ในขณะที่เยี่ยซิ่วอิงนอนกลางวันอยู่ จางซูเจินที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรก็เดินออกไปที่โถงบ้าน
เธอมองหาสามีแต่ก็ไม่เจอ มีเพียงแม่สามีที่กำลังทำความสะอาดบ้านอยู่
“ให้ฉันช่วยอะไรไหมคะ”
“ไม่ต้อง” น้ำเสียงที่เย็นชาแผ่ความกดดันมายังเธอจนหญิงสาวรู้สึกอึดอัด
“อาหลี่กลับมากินข้าวกลางวันที่บ้าน พอรู้ว่าเธอแอบไปเล่นพนันก็เลยรีบตามออกไป ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักนิดก็ต้องออกไปทำงานต่อแล้ว เธอมันเป็นภรรยาที่แย่มาก” แม่สามีต่อว่าออกมาตรงๆ อย่างเปิดเผย เอือมระอากับลูกสะใภ้คนนี้เต็มแก่
“ถ้าไม่มีอะไรให้ช่วย งั้นฉันออกไปเดินเล่นข้างนอกนะคะ” เธอบอกเป็นทำนองขออนุญาต เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ว่าอะไรจึงเดินออกไปนอกบ้าน
เยี่ยหงเอามือเท้าเอวมองลูกสะใภ้ด้วยสายตาที่เกลียดชัง อยากให้ถูกทางการจับไปเสียให้พ้นจะได้ไม่เป็นเสนียดของบ้านนี้
‘อุตส่าห์แอบแจ้งตำรวจไปแล้ว ยังรอดมาได้ คอยดูเถอะครั้งหน้าเธอต้องติดคุกแน่ คราวนี้อาหลี่ก็ทำเรื่องขอหย่าได้โดยไม่ต้องรู้สึกติดค้างในใจแล้ว’
จางซูเจินยืนอยู่ประตูหน้าบ้าน สายตาช่างสงสัยนั้นสำรวจไปรอบๆ บริเวณภายนอกของบ้านก่อนเป็นอันดับแรก
พื้นที่ของบริเวณหน้าบ้านค่อนข้างคับแคบ เฉพาะตัวบ้านก็แทบเต็มพื้นที่แล้ว
แม้มีพื้นที่เล็กๆ ขนาดหนึ่งตารางวาอยู่ที่หน้าบ้านด้านซ้ายมือ แต่ก็ไม่พอให้รถเข้ามาจอดได้ โชคดีที่ถนนหน้าบ้านค่อนข้างกว้าง คนส่วนใหญ่จึงจอดรถไว้ที่ริมถนนใกล้กับบ้านของตัวเอง
เมื่อสำรวจจนพอใจแล้ว จากนั้นเธอก็เดินออกนอกรั้วบ้าน เดินสำรวจถนนสายนั้นจนเจอเข้ากับป้ายบอกชื่อถนน พร้อมทั้งป้ายบอกทางที่ติดอยู่ จึงเข้าไปอ่านรายละเอียดนั้นจนรู้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตชนบททางตอนใต้ของเซี่ยงไฮ้
ตอนที่นั่งรถกลับมา เธอสังเกตว่าแถวนี้ยังไม่ค่อยมีตึกสูงในบริเวณนี้มากนัก แต่ถ้าพูดถึงความเจริญแล้วก็ถือว่ามีความเจริญมากพอสมควร
“ช่วงปลายปี70 ถึงต้นปี 80 เป็นช่วงปฏิรูปใหม่ เศรษฐกิจช่วงนี้เริ่มดีขึ้นและมีการติดต่อกับต่างชาติ...เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองที่สุด ขนาดชนบทก็ยังดูเจริญหูเจริญตา ถ้าฉันจำไม่ผิดน่าจะประมาณนี้” จางซูเจินพึมพำทบทวนความรู้ที่เคยร่ำเรียน
แต่เธอไม่เก่งวิชาประวัติศาสตร์เสียด้วยสิ จะทะลุมิติมาแล้วเปลี่ยนแปลงอดีตก็คงไม่ใช่เรื่องที่เธอจะสามารถทำได้
ในนิยายนางเอกทะลุมิติมาเป็นหมอ มาปลูกผัก ทำอาหารขาย แต่เธอทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ก็แน่ล่ะสมัยที่เธออยู่มีแต่เครื่องอำนวยความสะดวก
อาหารหรือก็มีเต็มสองข้างทาง อยากได้อะไรก็แค่ทำงานใช้เงินซื้อ พอมาอยู่ที่นี่แล้วใจก็เลยใจแป้วว่าจะรอดชีวิตไปได้สักกี่วัน
“สะใภ้เยี่ยจะออกไปไหน วันนี้ได้ยินข่าวว่าบ่อนใต้ดินที่เคยไปโดนบุกค้น โชคดีนะที่ไม่ได้ไปไม่อย่างนั้นคุณนายเยี่ยกับหลี่เฉียงคงอายจนไม่รู้จะแทรกหน้ามุดลงตรงไหนแล้ว” หญิงวัยประมาณสี่สิบต้นๆ พูดจาถากถางด้วยน้ำเสียงที่น่าหมั่นไส้
ในตอนนั้นเธอจึงรู้ว่าบ้านที่เธออยู่คือบ้านสกุลเยี่ย และสามีชื่อเยี่ยหลี่เฉียง ‘หลี่เฉียงที่แปลว่าแข็งแกร่ง หึ..น่าจะชื่อคนเย็นชาเสียมากกว่า’
เธอนึกในใจแล้วพิจารณาหญิงวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า ไม่ได้ตอบโต้อะไรออกไปเพราะอยากใช้ชีวิตหลังจากนี้ให้สงบสุขที่สุด
จางซูเจินเมินคำพูดส่อเสียดนั้นแล้วเดินกลับไปยังบ้านสกุลเยี่ย หญิงคนนั้นก็เดินตามมาแล้วทั้งสองก็หยุดตรงประตูรั้วที่อยู่ข้างๆ กัน ทำให้เธอรู้ว่านี่คือเพื่อนบ้านสกุลเฉิน
“สะใภ้เยี่ย บ้านเธอแม้ไม่ได้ยากจน แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยพอให้เธอสุขสบายหรอกนะ ทนไม่ได้ก็หย่าไปเถอะ สงสารหลี่เฉียง” ประโยคนั้นฟังเหมือนจะหวังดีแต่ก็ไม่ใช่
