ในตอนเย็นเธอพยายามจะเข้าไปช่วยแม่สามีในครัว แต่ก็ถูกไล่ตะเพิดออกมาจึงมานั่งดูรายการโทรทัศน์อยู่ที่ห้องนั่งเล่นเยี่ยหลี่เฉียงกลับมาเห็นว่าภรรยานั่งเล่นอยู่อย่างสุขสบาย ในขณะที่มารดาของเขากำลังอยู่ในครัว เขาก็ยิ่งรู้สึกชิงชังภรรยาของตนเป็นอย่างมากในสายตาเขา เธอเป็นผู้หญิงที่เกียจคร้านไม่ทำอะไร ใช้แผนสกปรกเข้าหาผู้ชาย สองเดือนที่ผ่านมาเขาให้โอกาสเธอได้เปลี่ยนแปลงตัวเองแต่ก็ยังคงเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาว ปล่อยให้แม่ของเขาทำงานบ้านแบบนี้แล้วจะให้เขาเปิดใจยอมรับเธอ แล้วรักเธอลงได้อย่างไร“กลับมาแล้วเหรอคะ”เมื่อรู้ว่าสามีมาถึงแล้ว จางซูเจินก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาเขา“วันนี้คุณกลับค่ำกว่าปกติ งั้นกินข้าวก่อนค่อยอาบน้ำดีหรือไม่” เธอถามสามีด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็ยังคงเป็นสายตาที่เย็นชาของเขาเธอจึงเดินเข้าไปช่วยแม่สามียกอาหารออกมา พร้อมกับเตรียมถ้วยข้าวเพื่อที่จะตักข้าวให้แก่ทุกคนจากนั้นกลิ่นของอาหารก็ทำให้เธอรู้สึกคลื่นเหียน หญิงสาววิ่งออกไปที่หลังบ้านแล้วโก่งคออาเจียนกับกลิ่นที่เหม็นหืนนั้น“เป็นอะไรไปอีกล่ะ วันๆ เอาแต่เรียกร้องความสนใจ” เยี่ยหงพูดขึ้นมา ไม่ได้ส
นับวันจางซูเจินก็ยิ่งไม่มีความสุขที่อยู่ในบ้านสกุลเยี่ย เธอต้องแบกรับความกดดันทั้งจากเยี่ยหงและสามีของตนเองแม่สามีที่ร้ายกาจทั้งการกระทำและคำพูด จ้องจะกำจัดเธอออกไปจากลูกชายสามีที่เย็นชาและไม่เคยปกป้องตนเลยสักครั้ง เย็นชา ไร้ความรู้สึก ตลอดห้าปีที่แต่งงานกับเขาเธอไม่เคยมีความสุขเลยสักวัน“วันนี้แม่จะออกไปข้างนอก ลูกอยู่กับย่านะ” เธอบอกลูกสาวแล้วหยิบเงินในลิ้นชักที่สามีซ่อนไว้ออกมาจำนวนหนึ่ง“แม่คะ...” เยี่ยซิ่วอิงอยากห้าม แต่ก็กลัวว่ามารดาจะต่อว่าจึงไม่ได้พูดอะไร“เด็กดี อย่าบอกพ่อกับย่านะว่าแม่เอาเงินไป หากวันนี้โชคดีแม่จะซื้อลูกกวาดและเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้” น้ำเสียงนั้นพูดแล้วลูบศีรษะของเด็กหญิงวัยสี่ขวบอย่างรักใคร่เมื่อคืนนี้เธอฝันแปลกๆ แต่ไม่ใช่ฝันร้ายแต่อย่างใด ฝันว่ามีตัวเองอีกคนในกระจกในชุดที่สวยงาม วันนี้จึงเลือกชุดที่คล้ายกับในความฝันแล้วแต่งหน้าเพื่อให้แม่สามีเข้าใจว่าเธอมีธุระ“นั่นจะไปไหน” เยี่ยหงถามอย่างรู้ทัน“ฉันนัดเพื่อนเอาไว้ค่ะ” เธอโกหกแล้วหลบสายตาของหญิงวัยห้าสิบ รีบเดินออกจากประตูบ้านแล้วจูงจักรยานออกไปวันนี้มั่นใจว่าอย่างไรก็ต้องได้ไม่มากก็น้อย แล้วปั่นจักรยานไ
