งหมดและใช้เงินเป็นว่าเล่น ซื้อข้าวของเครื่องประดับไม่เว้นแต่ละวันจนในที่สุดเงินที่มีก็เริ่มร่อยหรอลง จึงหันไป ลงทุนปล่อยเงินกู้ร่วมกับผู้ชายที่เข้ามาติดพันหวังจะเป็นคนร่ำรวย สุดท้ายก็ถูกโกงผู้ชายคนนั้นเอาเงินหนีไปอย่างไร้ร่องรอย ไป่ลิ่ว จึงต้องขายของมีค่าเหล่านั้นที่ตนซื้อมาด้วยความจำใจ ระบายอารมณ์ด้วยการด่าทอและทุบตีจางซูเจิ
“เธอรู้เรื่องหลานคุณนายเฉินหรือยัง เฉินอี้หรูคนนั้น” หยางซินและซ่งเหลียนแวะมานั่งคุยที่ร้านเสริมสวยของจางซูเจิน แล้วนำข่าวลือมาเล่าให้ฟัง“ไม่เลย ตั้งแต่วันที่เจอกันตอนให้ปากคำที่โรงพักครั้งก่อน เห็นว่าแตกหักกับคุณนายเฉินและตัดสัมพันธ์กันไปแล้ว จากนั้นก็ไม่เห็นเธออีกเลย”จางซูเจินไม่ได้เล่าว่าตนได้ยินเรื่องที่อีกฝ่ายไปยั่วยวนนายลิ่วที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน“เฉินอี้หรูถูกนักเลงแถวนั้นตบตี ใครๆ ต่างก็บอกว่าเป็นฝีมือสะใภ้ลิ่ว สาเหตุเพราะเธอไปยุ่งเกี่ยวกับลิ่วเซียงเลยถูกภรรยาของเขาจ้างนักเลงไปตบตี แต่ก็ไม่มีพยานและหลักฐาน” ซ่งเหลียนเล่าเรื่องที่ตนได้ยินมา“พอทำอะไรไม่ได้ เฉินอี้หรูจึงคับแค้นใจ แล้วดักทำร้ายสะใภ้ลิ่วเพื่อแก้แค้น แต่โชคร้ายที่มีคนมาเห็นและช่วยเหลือเอาไว้ เธอจึงพลาดท่าแล้ว...แท้งลูก” หยางซินกระซิบเสียงเบาในประโยคท้าย“แท้งลูกอย่างนั้นหรือ” จางซูเจินตกใจ เพราะก่อนหน้านี้เฉินอี้หรูพยายามยั่วยวนสามีของตนแต่ก็ไม่ได้ผล พอเกิดเรื่องกับเฉินเหม่ยก็เปลี่ยนเป้าหมายไปหาลิ่วเซียง เรื่องเพิ่งเกิดไม่ถึงเดือนจะท้องแล้วแท้งอะไรรวดเร็วเช่นนั้น“พ่อแม่ของเฉินอี้หรูเค้นถามบุตรสาวของตน จนรู้ว่าจ
จางซูเจินนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง เหงื่อผุดบนหน้าผากทั้งๆ ที่อากาศก็ค่อนข้างเย็น เยี่ยหลี่เฉียงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของภรรยา เขาลุกขึ้นดูเธอที่กำลังฝันร้ายแล้วขยับเข้าไปดึงเธอมากอดไว้แนบอก“ผมอยู่นี่แล้วเจินเจิน ไม่ว่าคุณจะฝันร้ายอย่างไร ผมก็จะปกป้องคุณเอง” เขากระซิบเสียงเบา ก่อนจะหลับไปเมื่ออีกฝ่ายสงบลงไปแล้วภรรยาสาวลืมตาขึ้นมาในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนั้น ความฝันเมื่อครู่เป็นความฝันที่เธอเคยฝันถึงมาก่อนหน้านี้ในฝันเธอกำลังเดินท่ามกลางม่านหมอกที่หนาตา