ในตอนเช้า จางซูเจินตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกที่ รู้สึกถึงแขนน้อยๆ ที่พาดอยู่บนหน้าอกแล้วลืมตามาเห็นเยี่ยซิ่วอิงก็รู้ว่าตนไม่ได้ฝันไป
ตอนนี้เธอทะลุมายังมิติคู่ขนาน มาอยู่ในร่างคนที่มีชื่อแซ่และหน้าตาที่เหมือนกับตน แต่ว่าเธอมีครอบครัวแล้ว และเป็นคนที่ดูเหมือนว่าไม่มีใครชอบสะใภ้เยี่ยคนนี้
จางซูเจินลุกขึ้นจากเตียง แล้วนึกได้ว่าเมื่อวานนี้เด็กหญิงปัสสาวะราด จึงปลุกให้เยี่ยซิ่วอิงตื่นขึ้นมาโดยการหอมแก้มซ้ำๆ จนอีกฝ่ายลืมตาขึ้น
เธอเอานิ้วแตะที่ริมฝีปากของตัวเองเป็นสัญลักษณ์ไม่ให้เด็กหญิงส่งเสียงรบกวนบิดา ใบหน้าอ่อนหวานของผู้เป็นมารดาโน้มลงมากระซิบข้างหู
“ไปฉี่กันเถอะ”
เยี่ยซิ่วอิงพยักหน้าเบาๆ แล้วค่อยๆ ลุกจากที่นอนเดินตามมารดาไปยังห้องน้ำที่อยู่นอกบ้าน
เยี่ยหงที่ลุกมาทำอาหารเช้าเห็นว่าลูกสะใภ้ปลุกหลานสาวมาเข้าห้องน้ำแต่เช้าก็ประหลาดใจ แต่ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกมา คิดแต่เพียงว่าคงมีแผนการอะไรบางอย่างแน่
หลังจากทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำเสร็จ จางซูเจินก็ให้เด็กหญิงไปนอนต่อ แต่อีกฝ่ายส่ายหัวเบาๆ
“หนูอยากอยู่กับแม่”
“แต่แม่ต้องไปช่วยย่าทำอาหารเช้า เสี่ยวอิงไปนอนกับพ่อนะ แล้วอย่าเสียงดังล่ะ” เมื่อได้ยินอย่างนั้นเยี่ยซิ่วอิงก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เมื่อส่งลูกเข้าไปนอนอีกครั้ง จางซูเจินก็ไปที่ห้องครัวเพื่อช่วยแม่สามีทำอาหารเช้า
“ฉันอยากหุงข้าว แม่ช่วยสอนได้ไหมคะ”
ประโยคที่นุ่มนวลพูดขึ้นมาจากด้านหลังในขณะที่เยี่ยหงกำลังเตรียมจะหุงข้าวอยู่
“ลองทำดูสิ” น้ำเสียงตอบรับเต็มไปด้วยความเย็นชาไม่ต่างจากลูกชายของเธอ แล้วขยับออกให้ลูกสะใภ้มาเรียนรู้วิธีหุงข้าว
“เอ่อ ที่นี่ไม่มีหม้อหุงข้าวเหรอคะ” เธอถามออกมาเมื่อเห็นว่าที่บ้านยังใช้วิธีการหุงข้าวแบบโบราณอยู่
ถึงจะจำประวัติศาสตร์ไม่แม่น แต่ยุคนี้จำได้ว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าเริ่มเข้าถึงทุกครัวเรือนแล้ว ตอนมัธยมปลายยังจำได้ว่าเคยทำรายงานเกี่ยวกับเศรษฐกิจของจีนหลังคอมมิวนิสต์ล่มสลาย
หลังปี 1977 ประเทศเริ่มพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ยอมรับการลงทุนจากต่างชาติ สนับสนุนการศึกษาเพื่อรองรับแรงงานในอุตสาหกรรมธุรกิจ
หม้อหุงข้าวไฟฟ้าเองก็มีการผลิตออกมาใช้มาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว แม้ประเทศจีนจะเริ่มผลิตออกมาแข่งขันกับประเทศญี่ปุ่นในช่วงปี ค.ศ. 1990 แต่ก็ไม่ใช่ว่าช่วงปีที่เธออยู่จะไม่มีหม้อหุงข้าวไฟฟ้าใช้
เพราะขนาดตู้เย็นและโทรทัศน์ในบ้านก็ยังมี แล้วทำไมแม่สามียังคงหุงข้าวด้วยวิธีโบราณนี้อยู่
“หุงข้าวแบบนี้ข้าวจะหอมและนุ่มกว่า หรือว่าจะหาข้ออ้างไม่อยากทำล่ะ” เยี่ยหงตอบด้วยน้ำเสียงที่กระแทกและไม่ค่อยพอใจนัก
“ฉันแค่ถามค่ะ แม่สอนฉันหุงแบบนี้ก็ได้” จางซูเจินพยายามอดทนต่อกิริยาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและอคติที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนนั้น
นางเยี่ยสอนลูกสะใภ้หุงข้าวอย่างไม่เต็มใจนัก อีกใจคิดว่าหากอีกฝ่ายอยากช่วยจริงก็คงเบาแรงตนไปได้มากเลยทีเดียว
แต่ก็แค่ช่วงนี้ให้ได้หลอกใช้เธอไปพลางๆ ก่อน ท้ายที่สุดอย่างไรเธอก็ต้องหาทางให้อีกฝ่ายออกไปจากบ้านสกุลเยี่ย
พอก่อฟืนหุงข้าวเสร็จแล้ว จางซูเจินก็เรียนรู้วิธีปรุงอาหารอย่างง่าย ดูเครื่องปรุงที่ใช้ไม่กี่อย่างและเรียนรู้อย่างรวดเร็ว เพราะตอนที่เธอกักตัวเพราะโรคระบาดก็ชอบดูคลิปทำอาหารอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่เคยลงมือทำและสั่งอาหารเดลิเวอรี่ด้วยความสะดวก
เมื่อทำอาหารไปเสร็จหนึ่งอย่าง เยี่ยหลี่เฉียงก็ออกมาเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังโดยเดินผ่านพื้นที่ครัว เขาหรี่ตามองภรรยาเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร
“อาหลี่ วันนี้กลับบ้านเร็วหน่อยนะ แม่จะทำของโปรดเอาไว้ให้” เยี่ยหงหันไปพูดกับลูกชาย
“ครับ” เขารับปากแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ ไม่ทักทายภรรยาแม้แต่คำเดียว แต่เธอก็ไม่ได้สนใจ ตอนนี้ตั้งสมาธิอยู่กับการปรุงอาหารตรงหน้าเท่านั้น
บนโต๊ะอาหารในตอนนี้มีกับข้าวสองอย่างที่วางอยู่ตรงหน้า
เยี่ยซิ่วอิงที่ถูกบิดาปลุกให้ลุกมากินอาหารเช้าด้วยกันยังดูมีสีหน้าที่ยังงัวเงียอยู่ แต่ก็ยังยิ้มสดใสให้แก่ทุกคน
“วันนี้คุณจะมากินข้าวกลางวันที่บ้านหรือเปล่า” จางซูเจินถามสามีในขณะที่เริ่มลงมือกินอาหาร
“ทำไม จะออกไปข้างนอกเหรอ” น้ำเสียงที่เย็นชาไม่ต่างจากสายตาที่มองมา ทำให้เธอได้แต่ฮึดฮัดในใจ ไม่รู้ว่าสองแม่ลูกจะอคติอะไรกับเธอนักหนา แม้เข้าใจได้ว่าเพราะอะไรแต่มันก็เกินไปมาก
“ถ้าไม่ได้กลับมาฉันจะทำข้าวกล่องให้เอาไปกินที่บริษัท” เธออธิบายด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“ไม่จำเป็น” เขาบอกเสียงเรียบ
เมื่อวานนี้เขาแค่ผ่านมาทำธุระเท่านั้นจึงได้แวะมา และบังเอิญรู้จากลูกสาวว่าภรรยาหยิบเงินเก็บออกไปข้างนอกจึงรีบตามไป จนเห็นอีกฝ่ายวิ่งอยู่ และมีตำรวจไล่จับนักพนันอยู่ จึงคิดว่าคงจะหนีตำรวจอย่างแน่นอนจึงรีบไปพาตัวกลับมาบ้าน
เมื่อถูกความเย็นชาของสามีนั้นกดดันหัวใจให้รู้สึกอึดอัด จางซูเจินก็หันไปเอาใจลูกสาวตัวน้อย แล้วคอยคีบอาหารให้ “กินผักบุ้งด้วยสิเสี่ยวอิง ผักมีวิตามินจะทำให้ลูกแข็งแรงนะ”
เยี่ยหงได้แต่เบะปากกับประโยคแปลกๆ นั้น ในขณะที่เยี่ยหลี่เฉียงมองภรรยาที่เอาคำศัพท์ภาษาอังกฤษมาพูดได้อย่างคล่องปาก
“วิตามินหรือคะ” เยี่ยซิ่วอิงเอียงคอมองหน้ามารดาด้วยความงุนงง
“แม่หมายถึงสารอาหารน่ะ ในผักจะมีสรรพคุณบำรุงร่างกายคล้ายกับสมุนไพร อย่างเช่นผักบุ้งจะช่วยบำรุงสายตา ส้มจะช่วยป้องกันไข้หวัด” เธออธิบายอย่างใจเย็น
เยี่ยซิ่วอิงไม่เข้าใจนัก แต่เมื่อมารดาอยากให้เธอกินผักเด็กน้อยก็เลยต้องกินเพื่อเอาใจมารดา
“อร่อยมากค่ะ” เด็กหญิงบอกอย่างเอาใจ แล้วคีบผักให้แก่มารดากลับ
“แม่ก็กินเยอะๆ นะคะ”
“เสี่ยวอิงเอาใจแต่แม่ แล้วพ่อของหลานล่ะ” เยี่ยหงถามหลานสาวด้วยน้ำเสียงที่หยอกเย้า
แม้หลานคนแรกจะเป็นหญิงแต่ก็รักใครเอ็นดู ไม่ได้ถือเรื่องผู้ชายเป็นใหญ่หรือเคร่งเรื่องทายาทคนแรกมากนัก
เพราะตนเองเป็นลูกผู้หญิงคนแรกเช่นกัน จึงไม่อยากให้หลานต้องมีปมด้อยหากถูกครอบครัวรังเกียจ คนที่น่ารังเกียจมีเพียงลูกสะใภ้คนเดียวก็เพียงพอแล้ว
“พ่อเองก็กินเยอะๆ นะคะ” เยี่ยซิ่วอิงคีบให้บิดา
เยี่ยหลี่เฉียงยื่นถ้วยไปรับอาหารจากลูกสาว แล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “คำแรกไม่อร่อยเลยสักนิด แต่ทำไมพอลูกตักให้มันถึงอร่อยขึ้นหลายเท่า”
เด็กหญิงวัยสี่ขวบฉีกยิ้มกว้าง แล้วหัวเราะด้วยความชอบใจกับคำชมของบิดา โดยไม่รู้เลยว่าประโยคแรกนั้นมีความนัยสื่อถึงเธอว่าทำไม่อร่อย
‘หึ แม่คุณสอนฉัน ไม่อร่อยก็โทษแม่ตัวเองนู่น’ หญิงสาวได้แต่บ่นในใจ แต่ใบหน้านั้นยิ้มแย้มพูดคุยกับบุตรสาว
“แล้วแกงจืดผักกาดขาวเต้าหู้ ลูกว่าเป็นอย่างไรบ้าง” จางซูเจินตักน้ำแกงให้ลูกสาวลองชิม
“อร่อยทุกอย่างเลยค่ะ แม่กับย่าทำกับข้าวอร่อยที่สุด” เด็กหญิงรู้จักที่จะชมผู้เป็นย่าด้วยความเอาใจ ทำเอานางเยี่ยยิ้มอย่างพอใจ
เยี่ยซิ่วอิงรู้สึกว่าวันนี้เป็นมื้อเช้าที่มีความสุขกว่ามื้อไหนๆ กับข้าวเหล่านี้มารดาเป็นคนลงมือทำ แม้จะมีย่าคอยสอนแต่ก็เป็นกับข้าวฝีมือแม่ที่เธอรอคอย
แล้วยังใบหน้าที่ยิ้มแย้มของมารดา การพูดคุยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและตักอาหารเอาใจตน ทำให้เด็กหญิงรับรู้ได้ถึงความรักและความอบอุ่นที่แผ่ซ่านในหัวใจ
