ในสวนสาธารณะแถวบ้าน ที่มีผู้คนทยอยเข้ามาเดินเล่นกันมากจนเริ่มหนาตา โดยเฉพาะเด็กๆ ที่มารวมตัวกันแล้วจับกลุ่มกันวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน
หลังจากแนะนำตัวกันไปแล้ว หยางซินและซ่งเหลียนยังคงเกี่ยงกันที่จะตั้งคำถามกับจางซูเจินในเรื่องที่พวกเธออยากรู้
“ถามมาเถอะค่ะ” จางซูเจินพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจจนทั้งสองรู้สึกเกรงใจที่จะถาม
“เอ่อ ฉันจะถามว่าเธอน่ะ ล่อลวงหลี่เฉียงเพื่อให้เขารับผิดชอบแต่งงานด้วยจริงหรือเปล่า”
คำถามที่ตรงไปตรงมานั้นทำให้จางซูเจินนิ่งเงียบไป ก่อนจะยิ้มออกมาพร้อมกับคำตอบที่จริงใจ
“ใช่ ฉันรักหลี่เฉียง เลยทำทุกอย่างเพื่อให้ได้แต่งงานกับคนที่ฉันรัก” ประโยคที่จางซูเจินสารภาพออกมา ไม่เพียงทำให้หญิงสาวทั้งสองเอามือทาบอกด้วยความตกใจ
แต่เยี่ยหลี่เฉียงที่เลิกงานแล้ว เขาจำได้ว่าภรรยาและลูกจะมาที่สวนแห่งนี้จึงแวะมาหา พอได้ยินเข้าแบบนั้นก็ถึงกับมือไม้สั่นด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
มือหนาเดี๋ยวกำเดี๋ยวคลาย เท้าจะก้าวไปหาแต่ก็ขาแข็งทื่อเดินไม่ออก ได้แต่มองทั้งสามจากด้านหลัง ไม่มีความกล้าที่จะเดินไปหาอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก บอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุใด
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกใจเต้นกับคำพูดของภรรยา หรือเพราะรับรู้เรื่องราวที่ได้ยินเมื่อคืนนี้จึงทำให้เขาเปิดใจมองเธออย่างไร้อคติมากขึ้น
ริมฝีปากหนายกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยอย่างห้ามใจไม่ได้ พอนึกได้ว่าตนเผลอยิ้มก็รีบหุบยิ้มลง แล้วตัดสินใจถอยออกมาจากสถานการณ์ที่น่าอายนั้นก่อนที่ภรรยาจะเห็น
“ฉันไม่โกรธนะ หากเธอทั้งสองไม่อยากพูดคุยกับผู้หญิงอย่างฉัน” จางซูเจินพูดออกตัวด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม หลังจากยอมรับความจริงออกไป
“เอ่อ เราไม่โกรธหรอก แค่ไม่คิดว่าเธอจะยอมรับความจริงน่ะ” หยางซินพูดแล้วหันซ้ายหันขวา ดูครอบครัวอื่นที่เริ่มทยอยมาที่สวน กลัวว่าจะได้ยินในสิ่งที่ตนเองจะพูด
เธอหันกลับมามองหน้ากับซ่งเหลียนแล้วพยักหน้าให้แก่กัน ก่อนจะกระซิบบอกจางซูเจินเสียงเบาให้ได้ยินแค่สามคน
“พวกเราสองคนก็วางยากำหนัดพี่ชายตัวเอง เพราะเราสองคนเป็นเพื่อนรักกัน เลยอยากให้อีกฝ่ายเป็นครอบครัวเดียวกันน่ะ”
พูดจบทั้งสองก็ยกมือป้องปากหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ทำให้จางซูเจินพลอยขบขันไปด้วย
“เธอสองคนเปิดเผยดี ฉันชอบ” จางซูเจินบอก แล้วหันไปดูเยี่ยซิ่วอิงเป็นระยะ
เห็นบุตรสาวชี้มาทางตนให้เพื่อนๆ ดู จึงโบกมือให้เด็กน้อยเป็นการทักทาย แลดูเด็กหญิงมีความสุขเป็นอย่างมาก
“แล้วเรื่องที่เขาลือว่าชอบออกไปเล่นพนันล่ะ” หยางซินถามขึ้นมาอีกคำถาม
คราวนี้จางซูเจินลังเลที่จะตอบ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่สมควรพูดออกมา เธอไม่รู้ว่าสิ่งที่ทุกคนมองเธอนั้นเป็นจริงหรือว่าคำพูดเยี่ยซิ่วอิงเป็นจริงกันแน่ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายถามจึงต้องให้เหตุผลตามความจริงตามที่ตนเข้าใจ
“พวกเธอก็รู้ใช่ไหมว่าแม่สามีไม่ค่อยชอบหน้าฉัน” ทั้งสองพยักหน้าตามที่จางซูเจินถาม แล้วจ้องใบหน้าของเธอเพื่อรอฟังส่วนที่เหลือต่อ
“สกุลจางที่ฉันจากมาตอนนี้ไม่มีใครแล้ว แม่สามีก็ยังผลักไส หากไม่ติดที่มีเสี่ยวอิงป่านนี้หลี่เฉียงคงหย่าจากฉันไปแล้ว แต่ก็ไม่แน่หรอก...ก็อย่างที่ทุกคนรู้ เรื่องหลานสาวคุณนายเฉินน่ะ” น้ำเสียงของเธอแสดงความสั่นเครือเล็กน้อยที่ปลายเสียง
จางซูเจินรับบทบาทของสะใภ้แสนรันทดของสกุลเยี่ย โยนหินถามทางทั้งสองว่าจะรู้เรื่องอี้หรูหรือไม่
“ใช่ คุณนายโจวเคยพูดว่า ป้าเฉินอยากให้หลานสาวแต่งงานกับหลี่เฉียง แล้วป้าเยี่ยก็สนิทสนมกับสองป้าหลานนั้นมาก หรือข่าวลือที่ว่าป้าเยี่ยเตรียมสะใภ้เข้ามาแทนเธอจะเป็นเรื่องจริง” หยางซินพูดแล้วมองหน้ากับซ่งเหลียนด้วยสายตาที่ลุกวาว
