บรรยากาศในสวนสาธารณะทำให้จางซูเจินไม่อยากกลับไปที่บ้านสกุลเยี่ยเลยแม้แต่นิด แม้พยายามมองข้ามคำพูดถากถางจากเยี่ยหงแล้ว แต่การได้ยินคำพูดแง่ลบผ่านหูก็อดรู้สึกอึดอัดใจไม่ได้
บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้จางซูเจินคนนั้นไม่อยากอยู่บ้าน เพราะหากอยู่แล้วไม่สบายใจเป็นตนก็ไม่อยากอยู่เหมือนกัน
ทั้งสองนั่งเล่นอยู่ที่สวนนั้นสักพัก เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงกำลังง่วงเพราะคงได้เวลานอนกลางวันตามประสาเด็ก เธอก็แบกลูกสาวขึ้นขี่หลังเดินกลับไปที่บ้าน
จางซูเจินตั้งใจว่าจะพาเยี่ยซิ่วอิงเข้านอนแล้วก็จะเตรียมตัวหุงข้าวเอาไว้ต้อนรับแขกในตอนเย็น
แต่พอกลับไปถึงก็พบว่าแม่สามีจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว และมีสีหน้าที่บึ้งตึงราวกับจะตำหนิว่าเธอมัวแต่เที่ยวเดินเตร็ดเตร่ ใช้การพาลูกเดินเที่ยวเป็นข้ออ้างไม่มาช่วยหุงข้าวทั้งๆ ที่รับปากเอาไว้แล้ว
เธอจึงพาเยี่ยซิ่วอิงเข้าไปนอนในห้อง แล้วกลับออกมาเพื่อที่จะช่วยงานอย่างอื่น
“มีอะไรให้ฉันช่วยอีกไหมคะ”
“ไม่ต้องหรอก เชิญเธอไปแต่งหน้าแต่งตัวสวยๆ อย่างที่ชอบทำเป็นประจำเถอะ” ประโยคเหน็บแนมด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ กับสายตาที่มองด้วยความรังเกียจ ทำให้ซูเจินต้องสงบปากสงบคำเอาไว้
สักพักก็มีเสียงเรียกดังมาจากหน้าประตูบ้าน เยี่ยหงรีบเปลี่ยนสีหน้าขึ้นมาทันที เผยรอยยิ้มด้วยความดีใจนั้นออกมาอย่างเปิดเผย แล้วเดินออกไปเปิดประตูบ้านเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนทั้งสอง
คุณนายเฉินที่พูดถากถางเธอเมื่อวานนี้ก็มาด้วย ที่ว่าคุณนายเฉินก็หมายถึงเพื่อนบ้านคนนี้นี่เอง แล้วคนที่ตามมาก็คงเป็นหลานสาวของเธอ
เฉินอี้หรูมีใบหน้าจิ้มลิ้มสะสวย ร่างอรชรอยู่ในชุดกี่เพ้าสีฟ้าหม่นที่ตัดด้วยเนื้อผ้าธรรมดาดูสวยแบบเรียบง่าย ผมเปียทั้งสองข้างที่ถักลงมาซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของหญิงสาวในยุคนี้ทำให้เธอดูไร้เดียงสา
ทั้งสามพูดคุยทักทายกันราวกับไม่ได้เจอกันมานานเป็นชาติ ทั้งๆ ที่คุณนายเฉินก็อยู่ข้างบ้านแท้ๆ
จางซูเจินเดาเอาจากการสนทนาว่าเฉินอี้หรูอยู่อีกหมู่บ้าน แต่จะมาเยี่ยมเฉินเหม่ยสัปดาห์ละครั้ง และทุกครั้งที่มาก็ได้นัดหมายเอาไว้ว่าเธอจะอาสาเป็นคนมาลงมือทำอาหารเย็นให้ครอบครัวเยี่ย เพื่อตอบแทนบุญคุณของเยี่ยหลี่เฉียงที่เคยช่วยเธอเอาไว้เมื่อครั้งที่ถูกอันธพาลรังแก
‘ช่วยครั้งเดียวแต่ตอบแทนเป็นสิบเป็นร้อยครั้ง ดูก็รู้ว่าอยากได้สามีคนอื่น’ จางซูเจินได้แต่นึกในใจ
ใบหน้าที่อ่อนหวานและรอยยิ้มที่อ่อนโยนนั้นดูภายนอกก็ดูเป็นคนดีอยู่หรอก แต่ตามที่เยี่ยซิ่วอิงบอก อีกฝ่ายไม่น่าจะใช่คนดีขนาดนั้น
แต่ตราบใดที่ยังไม่แตะต้องลูกสาวของเธอ เธอก็จะไม่แสดงอคติอะไรกับผู้หญิงคนนี้
ป้าหลานสกุลเฉินไม่ได้นำกับข้าวที่ทำเสร็จพร้อม รับประทานมา หากแต่ถือวัตถุดิบของสดทั้งเนื้อสัตว์และผักต่างๆ เข้ามาทำที่นี่แทน
อีกฝ่ายคงจะตั้งใจอยากแสดงฝีมือทำอาหารของตนให้เยี่ยหงชื่นชม และเห็นว่าตนเองเป็นคนทำจริงๆ
“แม่กับน้าเฉินไปนั่งคุยกันดีกว่า เดี๋ยวฉันจะเป็นลูกมือช่วยอี้หรูทำกับข้าวเอง” จางซูเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน
“ไม่เป็นไร ฉันชอบทำคนเดียวมากกว่า” หญิงสาวปฏิเสธน้ำใจออกมา ที่ริมฝีปากอิ่มเอิบยกมุมปากยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มที่เสแสร้ง
“ไม่ได้หรอก หากฉันไม่ทำก็จะมีคำพูดให้ได้ว่าฉันไม่ช่วยอะไรเลย” จางซูเจินยิ้มกลับแล้วแย่งของในมือเฉินเหม่ยมาถือเอาไว้ เดินนำหน้าเข้าไปในครัว ท่ามกลางสายตาไม่พอใจของคนสามคน
“สะใภ้เยี่ยพูดแบบนี้ ตั้งใจจะบอกว่าแม่สามีชอบจับผิด เมื่อวานก็ด่าว่าฉันปากเน่า สงสารแต่หลี่เฉียง เมื่อไหร่จะหย่ากับผู้หญิงคนนี้เสียที” คุณนายเฉินพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เสแสร้งว่าเห็นอกเห็นใจ
“เพราะสงสารเสี่ยวอิงน่ะสิ ถ้าไม่มีลูกด้วยกันป่านนี้ก็คงหย่าไปแล้ว...หากได้ลูกสะใภ้ที่แสนดีอย่างอี้หรูฉันก็คงเบาใจไปนานแล้วล่ะ” ในตอนท้ายประโยค เยี่ยหงหันมาพูดกับเฉินอี้หรูแล้วส่งยิ้มให้
“ท่านป้าเยี่ย ท่านอย่าพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยค่ะ” หญิงสาวก้มหน้าลงอย่างเอียงอาย หากเยี่ยหลี่เฉียงหย่าเมื่อไหร่ เธอจะครองตำแหน่งสะใภ้สกุลเยี่ยอย่างไม่รีรอ
จางซูเจินรู้ว่าแม่สามีจงใจพูดเสียงดังให้ตนได้ยิน เฉินอี้หรูเองก็ยิ้มรับอย่างเอียงอาย ส่วนนางเฉินข้างบ้านก็ชอบยุแยงถากถาง คงอยากให้หลานสาวแต่งเข้าสกุลเฉินจนตัวซีดสั่น
เธอคาดเดาเอาไว้ไม่มีผิด เยี่ยหงอยากให้เธอกับลูกชายหย่ากันแล้วแต่งงานใหม่กับเฉินอี้หรู ความกดดันนี้บางทีก็อดสงสารสะใภ้เยี่ยตัวจริงไม่ได้
เฉินอี้หรูเดินเข้ามาในครัวแล้วเริ่มก่อฟืนเพื่อเตรียมตัวทำอาหาร แล้วยื่นตะกร้าผักมาให้เธอช่วยล้าง “หากอยากช่วยก็ไปล้างผักสิ ที่นี่ไม่ใช่บ้านสกุลจางที่เธอจะงอมืองอเท้าไม่ทำอะไร”
เธอรับผักเหล่านั้นมาแล้วนำไปล้างตรงลานซักล้างใกล้กับห้องน้ำที่หลังบ้าน ก่อนจะนำกลับเข้ามาวางเอาไว้ที่โต๊ะ “ให้ฉันทำอะไรอีก”
“คนที่ไม่มีแม่คอยสอนงานบ้านงานเรือนอย่างเธอจะทำอะไรเป็นบ้างล่ะ ขนาดผู้ชายยังไม่มีใครอยากสู่ขอ หากไม่มอมเหล้าพี่หลี่เฉียงก็คงไม่ได้มายืนตรงนี้หรอก” อีกฝ่ายพูดนอกเรื่องไม่เกี่ยวกับคำถาม
“ฉันถามว่ามีอะไรให้ช่วย แล้วเธอจะมาพูดถึงครอบครัวหรือตัวฉันทำไม” จางซูเจินสูดลมหายใจเข้า พยายามควบคุมอารมณ์
เริ่มเข้าใจถึงความเกรี้ยวกราดของจางซูเจินอีกคนแล้ว ถูกยั่วยุแบบนี้มีหรือว่าจะไม่บันดาลโทสะออกมา แล้วยังจะเพื่อนบ้านปากเสียและแม่สามีชอบแขวะนั่นอีก ไม่นับสามีที่เย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็งที่แค่อยู่ใกล้ก็อึดอัดแล้ว
“รับความจริงไม่ได้หรือไง พอแม่เธอเสียพ่อเธอก็มีภรรยาใหม่ เลี้ยงดูเธอไม่ยอมให้ลำบาก พอลุงจางเสียไปอีกคนก็ถูกแม่เลี้ยงยึดสมบัติ จนต้องหาสามีสักคนมาอุ้มชู เธอเลยใช้แผนสกปรกจนพี่หลี่เฉียงของฉันต้องรับผิดชอบเธอเพื่อรักษาหน้าสกุลจาง” เฉินอี้หรูฉลาดพอที่จะพูดด้วยระดับเสียงที่ให้ได้ยินกันเพียงสองคนเท่านั้น
จางซูเจินได้รับรู้เรื่องราวของสะใภ้เยี่ยตัวจริงก็อึ้งไปสักพัก ชีวิตเธอก็ผ่านความยากลำบากมาพอสมควร ไม่อย่างนั้นมีหรือว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะเข้าหาผู้ชายเพื่อให้แต่งงานออกจากบ้านของตน
เฉินอี้หรูเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปก็คิดว่าพูดทิ่มแทงใจดำได้สำเร็จ แล้วเริ่มยั่วโทสะเพื่อให้มีการทะเลาะเกิดขึ้นจะได้เรียกร้องความสงสารจากเยี่ยหง
“หากไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรได้ก็กลับออกไปเถอะ ฉันทำคนเดียวได้ ผู้หญิงที่เก่งงานบ้านงานครัวอย่างฉันไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้หรอก”
“ฉันเชื่อว่าเธอเก่ง เธอทำได้ แม้กระทั่งมายั่วยวนสามีของคนอื่นทั้งๆ ที่เขายังไม่หย่าเธอก็ยังทำได้แนบเนียน ไม่มีใครเก่งเกินเธอแล้วอี้หรู” ริมฝีปากสวยอิ่มเปล่งประโยคเสียดแทงหัวใจออกมา
เฉินอี้หรูกำตะหลิวในมือแน่น อยากกรีดร้องออกมาแต่ก็ต้องรักษาอาการเอาไว้
“เธอมันก็แค่ภรรยาที่สามีไม่รักเท่านั้น”
“ไม่รู้สิ ถ้าเขาไม่รักเขาคงหย่าไปแล้ว ไม่ต้องให้ฉันเอาเรื่องลูกมาอ้างหรอก อีกอย่างเราก็มีความสุขกันทุกค่ำคืน ป้าเยี่ยของเธอจะมารู้เห็นอะไรด้วยล่ะ ในเมื่อก็นอนกันคนละห้อง” จางซูเจินพูดลอยหน้าลอยตา คิ้วโก่งเลิกขึ้นยกสูงแล้วยิ้มอย่างคนที่อยู่เหนือกว่า
แขกคนสำคัญถึงกับโกรธจนตัวสั่น สงสัยว่าถ้ายังอยู่ในนี้และปะทะคารมกัน อาหารคงไม่เสร็จแน่
“ในเมื่อเธอไล่ฉัน ฉันไม่ช่วยก็อย่ามาว่าฉันทีหลังก็แล้วกัน” จางซูเจินตั้งใจพูดเสียงดังให้สองคนในห้องโถงได้ยิน จากนั้นก็เอียงคอยิ้มกวนโมโหอีกฝ่ายไปหนึ่งที ก่อนจะเดินออกจากห้องครัว
เฉินอี้หรูมองตามด้วยใบหน้าที่แสดงถึงความโกรธจัด แต่เมื่อนึกได้ว่าอย่างไรเยี่ยหงก็เข้าข้างตนเองอยู่แล้วก็พยายามใจเย็นลง
เพราะหากแม่สามีไม่เอ็นดูมีหรือว่าเธอจะทนอยู่ภายใต้ความกดดันนี้ได้นาน
************************
อาหารที่เฉินอี้หรูทำเสร็จทันเวลาที่เยี่ยหลี่เฉียงเลิกงานพอดี เขายิ้มทักทายให้เธอตามมารยาท ก่อนจะเดินเข้าห้องไปเพื่อเก็บกระเป๋าเอกสารเมื่อเข้าไปถึงห้องนอน ก็เห็นว่าจางซูเจินกำลังปลุกให้เยี่ยซิ่วอิงตื่น“เสี่ยวอิงคนดีของแม่ ตื่นได้แล้ว ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ลูกจะขี้เซาเกินไปแล้วนะ” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนแสดงความรักใคร่ปลายจมูกมนคลอเคลียที่แก้มปลุกให้เด็กหญิงตื่นขึ้นมา แต่เยี่ยหลี่เฉียงเข้าใจว่าเธอเสแสร้งเพราะรู้ว่าตนเดินเข้ามาในห้อง จึงแสดงความรักต่อลูกให้เขาเห็น‘คิดว่าผมไม่รู้ทันแม่ดอกบัวขาวอย่างคุณหรือ’เมื่อลูกสาวตื่นแล้ว จางซูเจินก็อุ้มเด็กขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มทักทายสามีเพื่อเอาใจอีกฝ่าย ไหนๆก็สัญญาเอาไว้แล้วว่าเธอจะเป็นคนที่ดีกว่าเดิม แม้จะไม่อยากทักแต่ก็ต้องทักทาย เพราะต้องเจอกันไปอีกนาน“กลับมาแล้วเหรอคะ เอางานกลับมาทำที่บ้านอีกแล้วสินะ” เธอชำเลืองมองกระเป๋าเอกสารที่เขานำมาวางที่โต๊ะทำงานพลางยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “แม่ขาหนูปวดฉี่” เยี่ยซิ่วอิงบอกมารดาจางซูเจินจึงแล้วพาเด็กหญิงไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะพามานั่งร่วมโต๊ะอาหารค่ำพร้อมหน้ากับทุกคน“ดีนะเสร็จทันเวลาพอดี สงสารอี้หรูมากที่ต้องทำอ
หลังจากมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอึดอัดใจนั้นจบลง เยี่ยหลี่เฉียงก็แยกมานั่งสอนความรู้ด้านภาษากับเฉินอี้หรูตามที่เธอขอเอาไว้‘พูดขนาดนั้นแล้วแต่ไม่ยอมกลับบ้านของตัวเองไป’ จางซูเจินรู้ว่าทั้งป้าทั้งหลานนั้นหน้าหนาเหลือทน แล้วเยี่ยหงยังชวนให้คุณนายเฉินไปเดินเล่นย่อยอาหารนอกบ้าน เพื่อปล่อยให้สองคนพูดคุยกันตามลำพังอีกเธอล้างถ้วยชามอยู่นอกบ้านโดยมีลูกสาวตัวน้อยมานั่งช่วยล้าง เด็กหญิงร้องเพลงที่เธอเคยสอนไปด้วยอย่างอารมณ์ดี