“อากาศที่เมืองนี้ดีมากเลยค่ะ แต่ตอนนี้มันเริ่มเน่าเหม็นแล้ว” จางซูเจินพูดแล้วเอานิ้วบีบจมูกของตน พร้อมกับใช้มืออีกข้างปัดไล่อากาศโดยรอบออก
เฉินเหม่ยถึงกับอ้าปากค้าง ไม่คิดเลยว่าจะถูกอีกฝ่ายต่อว่าตนว่าคำพูดเน่าเหม็น
แต่ก่อนที่เพื่อนบ้านสกุลเฉินจะพูดอะไรออกมาอีก จางซูเจินก็เดินเข้าไปในบ้านก่อน ทำให้หญิงวัยกลางคนได้แต่เข่นเขี้ยวด้วยความหมั่นไส้
เมื่อเข้าไปถึงภายในบ้าน หญิงสาวเห็นแม่สามีนั่งเย็บผ้าอยู่ที่เก้าอี้ไม้ในห้องนั่งเล่นก็ส่งยิ้มให้ แต่อีกฝ่ายมองผ่านแล้วก้มหน้าปักเย็บต่อโดยไม่สนใจ เธอจึงเดินขึ้นห้องไปอยู่กับลูกสาวแทน
“ให้ตายสิซูเจิน เธอทำอะไรไว้กันแน่ ทำไมมีแต่คนจงเกลียดจงชังเธอขนาดนี้” เสียงบ่นพึมพำปลุกให้เยี่ยซิ่วอิงตื่นขึ้นมา
พอเห็นว่าแม่ทำสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์นักเด็กหญิงก็เริ่มกลัว คิดว่ามารดาคงอารมณ์ไม่ดีแล้ว อาจจะเพิ่งนึกออกว่าเธอเผลอบอกบิดาเรื่องที่อีกฝ่ายขโมยเงินไปที่บ่อนแน่
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว จึงหลับตาลงไปอีกครั้งแม้จะปวดปัสสาวะแต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้ เพราะกลัวถูกมารดาเกรี้ยวกราดใส่
“นั่นลูกตื่นแล้วหรือ”
เปลือกตาที่ขยับเล็กน้อยนั้นทำให้จางซูเจินสังเกตเห็นว่าลูกสาวของตนในมิตินี้รู้สึกตัวแล้ว
เมื่อถูกจับได้เยี่ยซิ่วอิงจึงลืมตาขึ้น น้ำตาเริ่มคลอเบ้าด้วยความกลัวว่าตนเองจะถูกตำหนิ “แม่คะ หนูไม่ได้ตั้งใจจะบอกพ่อ แม่อย่าโกรธหนูได้ไหม” น้ำเสียงนั้นแสดงถึงความกลัวและกังวลใจ
ประโยคนี้เด็กหญิงเคยพูดไปแล้วครั้งหนึ่ง คงเป็นเรื่องที่ค้างคาใจและกังวลอยู่ในตอนนี้
“ลูกบอกอะไรพ่อ”
“หนูบอกพ่อว่าแม่เอาเงินในกล่องนั้นแล้วออกไปข้างนอก” เด็กหญิงสารภาพด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ น้ำตาเริ่มไหลลงมาที่หางตาด้วยความกลัวจับใจว่าแม่จะไม่รักตน แล้วจะถูกด่าและตะคอกด้วยน้ำเสียงที่ทำให้เธอต้องหวาดกลัวกับอารมณ์ที่แปรปรวนนั้น
จางซูเจินรู้สึกสะท้อนใจมาก ซูเจินคนก่อนหน้านี้ทำอะไรลงไป ทำไมเด็กน้อยถึงกลัวมารดาขนาดนี้
“แม่ไม่โกรธเสี่ยวอิงหรอก ลุกเถอะ ไปล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย” เธอช่วยพยุงเด็กหญิงให้ลุกนั่ง แล้วใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาออกให้อย่างอ่อนโยน
เยี่ยซิ่วอิงยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ เมื่อเธอตื่นขึ้นมาแล้วแต่มารดาก็ยังคงอ่อนโยนเหมือนก่อนหน้านี้ รอยยิ้มของเธอสดใสขึ้นแล้วลุกขึ้นยืนโอบกอดรอบคอมารดาที่นั่งอยู่บนเตียง
“แม่รักหนูไหมคะ” เธอถามคำถามนั้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ หากเป็นเมื่อก่อนมารดาจะบอกว่า จะถามอะไรนักหนา เธอเป็นลูกฉันอย่างไรฉันก็ต้องรักอยู่แล้ว
“รักสิ เพราะเสี่ยวอิงเป็นเด็กดี ใครเห็นใครๆ ก็ต้องรัก” คำตอบนั้นทำให้เยี่ยซิ่วอิงร้องไห้ออกมา แต่ครั้งนี้เป็นน้ำตาแห่งความตื้นตันใจ
น้ำอุ่นๆ สัมผัสเข้าไปในชุดกี่เพ้า ในตอนนั้นเองเด็กหญิงเพิ่งนึกออกว่าตนเองปวดเบาอยู่ แล้วพอร้องไห้ออกมาก็เผลอปล่อยมันออกมาด้วย
“แม่ หนูขอโทษ” คราวนี้เด็กน้อยคิดว่าต้องโดนดุแน่แล้ว เพราะชุดนี้เป็นชุดโปรดของมารดาที่เพิ่งซื้อมาเมื่อวานนี้
“ไม่เป็นไร งั้นเราไปอาบน้ำพร้อมกันนะ” จางซูเจินบอกอย่างใจเย็นและไม่ถือสา ดูจากที่แค่เพียงบอกรักแล้วเด็กหญิงก็ร้องไห้ แสดงว่าอีกฝ่ายน่าจะมีปมในใจเรื่องแม่อยู่พอสมควร
เด็กหญิงไม่รู้ว่าทำไมมารดาถึงใจดีผิดไปเป็นคนละคนแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ดีใจ และอยากให้จางซูเจินดีกับตนแบบนี้ตลอดไป
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเสี่ยวอิงร้องไห้”
เสียงของผู้เป็นย่ารีบเข้ามาในห้องเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้แว่วๆ ของหลานสาว
“ไม่มีอะไรค่ะ” เยี่ยซิ่งอิงรีบอธิบาย