อยากให้มารดาใจดีและรักตนแบบนี้ตลอดไป ไม่อยากให้กลับไปเป็นคนที่เกรี้ยวกราดอีกแล้ว
************************
การทำงานบ้านนั้นไม่ใช่งานที่หนักหนาอะไรมากนัก จางซูเจินปัดกวาดเช็ดถูบ้านโดยมีลูกมืออย่างเยี่ยซิ่วอิงช่วยแม่ทำงานบ้านอย่างตั้งใจเยี่ยหงมองความตั้งใจนั้น รู้สึกชื่นชมที่อีกฝ่ายสอนงานบ้านหลานสาวของตนด้วยความใจเย็น แต่ก็ไม่ได้วางใจลูกสะใภ้มากนัก“ตอนเย็นบ้านเราจะมีแขกมากินมื้อค่ำด้วย” น้ำเสียงนั้นราบเรียบ ราวกับว่าพูดลอยๆ กับสายลมจางซูเจินหันไปมองแม่สามีที่เดินเข้ามาบอกตนแล้วยิ้มรับ “แม่จะให้ฉันหุงข้าวเพิ่ม หรือช่วยเป็นลูกมือทำอาหารหรือคะ ฉันยินดีช่วยเต็มที่”ความกระตือรือร้นของลูกสะใภ้ทำให้เธอหมั่นไส้ คนดีที่ไหนจะเอาตัวเข้าหาผู้ชายด้วยวิธีสกปรก“แค่หุงข้าวเพิ่มเท่านั้น ปกติอี้หรูจะมาทำกับข้าวที่นี่ เธอชอบทำอาหาร อาหลี่เองก็ติดใจฝีมือเธอมากเลยล่ะ” รอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ของแม่สามียามที่พูดถึงแขกคนสำคัญ ทำให้จางซูเจินรับรู้ได้ว่าคนคนนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่“อี้หรูเหรอคะ” เธอพูดทวนชื่อเสียงเบาเยี่ยหงคิดไว้อยู่แล้วว่าหากรู้ว่าเฉินอี้หรูมาหาที่บ้าน จางซูเจินจะต้องเก็บอาการไม่อยู่แล้วเปิดเผยตัวตนออกมาแน่“ใช่ อี้หรูจะมาเยี่ยมคุณนายเฉินผู้เป็นป้า ทุกครั้งที่มาบ้านเราก็เชิญเธอมากินข้าวอยู่เป็นประจำ
บรรยากาศในสวนสาธารณะทำให้จางซูเจินไม่อยากกลับไปที่บ้านสกุลเยี่ยเลยแม้แต่นิด แม้พยายามมองข้ามคำพูดถากถางจากเยี่ยหงแล้ว แต่การได้ยินคำพูดแง่ลบผ่านหูก็อดรู้สึกอึดอัดใจไม่ได้บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้จางซูเจินคนนั้นไม่อยากอยู่บ้าน เพราะหากอยู่แล้วไม่สบายใจเป็นตนก็ไม่อยากอยู่เหมือนกันทั้งสองนั่งเล่นอยู่ที่สวนนั้นสักพัก เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงกำลังง่วงเพราะคงได้เวลานอนกลางวันตามประสาเด็ก เธอก็แบกลูกสาวขึ้นขี่หลังเดินกลับไปที่บ้านจางซูเจินตั้งใจว่าจะพาเยี่ยซิ่วอิงเข้านอนแล้วก็จะเตรียมตัวหุงข้าวเอาไว้ต้อนรับแขกในตอนเย็นแต่พอกลับไปถึงก็พบว่าแม่สามีจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว และมีสีหน้าที่บึ้งตึงราวกับจะตำหนิว่าเธอมัวแต่เที่ยวเดินเตร็ดเตร่ ใช้การพาลูกเดินเที่ยวเป็นข้ออ้างไม่มาช่วยหุงข้าวทั้งๆ ที่รับปากเอาไว้แล้วเธอจึงพาเยี่ยซิ่วอิงเข้าไปนอนในห้อง แล้วกลับออกมาเพื่อที่จะช่วยงานอย่างอื่น“มีอะไรให้ฉันช่วยอีกไหมคะ”“ไม่ต้องหรอก เชิญเธอไปแต่งหน้าแต่งตัวสวยๆ อย่างที่ชอบทำเป็นประจำเถอะ” ประโยคเหน็บแนมด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ กับสายตาที่มองด้วยความรังเกียจ ทำให้ซูเจินต้องสงบปากสงบคำเอาไว้สักพักก็มีเ
อาหารที่เฉินอี้หรูทำเสร็จทันเวลาที่เยี่ยหลี่เฉียงเลิกงานพอดี เขายิ้มทักทายให้เธอตามมารยาท ก่อนจะเดินเข้าห้องไปเพื่อเก็บกระเป๋าเอกสารเมื่อเข้าไปถึงห้องนอน ก็เห็นว่าจางซูเจินกำลังปลุกให้เยี่ยซิ่วอิงตื่น“เสี่ยวอิงคนดีของแม่ ตื่นได้แล้ว ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ลูกจะขี้เซาเกินไปแล้วนะ” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนแสดงความรักใคร่ปลายจมูกมนคลอเคลียที่แก้มปลุกให้เด็กหญิงตื่นขึ้นมา แต่เยี่ยหลี่เฉียงเข้าใจว่าเธอเสแสร้งเพราะรู้ว่าตนเดินเข้ามาในห้อง จึงแสดงความรักต่อลูกให้เขาเห็น‘คิดว่าผมไม่รู้ทันแม่ดอกบัวขาวอย่างคุณหรือ’เมื่อลูกสาวตื่นแล้ว จางซูเจินก็อุ้มเด็กขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มทักทายสามีเพื่อเอาใจอีกฝ่าย ไหนๆก็สัญญาเอาไว้แล้วว่าเธอจะเป็นคนที่ดีกว่าเดิม แม้จะไม่อยากทักแต่ก็ต้องทักทาย เพราะต้องเจอกันไปอีกนาน“กลับมาแล้วเหรอคะ เอางานกลับมาทำที่บ้านอีกแล้วสินะ” เธอชำเลืองมองกระเป๋าเอกสารที่เขานำมาวางที่โต๊ะทำงานพลางยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “แม่ขาหนูปวดฉี่” เยี่ยซิ่วอิงบอกมารดาจางซูเจินจึงแล้วพาเด็กหญิงไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะพามานั่งร่วมโต๊ะอาหารค่ำพร้อมหน้ากับทุกคน“ดีนะเสร็จทันเวลาพอดี สงสารอี้หรูมากที่ต้องทำอ
หลังจากมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอึดอัดใจนั้นจบลง เยี่ยหลี่เฉียงก็แยกมานั่งสอนความรู้ด้านภาษากับเฉินอี้หรูตามที่เธอขอเอาไว้‘พูดขนาดนั้นแล้วแต่ไม่ยอมกลับบ้านของตัวเองไป’ จางซูเจินรู้ว่าทั้งป้าทั้งหลานนั้นหน้าหนาเหลือทน แล้วเยี่ยหงยังชวนให้คุณนายเฉินไปเดินเล่นย่อยอาหารนอกบ้าน เพื่อปล่อยให้สองคนพูดคุยกันตามลำพังอีกเธอล้างถ้วยชามอยู่นอกบ้านโดยมีลูกสาวตัวน้อยมานั่งช่วยล้าง เด็กหญิงร้องเพลงที่เธอเคยสอนไปด้วยอย่างอารมณ์ดี มือน้อยๆ ประคองถ้วยข้าวล้างน้ำสะอาดแล้วคว่ำไว้อย่างระมัดระวัง“เสี่ยวอิงของแม่เก่งที่สุด” เธอมอบคำชมนั้นให้แก่ลูกสาวรอยยิ้มและแววตาที่อบอุ่นของมารดาทำให้เยี่ยซิ่วอิงรู้สึกดีมากขึ้นทุกๆ ครั้งที่ได้อยู่ใกล้“แม่เคยเล่าให้หนูฟังว่ายายใจดีและรักแม่มาก แม่เองก็ใจดีและรักหนูเหมือนยายใช่ไหมคะ”“แม่เคยเล่าเรื่องยายให้ลูกฟังด้วยเหรอ” จางซูเจินถามยิ้มๆ ในมือก็ทำงานไปด้วย“แม่ชอบร้องไห้บ่อยๆ ค่ะ ทุกครั้งที่ร้องไห้ก็จะเล่าเรื่องยายและเรื่องตาออกมา บางครั้งหนูก็ฟังจนหลับไป” คำพูดที่ไร้เดียงสานั้นทำให้จางซูเจินประหลาดใจผู้หญิงคนนั้นร้องไห้ระบายความในใจกับลูกสาวของตนอย่างนั้นหรือ
เมื่ออาบน้ำเข้ามาในห้องนอน เยี่ยหลี่เฉียงก็พบว่าภรรยาและลูกสาวได้หลับไปแล้วหากมองอย่างไม่มีอคติแล้ว จางซูเจินก็เป็นผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่ง สกุลจางหลังจากขาดเสาหลักไป ลูกของภรรยาเก่าอย่างเธอก็ถูกรังแกจากแม่เลี้ยง‘แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำแบบนั้นกับผมได้’ เมื่อพยายามจะมองเธอในแง่ดี แต่อคติภายในใจก็พวยพุ่งออกมาจากความรู้สึกที่พยายามเก็บซ่อนไว้วันนั้นเขามีงานเลี้ยงที่เจ้านายชาวต่างชาติจัดขึ้นที่ร้านอาหาร ขากลับเมามากและถูกจางซูเจินพาไปที่โรงแรมเพื่อมีสัมพันธ์กันเขาต้องแต่งงานกับเธอเพื่อรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามทำให้ชีวิตคู่ดีขึ้นแต่อีกฝ่ายก็ขยันสร้างแต่เรื่องให้มารดาเขาไม่พอใจจะว่าไปจางซูเจินเริ่มชอบเสี่ยงโชคก็ตอนที่เธอคลอดเยี่ยซิ่วอิงแล้ว จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าที่เธอทำแบบนั้นเพื่อเตรียมทุนรอหย่าจากเขาจริงๆ อย่างที่ลูกสาวพรั่งพรูออกมาเมื่อตอนหัวค่ำเยี่ยหลี่เฉียงสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ นั้นออกไป แล้วแทรกด้วยความคิดที่ว่า ผู้หญิงคนนั้นชอบเหลือเกินเวลาที่เขาหลับแล้วเธอจะเป็นฝ่ายปลุกเร้าอารมณ์แล้วร่วมรักกันโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัวอยู่บ่อยครั้ง ผู้หญิงแบบนี้นะหรือคือคนน่าสง
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเช้าวันนี้ ทำให้เยี่ยหงและเยี่ยหลี่เฉียงดูไม่เจริญอาหารนักคนหนึ่งรู้สึกผิดที่ต้องบอกความรู้สึกตามตรงกับมารดา และรู้สึกผิดที่ต้องบอกความจริงเรื่องที่เฉินเหม่ยแอบนินทาลับหลังให้รู้ทั้งที่ปิดบังมานานส่วนอีกคนก็รู้สึกผิดหวังที่เพื่อนบ้านที่ตนวางใจ เอาตนไปพูดนินทาเสียหายว่าเห็นแก่ได้ ทั้งๆ ที่คุณนายเฉินและหลานสาวเป็นฝ่ายเสนอข้อตกลงทำอาหารให้แต่แรกอีกทั้งรับรู้ความรู้สึกอึดอัดใจของลูกชายว่าเกิดจากแม่อย่างตน ก็ยิ่งทำให้รู้สึกแย่ไปอีกเป็นเท่าตัว แต่ถึงอย่างนั้นในใจก็ยังอยากได้เฉินอี้หรูมาเป็นสะใภ้มากกว่าจางซูเจินอยู่ดี“แม่ขา วันนี้ไปเดินเล่นกันนะคะ” เยี่ยซิ่วอิงที่กินอาหารเสร็จแล้วบอกมารดา“ได้สิ เอาไว้เราทำงานบ้านช่วยย่าเสร็จแล้ว ตอนบ่ายเสี่ยวอิงนอนกลางวันให้เต็มที่ ตอนเย็นแม่จะพาไปนะ” เธอมีข้อแม้กับลูกสาวน้ำเสียงและกิริยาที่อ่อนโยนของเธอ พร้อมกับประโยคที่บอกเขาในวันนั้นว่าเธอจะปรับปรุงตัวใหม่ ทำให้เยี่ยหลี่เฉียงรับรู้ได้ว่าตอนนี้เธอเปลี่ยนไปมาก...มากราวกับเป็นคนละคน“เดี๋ยวฉันเอาซาลาเปาใส่กล่องให้ไปกินที่บริษัทนะ เผื่อหิวระหว่างวันคุณจะได้หยิบมันขึ้นมากิน” เธอหันไปบอ