ความฝันประหลาดได้เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อคืนนี้ จางซูเจินรู้ได้ทันที และไปที่ตรอกนั้นเพื่อที่จะขอร้องให้จางซูเจินคนนั้นให้เธอได้อยู่ต่อที่นี่เธอเดินทางไปยังตอกที่คับแคบนั้นด้วยชุดเดิมที่เหมือนในความฝัน จากนั้นเมื่อถึงเวลาประตูก็ค่อยๆ ปรากฏแก่สายตามือเรียวค่อยๆ ยื่นออกไปเพื่อที่จะเปิดประตู แต่ว่าจางซูเจินอีกคนเปิดประตูออกมาก่อน แล้วทั้งสองก็มองหน้ากันราวกับว่าทุกอย่างมันเป็นเพียงแค่ฝัน“ซูเจิน” ทั้งสองเรียกชื่อของกันและกัน แล้วจางซูเจินที่ยืนในฝั่งปัจจุบันได้เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน“ซูเจิน ฉันไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกแล้ว ให้ฉันอยู่ที่นี้ในฐานะของเธอได้หรือไม่” เธอกล่าวด้วยนำเสียงที่สั่นเครือ ไม่อยากสูญเสียเยี่ยหลี่เฉียงที่รักตัวเองไปเลยสักนิด และที่สำคัญไม่อยากกลับไปที่สกุลเยี่ยอีกแล้ว“ฉันมาที่นี่ก็เพื่อที่จะบอกเธอ ว่าฉันก็ไม่อยากกลับไป ฉันอยากอยู่ที่นี่ต่อในฐานะของเธอเช่นเดียวกัน” จางซูเจินอีกคนพูดด้วยน้ำเสียงที่ยินดี เมื่ออีกฝ่ายมีความคิดที่ตรงกันต่างคนต่างโล่งใจที่อีกฝ่ายไม่ได้อยากกลับไปยังที่ของตน“ฉันไม่มีอะไรต้องห่วง แม่สามีกดขี่ข่มเหงฉันเหลือเกิน หลี่เฉียงก็เย็นชาและใจร้าย มีเพีย
“หยุดนะ ไอ้โจรชั่ว!” เสียงตะโกนของหญิงสาวที่กำลังวิ่งตามโจรวิ่งราว ทำให้วัยรุ่นชายที่ปิดหน้าปิดตานั้นเร่งเท้าให้ไวขึ้นจางซูเจินในชุดกี่เพ้าสีชมพูลายดอกโบตั๋นที่สวมไปงานเลี้ยง เธอวิ่งตามคนร้ายไปจนถึงตรอกคับแคบ เห็นแผ่นหลังนั้นเลี้ยวเข้าไปในประตูไม้ผุพังที่อยู่สุดทางเดินก็วิ่งตามเข้าไปในจังหวะนั้นเธอกำลังจะเดินเข้าไปก็ชนเข้ากับผู้หญิงอีกคนที่วิ่งสวนออกมา ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง ใบหน้าและชุดที่ทั้งคู่สวมใส่นั้นเหมือนกันราวกับฝาแฝดต่างคนต่างจ้องมองกันด้วยความตกใจ แล้วหญิงสาวคนนั้นก็ได้สติก่อนจึงรีบวิ่งไปอีกทางด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนก จางซูเจินเองก็ทำอะไรไม่ถูก เธอตัดสินใจที่จะตามโจรวิ่งราวต่อตรงหน้าเป็นประตูไม้ที่เปิดอ้าอยู่ เห็นแสงสว่างส่องออกมาจนแสบตา เธอคิดว่าเป็นทางออกทะลุไปอีกด้านจึงรีบวิ่งเข้าประตูไปเพื่อตามคนร้ายพอพ้นออกมาแสงสว่างที่เจิดจ้าพลันหายไป เธอขยี้ตามองอีกครั้ง ‘หรือว่าตาฝาดกันนะ’ หญิงสาวสะบัดหัวทิ้งความคิดเหลวไหล พลางรีบวิ่งตามคนร้ายต่อจนไปถึงถนนที่มีร้านค้าก็ไม่เห็นเขาแล้ว“หายไปไหนแล้วนะ เจ็บใจนัก” จางซูเจินพูดด้วยความเจ็บใจ เงินในกระเป๋ามีไม่เท่าไรแต่บัตร