เยี่ยหงดูสภาพที่หลานสาวปัสสาวะรดใส่ชุดโปรดของลูกสะใภ้แสนชัง ก็พอเดาสถานการณ์ออก
“แค่ลูกเยี่ยวรดชุด เธอถึงกับต่อว่าหลานฉันจนร้องไห้เลยหรือซูเจิน แล้วนี่ยังให้เสี่ยวอิงโกหกปกป้องแม่ จิตใจเธอมันชั่วช้าจริงๆ”
จางซูเจินไม่เถียงออกมาแม้แต่คำเดียว เธออุ้มลูกสาวผ่านหน้าแม่สามีไปยังห้องน้ำโดยไม่สนใจสายตาที่มองด้วยอคตินั้น
มั่นใจแล้วว่าไม่มีใครสักคนที่ชอบหน้าจางซูเจินคนเดิม นอกจากเด็กน้อยเสี่ยวอิงคนนี้
************************
ในห้องน้ำ สองแม่ลูกผลัดกันถูหลังให้แก่กัน แล้วร้องเพลงไปด้วยอย่างมีความสุขเป็นครั้งแรกที่เยี่ยซิ่วอิงอาบน้ำอย่างมีความสุขมากขนาดนี้ ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าวันที่เธอรอคอยได้มาถึงแล้ว“แม่คะ หนูมีความสุขมากเลย”“แม่ก็มีความสุข” จางซูเจินยอมรับในสถานะแม่ของตน จากนั้นก็สอนลูกสาวร้องเพลงเด็กอนุบาลในยุคของตน แล้วหัวเราะกันอย่างสนุกสนานเยี่ยหงที่ยื่นหูฟังก็รู้สึกหมั่นไส้ จางซูเจินเป็นอย่างนี้เสมอ พอทำให้ลูกสาวร้องไห้ก็มักจะแสดงความรักออกมาเพื่อไม่ให้เด็กเอาความไปฟ้องบิดาจางซูเจินสังเกตว่าผมหน้าม้าของเด็กหญิงเริ่มยาวปิดตาแล้ว เธอเอากรรไกรมาเล็มผมหน้าม้าให้แล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจในฝีมือของตนจะว่าไปแล้วเธอก็ตอนสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย เธอก็เคยทำงานพิเศษเป็นลูกมือในร้านเสริมสวยพอจะมีประสบการณ์อยู่บ้างทำอาหารไม่ได้ ปลูกผักไม่เป็น อนาคตอาจถูกสามีขอหย่า ถ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้เธอก็จะไปรับจ้างในร้านเสริมสวยก็น่าจะดี‘ถ้าหย่าแล้วเสี่ยวอิงล่ะ’ จางซูเจินนึกถึงเด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้า พลันสลัดความคิดนั้นออกไปจากหัวเมื่อดวงตากลมโตมองมาด้วยแววตาที่รักและเทิดทูน“เราไปแต่งตัวกันเถอะ” เธอบอกเด็กหญิงแล้วพากลับไปแ
เมื่อมื้ออาหารค่ำจบลง จางซูเจินก็อาสาเป็นคนล้างจาน ต่างจากทุกครั้งที่มักจะเกี่ยงงานและอุ้มลูกหนีเข้าห้องไปก่อนหญิงสาวเก็บถ้วยชามไปยังลานซักล้างด้านหลังที่ติดกับห้องน้ำที่อยู่ด้านนอก ลงมือทำความสะอาดภาชนะเหล่านั้นเสร็จแล้ว ก็เดินกลับเข้ามาสำรวจภายในบ้านเธอพบว่านอกจากห้องครัวอยู่ด้านหลังและห้องอเนกประสงค์ที่ใช้ทั้งเป็นห้องนั่งเล่นและเป็นห้องกินข้าวแล้ว ก็ยังมีห้องนอนใหญ่หนึ่งห้อง ตรงข้ามมีห้องเก็บของขนาดเล็กและห้องนอนของแม่สามีเธอเปิดเข้าไปดูห้องเก็บของเล็กๆ นั้นแล้วมีความคิดว่าอยากแยกห้องนอนกับสามี แต่คิดดูดีๆ แล้วเยี่ยซิ่วอิงติดตนเองมาก หากตนย้ายมานอนห้องเล็กอีกฝ่ายต้องย้ายมานอนด้วยแน่ห้องนั้นน่าจะเตรียมไว้สำหรับเยี่ยซิ่วอิง ในวัยนี้ต้องหัดให้เด็กรู้จักการนอนคนเดียวได้แล้ว แต่ว่าเสี่ยวอิงยังนอนอยู่ที่ห้องของพ่อแม่ มันจะต้องมีเหตุผลแน่และหนึ่งในเหตุผลนั้นก็คือเอาไว้เป็นตัวขัดขวางความสุขของพ่อแม่‘เท่าที่ฟังดู เอาไว้ขัดขวางความสุขของแม่ฝ่ายเดียวมากกว่า หลี่เฉียงดูไม่น่าพิศวาสเมียตัวเองเสียเท่าไรนัก’ เธอเดาเหตุผลนั้นด้วยตัวเอง จากนั้นก็เดินเข้าห้องนอนไปเยี่ยหลี่เฉียงอยู่ในชุดพร้อมจ
ในตอนเช้า จางซูเจินตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกที่ รู้สึกถึงแขนน้อยๆ ที่พาดอยู่บนหน้าอกแล้วลืมตามาเห็นเยี่ยซิ่วอิงก็รู้ว่าตนไม่ได้ฝันไปตอนนี้เธอทะลุมายังมิติคู่ขนาน มาอยู่ในร่างคนที่มีชื่อแซ่และหน้าตาที่เหมือนกับตน แต่ว่าเธอมีครอบครัวแล้ว และเป็นคนที่ดูเหมือนว่าไม่มีใครชอบสะใภ้เยี่ยคนนี้จางซูเจินลุกขึ้นจากเตียง แล้วนึกได้ว่าเมื่อวานนี้เด็กหญิงปัสสาวะราด จึงปลุกให้เยี่ยซิ่วอิงตื่นขึ้นมาโดยการหอมแก้มซ้ำๆ จนอีกฝ่ายลืมตาขึ้นเธอเอานิ้วแตะที่ริมฝีปากของตัวเองเป็นสัญลักษณ์ไม่ให้เด็กหญิงส่งเสียงรบกวนบิดา ใบหน้าอ่อนหวานของผู้เป็นมารดาโน้มลงมากระซิบข้างหู“ไปฉี่กันเถอะ”เยี่ยซิ่วอิงพยักหน้าเบาๆ แล้วค่อยๆ ลุกจากที่นอนเดินตามมารดาไปยังห้องน้ำที่อยู่นอกบ้านเยี่ยหงที่ลุกมาทำอาหารเช้าเห็นว่าลูกสะใภ้ปลุกหลานสาวมาเข้าห้องน้ำแต่เช้าก็ประหลาดใจ แต่ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกมา คิดแต่เพียงว่าคงมีแผนการอะไรบางอย่างแน่หลังจากทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำเสร็จ จางซูเจินก็ให้เด็กหญิงไปนอนต่อ แต่อีกฝ่ายส่ายหัวเบาๆ“หนูอยากอยู่กับแม่”“แต่แม่ต้องไปช่วยย่าทำอาหารเช้า เสี่ยวอิงไปนอนกับพ่อนะ แล้วอย่าเสียงดังล่ะ” เมื่อได้ย
การทำงานบ้านนั้นไม่ใช่งานที่หนักหนาอะไรมากนัก จางซูเจินปัดกวาดเช็ดถูบ้านโดยมีลูกมืออย่างเยี่ยซิ่วอิงช่วยแม่ทำงานบ้านอย่างตั้งใจเยี่ยหงมองความตั้งใจนั้น รู้สึกชื่นชมที่อีกฝ่ายสอนงานบ้านหลานสาวของตนด้วยความใจเย็น แต่ก็ไม่ได้วางใจลูกสะใภ้มากนัก“ตอนเย็นบ้านเราจะมีแขกมากินมื้อค่ำด้วย” น้ำเสียงนั้นราบเรียบ ราวกับว่าพูดลอยๆ กับสายลมจางซูเจินหันไปมองแม่สามีที่เดินเข้ามาบอกตนแล้วยิ้มรับ “แม่จะให้ฉันหุงข้าวเพิ่ม หรือช่วยเป็นลูกมือทำอาหารหรือคะ ฉันยินดีช่วยเต็มที่”ความกระตือรือร้นของลูกสะใภ้ทำให้เธอหมั่นไส้ คนดีที่ไหนจะเอาตัวเข้าหาผู้ชายด้วยวิธีสกปรก“แค่หุงข้าวเพิ่มเท่านั้น ปกติอี้หรูจะมาทำกับข้าวที่นี่ เธอชอบทำอาหาร อาหลี่เองก็ติดใจฝีมือเธอมากเลยล่ะ” รอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ของแม่สามียามที่พูดถึงแขกคนสำคัญ ทำให้จางซูเจินรับรู้ได้ว่าคนคนนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่“อี้หรูเหรอคะ” เธอพูดทวนชื่อเสียงเบาเยี่ยหงคิดไว้อยู่แล้วว่าหากรู้ว่าเฉินอี้หรูมาหาที่บ้าน จางซูเจินจะต้องเก็บอาการไม่อยู่แล้วเปิดเผยตัวตนออกมาแน่“ใช่ อี้หรูจะมาเยี่ยมคุณนายเฉินผู้เป็นป้า ทุกครั้งที่มาบ้านเราก็เชิญเธอมากินข้าวอยู่เป็นประจำ
บรรยากาศในสวนสาธารณะทำให้จางซูเจินไม่อยากกลับไปที่บ้านสกุลเยี่ยเลยแม้แต่นิด แม้พยายามมองข้ามคำพูดถากถางจากเยี่ยหงแล้ว แต่การได้ยินคำพูดแง่ลบผ่านหูก็อดรู้สึกอึดอัดใจไม่ได้บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้จางซูเจินคนนั้นไม่อยากอยู่บ้าน เพราะหากอยู่แล้วไม่สบายใจเป็นตนก็ไม่อยากอยู่เหมือนกันทั้งสองนั่งเล่นอยู่ที่สวนนั้นสักพัก เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงกำลังง่วงเพราะคงได้เวลานอนกลางวันตามประสาเด็ก เธอก็แบกลูกสาวขึ้นขี่หลังเดินกลับไปที่บ้านจางซูเจินตั้งใจว่าจะพาเยี่ยซิ่วอิงเข้านอนแล้วก็จะเตรียมตัวหุงข้าวเอาไว้ต้อนรับแขกในตอนเย็นแต่พอกลับไปถึงก็พบว่าแม่สามีจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว และมีสีหน้าที่บึ้งตึงราวกับจะตำหนิว่าเธอมัวแต่เที่ยวเดินเตร็ดเตร่ ใช้การพาลูกเดินเที่ยวเป็นข้ออ้างไม่มาช่วยหุงข้าวทั้งๆ ที่รับปากเอาไว้แล้วเธอจึงพาเยี่ยซิ่วอิงเข้าไปนอนในห้อง แล้วกลับออกมาเพื่อที่จะช่วยงานอย่างอื่น“มีอะไรให้ฉันช่วยอีกไหมคะ”“ไม่ต้องหรอก เชิญเธอไปแต่งหน้าแต่งตัวสวยๆ อย่างที่ชอบทำเป็นประจำเถอะ” ประโยคเหน็บแนมด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ กับสายตาที่มองด้วยความรังเกียจ ทำให้ซูเจินต้องสงบปากสงบคำเอาไว้สักพักก็มีเ
อาหารที่เฉินอี้หรูทำเสร็จทันเวลาที่เยี่ยหลี่เฉียงเลิกงานพอดี เขายิ้มทักทายให้เธอตามมารยาท ก่อนจะเดินเข้าห้องไปเพื่อเก็บกระเป๋าเอกสารเมื่อเข้าไปถึงห้องนอน ก็เห็นว่าจางซูเจินกำลังปลุกให้เยี่ยซิ่วอิงตื่น“เสี่ยวอิงคนดีของแม่ ตื่นได้แล้ว ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ลูกจะขี้เซาเกินไปแล้วนะ” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนแสดงความรักใคร่ปลายจมูกมนคลอเคลียที่แก้มปลุกให้เด็กหญิงตื่นขึ้นมา แต่เยี่ยหลี่เฉียงเข้าใจว่าเธอเสแสร้งเพราะรู้ว่าตนเดินเข้ามาในห้อง