ในสวนสาธารณะแถวบ้าน ที่มีผู้คนทยอยเข้ามาเดินเล่นกันมากจนเริ่มหนาตา โดยเฉพาะเด็กๆ ที่มารวมตัวกันแล้วจับกลุ่มกันวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานหลังจากแนะนำตัวกันไปแล้ว หยางซินและซ่งเหลียนยังคงเกี่ยงกันที่จะตั้งคำถามกับจางซูเจินในเรื่องที่พวกเธออยากรู้“ถามมาเถอะค่ะ” จางซูเจินพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจจนทั้งสองรู้สึกเกรงใจที่จะถาม“เอ่อ ฉันจะถามว่าเธอน่ะ ล่อลวงหลี่เฉียงเพื่อให้เขารับผิดชอบแต่งงานด้วยจริงหรือเปล่า”คำถามที่ตรงไปตรงมานั้นทำให้จางซูเจินนิ่งเงียบไป ก่อนจะยิ้มออกมาพร้อมกับคำตอบที่จริงใจ“ใช่ ฉันรักหลี่เฉียง เลยทำทุกอย่างเพื่อให้ได้แต่งงานกับคนที่ฉันรัก” ประโยคที่จางซูเจินสารภาพออกมา ไม่เพียงทำให้หญิงสาวทั้งสองเอามือทาบอกด้วยความตกใจแต่เยี่ยหลี่เฉียงที่เลิกงานแล้ว เขาจำได้ว่าภรรยาและลูกจะมาที่สวนแห่งนี้จึงแวะมาหา พอได้ยินเข้าแบบนั้นก็ถึงกับมือไม้สั่นด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกมือหนาเดี๋ยวกำเดี๋ยวคลาย เท้าจะก้าวไปหาแต่ก็ขาแข็งทื่อเดินไม่ออก ได้แต่มองทั้งสามจากด้านหลัง ไม่มีความกล้าที่จะเดินไปหาอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก บอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุใดไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกใจเต้นก
เมื่อกลับไปถึงบ้าน จางซูเจินก็เพิ่งจะนึกออกว่าเธอพลาดช่วงเวลาในการช่วยแม่สามีในการทำอาหารเย็นไปแล้วอย่างไม่น่าให้อภัยอาหารที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะนั้นถูกปรุงด้วยฝีมือของเยี่ยหง เยี่ยหลี่เฉียงเองก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมจะมานั่งรับประทานมื้อค่ำแล้วในตอนนั้นเธอนึกตำหนิตัวเองในใจ อุตส่าห์รับปากกับสามีแล้วแท้ๆ ว่าจะปรับปรุงตัวเป็นคนใหม่ แต่ดันพลาดจนได้เพราะมัวแต่พูดคุยกับสหายใหม่ทั้งสอง และเยี่ยซิ่วอิงเองก็วิ่งเล่นอย่างสนุกสนานจึงไม่ได้ขัดลูกในตอนนั้นจริงๆ หากเด็กหญิงไม่เหนื่อยแล้วชวนกลับบ้านเธอก็ยังไม่ได้จะกลับเสียด้วยซ้ำ“ขอโทษค่ะแม่ พอดีว่าฉันได้เพื่อนใหม่แล้วคุยเพลินไปหน่อย” หญิงสาวกล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดอย่างจริงใจ ไม่ได้กล่าวโทษลูกสาวที่วิ่งเล่นจนเกือบจะมืดค่ำ“ฉันชินกับพฤติกรรมของเธอแล้ว ไม่ต้องมาขอโทษฉันหรอก” น้ำเสียงที่เอ่ยประโยคนั้นบ่งบอกถึงความไม่พอใจอยู่ลึกๆ“รีบมากินข้าวก่อนสิ กินเสร็จค่อยไปอาบน้ำ” เยี่ยหลี่เฉียงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงปกติเป็นน้ำเสียงปกติของคนทั่วไป แต่มันไม่ปกติสำหรับเธอ เพราะมันไม่มีความเย็นชาแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นและเหมือนเธอจะเห็นแววตาของ
เยี่ยหงเรียกให้จางซูเจินไปล้างถ้วยชามที่หลังบ้าน โดยที่ตนเองก็แยกพาเยี่ยซิ่วอิงไปอาบน้ำ ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกชายได้อยู่กับหญิงสาวที่ตนอยากให้มาแทนที่ลูกสะใภ้แสนร้าย“แต่แม่คะ อี้หรูชักชวนให้ฉันเรียนไปด้วยกัน ฉันอยากเรียนมากกว่าค่ะ เรียนเสร็จฉันจึงจะไปล้างให้” จางซูเจินตั้งใจที่จะปฏิเสธด้วยเหตุผลที่อยากเรียนรู้ แต่จริงๆ อยากไปขัดคอทั้งสองต่างหาก“เธอจะรู้ภาษาอังกฤษไปทำไมกัน ความรู้ก็ไม่มี เรียนไปก็ไม่รู้เรื่องหรอก ไปล้างถ้วยน่ะดีแล้ว