จางซูเจินพาเยี่ยซิ่วอิงตัวน้อยเดินลงจากรถอย่างระมัดระวัง แล้วตรงไปยังตลาดข้างหน้าที่มีการร้านค้าเรียงรายร้านขายข้าวสารมีคนเข้าแถวอยู่จำนวนหนึ่ง เธอจึงตัดสินใจที่จะไปยืนต่อแถวซื้อข้าวสารที่ร้านนั้นก่อน พลางสังเกตว่าเด็กหญิงมองไปยังร้านขายขนมหวานด้วยสายตาที่เป็นประกาย“เสี่ยวอิง อยากกินเหรอ” เธอถามเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนนุ่ม“ไม่อยากกินค่ะ” เด็กหญิงตอบเสียงเบา รู้ว่าวันนี้มารดาใจดี แต่จะมีเงินซื้อให้เธอหรือไม่ และที่ใจดีก็อาจจะเป็นเพราะว่ามีบิดาอยู่ด้วยเลยไม่แสดงอาการหงุดหงิดโวยวายออกมาหรือเปล่า เด็กน้อยอดคิดไม่ได้เมื่อถึงลำดับของเธอ หญิงสาวก็ใช้คูปองในการซื้อข้าวสารจากนั้น แบกมันด้วยความหนักอึ้ง อีกมือก็จูงมือเด็กหญิงเดินไปที่ร้านขายขนมหวานตรงหน้าเด็กน้อยมองมารดาของตนเลือกลูกกวาดหลากสีใส่ตะกร้า แล้วยื่นให้กับเถ้าแก่ร้านขายขนมพร้อมกับจ่ายเงินที่ถือมาซึ่งปกติแล้วหากได้เงินมาจ่ายตลาด มารดาของเธอต้องเลือกซื้อเครื่องสำอางและข้าวของให้ตัวเองเป็นอันดับแรก หากเงินเหลือแล้วจึงจะมาซื้อของให้แก่เธอ“เสร็จแล้ว เราไปซื้อเนื้อหมูกับไข่ไก่กันเถอะ” จางซูเจินพูดด้วยรอยยิ้มแล้วเดินไปที่แผงขายเนื
ในขณะที่เยี่ยซิ่วอิงนอนกลางวันอยู่ จางซูเจินที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรก็เดินออกไปที่โถงบ้านเธอมองหาสามีแต่ก็ไม่เจอ มีเพียงแม่สามีที่กำลังทำความสะอาดบ้านอยู่“ให้ฉันช่วยอะไรไหมคะ”“ไม่ต้อง” น้ำเสียงที่เย็นชาแผ่ความกดดันมายังเธอจนหญิงสาวรู้สึกอึดอัด“อาหลี่กลับมากินข้าวกลางวันที่บ้าน พอรู้ว่าเธอแอบไปเล่นพนันก็เลยรีบตามออกไป ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักนิดก็ต้องออกไปทำงานต่อแล้ว เธอมันเป็นภรรยาที่แย่มาก” แม่สามีต่อว่าออกมาตรงๆ อย่างเปิดเผย เอือมระอากับลูกสะใภ้คนนี้เต็มแก่“ถ้าไม่มีอะไรให้ช่วย งั้นฉันออกไปเดินเล่นข้างนอกนะคะ” เธอบอกเป็นทำนองขออนุญาต เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ว่าอะไรจึงเดินออกไปนอกบ้านเยี่ยหงเอามือเท้าเอวมองลูกสะใภ้ด้วยสายตาที่เกลียดชัง อยากให้ถูกทางการจับไปเสียให้พ้นจะได้ไม่เป็นเสนียดของบ้านนี้‘อุตส่าห์แอบแจ้งตำรวจไปแล้ว ยังรอดมาได้ คอยดูเถอะครั้งหน้าเธอต้องติดคุกแน่ คราวนี้อาหลี่ก็ทำเรื่องขอหย่าได้โดยไม่ต้องรู้สึกติดค้างในใจแล้ว’จางซูเจินยืนอยู่ประตูหน้าบ้าน สายตาช่างสงสัยนั้นสำรวจไปรอบๆ บริเวณภายนอกของบ้านก่อนเป็นอันดับแรกพื้นที่ของบริเวณหน้าบ้านค่อนข้างคับแคบ เฉพาะตัวบ้าน
ในห้องน้ำ สองแม่ลูกผลัดกันถูหลังให้แก่กัน แล้วร้องเพลงไปด้วยอย่างมีความสุขเป็นครั้งแรกที่เยี่ยซิ่วอิงอาบน้ำอย่างมีความสุขมากขนาดนี้ ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าวันที่เธอรอคอยได้มาถึงแล้ว“แม่คะ หนูมีความสุขมากเลย”“แม่ก็มีความสุข” จางซูเจินยอมรับในสถานะแม่ของตน จากนั้นก็สอนลูกสาวร้องเพลงเด็กอนุบาลในยุคของตน แล้วหัวเราะกันอย่างสนุกสนานเยี่ยหงที่ยื่นหูฟังก็รู้สึกหมั่นไส้ จางซูเจินเป็นอย่างนี้เสมอ พอทำให้ลูกสาวร้องไห้ก็มักจะแสดงความรักออกมาเพื่อไม่ให้เด็กเอาความไปฟ้องบิดาจางซูเจินสังเกตว่าผมหน้าม้าของเด็กหญิงเริ่มยาวปิดตาแล้ว เธอเอากรรไกรมาเล็มผมหน้าม้าให้แล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจในฝีมือของตนจะว่าไปแล้วเธอก็ตอนสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย เธอก็เคยทำงานพิเศษเป็นลูกมือในร้านเสริมสวยพอจะมีประสบการณ์อยู่บ้างทำอาหารไม่ได้ ปลูกผักไม่เป็น อนาคตอาจถูกสามีขอหย่า ถ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้เธอก็จะไปรับจ้างในร้านเสริมสวยก็น่าจะดี‘ถ้าหย่าแล้วเสี่ยวอิงล่ะ’ จางซูเจินนึกถึงเด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้า พลันสลัดความคิดนั้นออกไปจากหัวเมื่อดวงตากลมโตมองมาด้วยแววตาที่รักและเทิดทูน“เราไปแต่งตัวกันเถอะ” เธอบอกเด็กหญิงแล้วพากลับไปแ
เมื่อมื้ออาหารค่ำจบลง จางซูเจินก็อาสาเป็นคนล้างจาน ต่างจากทุกครั้งที่มักจะเกี่ยงงานและอุ้มลูกหนีเข้าห้องไปก่อนหญิงสาวเก็บถ้วยชามไปยังลานซักล้างด้านหลังที่ติดกับห้องน้ำที่อยู่ด้านนอก ลงมือทำความสะอาดภาชนะเหล่านั้นเสร็จแล้ว ก็เดินกลับเข้ามาสำรวจภายในบ้านเธอพบว่านอกจากห้องครัวอยู่ด้านหลังและห้องอเนกประสงค์ที่ใช้ทั้งเป็นห้องนั่งเล่นและเป็นห้องกินข้าวแล้ว ก็ยังมีห้องนอนใหญ่หนึ่งห้อง ตรงข้ามมีห้องเก็บของขนาดเล็กและห้องนอนของแม่สามีเธอเปิดเข้าไปดูห้องเก็บของเล็กๆ นั้นแล้วมีความคิดว่าอยากแยกห้องนอนกับสามี แต่คิดดูดีๆ แล้วเยี่ยซิ่วอิงติดตนเองมาก หากตนย้ายมานอนห้องเล็กอีกฝ่ายต้องย้ายมานอนด้วยแน่ห้องนั้นน่าจะเตรียมไว้สำหรับเยี่ยซิ่วอิง ในวัยนี้ต้องหัดให้เด็กรู้จักการนอนคนเดียวได้แล้ว แต่ว่าเสี่ยวอิงยังนอนอยู่ที่ห้องของพ่อแม่ มันจะต้องมีเหตุผลแน่และหนึ่งในเหตุผลนั้นก็คือเอาไว้เป็นตัวขัดขวางความสุขของพ่อแม่‘เท่าที่ฟังดู เอาไว้ขัดขวางความสุขของแม่ฝ่ายเดียวมากกว่า หลี่เฉียงดูไม่น่าพิศวาสเมียตัวเองเสียเท่าไรนัก’ เธอเดาเหตุผลนั้นด้วยตัวเอง จากนั้นก็เดินเข้าห้องนอนไปเยี่ยหลี่เฉียงอยู่ในชุดพร้อมจ
ความฝันประหลาดได้เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อคืนนี้ จางซูเจินรู้ได้ทันที และไปที่ตรอกนั้นเพื่อที่จะขอร้องให้จางซูเจินคนนั้นให้เธอได้อยู่ต่อที่นี่เธอเดินทางไปยังตอกที่คับแคบนั้นด้วยชุดเดิมที่เหมือนในความฝัน จากนั้นเมื่อถึงเวลาประตูก็ค่อยๆ ปรากฏแก่สายตามือเรียวค่อยๆ ยื่นออกไปเพื่อที่จะเปิดประตู แต่ว่าจางซูเจินอีกคนเปิดประตูออกมาก่อน แล้วทั้งสองก็มองหน้ากันราวกับว่าทุกอย่างมันเป็นเพียงแค่ฝัน“ซูเจิน” ทั้งสองเรียกชื่อของกันและกัน แล้วจางซูเจินที่ยืนในฝั่งปัจจุบันได้เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน“ซูเจิน ฉันไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกแล้ว ให้ฉันอยู่ที่นี้ในฐานะของเธอได้หรือไม่” เธอกล่าวด้วยนำเสียงที่สั่นเครือ ไม่อยากสูญเสียเยี่ยหลี่เฉียงที่รักตัวเองไปเลยสักนิด และที่สำคัญไม่อยากกลับไปที่สกุลเยี่ยอีกแล้ว“ฉันมาที่นี่ก็เพื่อที่จะบอกเธอ ว่าฉันก็ไม่อยากกลับไป ฉันอยากอยู่ที่นี่ต่อในฐานะของเธอเช่นเดียวกัน” จางซูเจินอีกคนพูดด้วยน้ำเสียงที่ยินดี เมื่ออีกฝ่ายมีความคิดที่ตรงกันต่างคนต่างโล่งใจที่อีกฝ่ายไม่ได้อยากกลับไปยังที่ของตน“ฉันไม่มีอะไรต้องห่วง แม่สามีกดขี่ข่มเหงฉันเหลือเกิน หลี่เฉียงก็เย็นชาและใจร้าย มีเพีย
นับวันจางซูเจินก็ยิ่งไม่มีความสุขที่อยู่ในบ้านสกุลเยี่ย เธอต้องแบกรับความกดดันทั้งจากเยี่ยหงและสามีของตนเองแม่สามีที่ร้ายกาจทั้งการกระทำและคำพูด จ้องจะกำจัดเธอออกไปจากลูกชายสามีที่เย็นชาและไม่เคยปกป้องตนเลยสักครั้ง เย็นชา ไร้ความรู้สึก ตลอดห้าปีที่แต่งงานกับเขาเธอไม่เคยมีความสุขเลยสักวัน“วันนี้แม่จะออกไปข้างนอก ลูกอยู่กับย่านะ” เธอบอกลูกสาวแล้วหยิบเงินในลิ้นชักที่สามีซ่อนไว้ออกมาจำนวนหนึ่ง“แม่คะ...” เยี่ยซิ่วอิงอยากห้าม แต่ก็กลัวว่ามารดาจะต่อว่าจึงไม่ได้พูดอะไร“เด็กดี อย่าบอกพ่อกับย่านะว่าแม่เอาเงินไป หากวันนี้โชคดีแม่จะซื้อลูกกวาดและเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้” น้ำเสียงนั้นพูดแล้วลูบศีรษะของเด็กหญิงวัยสี่ขวบอย่างรักใคร่เมื่อคืนนี้เธอฝันแปลกๆ แต่ไม่ใช่ฝันร้ายแต่อย่างใด ฝันว่ามีตัวเองอีกคนในกระจกในชุดที่สวยงาม วันนี้จึงเลือกชุดที่คล้ายกับในความฝันแล้วแต่งหน้าเพื่อให้แม่สามีเข้าใจว่าเธอมีธุระ“นั่นจะไปไหน” เยี่ยหงถามอย่างรู้ทัน“ฉันนัดเพื่อนเอาไว้ค่ะ” เธอโกหกแล้วหลบสายตาของหญิงวัยห้าสิบ รีบเดินออกจากประตูบ้านแล้วจูงจักรยานออกไปวันนี้มั่นใจว่าอย่างไรก็ต้องได้ไม่มากก็น้อย แล้วปั่นจักรยานไ
ในตอนเย็นเธอพยายามจะเข้าไปช่วยแม่สามีในครัว แต่ก็ถูกไล่ตะเพิดออกมาจึงมานั่งดูรายการโทรทัศน์อยู่ที่ห้องนั่งเล่นเยี่ยหลี่เฉียงกลับมาเห็นว่าภรรยานั่งเล่นอยู่อย่างสุขสบาย ในขณะที่มารดาของเขากำลังอยู่ในครัว เขาก็ยิ่งรู้สึกชิงชังภรรยาของตนเป็นอย่างมากในสายตาเขา เธอเป็นผู้หญิงที่เกียจคร้านไม่ทำอะไร ใช้แผนสกปรกเข้าหาผู้ชาย สองเดือนที่ผ่านมาเขาให้โอกาสเธอได้เปลี่ยนแปลงตัวเองแต่ก็ยังคงเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาว ปล่อยให้แม่ของเขาทำงานบ้านแบบนี้แล้วจะให้เขาเปิดใจยอมรับเธอ แล้วรักเธอลงได้อย่างไร“กลับมาแล้วเหรอคะ”เมื่อรู้ว่าสามีมาถึงแล้ว จางซูเจินก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาเขา“วันนี้คุณกลับค่ำกว่าปกติ งั้นกินข้าวก่อนค่อยอาบน้ำดีหรือไม่” เธอถามสามีด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็ยังคงเป็นสายตาที่เย็นชาของเขาเธอจึงเดินเข้าไปช่วยแม่สามียกอาหารออกมา พร้อมกับเตรียมถ้วยข้าวเพื่อที่จะตักข้าวให้แก่ทุกคนจากนั้นกลิ่นของอาหารก็ทำให้เธอรู้สึกคลื่นเหียน หญิงสาววิ่งออกไปที่หลังบ้านแล้วโก่งคออาเจียนกับกลิ่นที่เหม็นหืนนั้น“เป็นอะไรไปอีกล่ะ วันๆ เอาแต่เรียกร้องความสนใจ” เยี่ยหงพูดขึ้นมา ไม่ได้ส
“เมื่อคืนคุณขืนใจฉัน คุณต้องรับผิดชอบ” เมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็ได้ยินประโยคแรกจากปากของเธอร่องรอยหย่อมเลือดที่อยู่บนเตียงนั้นเป็นหลักฐานได้กว่าเขาได้ล่วงล้ำเธอไปแล้ว“แต่เท่าที่จำได้ คุณเป็นฝ่ายขึ้นมาอยู่บนตัวผม” น้ำเสียงของเขาราบเรียบ และเต็มไปด้วยความรู้สึกโกรธเคืองผู้หญิงตรงหน้าเป็นอย่างมาก“คุณทำอย่างนั้นไปแล้ว หากไม่รับผิดชอบฉันจะต้องเข้าแจ้งความที่โรงพัก” เธอขู่เขา ทำให้เยี่ยหลี่เฉียงยิ่งรู้สึกรังเกียจเป็นอย่างมากเกิดเรื่องเช่นนี้เขาจะต้องถูกไล่ออกจากงานและหมดอนาคตเลยทีเดียวหลังจากพูดคุยกันแล้ว เขาพาเธอกลับไปส่งที่บ้านสกุลจาง ไป่ลิ่วเมื่อรู้ว่าลูกเลี้ยงหายไปกับผู้ชายทั้งคืนก็ถึงกับโกรธจนตัวสั่นแล้วบอกให้เยี่ยหลี่เฉียงรีบมาสู่ขอหลังจากนั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ งานแต่งงานเล็กๆ ก็ถูกจัดขึ้นที่บ้านสกุลจาง สินสอดก็ไม่ได้มากมายอย่างที่ไป่ลิ่วขอเอาไว้ตนไม่สามารถขายเธอให้กับเศรษฐีแก่ที่นัดหมายเอาไว้ก่อนหน้านี้ได้แล้ว จึงจำใจรับสินสอดเล็กน้อยเท่านั้นเยี่ยหงมองลูกสะใภ้ของตนด้วยความเกลียดชัง ยิ่งรู้ว่าการแต่งงานนี้เกิดขึ้นเพราะสาเหตุใดก็ยิ่งรังเกียจและต่อต้านอยู่ในใจ แต่หาทำอะไรได้ไม่หากไม่
คุณหนูสกุลจางที่เคยมีบิดากางปีกปกป้อง เมื่อสิ้นบิดาไปแล้วจางซูเจินกลายเป็นคุณหนูตกอับที่ถูกแม่เลี้ยงยักยอกทรัพย์สมบัติทุกอย่างไปเป็นของตน แล้วให้เธออยู่ที่บ้านคอยรับใช้เยี่ยงทาสหญิงสาวไม่เคยเข้าครัวมาก่อนก็ต้องเข้าไปฝึกฝน แต่ด้วยความไม่ชำนาญจึงไม่ได้ทำอาหารให้รสชาติออกมาดี จนถูกแม่เลี้ยงต่อว่าและถูกตีอยู่เสมอไป่ลิ่วในวัยสี่สิบยังสวยสะพรั่ง เธอเป็นแม่เลี้ยงที่ไร้ความเมตตาต่อจางซูเจิน เพราะตอนที่สามียังมีชีวิตอยู่ให้ท้ายลูกเลี้ยงคนนี้มากจึงไม่กล้าแตะต้องแต่เมื่อสามีตายไป ความแค้นที่ถูกสามีละเลยจึงนำมาลงที่จางซูเจิน จนหญิงสาวแทบทนไม่ไหวแต่ก็ต้องอยู่ที่สกุลจางต่อไป เพราะที่นี่เป็นบ้านของเธอในช่วงสามเดือนแรกหลังจากที่บิดาของเธอจากไป ไป่ลิ่วครอบครองทรัพย์สมบัติทั้งหมดและใช้เงินเป็นว่าเล่น ซื้อข้าวของเครื่องประดับไม่เว้นแต่ละวันจนในที่สุดเงินที่มีก็เริ่มร่อยหรอลง จึงหันไป ลงทุนปล่อยเงินกู้ร่วมกับผู้ชายที่เข้ามาติดพันหวังจะเป็นคนร่ำรวย สุดท้ายก็ถูกโกงผู้ชายคนนั้นเอาเงินหนีไปอย่างไร้ร่องรอย ไป่ลิ่ว จึงต้องขายของมีค่าเหล่านั้นที่ตนซื้อมาด้วยความจำใจ ระบายอารมณ์ด้วยการด่าทอและทุบตีจางซูเจิ