มือน้อยๆ ประคองถ้วยข้าวล้างน้ำสะอาดแล้วคว่ำไว้อย่างระมัดระวัง“เสี่ยวอิงของแม่เก่งที่สุด” เธอมอบคำชมนั้นให้แก่ลูกสาวรอยยิ้มและแววตาที่อบอุ่นของมารดาทำให้เยี่ยซิ่วอิงรู้สึกดีมากขึ้นทุกๆ ครั้งที่ได้อยู่ใกล้“แม่เคยเล่าให้หนูฟังว่ายายใจดีและรักแม่มาก แม่เองก็ใจดีและรักหนูเหมือนยายใช่ไหมคะ”“แม่เคยเล่าเรื่องยายให้ลูกฟังด้วยเหรอ” จางซูเจินถามยิ้มๆ ในมือก็ทำงานไปด้วย“แม่ชอบร้องไห้บ่อยๆ ค่ะ ทุกครั้งที่ร้องไห้ก็จะเล่าเรื่องยายและเรื่องตาออกมา บางครั้งหนูก็ฟังจนหลับไป” คำพูดที่ไร้เดียงสานั้นทำให้จางซูเจินประหลาดใจผู้หญิงคนนั้นร้องไห้ระบายความในใจกับลูกสาวของตนอย่างนั้นหรือ
เมื่ออาบน้ำเข้ามาในห้องนอน เยี่ยหลี่เฉียงก็พบว่าภรรยาและลูกสาวได้หลับไปแล้วหากมองอย่างไม่มีอคติแล้ว จางซูเจินก็เป็นผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่ง สกุลจางหลังจากขาดเสาหลักไป ลูกของภรรยาเก่าอย่างเธอก็ถูกรังแกจากแม่เลี้ยง‘แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำแบบนั้นกับผมได้’ เมื่อพยายามจะมองเธอในแง่ดี แต่อคติภายในใจก็พวยพุ่งออกมาจากความรู้สึกที่พยายามเก็บซ่อนไว้วันนั้นเขามีงานเลี้ยงที่เจ้านายชาวต่างชาติจัดขึ้นที่ร้านอาหาร ขากลับเมามากและถูกจางซูเจินพาไปที่โรงแรมเพื่อมีสัมพันธ์กันเขาต้องแต่งงานกับเธอเพื่อรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามทำให้ชีวิตคู่ดีขึ้นแต่อีกฝ่ายก็ขยันสร้างแต่เรื่องให้มารดาเขาไม่พอใจจะว่าไปจางซูเจินเริ่มชอบเสี่ยงโชคก็ตอนที่เธอคลอดเยี่ยซิ่วอิงแล้ว จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าที่เธอทำแบบนั้นเพื่อเตรียมทุนรอหย่าจากเขาจริงๆ อย่างที่ลูกสาวพรั่งพรูออกมาเมื่อตอนหัวค่ำเยี่ยหลี่เฉียงสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ นั้นออกไป แล้วแทรกด้วยความคิดที่ว่า ผู้หญิงคนนั้นชอบเหลือเกินเวลาที่เขาหลับแล้วเธอจะเป็นฝ่ายปลุกเร้าอารมณ์แล้วร่วมรักกันโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัวอยู่บ่อยครั้ง ผู้หญิงแบบนี้นะหรือคือคนน่าสง
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเช้าวันนี้ ทำให้เยี่ยหงและเยี่ยหลี่เฉียงดูไม่เจริญอาหารนักคนหนึ่งรู้สึกผิดที่ต้องบอกความรู้สึกตามตรงกับมารดา และรู้สึกผิดที่ต้องบอกความจริงเรื่องที่เฉินเหม่ยแอบนินทาลับหลังให้รู้ทั้งที่ปิดบังมานานส่วนอีกคนก็รู้สึกผิดหวังที่เพื่อนบ้านที่ตนวางใจ เอาตนไปพูดนินทาเสียหายว่าเห็นแก่ได้ ทั้งๆ ที่คุณนายเฉินและหลานสาวเป็นฝ่ายเสนอข้อตกลงทำอาหารให้แต่แรกอีกทั้งรับรู้ความรู้สึกอึดอัดใจของลูกชายว่าเกิดจากแม่อย่างตน ก็ยิ่งทำให้รู้สึกแย่ไปอีกเป็นเท่าตัว แต่ถึงอย่างนั้นในใจก็ยังอยากได้เฉินอี้หรูมาเป็นสะใภ้มากกว่าจางซูเจินอยู่ดี“แม่ขา วันนี้ไปเดินเล่นกันนะคะ” เยี่ยซิ่วอิงที่กินอาหารเสร็จแล้วบอกมารดา“ได้สิ เอาไว้เราทำงานบ้านช่วยย่าเสร็จแล้ว ตอนบ่ายเสี่ยวอิงนอนกลางวันให้เต็มที่ ตอนเย็นแม่จะพาไปนะ” เธอมีข้อแม้กับลูกสาวน้ำเสียงและกิริยาที่อ่อนโยนของเธอ พร้อมกับประโยคที่บอกเขาในวันนั้นว่าเธอจะปรับปรุงตัวใหม่ ทำให้เยี่ยหลี่เฉียงรับรู้ได้ว่าตอนนี้เธอเปลี่ยนไปมาก...มากราวกับเป็นคนละคน“เดี๋ยวฉันเอาซาลาเปาใส่กล่องให้ไปกินที่บริษัทนะ เผื่อหิวระหว่างวันคุณจะได้หยิบมันขึ้นมากิน” เธอหันไปบอ