จึงแสดงความรักต่อลูกให้เขาเห็น‘คิดว่าผมไม่รู้ทันแม่ดอกบัวขาวอย่างคุณหรือ’เมื่อลูกสาวตื่นแล้ว จางซูเจินก็อุ้มเด็กขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มทักทายสามีเพื่อเอาใจอีกฝ่าย ไหนๆก็สัญญาเอาไว้แล้วว่าเธอจะเป็นคนที่ดีกว่าเดิม แม้จะไม่อยากทักแต่ก็ต้องทักทาย เพราะต้องเจอกันไปอีกนาน“กลับมาแล้วเหรอคะ เอางานกลับมาทำที่บ้านอีกแล้วสินะ” เธอชำเลืองมองกระเป๋าเอกสารที่เขานำมาวางที่โต๊ะทำงานพลางยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “แม่ขาหนูปวดฉี่” เยี่ยซิ่วอิงบอกมารดาจางซูเจินจึงแล้วพาเด็กหญิงไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะพามานั่งร่วมโต๊ะอาหารค่ำพร้อมหน้ากับทุกคน“ดีนะเสร็จทันเวลาพอดี สงสารอี้หรูมากที่ต้องทำอ
หลังจากมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอึดอัดใจนั้นจบลง เยี่ยหลี่เฉียงก็แยกมานั่งสอนความรู้ด้านภาษากับเฉินอี้หรูตามที่เธอขอเอาไว้‘พูดขนาดนั้นแล้วแต่ไม่ยอมกลับบ้านของตัวเองไป’ จางซูเจินรู้ว่าทั้งป้าทั้งหลานนั้นหน้าหนาเหลือทน แล้วเยี่ยหงยังชวนให้คุณนายเฉินไปเดินเล่นย่อยอาหารนอกบ้าน เพื่อปล่อยให้สองคนพูดคุยกันตามลำพังอีกเธอล้างถ้วยชามอยู่นอกบ้านโดยมีลูกสาวตัวน้อยมานั่งช่วยล้าง เด็กหญิงร้องเพลงที่เธอเคยสอนไปด้วยอย่างอารมณ์ดี มือน้อยๆ ประคองถ้วยข้าวล้างน้ำสะอาดแล้วคว่ำไว้อย่างระมัดระวัง“เสี่ยวอิงของแม่เก่งที่สุด” เธอมอบคำชมนั้นให้แก่ลูกสาวรอยยิ้มและแววตาที่อบอุ่นของมารดาทำให้เยี่ยซิ่วอิงรู้สึกดีมากขึ้นทุกๆ ครั้งที่ได้อยู่ใกล้“แม่เคยเล่าให้หนูฟังว่ายายใจดีและรักแม่มาก แม่เองก็ใจดีและรักหนูเหมือนยายใช่ไหมคะ”“แม่เคยเล่าเรื่องยายให้ลูกฟังด้วยเหรอ” จางซูเจินถามยิ้มๆ ในมือก็ทำงานไปด้วย“แม่ชอบร้องไห้บ่อยๆ ค่ะ ทุกครั้งที่ร้องไห้ก็จะเล่าเรื่องยายและเรื่องตาออกมา บางครั้งหนูก็ฟังจนหลับไป” คำพูดที่ไร้เดียงสานั้นทำให้จางซูเจินประหลาดใจผู้หญิงคนนั้นร้องไห้ระบายความในใจกับลูกสาวของตนอย่างนั้นหรือ
เมื่ออาบน้ำเข้ามาในห้องนอน เยี่ยหลี่เฉียงก็พบว่าภรรยาและลูกสาวได้หลับไปแล้วหากมองอย่างไม่มีอคติแล้ว จางซูเจินก็เป็นผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่ง สกุลจางหลังจากขาดเสาหลักไป ลูกของภรรยาเก่าอย่างเธอก็ถูกรังแกจากแม่เลี้ยง‘แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำแบบนั้นกับผมได้’ เมื่อพยายามจะมองเธอในแง่ดี แต่อคติภายในใจก็พวยพุ่งออกมาจากความรู้สึกที่พยายามเก็บซ่อนไว้วันนั้นเขามีงานเลี้ยงที่เจ้านายชาวต่างชาติจัดขึ้นที่ร้านอาหาร ขากลับเมามากและถูกจางซูเจินพาไปที่โรงแรมเพื่อมีสัมพันธ์กันเขาต้องแต่งงานกับเธอเพื่อรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามทำให้ชีวิตคู่ดีขึ้นแต่อีกฝ่ายก็ขยันสร้างแต่เรื่องให้มารดาเขาไม่พอใจจะว่าไปจางซูเจินเริ่มชอบเสี่ยงโชคก็ตอนที่เธอคลอดเยี่ยซิ่วอิงแล้ว จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าที่เธอทำแบบนั้นเพื่อเตรียมทุนรอหย่าจากเขาจริงๆ อย่างที่ลูกสาวพรั่งพรูออกมาเมื่อตอนหัวค่ำเยี่ยหลี่เฉียงสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ นั้นออกไป แล้วแทรกด้วยความคิดที่ว่า ผู้หญิงคนนั้นชอบเหลือเกินเวลาที่เขาหลับแล้วเธอจะเป็นฝ่ายปลุกเร้าอารมณ์แล้วร่วมรักกันโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัวอยู่บ่อยครั้ง ผู้หญิงแบบนี้นะหรือคือคนน่าสง