“เธอรู้เรื่องหลานคุณนายเฉินหรือยัง เฉินอี้หรูคนนั้น” หยางซินและซ่งเหลียนแวะมานั่งคุยที่ร้านเสริมสวยของจางซูเจิน แล้วนำข่าวลือมาเล่าให้ฟัง“ไม่เลย ตั้งแต่วันที่เจอกันตอนให้ปากคำที่โรงพักครั้งก่อน เห็นว่าแตกหักกับคุณนายเฉินและตัดสัมพันธ์กันไปแล้ว จากนั้นก็ไม่เห็นเธออีกเลย”จางซูเจินไม่ได้เล่าว่าตนได้ยินเรื่องที่อีกฝ่ายไปยั่วยวนนายลิ่วที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน“เฉินอี้หรูถูกนักเลงแถวนั้นตบตี ใครๆ ต่างก็บอกว่าเป็นฝีมือสะใภ้ลิ่ว สาเหตุเพราะเธอไปยุ่งเกี่ยวกับลิ่วเซียงเลยถูกภรรยาของเขาจ้างนักเลงไปตบตี แต่ก็ไม่มีพยานและหลักฐาน” ซ่งเหลียนเล่าเรื่องที่ตนได้ยินมา“พอทำอะไรไม่ได้ เฉินอี้หรูจึงคับแค้นใจ แล้วดักทำร้ายสะใภ้ลิ่วเพื่อแก้แค้น แต่โชคร้ายที่มีคนมาเห็นและช่วยเหลือเอาไว้ เธอจึงพลาดท่าแล้ว...แท้งลูก” หยางซินกระซิบเสียงเบาในประโยคท้าย“แท้งลูกอย่างนั้นหรือ” จางซูเจินตกใจ เพราะก่อนหน้านี้เฉินอี้หรูพยายามยั่วยวนสามีของตนแต่ก็ไม่ได้ผล พอเกิดเรื่องกับเฉินเหม่ยก็เปลี่ยนเป้าหมายไปหาลิ่วเซียง เรื่องเพิ่งเกิดไม่ถึงเดือนจะท้องแล้วแท้งอะไรรวดเร็วเช่นนั้น“พ่อแม่ของเฉินอี้หรูเค้นถามบุตรสาวของตน จนรู้ว่าจ
จางซูเจินนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง เหงื่อผุดบนหน้าผากทั้งๆ ที่อากาศก็ค่อนข้างเย็น เยี่ยหลี่เฉียงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของภรรยา เขาลุกขึ้นดูเธอที่กำลังฝันร้ายแล้วขยับเข้าไปดึงเธอมากอดไว้แนบอก“ผมอยู่นี่แล้วเจินเจิน ไม่ว่าคุณจะฝันร้ายอย่างไร ผมก็จะปกป้องคุณเอง” เขากระซิบเสียงเบา ก่อนจะหลับไปเมื่ออีกฝ่ายสงบลงไปแล้วภรรยาสาวลืมตาขึ้นมาในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนั้น ความฝันเมื่อครู่เป็นความฝันที่เธอเคยฝันถึงมาก่อนหน้านี้ในฝันเธอกำลังเดินท่ามกลางม่านหมอกที่หนาตา แล้วเห็นแสงสว่างจึงเดินตามไปจนถึงที่นั่น พบกระจกบานใหญ่ที่ส่องมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเอง แต่การเคลื่อนไหวของเงาสะท้อนนั้นกลับไม่ใช่เธอ เหมือนมีจางซูเจินอีกคนในกระจกเงาและที่สำคัญ มันเป็นความฝันในคืนก่อนหน้าที่จะเข้าประตูมิติมายังที่นี่!‘หรือว่าประตูมิติจะเปิดอีกครั้ง’ เธอนึกสงสัยแต่ข้อความที่บอกว่าเธอไม่สามารถหวนคืนไปได้อีกนั้นก็ชัดเจนอยู่ว่ากลับไปไม่ได้อีกแล้วหญิงสาวทนความสงสัยเอาไว้ไม่ได้อย่างไรเธอต้องพิสูจน์ให้รู้เรื่องในตอนสายเธอเปลี่ยนไปใส่ชุดเดิมที่เคยใส่ในวันนั้นและแต่งหน้าอย่างสวยงาม เพราะคิดว่าชุดนี้อาจมีส่วน และหากประตู