ฉันเองก็จะได้ช่วยอาบน้ำให้เสี่ยวอิง” เยี่ยหงไม่ยอมเธออยากให้เฉินอี้หรูมีโอกาสใกล้ชิดกับลูกชายตนให้ได้มากที่สุดจางซูเจินรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเยี่ยหงก็ยังคงจะกีดกันตน และแสดงออกชัดเจนว่าสนับสนุนให้เฉินอี้หรูเข้ามาวุ่นวายภายในบ้านเธอต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง อย่างน้อยกะเพื่อสวัสดิภาพของเยี่ยซิ่วอิง ไม่ให้ย่าใจร้ายต้องหาแม่เลี้ยงมาดูแลเด็กหญิงเพราะเท่าที่ดูแล้วเฉินอี้หรูไม่ได้ต้องการลูก แต่เธอต้องการพ่อเด็กมากกว่า “ว่าอย่างไร จะไปล้างถ้วยหรือจะให้ฉันต้องไปล้างเอง” “ค่ะ” เธอตอบรับอย่างสุภาพแล้ว ยกกะละมังใส่ถ้วยชามไปล้างที่หลังบ้
เมื่อกลับไปถึงบ้าน จางซูเจินก็เพิ่งจะนึกออกว่าเธอพลาดช่วงเวลาในการช่วยแม่สามีในการทำอาหารเย็นไปแล้วอย่างไม่น่าให้อภัยอาหารที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะนั้นถูกปรุงด้วยฝีมือของเยี่ยหง เยี่ยหลี่เฉียงเองก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมจะมานั่งรับประทานมื้อค่ำแล้วในตอนนั้นเธอนึกตำหนิตัวเองในใจ อุตส่าห์รับปากกับสามีแล้วแท้ๆ ว่าจะปรับปรุงตัวเป็นคนใหม่ แต่ดันพลาดจนได้เพราะมัวแต่พูดคุยกับสหายใหม่ทั้งสอง และเยี่ยซิ่วอิงเองก็วิ่งเล่นอย่างสนุกสนานจึงไม่ได้ขัดลูกในตอนนั้นจริงๆ หากเด็กหญิงไม่เหนื่อยแล้วชวนกลับบ้านเธอก็ยังไม่ได้จะกลับเสียด้วยซ้ำ“ขอโทษค่ะแม่ พอดีว่าฉันได้เพื่อนใหม่แล้วคุยเพลินไปหน่อย” หญิงสาวกล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดอย่างจริงใจ ไม่ได้กล่าวโทษลูกสาวที่วิ่งเล่นจนเกือบจะมืดค่ำ“ฉันชินกับพฤติกรรมของเธอแล้ว ไม่ต้องมาขอโทษฉันหรอก” น้ำเสียงที่เอ่ยประโยคนั้นบ่งบอกถึงความไม่พอใจอยู่ลึกๆ“รีบมากินข้าวก่อนสิ กินเสร็จค่อยไปอาบน้ำ” เยี่ยหลี่เฉียงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงปกติเป็นน้ำเสียงปกติของคนทั่วไป แต่มันไม่ปกติสำหรับเธอ เพราะมันไม่มีความเย็นชาแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นและเหมือนเธอจะเห็นแววตาของ
ในสวนสาธารณะแถวบ้าน ที่มีผู้คนทยอยเข้ามาเดินเล่นกันมากจนเริ่มหนาตา โดยเฉพาะเด็กๆ ที่มารวมตัวกันแล้วจับกลุ่มกันวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานหลังจากแนะนำตัวกันไปแล้ว หยางซินและซ่งเหลียนยังคงเกี่ยงกันที่จะตั้งคำถามกับจางซูเจินในเรื่องที่พวกเธออยากรู้“ถามมาเถอะค่ะ” จางซูเจินพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจจนทั้งสองรู้สึกเกรงใจที่จะถาม“เอ่อ ฉันจะถามว่าเธอน่ะ ล่อลวงหลี่เฉียงเพื่อให้เขารับผิดชอบแต่งงานด้วยจริงหรือเปล่า”คำถามที่ตรงไปตรงมานั้นทำให้จางซูเจินนิ่งเงียบไป ก่อนจะยิ้มออกมาพร้อมกับคำตอบที่จริงใจ“ใช่ ฉันรักหลี่เฉียง เลยทำทุกอย่างเพื่อให้ได้แต่งงานกับคนที่ฉันรัก” ประโยคที่จางซูเจินสารภาพออกมา ไม่เพียงทำให้หญิงสาวทั้งสองเอามือทาบอกด้วยความตกใจแต่เยี่ยหลี่เฉียงที่เลิกงานแล้ว เขาจำได้ว่าภรรยาและลูกจะมาที่สวนแห่งนี้จึงแวะมาหา พอได้ยินเข้าแบบนั้นก็ถึงกับมือไม้สั่นด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกมือหนาเดี๋ยวกำเดี๋ยวคลาย เท้าจะก้าวไปหาแต่ก็ขาแข็งทื่อเดินไม่ออก ได้แต่มองทั้งสามจากด้านหลัง ไม่มีความกล้าที่จะเดินไปหาอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก บอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุใดไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกใจเต้นก