เยี่ยหงเรียกให้จางซูเจินไปล้างถ้วยชามที่หลังบ้าน โดยที่ตนเองก็แยกพาเยี่ยซิ่วอิงไปอาบน้ำ ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกชายได้อยู่กับหญิงสาวที่ตนอยากให้มาแทนที่ลูกสะใภ้แสนร้าย“แต่แม่คะ อี้หรูชักชวนให้ฉันเรียนไปด้วยกัน ฉันอยากเรียนมากกว่าค่ะ เรียนเสร็จฉันจึงจะไปล้างให้” จางซูเจินตั้งใจที่จะปฏิเสธด้วยเหตุผลที่อยากเรียนรู้ แต่จริงๆ อยากไปขัดคอทั้งสองต่างหาก“เธอจะรู้ภาษาอังกฤษไปทำไมกัน ความรู้ก็ไม่มี เรียนไปก็ไม่รู้เรื่องหรอก ไปล้างถ้วยน่ะดีแล้ว ฉันเองก็จะได้ช่วยอาบน้ำให้เสี่ยวอิง” เยี่ยหงไม่ยอมเธออยากให้เฉินอี้หรูมีโอกาสใกล้ชิดกับลูกชายตนให้ได้มากที่สุดจางซูเจินรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเยี่ยหงก็ยังคงจะกีดกันตน และแสดงออกชัดเจนว่าสนับสนุนให้เฉินอี้หรูเข้ามาวุ่นวายภายในบ้านเธอต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง อย่างน้อยกะเพื่อสวัสดิภาพของเยี่ยซิ่วอิง ไม่ให้ย่าใจร้ายต้องหาแม่เลี้ยงมาดูแลเด็กหญิงเพราะเท่าที่ดูแล้วเฉินอี้หรูไม่ได้ต้องการลูก แต่เธอต้องการพ่อเด็กมากกว่า “ว่าอย่างไร จะไปล้างถ้วยหรือจะให้ฉันต้องไปล้างเอง” “ค่ะ” เธอตอบรับอย่างสุภาพแล้ว ยกกะละมังใส่ถ้วยชามไปล้างที่หลังบ้
เมื่อกลับไปถึงบ้าน จางซูเจินก็เพิ่งจะนึกออกว่าเธอพลาดช่วงเวลาในการช่วยแม่สามีในการทำอาหารเย็นไปแล้วอย่างไม่น่าให้อภัยอาหารที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะนั้นถูกปรุงด้วยฝีมือของเยี่ยหง เยี่ยหลี่เฉียงเองก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมจะมานั่งรับประทานมื้อค่ำแล้วในตอนนั้นเธอนึกตำหนิตัวเองในใจ อุตส่าห์รับปากกับสามีแล้วแท้ๆ ว่าจะปรับปรุงตัวเป็นคนใหม่ แต่ดันพลาดจนได้เพราะมัวแต่พูดคุยกับสหายใหม่ทั้งสอง และเยี่ยซิ่วอิงเองก็วิ่งเล่นอย่างสนุกสนานจึงไม่ได้ขัดลูกในตอนนั้นจริงๆ หากเด็กหญิงไม่เหนื่อยแล้วชวนกลับบ้านเธอก็ยังไม่ได้จะกลับเสียด้วยซ้ำ“ขอโทษค่ะแม่ พอดีว่าฉันได้เพื่อนใหม่แล้วคุยเพลินไปหน่อย” หญิงสาวกล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดอย่างจริงใจ ไม่ได้กล่าวโทษลูกสาวที่วิ่งเล่นจนเกือบจะมืดค่ำ“ฉันชินกับพฤติกรรมของเธอแล้ว ไม่ต้องมาขอโทษฉันหรอก” น้ำเสียงที่เอ่ยประโยคนั้นบ่งบอกถึงความไม่พอใจอยู่ลึกๆ“รีบมากินข้าวก่อนสิ กินเสร็จค่อยไปอาบน้ำ” เยี่ยหลี่เฉียงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงปกติเป็นน้ำเสียงปกติของคนทั่วไป แต่มันไม่ปกติสำหรับเธอ เพราะมันไม่มีความเย็นชาแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นและเหมือนเธอจะเห็นแววตาของ
ในสวนสาธารณะแถวบ้าน ที่มีผู้คนทยอยเข้ามาเดินเล่นกันมากจนเริ่มหนาตา โดยเฉพาะเด็กๆ ที่มารวมตัวกันแล้วจับกลุ่มกันวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานหลังจากแนะนำตัวกันไปแล้ว หยางซินและซ่งเหลียนยังคงเกี่ยงกันที่จะตั้งคำถามกับจางซูเจินในเรื่องที่พวกเธออยากรู้“ถามมาเถอะค่ะ” จางซูเจินพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจจนทั้งสองรู้สึกเกรงใจที่จะถาม“เอ่อ ฉันจะถามว่าเธอน่ะ ล่อลวงหลี่เฉียงเพื่อให้เขารับผิดชอบแต่งงานด้วยจริงหรือเปล่า”คำถามที่ตรงไปตรงมานั้นทำให้จางซูเจินนิ่งเงียบไป ก่อนจะยิ้มออกมาพร้อมกับคำตอบที่จริงใจ“ใช่ ฉันรักหลี่เฉียง เลยทำทุกอย่างเพื่อให้ได้แต่งงานกับคนที่ฉันรัก” ประโยคที่จางซูเจินสารภาพออกมา ไม่เพียงทำให้หญิงสาวทั้งสองเอามือทาบอกด้วยความตกใจแต่เยี่ยหลี่เฉียงที่เลิกงานแล้ว เขาจำได้ว่าภรรยาและลูกจะมาที่สวนแห่งนี้จึงแวะมาหา พอได้ยินเข้าแบบนั้นก็ถึงกับมือไม้สั่นด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกมือหนาเดี๋ยวกำเดี๋ยวคลาย เท้าจะก้าวไปหาแต่ก็ขาแข็งทื่อเดินไม่ออก ได้แต่มองทั้งสามจากด้านหลัง ไม่มีความกล้าที่จะเดินไปหาอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก บอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุใดไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกใจเต้นก