“ฉันไม่แน่ใจหรอก รู้เพียงแต่ว่าฉันไม่มีบ้านให้กลับ หากวันหนึ่งต้องหย่าร้างไปแล้วก็อยากมีเงินทุนสักก้อนเอาไว้ตั้งตัว ฉันเลย...” จางซูเจินไม่ได้พูดต่อ ทำเหมือนจะร้องไหน
อยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยจริตมารยาและผู้คนชอบใส่ใจเรื่องของเพื่อนบ้าน เธอก็ต้องมีจริตกลับไปเพื่อเอาตัวรอด
“ไม่ต้องเล่าแล้ว ฉันเริ่มเข้าใจแล้วล่ะ” ซ่งเหลียนพูดปลอบใจแล้วเอามือวางที่ตักของอีกฝ่าย
เยี่ยซิ่วอิงที่หันมาทางมารดาเห็นว่ามีสีหน้าที่เศร้าหมอง จึงวิ่งกลับมาหาพร้อมกับเด็กๆ ที่เป็นลูกของสะใภ้ซ่งและสะใภ้หยางวิ่งตามมาด้วย
“แม่ร้องไห้อีกแล้ว เป็นอะไรไหมคะ กลับบ้านเลยดีหรือเปล่า” เสียงเล็กๆ นั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย
“ร้องไห้อีกแล้ว...หมายความว่าแม่ของเสี่ยวอิงร้องไห้บ่อยเหรอ” เด็กชายวัยไล่เลี่ยกันถามขึ้น
“ย่าทำให้แม่ร้องไห้บ่อยๆ นั่นแหละ” เยี่ยซิ่วอิงพูดตามประสาเด็กน้อย ทำให้ซ่งเหลียนกับหยางซินยิ่งเห็นอกเห็นใจเพื่อนใหม่ที่ตนเพิ่งทำความรู้จัก
“เสี่ยวอิง แม่บอกกี่ครั้งแล้ว อย่าพูดให้ย่าแบบนั้น ผู้น้อยต้องเคารพผู้ใหญ่ อย่าให้แม่ได้ยินลูกพูดถึงย่าแบบนี้อีกนะ” จางซูเจินหันไปสั่งสอนลูกสาวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
เยี่ยซิ่วอิงพยักหน้าเชื่อฟังคำพูดของมารดา แต่ก็สลดลงไปเล็กน้อย
“นี่ลูกกวาด เอาไปแบ่งเพื่อนๆ นะ แล้วเป็นเด็กดีล่ะ” จางซูเจินหยิบลูกกวาดหลากสีออกมาจำนวนหนึ่งมอบให้แก่ลูกสาว
ตอนนั้นเองที่เยี่ยซิ่วอิงยิ้มกว้าง รับลูกกวาดเหล่านั้นมาแล้ววิ่งไปแจกจ่ายให้แก่เด็กคนอื่นๆ เพื่ออวดว่ามารดาของตนนั้นใจดีจริงๆ
หยางซินและซ่งเหลียนมองกิริยาที่อ่อนโยนนั้น เธอก็เป็นมารดาที่ใจดีคนหนึ่ง เหตุใดข่าวลือที่ออกมามีแต่เรื่องเสียหายทั้งนั้น
“อาเจิน ต่อไปนี้หากมีอะไรก็มาพูดปรึกษากับพวกฉันได้นะ พวกเราไม่รังเกียจเธอหรอก และรู้ว่าที่เธอทำทุกอย่างล้วนมีเหตุผลทั้งนั้น”
“ใช่ อย่างที่อาซินบอก เธอมีอะไรก็ระบายกับพวกเราได้นะ พวกเราอยู่ข้างเธอ” ซ่งเหลียนก็พูดปลอบใจเธออีกเสียง
“ขอบใจพวกเธอมากนะ ฉันอยู่ที่นี่ไม่มีเพื่อนเลย ได้พูดคุยกับพวกเธอฉันสบายใจขึ้นมาก” จางซูเจินพูดแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยนให้แก่ทั้งคู่
การผูกมิตรในครั้งนี้ นอกจากจะทำให้มีคนมองจางซูเจินในแง่ดีขึ้นมาแล้ว ก็ตั้งใจจะให้สหายทั้งสองช่วยกระจายข่าวเรื่องความน่าเห็นใจของเธอออกไป
ดูสิว่าเฉินเหม่ยและเยี่ยหงยังจะยัดเยียดเฉินอี้หรูให้แก่เยี่ยหลี่เฉียงอีกหรือไม่
และอีกเหตุผลที่เธอทำแบบนี้ก็เพื่อปูทางให้จางซูเจินคนนั้น เพราะหากวันหนึ่งต้องกลับไปยังมิติที่จากมา จางซูเจินคนเดิมก็จะได้มีเพื่อนคอยพูดคุย และมีคนรับฟังเข้าใจเธอ บางทีทุกอย่างอาจจะดีขึ้นแล้วเธอก็จะเป็นแม่ที่ดีของเยี่ยซิ่วอิงต่อไปได้
ดวงตาของคู่งามยิ้มแย้มอย่างจริงใจให้กับสหายใหม่ทั้งสอง ก่อนจะหันไปมองเด็กๆ ที่วิ่งเล่นกันในสวนด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักใคร่
เยี่ยซิ่วอิงเป็นเด็กที่น่าสงสารมาก ตอนนี้กำลังวิ่งเล่นอย่างมีความสุข เธออยากให้เด็กคนนี้มีความสุขแบบนี้ตลอดไป อยากให้รอยยิ้มที่สดใสนี้คงอยู่ไม่ว่าเธอจะอยู่หรือไม่ก็ตาม
“ถ้าประเทศของเราไม่ออกกฎห้ามมีลูกคนที่สองป่านนี้เราก็คงมีลูกสาวอีกคน จับแต่งตัวน่ารักอย่างเสี่ยวอิงไปแล้ว ฉันอยากได้ลูกสาวมากเลยล่ะอาเจิน” สะใภ้ซ่งแล้วมองดูลูกชายของเธอวิ่งเล่นกับเยี่ยซิ่วอิงด้วยสายตาที่เอ็นดู
จางซูเจินเพิ่งนึกได้ว่าในปีที่ตนมาอยู่เป็นช่วงที่ประชากรล้นประเทศ รัฐบาลจึงมีการกำหนดให้หนึ่งครอบครัวมีบุตรเพียงหนึ่งคนเท่านั้น เพื่อจัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอแก่ประชาชน
“หรือที่เธอถูกป้าเยี่ยเกลียด เพราะไม่มีลูกชายงั้นหรือ” หยางซินถามเธอในเชิงที่ตนก็สงสัย