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเช้าวันนี้ ทำให้เยี่ยหงและเยี่ยหลี่เฉียงดูไม่เจริญอาหารนักคนหนึ่งรู้สึกผิดที่ต้องบอกความรู้สึกตามตรงกับมารดา และรู้สึกผิดที่ต้องบอกความจริงเรื่องที่เฉินเหม่ยแอบนินทาลับหลังให้รู้ทั้งที่ปิดบังมานานส่วนอีกคนก็รู้สึกผิดหวังที่เพื่อนบ้านที่ตนวางใจ เอาตนไปพูดนินทาเสียหายว่าเห็นแก่ได้ ทั้งๆ ที่คุณนายเฉินและหลานสาวเป็นฝ่ายเสนอข้อตกลงทำอาหารให้แต่แรกอีกทั้งรับรู้ความรู้สึกอึดอัดใจของลูกชายว่าเกิดจากแม่อย่างตน ก็ยิ่งทำให้รู้สึกแย่ไปอีกเป็นเท่าตัว แต่ถึงอย่างนั้นในใจก็ยังอยากได้เฉินอี้หรูมาเป็นสะใภ้มากกว่าจางซูเจินอยู่ดี“แม่ขา วันนี้ไปเดินเล่นกันนะคะ” เยี่ยซิ่วอิงที่กินอาหารเสร็จแล้วบอกมารดา“ได้สิ เอาไว้เราทำงานบ้านช่วยย่าเสร็จแล้ว ตอนบ่ายเสี่ยวอิงนอนกลางวันให้เต็มที่ ตอนเย็นแม่จะพาไปนะ” เธอมีข้อแม้กับลูกสาวน้ำเสียงและกิริยาที่อ่อนโยนของเธอ พร้อมกับประโยคที่บอกเขาในวันนั้นว่าเธอจะปรับปรุงตัวใหม่ ทำให้เยี่ยหลี่เฉียงรับรู้ได้ว่าตอนนี้เธอเปลี่ยนไปมาก...มากราวกับเป็นคนละคน“เดี๋ยวฉันเอาซาลาเปาใส่กล่องให้ไปกินที่บริษัทนะ เผื่อหิวระหว่างวันคุณจะได้หยิบมันขึ้นมากิน” เธอหันไปบอ
เมื่ออาบน้ำเข้ามาในห้องนอน เยี่ยหลี่เฉียงก็พบว่าภรรยาและลูกสาวได้หลับไปแล้วหากมองอย่างไม่มีอคติแล้ว จางซูเจินก็เป็นผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่ง สกุลจางหลังจากขาดเสาหลักไป ลูกของภรรยาเก่าอย่างเธอก็ถูกรังแกจากแม่เลี้ยง‘แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำแบบนั้นกับผมได้’ เมื่อพยายามจะมองเธอในแง่ดี แต่อคติภายในใจก็พวยพุ่งออกมาจากความรู้สึกที่พยายามเก็บซ่อนไว้วันนั้นเขามีงานเลี้ยงที่เจ้านายชาวต่างชาติจัดขึ้นที่ร้านอาหาร ขากลับเมามากและถูกจางซูเจินพาไปที่โรงแรมเพื่อมีสัมพันธ์กันเขาต้องแต่งงานกับเธอเพื่อรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามทำให้ชีวิตคู่ดีขึ้นแต่อีกฝ่ายก็ขยันสร้างแต่เรื่องให้มารดาเขาไม่พอใจจะว่าไปจางซูเจินเริ่มชอบเสี่ยงโชคก็ตอนที่เธอคลอดเยี่ยซิ่วอิงแล้ว จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าที่เธอทำแบบนั้นเพื่อเตรียมทุนรอหย่าจากเขาจริงๆ อย่างที่ลูกสาวพรั่งพรูออกมาเมื่อตอนหัวค่ำเยี่ยหลี่เฉียงสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ นั้นออกไป แล้วแทรกด้วยความคิดที่ว่า ผู้หญิงคนนั้นชอบเหลือเกินเวลาที่เขาหลับแล้วเธอจะเป็นฝ่ายปลุกเร้าอารมณ์แล้วร่วมรักกันโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัวอยู่บ่อยครั้ง ผู้หญิงแบบนี้นะหรือคือคนน่าสง
หลังจากมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอึดอัดใจนั้นจบลง เยี่ยหลี่เฉียงก็แยกมานั่งสอนความรู้ด้านภาษากับเฉินอี้หรูตามที่เธอขอเอาไว้‘พูดขนาดนั้นแล้วแต่ไม่ยอมกลับบ้านของตัวเองไป’ จางซูเจินรู้ว่าทั้งป้าทั้งหลานนั้นหน้าหนาเหลือทน แล้วเยี่ยหงยังชวนให้คุณนายเฉินไปเดินเล่นย่อยอาหารนอกบ้าน เพื่อปล่อยให้สองคนพูดคุยกันตามลำพังอีกเธอล้างถ้วยชามอยู่นอกบ้านโดยมีลูกสาวตัวน้อยมานั่งช่วยล้าง เด็กหญิงร้องเพลงที่เธอเคยสอนไปด้วยอย่างอารมณ์ดี มือน้อยๆ ประคองถ้วยข้าวล้างน้ำสะอาดแล้วคว่ำไว้อย่างระมัดระวัง“เสี่ยวอิงของแม่เก่งที่สุด” เธอมอบคำชมนั้นให้แก่ลูกสาวรอยยิ้มและแววตาที่อบอุ่นของมารดาทำให้เยี่ยซิ่วอิงรู้สึกดีมากขึ้นทุกๆ ครั้งที่ได้อยู่ใกล้“แม่เคยเล่าให้หนูฟังว่ายายใจดีและรักแม่มาก แม่เองก็ใจดีและรักหนูเหมือนยายใช่ไหมคะ”“แม่เคยเล่าเรื่องยายให้ลูกฟังด้วยเหรอ” จางซูเจินถามยิ้มๆ ในมือก็ทำงานไปด้วย“แม่ชอบร้องไห้บ่อยๆ ค่ะ ทุกครั้งที่ร้องไห้ก็จะเล่าเรื่องยายและเรื่องตาออกมา บางครั้งหนูก็ฟังจนหลับไป” คำพูดที่ไร้เดียงสานั้นทำให้จางซูเจินประหลาดใจผู้หญิงคนนั้นร้องไห้ระบายความในใจกับลูกสาวของตนอย่างนั้นหรือ