หลังจากหายดีแล้ว ร้านเสริมสวยประจำหมู่บ้านก็เปิดให้บริการตามปกติ เยี่ยหงรับหน้าที่ดูแลหลานสาวอย่างใกล้ชิด และทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ เพราะลูกสะใภ้แย่งเธอทำงานตั้งแต่เช้าหยางซินและซ่งเหลียนเห็นว่าจางซูเจินมีความสุขขึ้นและเรื่องเลวร้ายได้ผ่านไปแล้ว พวกเธอจึงไม่ได้มาบ่อยอย่างแต่ก่อน แต่ก็ยังแวะเวียนมาใช้บริการและมานั่งพูดคุยด้วยบ้าง“เธอไปเรียนเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ตัดผม ดัดผม แล้วก็แต่งหน้า เรื่องพวกนี้ต้องใช้ทักษะมากเลยนะ” เยี่ยหงถามด้วยความใคร่รู้“ฉันกำพร้าค่ะ เลยต้องหางานทำเพื่อเลี้ยงตัวเอง ไม่ได้เรียนมาแต่ว่าเจ้าของร้านสอนให้”เยี่ยหงเข้าใจว่าเป็นเพราะนายจางเสียไปแล้วแม่เลี้ยงก็คงยึดสมบัติครอบครองผู้เดียว แล้วยังจะขายเธอให้เศรษฐีพ่อหม้ายอีก จางซูเจินถึงได้ลำบากเพราะอยู่ในบ้านที่แม่เลี้ยงข่มเหง และเพราะความลำบากนั้นเองจึงต้องวางแผนเข้าหาลูกชายของตน“จริงสิ ฉันไปเห็นที่บ้านคุณนายโจวตอนที่ไปย้อมผมให้เธอที่บ้าน เห็นผู้นำหมู่บ้านสอนวิธีปลูกผักด้วยกระถางต้นไม้ จำพวกผักบุ้ง ต้นกระเทียม และผักที่ปลูกง่าย กระถางบ้านเรามีเยอะลองปลูกดีหรือไม่”“ก็ดีนะ แม่ก็ว่างๆ ไม่ค่อยมีอะไรทำอยู่พ
ในระหว่างที่จางซูเจินยังไม่หายดี เยี่ยหงก็พยายามจะเข้าหาลูกสะใภ้และทำดีด้วยเพื่อหวังให้เธอยกโทษให้ โดยใช้หลานสาวเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์เธอทำอาหารบำรุงสุขภาพ แล้วเอาไปให้ลูกสะใภ้ที่นั่งพักอยู่ในห้องนอน แต่จางซูเจินก็ลังเลที่จะรับเอาไว้“ซูเจิน สามวันแล้วที่ลูกปฏิเสธน้ำใจของแม่ วันนี้รับไว้เถิดนะ บอกแม่สิเสี่ยวอิงว่าย่าตั้งใจทำมากแค่ไหน” เยี่ยหงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แสดงความจริงใจออกมาก่อนหน้านี้กลัวว่าจะถูกลูกชายโกรธ แต่ตอนนี้เธออยากให้ลูกสะใภ้ให้อภัยตนอย่างจริงใจมากกว่า“แม่คะ ย่าตั้งใจทำมากเลย หนูก็ช่วยด้วย แม่กินสักหน่อยนะคะ จะได้หายไวๆ” เด็กน้อยพูดตามที่ย่าสอนหลายวันมานี้เยี่ยหงแสดงให้รู้ว่าเธอสำนึกผิดและมีความห่วงใยมารดาของตน เยี่ยซิ่วอิงจึงใจอ่อนให้แก่ย่า และยินดีให้ความช่วยเหลือจางซูเจินเห็นว่าเด็กหญิงมีความพยายามจะช่วยเหลือผู้เป็นย่า และเยี่ยหงเองก็แสดงความจริงใจ คราวนี้เธอจึงรับนำแกงบำรุงนั้นเอาไว้“ขอบคุณค่ะ” น้ำเสียงนั้นกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ แต่ก็ยังคงห่างเหินอยู่บ้าง“ลูกไม่ได้ทำงานตั้งหลายวัน คงเบื่อแย่ งั้นออกไปนั่งเล่นที่ห้องนั่งเล่นดีไหม มีละครออกใหม่เราจะได้ด