“ไม่รู้สิ แต่จะมีอีกคงไม่ทันแล้ว” จางซูเจินตอบอย่างไม่คิดอะไร คิดว่าเขาคงกลัวเสียภาษีลูกคนที่สองแพงมากกว่าจึงไม่ได้มีทายาทด้วยกัน
“กฎนั้นชนบทได้รับการยกเว้นมิใช่หรือ สามารถไปขออนุญาตมีอีกคนได้กรณีที่มีลูกคนแรกเป็นผู้หญิง ถ้าอยากได้ลูกอีกคนเธอลองให้สามีไปขอดูสิ” ซ่งเหลียนให้คำแนะนำ
พวกตนได้ลูกชายทั้งคู่ หากจะขอลูกใหม่ก็คงไม่ได้แล้ว แต่สำหรับคนที่มีลูกสาวคนแรกยังไม่มีทายาทสืบสกุลอย่างจางซูเจินกับเยี่ยหลี่เฉียง พวกเขาสามารถขออนุญาตมีลูกคนที่สองเพิ่มได้
“ไม่รู้สิ สถานการณ์ตอนนี้ฉันยังไม่กล้ามีลูกเพิ่มหรอก” จางซูเจินได้แต่ปฏิเสธด้วยเหตุผลนั้น ให้เข้าใจว่าเธอเป็นเพียงสะใภ้น่ารังเกียจที่รอวันหย่าร้าง
แต่ลึกๆ ในใจก็คิดว่า จะมีลูกกับเขาได้อย่างไรเธอไม่ใช่จางซูเจินของยุคนี้เสียหน่อย และอีกอย่างจางซูเจินคนนี้ก็ยังบริสุทธิ์อยู่แท้ๆ
************************
เมื่อกลับไปถึงบ้าน จางซูเจินก็เพิ่งจะนึกออกว่าเธอพลาดช่วงเวลาในการช่วยแม่สามีในการทำอาหารเย็นไปแล้วอย่างไม่น่าให้อภัยอาหารที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะนั้นถูกปรุงด้วยฝีมือของเยี่ยหง เยี่ยหลี่เฉียงเองก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมจะมานั่งรับประทานมื้อค่ำแล้วในตอนนั้นเธอนึกตำหนิตัวเองในใจ อุตส่าห์รับปากกับสามีแล้วแท้ๆ ว่าจะปรับปรุงตัวเป็นคนใหม่ แต่ดันพลาดจนได้เพราะมัวแต่พูดคุยกับสหายใหม่ทั้งสอง และเยี่ยซิ่วอิงเองก็วิ่งเล่นอย่างสนุกสนานจึงไม่ได้ขัดลูกในตอนนั้นจริงๆ หากเด็กหญิงไม่เหนื่อยแล้วชวนกลับบ้านเธอก็ยังไม่ได้จะกลับเสียด้วยซ้ำ“ขอโทษค่ะแม่ พอดีว่าฉันได้เพื่อนใหม่แล้วคุยเพลินไปหน่อย” หญิงสาวกล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดอย่างจริงใจ ไม่ได้กล่าวโทษลูกสาวที่วิ่งเล่นจนเกือบจะมืดค่ำ“ฉันชินกับพฤติกรรมของเธอแล้ว ไม่ต้องมาขอโทษฉันหรอก” น้ำเสียงที่เอ่ยประโยคนั้นบ่งบอกถึงความไม่พอใจอยู่ลึกๆ“รีบมากินข้าวก่อนสิ กินเสร็จค่อยไปอาบน้ำ” เยี่ยหลี่เฉียงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงปกติเป็นน้ำเสียงปกติของคนทั่วไป แต่มันไม่ปกติสำหรับเธอ เพราะมันไม่มีความเย็นชาแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นและเหมือนเธอจะเห็นแววตาของ
เยี่ยหงเรียกให้จางซูเจินไปล้างถ้วยชามที่หลังบ้าน โดยที่ตนเองก็แยกพาเยี่ยซิ่วอิงไปอาบน้ำ ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกชายได้อยู่กับหญิงสาวที่ตนอยากให้มาแทนที่ลูกสะใภ้แสนร้าย“แต่แม่คะ อี้หรูชักชวนให้ฉันเรียนไปด้วยกัน ฉันอยากเรียนมากกว่าค่ะ เรียนเสร็จฉันจึงจะไปล้างให้” จางซูเจินตั้งใจที่จะปฏิเสธด้วยเหตุผลที่อยากเรียนรู้ แต่จริงๆ อยากไปขัดคอทั้งสองต่างหาก“เธอจะรู้ภาษาอังกฤษไปทำไมกัน ความรู้ก็ไม่มี เรียนไปก็ไม่รู้เรื่องหรอก ไปล้างถ้วยน่ะดีแล้ว ฉันเองก็จะได้ช่วยอาบน้ำให้เสี่ยวอิง” เยี่ยหงไม่ยอมเธออยากให้เฉินอี้หรูมีโอกาสใกล้ชิดกับลูกชายตนให้ได้มากที่สุดจางซูเจินรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเยี่ยหงก็ยังคงจะกีดกันตน และแสดงออกชัดเจนว่าสนับสนุนให้เฉินอี้หรูเข้ามาวุ่นวายภายในบ้านเธอต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง อย่างน้อยกะเพื่อสวัสดิภาพของเยี่ยซิ่วอิง ไม่ให้ย่าใจร้ายต้องหาแม่เลี้ยงมาดูแลเด็กหญิงเพราะเท่าที่ดูแล้วเฉินอี้หรูไม่ได้ต้องการลูก แต่เธอต้องการพ่อเด็กมากกว่า “ว่าอย่างไร จะไปล้างถ้วยหรือจะให้ฉันต้องไปล้างเอง” “ค่ะ” เธอตอบรับอย่างสุภาพแล้ว ยกกะละมังใส่ถ้วยชามไปล้างที่หลังบ้