อาหารที่เฉินอี้หรูทำเสร็จทันเวลาที่เยี่ยหลี่เฉียงเลิกงานพอดี เขายิ้มทักทายให้เธอตามมารยาท ก่อนจะเดินเข้าห้องไปเพื่อเก็บกระเป๋าเอกสารเมื่อเข้าไปถึงห้องนอน ก็เห็นว่าจางซูเจินกำลังปลุกให้เยี่ยซิ่วอิงตื่น“เสี่ยวอิงคนดีของแม่ ตื่นได้แล้ว ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ลูกจะขี้เซาเกินไปแล้วนะ” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนแสดงความรักใคร่ปลายจมูกมนคลอเคลียที่แก้มปลุกให้เด็กหญิงตื่นขึ้นมา แต่เยี่ยหลี่เฉียงเข้าใจว่าเธอเสแสร้งเพราะรู้ว่าตนเดินเข้ามาในห้อง จึงแสดงความรักต่อลูกให้เขาเห็น‘คิดว่าผมไม่รู้ทันแม่ดอกบัวขาวอย่างคุณหรือ’เมื่อลูกสาวตื่นแล้ว จางซูเจินก็อุ้มเด็กขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มทักทายสามีเพื่อเอาใจอีกฝ่าย ไหนๆก็สัญญาเอาไว้แล้วว่าเธอจะเป็นคนที่ดีกว่าเดิม แม้จะไม่อยากทักแต่ก็ต้องทักทาย เพราะต้องเจอกันไปอีกนาน“กลับมาแล้วเหรอคะ เอางานกลับมาทำที่บ้านอีกแล้วสินะ” เธอชำเลืองมองกระเป๋าเอกสารที่เขานำมาวางที่โต๊ะทำงานพลางยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “แม่ขาหนูปวดฉี่” เยี่ยซิ่วอิงบอกมารดาจางซูเจินจึงแล้วพาเด็กหญิงไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะพามานั่งร่วมโต๊ะอาหารค่ำพร้อมหน้ากับทุกคน“ดีนะเสร็จทันเวลาพอดี สงสารอี้หรูมากที่ต้องทำอ
บรรยากาศในสวนสาธารณะทำให้จางซูเจินไม่อยากกลับไปที่บ้านสกุลเยี่ยเลยแม้แต่นิด แม้พยายามมองข้ามคำพูดถากถางจากเยี่ยหงแล้ว แต่การได้ยินคำพูดแง่ลบผ่านหูก็อดรู้สึกอึดอัดใจไม่ได้บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้จางซูเจินคนนั้นไม่อยากอยู่บ้าน เพราะหากอยู่แล้วไม่สบายใจเป็นตนก็ไม่อยากอยู่เหมือนกันทั้งสองนั่งเล่นอยู่ที่สวนนั้นสักพัก เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงกำลังง่วงเพราะคงได้เวลานอนกลางวันตามประสาเด็ก เธอก็แบกลูกสาวขึ้นขี่หลังเดินกลับไปที่บ้านจางซูเจินตั้งใจว่าจะพาเยี่ยซิ่วอิงเข้านอนแล้วก็จะเตรียมตัวหุงข้าวเอาไว้ต้อนรับแขกในตอนเย็นแต่พอกลับไปถึงก็พบว่าแม่สามีจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว และมีสีหน้าที่บึ้งตึงราวกับจะตำหนิว่าเธอมัวแต่เที่ยวเดินเตร็ดเตร่ ใช้การพาลูกเดินเที่ยวเป็นข้ออ้างไม่มาช่วยหุงข้าวทั้งๆ ที่รับปากเอาไว้แล้วเธอจึงพาเยี่ยซิ่วอิงเข้าไปนอนในห้อง แล้วกลับออกมาเพื่อที่จะช่วยงานอย่างอื่น“มีอะไรให้ฉันช่วยอีกไหมคะ”“ไม่ต้องหรอก เชิญเธอไปแต่งหน้าแต่งตัวสวยๆ อย่างที่ชอบทำเป็นประจำเถอะ” ประโยคเหน็บแนมด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ กับสายตาที่มองด้วยความรังเกียจ ทำให้ซูเจินต้องสงบปากสงบคำเอาไว้สักพักก็มีเ
การทำงานบ้านนั้นไม่ใช่งานที่หนักหนาอะไรมากนัก จางซูเจินปัดกวาดเช็ดถูบ้านโดยมีลูกมืออย่างเยี่ยซิ่วอิงช่วยแม่ทำงานบ้านอย่างตั้งใจเยี่ยหงมองความตั้งใจนั้น รู้สึกชื่นชมที่อีกฝ่ายสอนงานบ้านหลานสาวของตนด้วยความใจเย็น แต่ก็ไม่ได้วางใจลูกสะใภ้มากนัก“ตอนเย็นบ้านเราจะมีแขกมากินมื้อค่ำด้วย” น้ำเสียงนั้นราบเรียบ ราวกับว่าพูดลอยๆ กับสายลมจางซูเจินหันไปมองแม่สามีที่เดินเข้ามาบอกตนแล้วยิ้มรับ “แม่จะให้ฉันหุงข้าวเพิ่ม หรือช่วยเป็นลูกมือทำอาหารหรือคะ ฉันยินดีช่วยเต็มที่”ความกระตือรือร้นของลูกสะใภ้ทำให้เธอหมั่นไส้ คนดีที่ไหนจะเอาตัวเข้าหาผู้ชายด้วยวิธีสกปรก“แค่หุงข้าวเพิ่มเท่านั้น ปกติอี้หรูจะมาทำกับข้าวที่นี่ เธอชอบทำอาหาร อาหลี่เองก็ติดใจฝีมือเธอมากเลยล่ะ” รอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ของแม่สามียามที่พูดถึงแขกคนสำคัญ ทำให้จางซูเจินรับรู้ได้ว่าคนคนนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่“อี้หรูเหรอคะ” เธอพูดทวนชื่อเสียงเบาเยี่ยหงคิดไว้อยู่แล้วว่าหากรู้ว่าเฉินอี้หรูมาหาที่บ้าน จางซูเจินจะต้องเก็บอาการไม่อยู่แล้วเปิดเผยตัวตนออกมาแน่“ใช่ อี้หรูจะมาเยี่ยมคุณนายเฉินผู้เป็นป้า ทุกครั้งที่มาบ้านเราก็เชิญเธอมากินข้าวอยู่เป็นประจำ