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเช้าวันนี้ ทำให้เยี่ยหงและเยี่ยหลี่เฉียงดูไม่เจริญอาหารนักคนหนึ่งรู้สึกผิดที่ต้องบอกความรู้สึกตามตรงกับมารดา และรู้สึกผิดที่ต้องบอกความจริงเรื่องที่เฉินเหม่ยแอบนินทาลับหลังให้รู้ทั้งที่ปิดบังมานานส่วนอีกคนก็รู้สึกผิดหวังที่เพื่อนบ้านที่ตนวางใจ เอาตนไปพูดนินทาเสียหายว่าเห็นแก่ได้ ทั้งๆ ที่คุณนายเฉินและหลานสาวเป็นฝ่ายเสนอข้อตกลงทำอาหารให้แต่แรกอีกทั้งรับรู้ความรู้สึกอึดอัดใจของลูกชายว่าเกิดจากแม่อย่างตน ก็ยิ่งทำให้รู้สึกแย่ไปอีกเป็นเท่าตัว แต่ถึงอย่างนั้นในใจก็ยังอยากได้เฉินอี้หรูมาเป็นสะใภ้มากกว่าจางซูเจินอยู่ดี“แม่ขา วันนี้ไปเดินเล่นกันนะคะ” เยี่ยซิ่วอิงที่กินอาหารเสร็จแล้วบอกมารดา“ได้สิ เอาไว้เราทำงานบ้านช่วยย่าเสร็จแล้ว ตอนบ่ายเสี่ยวอิงนอนกลางวันให้เต็มที่ ตอนเย็นแม่จะพาไปนะ” เธอมีข้อแม้กับลูกสาวน้ำเสียงและกิริยาที่อ่อนโยนของเธอ พร้อมกับประโยคที่บอกเขาในวันนั้นว่าเธอจะปรับปรุงตัวใหม่ ทำให้เยี่ยหลี่เฉียงรับรู้ได้ว่าตอนนี้เธอเปลี่ยนไปมาก...มากราวกับเป็นคนละคน“เดี๋ยวฉันเอาซาลาเปาใส่กล่องให้ไปกินที่บริษัทนะ เผื่อหิวระหว่างวันคุณจะได้หยิบมันขึ้นมากิน” เธอหันไปบอ
เมื่ออาบน้ำเข้ามาในห้องนอน เยี่ยหลี่เฉียงก็พบว่าภรรยาและลูกสาวได้หลับไปแล้วหากมองอย่างไม่มีอคติแล้ว จางซูเจินก็เป็นผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่ง สกุลจางหลังจากขาดเสาหลักไป ลูกของภรรยาเก่าอย่างเธอก็ถูกรังแกจากแม่เลี้ยง‘แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำแบบนั้นกับผมได้’ เมื่อพยายามจะมองเธอในแง่ดี แต่อคติภายในใจก็พวยพุ่งออกมาจากความรู้สึกที่พยายามเก็บซ่อนไว้วันนั้นเขามีงานเลี้ยงที่เจ้านายชาวต่างชาติจัดขึ้นที่ร้านอาหาร ขากลับเมามากและถูกจางซูเจินพาไปที่โรงแรมเพื่อมีสัมพันธ์กันเขาต้องแต่งงานกับเธอเพื่อรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามทำให้ชีวิตคู่ดีขึ้นแต่อีกฝ่ายก็ขยันสร้างแต่เรื่องให้มารดาเขาไม่พอใจจะว่าไปจางซูเจินเริ่มชอบเสี่ยงโชคก็ตอนที่เธอคลอดเยี่ยซิ่วอิงแล้ว จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าที่เธอทำแบบนั้นเพื่อเตรียมทุนรอหย่าจากเขาจริงๆ อย่างที่ลูกสาวพรั่งพรูออกมาเมื่อตอนหัวค่ำเยี่ยหลี่เฉียงสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ นั้นออกไป แล้วแทรกด้วยความคิดที่ว่า ผู้หญิงคนนั้นชอบเหลือเกินเวลาที่เขาหลับแล้วเธอจะเป็นฝ่ายปลุกเร้าอารมณ์แล้วร่วมรักกันโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัวอยู่บ่อยครั้ง ผู้หญิงแบบนี้นะหรือคือคนน่าสง
หลังจากมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอึดอัดใจนั้นจบลง เยี่ยหลี่เฉียงก็แยกมานั่งสอนความรู้ด้านภาษากับเฉินอี้หรูตามที่เธอขอเอาไว้‘พูดขนาดนั้นแล้วแต่ไม่ยอมกลับบ้านของตัวเองไป’ จางซูเจินรู้ว่าทั้งป้าทั้งหลานนั้นหน้าหนาเหลือทน แล้วเยี่ยหงยังชวนให้คุณนายเฉินไปเดินเล่นย่อยอาหารนอกบ้าน เพื่อปล่อยให้สองคนพูดคุยกันตามลำพังอีกเธอล้างถ้วยชามอยู่นอกบ้านโดยมีลูกสาวตัวน้อยมานั่งช่วยล้าง เด็กหญิงร้องเพลงที่เธอเคยสอนไปด้วยอย่างอารมณ์ดี มือน้อยๆ ประคองถ้วยข้าวล้างน้ำสะอาดแล้วคว่ำไว้อย่างระมัดระวัง“เสี่ยวอิงของแม่เก่งที่สุด” เธอมอบคำชมนั้นให้แก่ลูกสาวรอยยิ้มและแววตาที่อบอุ่นของมารดาทำให้เยี่ยซิ่วอิงรู้สึกดีมากขึ้นทุกๆ ครั้งที่ได้อยู่ใกล้“แม่เคยเล่าให้หนูฟังว่ายายใจดีและรักแม่มาก แม่เองก็ใจดีและรักหนูเหมือนยายใช่ไหมคะ”“แม่เคยเล่าเรื่องยายให้ลูกฟังด้วยเหรอ” จางซูเจินถามยิ้มๆ ในมือก็ทำงานไปด้วย“แม่ชอบร้องไห้บ่อยๆ ค่ะ ทุกครั้งที่ร้องไห้ก็จะเล่าเรื่องยายและเรื่องตาออกมา บางครั้งหนูก็ฟังจนหลับไป” คำพูดที่ไร้เดียงสานั้นทำให้จางซูเจินประหลาดใจผู้หญิงคนนั้นร้องไห้ระบายความในใจกับลูกสาวของตนอย่างนั้นหรือ