“หยุดนะ ไอ้โจรชั่ว!” เสียงตะโกนของหญิงสาวที่กำลังวิ่งตามโจรวิ่งราว ทำให้วัยรุ่นชายที่ปิดหน้าปิดตานั้นเร่งเท้าให้ไวขึ้นจางซูเจินในชุดกี่เพ้าสีชมพูลายดอกโบตั๋นที่สวมไปงานเลี้ยง เธอวิ่งตามคนร้ายไปจนถึงตรอกคับแคบ เห็นแผ่นหลังนั้นเลี้ยวเข้าไปในประตูไม้ผุพังที่อยู่สุดทางเดินก็วิ่งตามเข้าไปในจังหวะนั้นเธอกำลังจะเดินเข้าไปก็ชนเข้ากับผู้หญิงอีกคนที่วิ่งสวนออกมา ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง ใบหน้าและชุดที่ทั้งคู่สวมใส่นั้นเหมือนกันราวกับฝาแฝดต่างคนต่างจ้องมองกันด้วยความตกใจ แล้วหญิงสาวคนนั้นก็ได้สติก่อนจึงรีบวิ่งไปอีกทางด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนก จางซูเจินเองก็ทำอะไรไม่ถูก เธอตัดสินใจที่จะตามโจรวิ่งราวต่อตรงหน้าเป็นประตูไม้ที่เปิดอ้าอยู่ เห็นแสงสว่างส่องออกมาจนแสบตา เธอคิดว่าเป็นทางออกทะลุไปอีกด้านจึงรีบวิ่งเข้าประตูไปเพื่อตามคนร้ายพอพ้นออกมาแสงสว่างที่เจิดจ้าพลันหายไป เธอขยี้ตามองอีกครั้ง ‘หรือว่าตาฝาดกันนะ’ หญิงสาวสะบัดหัวทิ้งความคิดเหลวไหล พลางรีบวิ่งตามคนร้ายต่อจนไปถึงถนนที่มีร้านค้าก็ไม่เห็นเขาแล้ว“หายไปไหนแล้วนะ เจ็บใจนัก” จางซูเจินพูดด้วยความเจ็บใจ เงินในกระเป๋ามีไม่เท่าไรแต่บัตร
จางซูเจินพาเยี่ยซิ่วอิงตัวน้อยเดินลงจากรถอย่างระมัดระวัง แล้วตรงไปยังตลาดข้างหน้าที่มีการร้านค้าเรียงรายร้านขายข้าวสารมีคนเข้าแถวอยู่จำนวนหนึ่ง เธอจึงตัดสินใจที่จะไปยืนต่อแถวซื้อข้าวสารที่ร้านนั้นก่อน พลางสังเกตว่าเด็กหญิงมองไปยังร้านขายขนมหวานด้วยสายตาที่เป็นประกาย“เสี่ยวอิง อยากกินเหรอ” เธอถามเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนนุ่ม“ไม่อยากกินค่ะ” เด็กหญิงตอบเสียงเบา รู้ว่าวันนี้มารดาใจดี แต่จะมีเงินซื้อให้เธอหรือไม่ และที่ใจดีก็อาจจะเป็นเพราะว่ามีบิดาอยู่ด้วยเลยไม่แสดงอาการหงุดหงิดโวยวายออกมาหรือเปล่า เด็กน้อยอดคิดไม่ได้เมื่อถึงลำดับของเธอ หญิงสาวก็ใช้คูปองในการซื้อข้าวสารจากนั้น แบกมันด้วยความหนักอึ้ง อีกมือก็จูงมือเด็กหญิงเดินไปที่ร้านขายขนมหวานตรงหน้าเด็กน้อยมองมารดาของตนเลือกลูกกวาดหลากสีใส่ตะกร้า แล้วยื่นให้กับเถ้าแก่ร้านขายขนมพร้อมกับจ่ายเงินที่ถือมาซึ่งปกติแล้วหากได้เงินมาจ่ายตลาด มารดาของเธอต้องเลือกซื้อเครื่องสำอางและข้าวของให้ตัวเองเป็นอันดับแรก หากเงินเหลือแล้วจึงจะมาซื้อของให้แก่เธอ“เสร็จแล้ว เราไปซื้อเนื้อหมูกับไข่ไก่กันเถอะ” จางซูเจินพูดด้วยรอยยิ้มแล้วเดินไปที่แผงขายเนื
ในขณะที่เยี่ยซิ่วอิงนอนกลางวันอยู่ จางซูเจินที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรก็เดินออกไปที่โถงบ้านเธอมองหาสามีแต่ก็ไม่เจอ มีเพียงแม่สามีที่กำลังทำความสะอาดบ้านอยู่“ให้ฉันช่วยอะไรไหมคะ”“ไม่ต้อง” น้ำเสียงที่เย็นชาแผ่ความกดดันมายังเธอจนหญิงสาวรู้สึกอึดอัด“อาหลี่กลับมากินข้าวกลางวันที่บ้าน พอรู้ว่าเธอแอบไปเล่นพนันก็เลยรีบตามออกไป ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักนิดก็ต้องออกไปทำงานต่อแล้ว เธอมันเป็นภรรยาที่แย่มาก” แม่สามีต่อว่าออกมาตรงๆ อย่างเปิดเผย เอือมระอากับลูกสะใภ้คนนี้เต็มแก่“ถ้าไม่มีอะไรให้ช่วย งั้นฉันออกไปเดินเล่นข้างนอกนะคะ” เธอบอกเป็นทำนองขออนุญาต เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ว่าอะไรจึงเดินออกไปนอกบ้านเยี่ยหงเอามือเท้าเอวมองลูกสะใภ้ด้วยสายตาที่เกลียดชัง อยากให้ถูกทางการจับไปเสียให้พ้นจะได้ไม่เป็นเสนียดของบ้านนี้‘อุตส่าห์แอบแจ้งตำรวจไปแล้ว ยังรอดมาได้ คอยดูเถอะครั้งหน้าเธอต้องติดคุกแน่ คราวนี้อาหลี่ก็ทำเรื่องขอหย่าได้โดยไม่ต้องรู้สึกติดค้างในใจแล้ว’จางซูเจินยืนอยู่ประตูหน้าบ้าน สายตาช่างสงสัยนั้นสำรวจไปรอบๆ บริเวณภายนอกของบ้านก่อนเป็นอันดับแรกพื้นที่ของบริเวณหน้าบ้านค่อนข้างคับแคบ เฉพาะตัวบ้าน