แล้วเห็นแสงสว่างจึงเดินตามไปจนถึงที่นั่น พบกระจกบานใหญ่ที่ส่องมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเอง แต่การเคลื่อนไหวของเงาสะท้อนนั้นกลับไม่ใช่เธอ เหมือนมีจางซูเจินอีกคนในกระจกเงาและที่สำคัญ มันเป็นความฝันในคืนก่อนหน้าที่จะเข้าประตูมิติมายังที่นี่!‘หรือว่าประตูมิติจะเปิดอีกครั้ง’ เธอนึกสงสัยแต่ข้อความที่บอกว่าเธอไม่สามารถหวนคืนไปได้อีกนั้นก็ชัดเจนอยู่ว่ากลับไปไม่ได้อีกแล้วหญิงสาวทนความสงสัยเอาไว้ไม่ได้อย่างไรเธอต้องพิสูจน์ให้รู้เรื่องในตอนสายเธอเปลี่ยนไปใส่ชุดเดิมที่เคยใส่ในวันนั้นและแต่งหน้าอย่างสวยงาม เพราะคิดว่าชุดนี้อาจมีส่วน และหากประตู
หลังจากหายดีแล้ว ร้านเสริมสวยประจำหมู่บ้านก็เปิดให้บริการตามปกติ เยี่ยหงรับหน้าที่ดูแลหลานสาวอย่างใกล้ชิด และทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ เพราะลูกสะใภ้แย่งเธอทำงานตั้งแต่เช้าหยางซินและซ่งเหลียนเห็นว่าจางซูเจินมีความสุขขึ้นและเรื่องเลวร้ายได้ผ่านไปแล้ว พวกเธอจึงไม่ได้มาบ่อยอย่างแต่ก่อน แต่ก็ยังแวะเวียนมาใช้บริการและมานั่งพูดคุยด้วยบ้าง“เธอไปเรียนเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ตัดผม ดัดผม แล้วก็แต่งหน้า เรื่องพวกนี้ต้องใช้ทักษะมากเลยนะ” เยี่ยหงถามด้วยความใคร่รู้“ฉันกำพร้าค่ะ เลยต้องหางานทำเพื่อเลี้ยงตัวเอง ไม่ได้เรียนมาแต่ว่าเจ้าของร้านสอนให้”เยี่ยหงเข้าใจว่าเป็นเพราะนายจางเสียไปแล้วแม่เลี้ยงก็คงยึดสมบัติครอบครองผู้เดียว แล้วยังจะขายเธอให้เศรษฐีพ่อหม้ายอีก จางซูเจินถึงได้ลำบากเพราะอยู่ในบ้านที่แม่เลี้ยงข่มเหง และเพราะความลำบากนั้นเองจึงต้องวางแผนเข้าหาลูกชายของตน“จริงสิ ฉันไปเห็นที่บ้านคุณนายโจวตอนที่ไปย้อมผมให้เธอที่บ้าน เห็นผู้นำหมู่บ้านสอนวิธีปลูกผักด้วยกระถางต้นไม้ จำพวกผักบุ้ง ต้นกระเทียม และผักที่ปลูกง่าย กระถางบ้านเรามีเยอะลองปลูกดีหรือไม่”“ก็ดีนะ แม่ก็ว่างๆ ไม่ค่อยมีอะไรทำอยู่พ