ในสวนสาธารณะแถวบ้าน ที่มีผู้คนทยอยเข้ามาเดินเล่นกันมากจนเริ่มหนาตา โดยเฉพาะเด็กๆ ที่มารวมตัวกันแล้วจับกลุ่มกันวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานหลังจากแนะนำตัวกันไปแล้ว หยางซินและซ่งเหลียนยังคงเกี่ยงกันที่จะตั้งคำถามกับจางซูเจินในเรื่องที่พวกเธออยากรู้“ถามมาเถอะค่ะ” จางซูเจินพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจจนทั้งสองรู้สึกเกรงใจที่จะถาม“เอ่อ ฉันจะถามว่าเธอน่ะ ล่อลวงหลี่เฉียงเพื่อให้เขารับผิดชอบแต่งงานด้วยจริงหรือเปล่า”คำถามที่ตรงไปตรงมานั้นทำให้จางซูเจินนิ่งเงียบไป ก่อนจะยิ้มออกมาพร้อมกับคำตอบที่จริงใจ“ใช่ ฉันรักหลี่เฉียง เลยทำทุกอย่างเพื่อให้ได้แต่งงานกับคนที่ฉันรัก” ประโยคที่จางซูเจินสารภาพออกมา ไม่เพียงทำให้หญิงสาวทั้งสองเอามือทาบอกด้วยความตกใจแต่เยี่ยหลี่เฉียงที่เลิกงานแล้ว เขาจำได้ว่าภรรยาและลูกจะมาที่สวนแห่งนี้จึงแวะมาหา พอได้ยินเข้าแบบนั้นก็ถึงกับมือไม้สั่นด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกมือหนาเดี๋ยวกำเดี๋ยวคลาย เท้าจะก้าวไปหาแต่ก็ขาแข็งทื่อเดินไม่ออก ได้แต่มองทั้งสามจากด้านหลัง ไม่มีความกล้าที่จะเดินไปหาอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก บอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุใดไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกใจเต้นก
เมื่อกลับไปถึงบ้าน จางซูเจินก็เพิ่งจะนึกออกว่าเธอพลาดช่วงเวลาในการช่วยแม่สามีในการทำอาหารเย็นไปแล้วอย่างไม่น่าให้อภัยอาหารที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะนั้นถูกปรุงด้วยฝีมือของเยี่ยหง เยี่ยหลี่เฉียงเองก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมจะมานั่งรับประทานมื้อค่ำแล้วในตอนนั้นเธอนึกตำหนิตัวเองในใจ อุตส่าห์รับปากกับสามีแล้วแท้ๆ ว่าจะปรับปรุงตัวเป็นคนใหม่ แต่ดันพลาดจนได้เพราะมัวแต่พูดคุยกับสหายใหม่ทั้งสอง และเยี่ยซิ่วอิงเองก็วิ่งเล่นอย่างสนุกสนานจึงไม่ได้ขัดลูกในตอนนั้นจริงๆ หากเด็กหญิงไม่เหนื่อยแล้วชวนกลับบ้านเธอก็ยังไม่ได้จะกลับเสียด้วยซ้ำ“ขอโทษค่ะแม่ พอดีว่าฉันได้เพื่อนใหม่แล้วคุยเพลินไปหน่อย” หญิงสาวกล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดอย่างจริงใจ ไม่ได้กล่าวโทษลูกสาวที่วิ่งเล่นจนเกือบจะมืดค่ำ“ฉันชินกับพฤติกรรมของเธอแล้ว ไม่ต้องมาขอโทษฉันหรอก” น้ำเสียงที่เอ่ยประโยคนั้นบ่งบอกถึงความไม่พอใจอยู่ลึกๆ“รีบมากินข้าวก่อนสิ กินเสร็จค่อยไปอาบน้ำ” เยี่ยหลี่เฉียงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงปกติเป็นน้ำเสียงปกติของคนทั่วไป แต่มันไม่ปกติสำหรับเธอ เพราะมันไม่มีความเย็นชาแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นและเหมือนเธอจะเห็นแววตาของ