ในห้องน้ำ สองแม่ลูกผลัดกันถูหลังให้แก่กัน แล้วร้องเพลงไปด้วยอย่างมีความสุขเป็นครั้งแรกที่เยี่ยซิ่วอิงอาบน้ำอย่างมีความสุขมากขนาดนี้ ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าวันที่เธอรอคอยได้มาถึงแล้ว“แม่คะ หนูมีความสุขมากเลย”“แม่ก็มีความสุข” จางซูเจินยอมรับในสถานะแม่ของตน จากนั้นก็สอนลูกสาวร้องเพลงเด็กอนุบาลในยุคของตน แล้วหัวเราะกันอย่างสนุกสนานเยี่ยหงที่ยื่นหูฟังก็รู้สึกหมั่นไส้ จางซูเจินเป็นอย่างนี้เสมอ พอทำให้ลูกสาวร้องไห้ก็มักจะแสดงความรักออกมาเพื่อไม่ให้เด็กเอาความไปฟ้องบิดาจางซูเจินสังเกตว่าผมหน้าม้าของเด็กหญิงเริ่มยาวปิดตาแล้ว เธอเอากรรไกรมาเล็มผมหน้าม้าให้แล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจในฝีมือของตนจะว่าไปแล้วเธอก็ตอนสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย เธอก็เคยทำงานพิเศษเป็นลูกมือในร้านเสริมสวยพอจะมีประสบการณ์อยู่บ้างทำอาหารไม่ได้ ปลูกผักไม่เป็น อนาคตอาจถูกสามีขอหย่า ถ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้เธอก็จะไปรับจ้างในร้านเสริมสวยก็น่าจะดี‘ถ้าหย่าแล้วเสี่ยวอิงล่ะ’ จางซูเจินนึกถึงเด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้า พลันสลัดความคิดนั้นออกไปจากหัวเมื่อดวงตากลมโตมองมาด้วยแววตาที่รักและเทิดทูน“เราไปแต่งตัวกันเถอะ” เธอบอกเด็กหญิงแล้วพากลับไปแ
เมื่อมื้ออาหารค่ำจบลง จางซูเจินก็อาสาเป็นคนล้างจาน ต่างจากทุกครั้งที่มักจะเกี่ยงงานและอุ้มลูกหนีเข้าห้องไปก่อนหญิงสาวเก็บถ้วยชามไปยังลานซักล้างด้านหลังที่ติดกับห้องน้ำที่อยู่ด้านนอก ลงมือทำความสะอาดภาชนะเหล่านั้นเสร็จแล้ว ก็เดินกลับเข้ามาสำรวจภายในบ้านเธอพบว่านอกจากห้องครัวอยู่ด้านหลังและห้องอเนกประสงค์ที่ใช้ทั้งเป็นห้องนั่งเล่นและเป็นห้องกินข้าวแล้ว ก็ยังมีห้องนอนใหญ่หนึ่งห้อง ตรงข้ามมีห้องเก็บของขนาดเล็กและห้องนอนของแม่สามีเธอเปิดเข้าไปดูห้องเก็บของเล็กๆ นั้นแล้วมีความคิดว่าอยากแยกห้องนอนกับสามี แต่คิดดูดีๆ แล้วเยี่ยซิ่วอิงติดตนเองมาก หากตนย้ายมานอนห้องเล็กอีกฝ่ายต้องย้ายมานอนด้วยแน่ห้องนั้นน่าจะเตรียมไว้สำหรับเยี่ยซิ่วอิง ในวัยนี้ต้องหัดให้เด็กรู้จักการนอนคนเดียวได้แล้ว แต่ว่าเสี่ยวอิงยังนอนอยู่ที่ห้องของพ่อแม่ มันจะต้องมีเหตุผลแน่และหนึ่งในเหตุผลนั้นก็คือเอาไว้เป็นตัวขัดขวางความสุขของพ่อแม่‘เท่าที่ฟังดู เอาไว้ขัดขวางความสุขของแม่ฝ่ายเดียวมากกว่า หลี่เฉียงดูไม่น่าพิศวาสเมียตัวเองเสียเท่าไรนัก’ เธอเดาเหตุผลนั้นด้วยตัวเอง จากนั้นก็เดินเข้าห้องนอนไปเยี่ยหลี่เฉียงอยู่ในชุดพร้อมจ
ในตอนเช้า จางซูเจินตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกที่ รู้สึกถึงแขนน้อยๆ ที่พาดอยู่บนหน้าอกแล้วลืมตามาเห็นเยี่ยซิ่วอิงก็รู้ว่าตนไม่ได้ฝันไปตอนนี้เธอทะลุมายังมิติคู่ขนาน มาอยู่ในร่างคนที่มีชื่อแซ่และหน้าตาที่เหมือนกับตน แต่ว่าเธอมีครอบครัวแล้ว และเป็นคนที่ดูเหมือนว่าไม่มีใครชอบสะใภ้เยี่ยคนนี้จางซูเจินลุกขึ้นจากเตียง แล้วนึกได้ว่าเมื่อวานนี้เด็กหญิงปัสสาวะราด จึงปลุกให้เยี่ยซิ่วอิงตื่นขึ้นมาโดยการหอมแก้มซ้ำๆ จนอีกฝ่ายลืมตาขึ้นเธอเอานิ้วแตะที่ริมฝีปากของตัวเองเป็นสัญลักษณ์ไม่ให้เด็กหญิงส่งเสียงรบกวนบิดา ใบหน้าอ่อนหวานของผู้เป็นมารดาโน้มลงมากระซิบข้างหู“ไปฉี่กันเถอะ”เยี่ยซิ่วอิงพยักหน้าเบาๆ แล้วค่อยๆ ลุกจากที่นอนเดินตามมารดาไปยังห้องน้ำที่อยู่นอกบ้านเยี่ยหงที่ลุกมาทำอาหารเช้าเห็นว่าลูกสะใภ้ปลุกหลานสาวมาเข้าห้องน้ำแต่เช้าก็ประหลาดใจ แต่ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกมา คิดแต่เพียงว่าคงมีแผนการอะไรบางอย่างแน่หลังจากทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำเสร็จ จางซูเจินก็ให้เด็กหญิงไปนอนต่อ แต่อีกฝ่ายส่ายหัวเบาๆ“หนูอยากอยู่กับแม่”“แต่แม่ต้องไปช่วยย่าทำอาหารเช้า เสี่ยวอิงไปนอนกับพ่อนะ แล้วอย่าเสียงดังล่ะ” เมื่อได้ย
เยี่ยหงเรียกให้จางซูเจินไปล้างถ้วยชามที่หลังบ้าน โดยที่ตนเองก็แยกพาเยี่ยซิ่วอิงไปอาบน้ำ ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกชายได้อยู่กับหญิงสาวที่ตนอยากให้มาแทนที่ลูกสะใภ้แสนร้าย“แต่แม่คะ อี้หรูชักชวนให้ฉันเรียนไปด้วยกัน ฉันอยากเรียนมากกว่าค่ะ เรียนเสร็จฉันจึงจะไปล้างให้” จางซูเจินตั้งใจที่จะปฏิเสธด้วยเหตุผลที่อยากเรียนรู้ แต่จริงๆ อยากไปขัดคอทั้งสองต่างหาก“เธอจะรู้ภาษาอังกฤษไปทำไมกัน ความรู้ก็ไม่มี เรียนไปก็ไม่รู้เรื่องหรอก ไปล้างถ้วยน่ะดีแล้ว ฉันเองก็จะได้ช่วยอาบน้ำให้เสี่ยวอิง” เยี่ยหงไม่ยอมเธออยากให้เฉินอี้หรูมีโอกาสใกล้ชิดกับลูกชายตนให้ได้มากที่สุดจางซูเจินรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเยี่ยหงก็ยังคงจะกีดกันตน และแสดงออกชัดเจนว่าสนับสนุนให้เฉินอี้หรูเข้ามาวุ่นวายภายในบ้านเธอต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง อย่างน้อยกะเพื่อสวัสดิภาพของเยี่ยซิ่วอิง ไม่ให้ย่าใจร้ายต้องหาแม่เลี้ยงมาดูแลเด็กหญิงเพราะเท่าที่ดูแล้วเฉินอี้หรูไม่ได้ต้องการลูก แต่เธอต้องการพ่อเด็กมากกว่า “ว่าอย่างไร จะไปล้างถ้วยหรือจะให้ฉันต้องไปล้างเอง” “ค่ะ” เธอตอบรับอย่างสุภาพแล้ว ยกกะละมังใส่ถ้วยชามไปล้างที่หลังบ้
เมื่อกลับไปถึงบ้าน จางซูเจินก็เพิ่งจะนึกออกว่าเธอพลาดช่วงเวลาในการช่วยแม่สามีในการทำอาหารเย็นไปแล้วอย่างไม่น่าให้อภัยอาหารที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะนั้นถูกปรุงด้วยฝีมือของเยี่ยหง เยี่ยหลี่เฉียงเองก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมจะมานั่งรับประทานมื้อค่ำแล้วในตอนนั้นเธอนึกตำหนิตัวเองในใจ อุตส่าห์รับปากกับสามีแล้วแท้ๆ ว่าจะปรับปรุงตัวเป็นคนใหม่ แต่ดันพลาดจนได้เพราะมัวแต่พูดคุยกับสหายใหม่ทั้งสอง และเยี่ยซิ่วอิงเองก็วิ่งเล่นอย่างสนุกสนานจึงไม่ได้ขัดลูกในตอนนั้นจริงๆ หากเด็กหญิงไม่เหนื่อยแล้วชวนกลับบ้านเธอก็ยังไม่ได้จะกลับเสียด้วยซ้ำ“ขอโทษค่ะแม่ พอดีว่าฉันได้เพื่อนใหม่แล้วคุยเพลินไปหน่อย” หญิงสาวกล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดอย่างจริงใจ ไม่ได้กล่าวโทษลูกสาวที่วิ่งเล่นจนเกือบจะมืดค่ำ“ฉันชินกับพฤติกรรมของเธอแล้ว ไม่ต้องมาขอโทษฉันหรอก” น้ำเสียงที่เอ่ยประโยคนั้นบ่งบอกถึงความไม่พอใจอยู่ลึกๆ“รีบมากินข้าวก่อนสิ กินเสร็จค่อยไปอาบน้ำ” เยี่ยหลี่เฉียงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงปกติเป็นน้ำเสียงปกติของคนทั่วไป แต่มันไม่ปกติสำหรับเธอ เพราะมันไม่มีความเย็นชาแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นและเหมือนเธอจะเห็นแววตาของ
ในสวนสาธารณะแถวบ้าน ที่มีผู้คนทยอยเข้ามาเดินเล่นกันมากจนเริ่มหนาตา โดยเฉพาะเด็กๆ ที่มารวมตัวกันแล้วจับกลุ่มกันวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานหลังจากแนะนำตัวกันไปแล้ว หยางซินและซ่งเหลียนยังคงเกี่ยงกันที่จะตั้งคำถามกับจางซูเจินในเรื่องที่พวกเธออยากรู้“ถามมาเถอะค่ะ” จางซูเจินพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจจนทั้งสองรู้สึกเกรงใจที่จะถาม“เอ่อ ฉันจะถามว่าเธอน่ะ ล่อลวงหลี่เฉียงเพื่อให้เขารับผิดชอบแต่งงานด้วยจริงหรือเปล่า”คำถามที่ตรงไปตรงมานั้นทำให้จางซูเจินนิ่งเงียบไป ก่อนจะยิ้มออกมาพร้อมกับคำตอบที่จริงใจ“ใช่ ฉันรักหลี่เฉียง เลยทำทุกอย่างเพื่อให้ได้แต่งงานกับคนที่ฉันรัก” ประโยคที่จางซูเจินสารภาพออกมา ไม่เพียงทำให้หญิงสาวทั้งสองเอามือทาบอกด้วยความตกใจแต่เยี่ยหลี่เฉียงที่เลิกงานแล้ว เขาจำได้ว่าภรรยาและลูกจะมาที่สวนแห่งนี้จึงแวะมาหา พอได้ยินเข้าแบบนั้นก็ถึงกับมือไม้สั่นด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกมือหนาเดี๋ยวกำเดี๋ยวคลาย เท้าจะก้าวไปหาแต่ก็ขาแข็งทื่อเดินไม่ออก ได้แต่มองทั้งสามจากด้านหลัง ไม่มีความกล้าที่จะเดินไปหาอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก บอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุใดไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกใจเต้นก