อาหารที่เฉินอี้หรูทำเสร็จทันเวลาที่เยี่ยหลี่เฉียงเลิกงานพอดี เขายิ้มทักทายให้เธอตามมารยาท ก่อนจะเดินเข้าห้องไปเพื่อเก็บกระเป๋าเอกสารเมื่อเข้าไปถึงห้องนอน ก็เห็นว่าจางซูเจินกำลังปลุกให้เยี่ยซิ่วอิงตื่น“เสี่ยวอิงคนดีของแม่ ตื่นได้แล้ว ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ลูกจะขี้เซาเกินไปแล้วนะ” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนแสดงความรักใคร่ปลายจมูกมนคลอเคลียที่แก้มปลุกให้เด็กหญิงตื่นขึ้นมา แต่เยี่ยหลี่เฉียงเข้าใจว่าเธอเสแสร้งเพราะรู้ว่าตนเดินเข้ามาในห้อง จึงแสดงความรักต่อลูกให้เขาเห็น‘คิดว่าผมไม่รู้ทันแม่ดอกบัวขาวอย่างคุณหรือ’เมื่อลูกสาวตื่นแล้ว จางซูเจินก็อุ้มเด็กขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มทักทายสามีเพื่อเอาใจอีกฝ่าย ไหนๆก็สัญญาเอาไว้แล้วว่าเธอจะเป็นคนที่ดีกว่าเดิม แม้จะไม่อยากทักแต่ก็ต้องทักทาย เพราะต้องเจอกันไปอีกนาน“กลับมาแล้วเหรอคะ เอางานกลับมาทำที่บ้านอีกแล้วสินะ” เธอชำเลืองมองกระเป๋าเอกสารที่เขานำมาวางที่โต๊ะทำงานพลางยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “แม่ขาหนูปวดฉี่” เยี่ยซิ่วอิงบอกมารดาจางซูเจินจึงแล้วพาเด็กหญิงไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะพามานั่งร่วมโต๊ะอาหารค่ำพร้อมหน้ากับทุกคน“ดีนะเสร็จทันเวลาพอดี สงสารอี้หรูมากที่ต้องทำอ
บรรยากาศในสวนสาธารณะทำให้จางซูเจินไม่อยากกลับไปที่บ้านสกุลเยี่ยเลยแม้แต่นิด แม้พยายามมองข้ามคำพูดถากถางจากเยี่ยหงแล้ว แต่การได้ยินคำพูดแง่ลบผ่านหูก็อดรู้สึกอึดอัดใจไม่ได้บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้จางซูเจินคนนั้นไม่อยากอยู่บ้าน เพราะหากอยู่แล้วไม่สบายใจเป็นตนก็ไม่อยากอยู่เหมือนกันทั้งสองนั่งเล่นอยู่ที่สวนนั้นสักพัก เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงกำลังง่วงเพราะคงได้เวลานอนกลางวันตามประสาเด็ก เธอก็แบกลูกสาวขึ้นขี่หลังเดินกลับไปที่บ้านจางซูเจินตั้งใจว่าจะพาเยี่ยซิ่วอิงเข้านอนแล้วก็จะเตรียมตัวหุงข้าวเอาไว้ต้อนรับแขกในตอนเย็นแต่พอกลับไปถึงก็พบว่าแม่สามีจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว และมีสีหน้าที่บึ้งตึงราวกับจะตำหนิว่าเธอมัวแต่เที่ยวเดินเตร็ดเตร่ ใช้การพาลูกเดินเที่ยวเป็นข้ออ้างไม่มาช่วยหุงข้าวทั้งๆ ที่รับปากเอาไว้แล้วเธอจึงพาเยี่ยซิ่วอิงเข้าไปนอนในห้อง แล้วกลับออกมาเพื่อที่จะช่วยงานอย่างอื่น“มีอะไรให้ฉันช่วยอีกไหมคะ”“ไม่ต้องหรอก เชิญเธอไปแต่งหน้าแต่งตัวสวยๆ อย่างที่ชอบทำเป็นประจำเถอะ” ประโยคเหน็บแนมด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ กับสายตาที่มองด้วยความรังเกียจ ทำให้ซูเจินต้องสงบปากสงบคำเอาไว้สักพักก็มีเ
การทำงานบ้านนั้นไม่ใช่งานที่หนักหนาอะไรมากนัก จางซูเจินปัดกวาดเช็ดถูบ้านโดยมีลูกมืออย่างเยี่ยซิ่วอิงช่วยแม่ทำงานบ้านอย่างตั้งใจเยี่ยหงมองความตั้งใจนั้น รู้สึกชื่นชมที่อีกฝ่ายสอนงานบ้านหลานสาวของตนด้วยความใจเย็น แต่ก็ไม่ได้วางใจลูกสะใภ้มากนัก“ตอนเย็นบ้านเราจะมีแขกมากินมื้อค่ำด้วย” น้ำเสียงนั้นราบเรียบ ราวกับว่าพูดลอยๆ กับสายลมจางซูเจินหันไปมองแม่สามีที่เดินเข้ามาบอกตนแล้วยิ้มรับ “แม่จะให้ฉันหุงข้าวเพิ่ม หรือช่วยเป็นลูกมือทำอาหารหรือคะ ฉันยินดีช่วยเต็มที่”ความกระตือรือร้นของลูกสะใภ้ทำให้เธอหมั่นไส้ คนดีที่ไหนจะเอาตัวเข้าหาผู้ชายด้วยวิธีสกปรก“แค่หุงข้าวเพิ่มเท่านั้น ปกติอี้หรูจะมาทำกับข้าวที่นี่ เธอชอบทำอาหาร อาหลี่เองก็ติดใจฝีมือเธอมากเลยล่ะ” รอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ของแม่สามียามที่พูดถึงแขกคนสำคัญ ทำให้จางซูเจินรับรู้ได้ว่าคนคนนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่“อี้หรูเหรอคะ” เธอพูดทวนชื่อเสียงเบาเยี่ยหงคิดไว้อยู่แล้วว่าหากรู้ว่าเฉินอี้หรูมาหาที่บ้าน จางซูเจินจะต้องเก็บอาการไม่อยู่แล้วเปิดเผยตัวตนออกมาแน่“ใช่ อี้หรูจะมาเยี่ยมคุณนายเฉินผู้เป็นป้า ทุกครั้งที่มาบ้านเราก็เชิญเธอมากินข้าวอยู่เป็นประจำ