ในระหว่างที่จางซูเจินยังไม่หายดี เยี่ยหงก็พยายามจะเข้าหาลูกสะใภ้และทำดีด้วยเพื่อหวังให้เธอยกโทษให้ โดยใช้หลานสาวเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์เธอทำอาหารบำรุงสุขภาพ แล้วเอาไปให้ลูกสะใภ้ที่นั่งพักอยู่ในห้องนอน แต่จางซูเจินก็ลังเลที่จะรับเอาไว้“ซูเจิน สามวันแล้วที่ลูกปฏิเสธน้ำใจของแม่ วันนี้รับไว้เถิดนะ บอกแม่สิเสี่ยวอิงว่าย่าตั้งใจทำมากแค่ไหน” เยี่ยหงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แสดงความจริงใจออกมาก่อนหน้านี้กลัวว่าจะถูกลูกชายโกรธ แต่ตอนนี้เธออยากให้ลูกสะใภ้ให้อภัยตนอย่างจริงใจมากกว่า“แม่คะ ย่าตั้งใจทำมากเลย หนูก็ช่วยด้วย แม่กินสักหน่อยนะคะ จะได้หายไวๆ” เด็กน้อยพูดตามที่ย่าสอนหลายวันมานี้เยี่ยหงแสดงให้รู้ว่าเธอสำนึกผิดและมีความห่วงใยมารดาของตน เยี่ยซิ่วอิงจึงใจอ่อนให้แก่ย่า และยินดีให้ความช่วยเหลือจางซูเจินเห็นว่าเด็กหญิงมีความพยายามจะช่วยเหลือผู้เป็นย่า และเยี่ยหงเองก็แสดงความจริงใจ คราวนี้เธอจึงรับนำแกงบำรุงนั้นเอาไว้“ขอบคุณค่ะ” น้ำเสียงนั้นกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ แต่ก็ยังคงห่างเหินอยู่บ้าง“ลูกไม่ได้ทำงานตั้งหลายวัน คงเบื่อแย่ งั้นออกไปนั่งเล่นที่ห้องนั่งเล่นดีไหม มีละครออกใหม่เราจะได้ด
“หยุดนะ ไอ้โจรชั่ว!” เสียงตะโกนของหญิงสาวที่กำลังวิ่งตามโจรวิ่งราว ทำให้วัยรุ่นชายที่ปิดหน้าปิดตานั้นเร่งเท้าให้ไวขึ้นจางซูเจินในชุดกี่เพ้าสีชมพูลายดอกโบตั๋นที่สวมไปงานเลี้ยง เธอวิ่งตามคนร้ายไปจนถึงตรอกคับแคบ เห็นแผ่นหลังนั้นเลี้ยวเข้าไปในประตูไม้ผุพังที่อยู่สุดทางเดินก็วิ่งตามเข้าไปในจังหวะนั้นเธอกำลังจะเดินเข้าไปก็ชนเข้ากับผู้หญิงอีกคนที่วิ่งสวนออกมา ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง ใบหน้าและชุดที่ทั้งคู่สวมใส่นั้นเหมือนกันราวกับฝาแฝดต่างคนต่างจ้องมองกันด้วยความตกใจ แล้วหญิงสาวคนนั้นก็ได้สติก่อนจึงรีบวิ่งไปอีกทางด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนก จางซูเจินเองก็ทำอะไรไม่ถูก เธอตัดสินใจที่จะตามโจรวิ่งราวต่อตรงหน้าเป็นประตูไม้ที่เปิดอ้าอยู่ เห็นแสงสว่างส่องออกมาจนแสบตา เธอคิดว่าเป็นทางออกทะลุไปอีกด้านจึงรีบวิ่งเข้าประตูไปเพื่อตามคนร้ายพอพ้นออกมาแสงสว่างที่เจิดจ้าพลันหายไป เธอขยี้ตามองอีกครั้ง ‘หรือว่าตาฝาดกันนะ’ หญิงสาวสะบัดหัวทิ้งความคิดเหลวไหล พลางรีบวิ่งตามคนร้ายต่อจนไปถึงถนนที่มีร้านค้าก็ไม่เห็นเขาแล้ว“หายไปไหนแล้วนะ เจ็บใจนัก” จางซูเจินพูดด้วยความเจ็บใจ เงินในกระเป๋ามีไม่เท่าไรแต่บัตร...
Comments