เยี่ยหงเรียกให้จางซูเจินไปล้างถ้วยชามที่หลังบ้าน โดยที่ตนเองก็แยกพาเยี่ยซิ่วอิงไปอาบน้ำ ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกชายได้อยู่กับหญิงสาวที่ตนอยากให้มาแทนที่ลูกสะใภ้แสนร้าย“แต่แม่คะ อี้หรูชักชวนให้ฉันเรียนไปด้วยกัน ฉันอยากเรียนมากกว่าค่ะ เรียนเสร็จฉันจึงจะไปล้างให้” จางซูเจินตั้งใจที่จะปฏิเสธด้วยเหตุผลที่อยากเรียนรู้ แต่จริงๆ อยากไปขัดคอทั้งสองต่างหาก“เธอจะรู้ภาษาอังกฤษไปทำไมกัน ความรู้ก็ไม่มี เรียนไปก็ไม่รู้เรื่องหรอก ไปล้างถ้วยน่ะดีแล้ว ฉันเองก็จะได้ช่วยอาบน้ำให้เสี่ยวอิง” เยี่ยหงไม่ยอมเธออยากให้เฉินอี้หรูมีโอกาสใกล้ชิดกับลูกชายตนให้ได้มากที่สุดจางซูเจินรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเยี่ยหงก็ยังคงจะกีดกันตน และแสดงออกชัดเจนว่าสนับสนุนให้เฉินอี้หรูเข้ามาวุ่นวายภายในบ้านเธอต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง อย่างน้อยกะเพื่อสวัสดิภาพของเยี่ยซิ่วอิง ไม่ให้ย่าใจร้ายต้องหาแม่เลี้ยงมาดูแลเด็กหญิงเพราะเท่าที่ดูแล้วเฉินอี้หรูไม่ได้ต้องการลูก แต่เธอต้องการพ่อเด็กมากกว่า “ว่าอย่างไร จะไปล้างถ้วยหรือจะให้ฉันต้องไปล้างเอง” “ค่ะ” เธอตอบรับอย่างสุภาพแล้ว ยกกะละมังใส่ถ้วยชามไปล้างที่หลังบ้
“หยุดนะ ไอ้โจรชั่ว!” เสียงตะโกนของหญิงสาวที่กำลังวิ่งตามโจรวิ่งราว ทำให้วัยรุ่นชายที่ปิดหน้าปิดตานั้นเร่งเท้าให้ไวขึ้นจางซูเจินในชุดกี่เพ้าสีชมพูลายดอกโบตั๋นที่สวมไปงานเลี้ยง เธอวิ่งตามคนร้ายไปจนถึงตรอกคับแคบ เห็นแผ่นหลังนั้นเลี้ยวเข้าไปในประตูไม้ผุพังที่อยู่สุดทางเดินก็วิ่งตามเข้าไปในจังหวะนั้นเธอกำลังจะเดินเข้าไปก็ชนเข้ากับผู้หญิงอีกคนที่วิ่งสวนออกมา ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง ใบหน้าและชุดที่ทั้งคู่สวมใส่นั้นเหมือนกันราวกับฝาแฝดต่างคนต่างจ้องมองกันด้วยความตกใจ แล้วหญิงสาวคนนั้นก็ได้สติก่อนจึงรีบวิ่งไปอีกทางด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนก จางซูเจินเองก็ทำอะไรไม่ถูก เธอตัดสินใจที่จะตามโจรวิ่งราวต่อตรงหน้าเป็นประตูไม้ที่เปิดอ้าอยู่ เห็นแสงสว่างส่องออกมาจนแสบตา เธอคิดว่าเป็นทางออกทะลุไปอีกด้านจึงรีบวิ่งเข้าประตูไปเพื่อตามคนร้ายพอพ้นออกมาแสงสว่างที่เจิดจ้าพลันหายไป เธอขยี้ตามองอีกครั้ง ‘หรือว่าตาฝาดกันนะ’ หญิงสาวสะบัดหัวทิ้งความคิดเหลวไหล พลางรีบวิ่งตามคนร้ายต่อจนไปถึงถนนที่มีร้านค้าก็ไม่เห็นเขาแล้ว“หายไปไหนแล้วนะ เจ็บใจนัก” จางซูเจินพูดด้วยความเจ็บใจ เงินในกระเป๋ามีไม่เท่าไรแต่บัตร
เยี่ยหงเรียกให้จางซูเจินไปล้างถ้วยชามที่หลังบ้าน โดยที่ตนเองก็แยกพาเยี่ยซิ่วอิงไปอาบน้ำ ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกชายได้อยู่กับหญิงสาวที่ตนอยากให้มาแทนที่ลูกสะใภ้แสนร้าย“แต่แม่คะ อี้หรูชักชวนให้ฉันเรียนไปด้วยกัน ฉันอยากเรียนมากกว่าค่ะ เรียนเสร็จฉันจึงจะไปล้างให้” จางซูเจินตั้งใจที่จะปฏิเสธด้วยเหตุผลที่อยากเรียนรู้ แต่จริงๆ อยากไปขัดคอทั้งสองต่างหาก“เธอจะรู้ภาษาอังกฤษไปทำไมกัน ความรู้ก็ไม่มี เรียนไปก็ไม่รู้เรื่องหรอก ไปล้างถ้วยน่ะดีแล้ว ฉันเองก็จะได้ช่วยอาบน้ำให้เสี่ยวอิง” เยี่ยหงไม่ยอมเธออยากให้เฉินอี้หรูมีโอกาสใกล้ชิดกับลูกชายตนให้ได้มากที่สุดจางซูเจินรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเยี่ยหงก็ยังคงจะกีดกันตน และแสดงออกชัดเจนว่าสนับสนุนให้เฉินอี้หรูเข้ามาวุ่นวายภายในบ้านเธอต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง อย่างน้อยกะเพื่อสวัสดิภาพของเยี่ยซิ่วอิง ไม่ให้ย่าใจร้ายต้องหาแม่เลี้ยงมาดูแลเด็กหญิงเพราะเท่าที่ดูแล้วเฉินอี้หรูไม่ได้ต้องการลูก แต่เธอต้องการพ่อเด็กมากกว่า “ว่าอย่างไร จะไปล้างถ้วยหรือจะให้ฉันต้องไปล้างเอง” “ค่ะ” เธอตอบรับอย่างสุภาพแล้ว ยกกะละมังใส่ถ้วยชามไปล้างที่หลังบ้