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเช้าวันนี้ ทำให้เยี่ยหงและเยี่ยหลี่เฉียงดูไม่เจริญอาหารนักคนหนึ่งรู้สึกผิดที่ต้องบอกความรู้สึกตามตรงกับมารดา และรู้สึกผิดที่ต้องบอกความจริงเรื่องที่เฉินเหม่ยแอบนินทาลับหลังให้รู้ทั้งที่ปิดบังมานานส่วนอีกคนก็รู้สึกผิดหวังที่เพื่อนบ้านที่ตนวางใจ เอาตนไปพูดนินทาเสียหายว่าเห็นแก่ได้ ทั้งๆ ที่คุณนายเฉินและหลานสาวเป็นฝ่ายเสนอข้อตกลงทำอาหารให้แต่แรกอีกทั้งรับรู้ความรู้สึกอึดอัดใจของลูกชายว่าเกิดจากแม่อย่างตน ก็ยิ่งทำให้รู้สึกแย่ไปอีกเป็นเท่าตัว แต่ถึงอย่างนั้นในใจก็ยังอยากได้เฉินอี้หรูมาเป็นสะใภ้มากกว่าจางซูเจินอยู่ดี“แม่ขา วันนี้ไปเดินเล่นกันนะคะ” เยี่ยซิ่วอิงที่กินอาหารเสร็จแล้วบอกมารดา“ได้สิ เอาไว้เราทำงานบ้านช่วยย่าเสร็จแล้ว ตอนบ่ายเสี่ยวอิงนอนกลางวันให้เต็มที่ ตอนเย็นแม่จะพาไปนะ” เธอมีข้อแม้กับลูกสาวน้ำเสียงและกิริยาที่อ่อนโยนของเธอ พร้อมกับประโยคที่บอกเขาในวันนั้นว่าเธอจะปรับปรุงตัวใหม่ ทำให้เยี่ยหลี่เฉียงรับรู้ได้ว่าตอนนี้เธอเปลี่ยนไปมาก...มากราวกับเป็นคนละคน“เดี๋ยวฉันเอาซาลาเปาใส่กล่องให้ไปกินที่บริษัทนะ เผื่อหิวระหว่างวันคุณจะได้หยิบมันขึ้นมากิน” เธอหันไปบอ
เมื่ออาบน้ำเข้ามาในห้องนอน เยี่ยหลี่เฉียงก็พบว่าภรรยาและลูกสาวได้หลับไปแล้วหากมองอย่างไม่มีอคติแล้ว จางซูเจินก็เป็นผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่ง สกุลจางหลังจากขาดเสาหลักไป ลูกของภรรยาเก่าอย่างเธอก็ถูกรังแกจากแม่เลี้ยง‘แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำแบบนั้นกับผมได้’ เมื่อพยายามจะมองเธอในแง่ดี แต่อคติภายในใจก็พวยพุ่งออกมาจากความรู้สึกที่พยายามเก็บซ่อนไว้วันนั้นเขามีงานเลี้ยงที่เจ้านายชาวต่างชาติจัดขึ้นที่ร้านอาหาร ขากลับเมามากและถูกจางซูเจินพาไปที่โรงแรมเพื่อมีสัมพันธ์กันเขาต้องแต่งงานกับเธอเพื่อรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามทำให้ชีวิตคู่ดีขึ้นแต่อีกฝ่ายก็ขยันสร้างแต่เรื่องให้มารดาเขาไม่พอใจจะว่าไปจางซูเจินเริ่มชอบเสี่ยงโชคก็ตอนที่เธอคลอดเยี่ยซิ่วอิงแล้ว จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าที่เธอทำแบบนั้นเพื่อเตรียมทุนรอหย่าจากเขาจริงๆ อย่างที่ลูกสาวพรั่งพรูออกมาเมื่อตอนหัวค่ำเยี่ยหลี่เฉียงสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ นั้นออกไป แล้วแทรกด้วยความคิดที่ว่า ผู้หญิงคนนั้นชอบเหลือเกินเวลาที่เขาหลับแล้วเธอจะเป็นฝ่ายปลุกเร้าอารมณ์แล้วร่วมรักกันโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัวอยู่บ่อยครั้ง ผู้หญิงแบบนี้นะหรือคือคนน่าสง
หลังจากมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอึดอัดใจนั้นจบลง เยี่ยหลี่เฉียงก็แยกมานั่งสอนความรู้ด้านภาษากับเฉินอี้หรูตามที่เธอขอเอาไว้‘พูดขนาดนั้นแล้วแต่ไม่ยอมกลับบ้านของตัวเองไป’ จางซูเจินรู้ว่าทั้งป้าทั้งหลานนั้นหน้าหนาเหลือทน แล้วเยี่ยหงยังชวนให้คุณนายเฉินไปเดินเล่นย่อยอาหารนอกบ้าน เพื่อปล่อยให้สองคนพูดคุยกันตามลำพังอีกเธอล้างถ้วยชามอยู่นอกบ้านโดยมีลูกสาวตัวน้อยมานั่งช่วยล้าง เด็กหญิงร้องเพลงที่เธอเคยสอนไปด้วยอย่างอารมณ์ดี มือน้อยๆ ประคองถ้วยข้าวล้างน้ำสะอาดแล้วคว่ำไว้อย่างระมัดระวัง“เสี่ยวอิงของแม่เก่งที่สุด” เธอมอบคำชมนั้นให้แก่ลูกสาวรอยยิ้มและแววตาที่อบอุ่นของมารดาทำให้เยี่ยซิ่วอิงรู้สึกดีมากขึ้นทุกๆ ครั้งที่ได้อยู่ใกล้“แม่เคยเล่าให้หนูฟังว่ายายใจดีและรักแม่มาก แม่เองก็ใจดีและรักหนูเหมือนยายใช่ไหมคะ”“แม่เคยเล่าเรื่องยายให้ลูกฟังด้วยเหรอ” จางซูเจินถามยิ้มๆ ในมือก็ทำงานไปด้วย“แม่ชอบร้องไห้บ่อยๆ ค่ะ ทุกครั้งที่ร้องไห้ก็จะเล่าเรื่องยายและเรื่องตาออกมา บางครั้งหนูก็ฟังจนหลับไป” คำพูดที่ไร้เดียงสานั้นทำให้จางซูเจินประหลาดใจผู้หญิงคนนั้นร้องไห้ระบายความในใจกับลูกสาวของตนอย่างนั้นหรือ