เมื่อกลับไปถึงบ้าน จางซูเจินก็เพิ่งจะนึกออกว่าเธอพลาดช่วงเวลาในการช่วยแม่สามีในการทำอาหารเย็นไปแล้วอย่างไม่น่าให้อภัยอาหารที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะนั้นถูกปรุงด้วยฝีมือของเยี่ยหง เยี่ยหลี่เฉียงเองก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมจะมานั่งรับประทานมื้อค่ำแล้วในตอนนั้นเธอนึกตำหนิตัวเองในใจ อุตส่าห์รับปากกับสามีแล้วแท้ๆ ว่าจะปรับปรุงตัวเป็นคนใหม่ แต่ดันพลาดจนได้เพราะมัวแต่พูดคุยกับสหายใหม่ทั้งสอง และเยี่ยซิ่วอิงเองก็วิ่งเล่นอย่างสนุกสนานจึงไม่ได้ขัดลูกในตอนนั้นจริงๆ หากเด็กหญิงไม่เหนื่อยแล้วชวนกลับบ้านเธอก็ยังไม่ได้จะกลับเสียด้วยซ้ำ“ขอโทษค่ะแม่ พอดีว่าฉันได้เพื่อนใหม่แล้วคุยเพลินไปหน่อย” หญิงสาวกล่าวขอโทษด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดอย่างจริงใจ ไม่ได้กล่าวโทษลูกสาวที่วิ่งเล่นจนเกือบจะมืดค่ำ“ฉันชินกับพฤติกรรมของเธอแล้ว ไม่ต้องมาขอโทษฉันหรอก” น้ำเสียงที่เอ่ยประโยคนั้นบ่งบอกถึงความไม่พอใจอยู่ลึกๆ“รีบมากินข้าวก่อนสิ กินเสร็จค่อยไปอาบน้ำ” เยี่ยหลี่เฉียงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงปกติเป็นน้ำเสียงปกติของคนทั่วไป แต่มันไม่ปกติสำหรับเธอ เพราะมันไม่มีความเย็นชาแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นและเหมือนเธอจะเห็นแววตาของ
ในสวนสาธารณะแถวบ้าน ที่มีผู้คนทยอยเข้ามาเดินเล่นกันมากจนเริ่มหนาตา โดยเฉพาะเด็กๆ ที่มารวมตัวกันแล้วจับกลุ่มกันวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานหลังจากแนะนำตัวกันไปแล้ว หยางซินและซ่งเหลียนยังคงเกี่ยงกันที่จะตั้งคำถามกับจางซูเจินในเรื่องที่พวกเธออยากรู้“ถามมาเถอะค่ะ” จางซูเจินพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจจนทั้งสองรู้สึกเกรงใจที่จะถาม“เอ่อ ฉันจะถามว่าเธอน่ะ ล่อลวงหลี่เฉียงเพื่อให้เขารับผิดชอบแต่งงานด้วยจริงหรือเปล่า”คำถามที่ตรงไปตรงมานั้นทำให้จางซูเจินนิ่งเงียบไป ก่อนจะยิ้มออกมาพร้อมกับคำตอบที่จริงใจ“ใช่ ฉันรักหลี่เฉียง เลยทำทุกอย่างเพื่อให้ได้แต่งงานกับคนที่ฉันรัก” ประโยคที่จางซูเจินสารภาพออกมา ไม่เพียงทำให้หญิงสาวทั้งสองเอามือทาบอกด้วยความตกใจแต่เยี่ยหลี่เฉียงที่เลิกงานแล้ว เขาจำได้ว่าภรรยาและลูกจะมาที่สวนแห่งนี้จึงแวะมาหา พอได้ยินเข้าแบบนั้นก็ถึงกับมือไม้สั่นด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกมือหนาเดี๋ยวกำเดี๋ยวคลาย เท้าจะก้าวไปหาแต่ก็ขาแข็งทื่อเดินไม่ออก ได้แต่มองทั้งสามจากด้านหลัง ไม่มีความกล้าที่จะเดินไปหาอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก บอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุใดไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกใจเต้นก