อาหารที่เฉินอี้หรูทำเสร็จทันเวลาที่เยี่ยหลี่เฉียงเลิกงานพอดี เขายิ้มทักทายให้เธอตามมารยาท ก่อนจะเดินเข้าห้องไปเพื่อเก็บกระเป๋าเอกสารเมื่อเข้าไปถึงห้องนอน ก็เห็นว่าจางซูเจินกำลังปลุกให้เยี่ยซิ่วอิงตื่น“เสี่ยวอิงคนดีของแม่ ตื่นได้แล้ว ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ลูกจะขี้เซาเกินไปแล้วนะ” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนแสดงความรักใคร่ปลายจมูกมนคลอเคลียที่แก้มปลุกให้เด็กหญิงตื่นขึ้นมา แต่เยี่ยหลี่เฉียงเข้าใจว่าเธอเสแสร้งเพราะรู้ว่าตนเดินเข้ามาในห้อง จึงแสดงความรักต่อลูกให้เขาเห็น‘คิดว่าผมไม่รู้ทันแม่ดอกบัวขาวอย่างคุณหรือ’เมื่อลูกสาวตื่นแล้ว จางซูเจินก็อุ้มเด็กขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มทักทายสามีเพื่อเอาใจอีกฝ่าย ไหนๆก็สัญญาเอาไว้แล้วว่าเธอจะเป็นคนที่ดีกว่าเดิม แม้จะไม่อยากทักแต่ก็ต้องทักทาย เพราะต้องเจอกันไปอีกนาน“กลับมาแล้วเหรอคะ เอางานกลับมาทำที่บ้านอีกแล้วสินะ” เธอชำเลืองมองกระเป๋าเอกสารที่เขานำมาวางที่โต๊ะทำงานพลางยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “แม่ขาหนูปวดฉี่” เยี่ยซิ่วอิงบอกมารดาจางซูเจินจึงแล้วพาเด็กหญิงไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะพามานั่งร่วมโต๊ะอาหารค่ำพร้อมหน้ากับทุกคน“ดีนะเสร็จทันเวลาพอดี สงสารอี้หรูมากที่ต้องทำอ
บรรยากาศในสวนสาธารณะทำให้จางซูเจินไม่อยากกลับไปที่บ้านสกุลเยี่ยเลยแม้แต่นิด แม้พยายามมองข้ามคำพูดถากถางจากเยี่ยหงแล้ว แต่การได้ยินคำพูดแง่ลบผ่านหูก็อดรู้สึกอึดอัดใจไม่ได้บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้จางซูเจินคนนั้นไม่อยากอยู่บ้าน เพราะหากอยู่แล้วไม่สบายใจเป็นตนก็ไม่อยากอยู่เหมือนกันทั้งสองนั่งเล่นอยู่ที่สวนนั้นสักพัก เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงกำลังง่วงเพราะคงได้เวลานอนกลางวันตามประสาเด็ก เธอก็แบกลูกสาวขึ้นขี่หลังเดินกลับไปที่บ้านจางซูเจินตั้งใจว่าจะพาเยี่ยซิ่วอิงเข้านอนแล้วก็จะเตรียมตัวหุงข้าวเอาไว้ต้อนรับแขกในตอนเย็นแต่พอกลับไปถึงก็พบว่าแม่สามีจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว และมีสีหน้าที่บึ้งตึงราวกับจะตำหนิว่าเธอมัวแต่เที่ยวเดินเตร็ดเตร่ ใช้การพาลูกเดินเที่ยวเป็นข้ออ้างไม่มาช่วยหุงข้าวทั้งๆ ที่รับปากเอาไว้แล้วเธอจึงพาเยี่ยซิ่วอิงเข้าไปนอนในห้อง แล้วกลับออกมาเพื่อที่จะช่วยงานอย่างอื่น“มีอะไรให้ฉันช่วยอีกไหมคะ”“ไม่ต้องหรอก เชิญเธอไปแต่งหน้าแต่งตัวสวยๆ อย่างที่ชอบทำเป็นประจำเถอะ” ประโยคเหน็บแนมด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ กับสายตาที่มองด้วยความรังเกียจ ทำให้ซูเจินต้องสงบปากสงบคำเอาไว้สักพักก็มีเ
การทำงานบ้านนั้นไม่ใช่งานที่หนักหนาอะไรมากนัก จางซูเจินปัดกวาดเช็ดถูบ้านโดยมีลูกมืออย่างเยี่ยซิ่วอิงช่วยแม่ทำงานบ้านอย่างตั้งใจเยี่ยหงมองความตั้งใจนั้น รู้สึกชื่นชมที่อีกฝ่ายสอนงานบ้านหลานสาวของตนด้วยความใจเย็น แต่ก็ไม่ได้วางใจลูกสะใภ้มากนัก“ตอนเย็นบ้านเราจะมีแขกมากินมื้อค่ำด้วย” น้ำเสียงนั้นราบเรียบ ราวกับว่าพูดลอยๆ กับสายลมจางซูเจินหันไปมองแม่สามีที่เดินเข้ามาบอกตนแล้วยิ้มรับ “แม่จะให้ฉันหุงข้าวเพิ่ม หรือช่วยเป็นลูกมือทำอาหารหรือคะ ฉันยินดีช่วยเต็มที่”ความกระตือรือร้นของลูกสะใภ้ทำให้เธอหมั่นไส้ คนดีที่ไหนจะเอาตัวเข้าหาผู้ชายด้วยวิธีสกปรก“แค่หุงข้าวเพิ่มเท่านั้น ปกติอี้หรูจะมาทำกับข้าวที่นี่ เธอชอบทำอาหาร อาหลี่เองก็ติดใจฝีมือเธอมากเลยล่ะ” รอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ของแม่สามียามที่พูดถึงแขกคนสำคัญ ทำให้จางซูเจินรับรู้ได้ว่าคนคนนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่“อี้หรูเหรอคะ” เธอพูดทวนชื่อเสียงเบาเยี่ยหงคิดไว้อยู่แล้วว่าหากรู้ว่าเฉินอี้หรูมาหาที่บ้าน จางซูเจินจะต้องเก็บอาการไม่อยู่แล้วเปิดเผยตัวตนออกมาแน่“ใช่ อี้หรูจะมาเยี่ยมคุณนายเฉินผู้เป็นป้า ทุกครั้งที่มาบ้านเราก็เชิญเธอมากินข้าวอยู่เป็นประจำ