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเช้าวันนี้ ทำให้เยี่ยหงและเยี่ยหลี่เฉียงดูไม่เจริญอาหารนักคนหนึ่งรู้สึกผิดที่ต้องบอกความรู้สึกตามตรงกับมารดา และรู้สึกผิดที่ต้องบอกความจริงเรื่องที่เฉินเหม่ยแอบนินทาลับหลังให้รู้ทั้งที่ปิดบังมานานส่วนอีกคนก็รู้สึกผิดหวังที่เพื่อนบ้านที่ตนวางใจ เอาตนไปพูดนินทาเสียหายว่าเห็นแก่ได้ ทั้งๆ ที่คุณนายเฉินและหลานสาวเป็นฝ่ายเสนอข้อตกลงทำอาหารให้แต่แรกอีกทั้งรับรู้ความรู้สึกอึดอัดใจของลูกชายว่าเกิดจากแม่อย่างตน ก็ยิ่งทำให้รู้สึกแย่ไปอีกเป็นเท่าตัว แต่ถึงอย่างนั้นในใจก็ยังอยากได้เฉินอี้หรูมาเป็นสะใภ้มากกว่าจางซูเจินอยู่ดี“แม่ขา วันนี้ไปเดินเล่นกันนะคะ” เยี่ยซิ่วอิงที่กินอาหารเสร็จแล้วบอกมารดา“ได้สิ เอาไว้เราทำงานบ้านช่วยย่าเสร็จแล้ว ตอนบ่ายเสี่ยวอิงนอนกลางวันให้เต็มที่ ตอนเย็นแม่จะพาไปนะ” เธอมีข้อแม้กับลูกสาวน้ำเสียงและกิริยาที่อ่อนโยนของเธอ พร้อมกับประโยคที่บอกเขาในวันนั้นว่าเธอจะปรับปรุงตัวใหม่ ทำให้เยี่ยหลี่เฉียงรับรู้ได้ว่าตอนนี้เธอเปลี่ยนไปมาก...มากราวกับเป็นคนละคน“เดี๋ยวฉันเอาซาลาเปาใส่กล่องให้ไปกินที่บริษัทนะ เผื่อหิวระหว่างวันคุณจะได้หยิบมันขึ้นมากิน” เธอหันไปบอ
เมื่ออาบน้ำเข้ามาในห้องนอน เยี่ยหลี่เฉียงก็พบว่าภรรยาและลูกสาวได้หลับไปแล้วหากมองอย่างไม่มีอคติแล้ว จางซูเจินก็เป็นผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่ง สกุลจางหลังจากขาดเสาหลักไป ลูกของภรรยาเก่าอย่างเธอก็ถูกรังแกจากแม่เลี้ยง‘แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำแบบนั้นกับผมได้’ เมื่อพยายามจะมองเธอในแง่ดี แต่อคติภายในใจก็พวยพุ่งออกมาจากความรู้สึกที่พยายามเก็บซ่อนไว้วันนั้นเขามีงานเลี้ยงที่เจ้านายชาวต่างชาติจัดขึ้นที่ร้านอาหาร ขากลับเมามากและถูกจางซูเจินพาไปที่โรงแรมเพื่อมีสัมพันธ์กันเขาต้องแต่งงานกับเธอเพื่อรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามทำให้ชีวิตคู่ดีขึ้นแต่อีกฝ่ายก็ขยันสร้างแต่เรื่องให้มารดาเขาไม่พอใจจะว่าไปจางซูเจินเริ่มชอบเสี่ยงโชคก็ตอนที่เธอคลอดเยี่ยซิ่วอิงแล้ว จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าที่เธอทำแบบนั้นเพื่อเตรียมทุนรอหย่าจากเขาจริงๆ อย่างที่ลูกสาวพรั่งพรูออกมาเมื่อตอนหัวค่ำเยี่ยหลี่เฉียงสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ นั้นออกไป แล้วแทรกด้วยความคิดที่ว่า ผู้หญิงคนนั้นชอบเหลือเกินเวลาที่เขาหลับแล้วเธอจะเป็นฝ่ายปลุกเร้าอารมณ์แล้วร่วมรักกันโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัวอยู่บ่อยครั้ง ผู้หญิงแบบนี้นะหรือคือคนน่าสง
หลังจากมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอึดอัดใจนั้นจบลง เยี่ยหลี่เฉียงก็แยกมานั่งสอนความรู้ด้านภาษากับเฉินอี้หรูตามที่เธอขอเอาไว้‘พูดขนาดนั้นแล้วแต่ไม่ยอมกลับบ้านของตัวเองไป’ จางซูเจินรู้ว่าทั้งป้าทั้งหลานนั้นหน้าหนาเหลือทน แล้วเยี่ยหงยังชวนให้คุณนายเฉินไปเดินเล่นย่อยอาหารนอกบ้าน เพื่อปล่อยให้สองคนพูดคุยกันตามลำพังอีกเธอล้างถ้วยชามอยู่นอกบ้านโดยมีลูกสาวตัวน้อยมานั่งช่วยล้าง เด็กหญิงร้องเพลงที่เธอเคยสอนไปด้วยอย่างอารมณ์ดี มือน้อยๆ ประคองถ้วยข้าวล้างน้ำสะอาดแล้วคว่ำไว้อย่างระมัดระวัง“เสี่ยวอิงของแม่เก่งที่สุด” เธอมอบคำชมนั้นให้แก่ลูกสาวรอยยิ้มและแววตาที่อบอุ่นของมารดาทำให้เยี่ยซิ่วอิงรู้สึกดีมากขึ้นทุกๆ ครั้งที่ได้อยู่ใกล้“แม่เคยเล่าให้หนูฟังว่ายายใจดีและรักแม่มาก แม่เองก็ใจดีและรักหนูเหมือนยายใช่ไหมคะ”“แม่เคยเล่าเรื่องยายให้ลูกฟังด้วยเหรอ” จางซูเจินถามยิ้มๆ ในมือก็ทำงานไปด้วย“แม่ชอบร้องไห้บ่อยๆ ค่ะ ทุกครั้งที่ร้องไห้ก็จะเล่าเรื่องยายและเรื่องตาออกมา บางครั้งหนูก็ฟังจนหลับไป” คำพูดที่ไร้เดียงสานั้นทำให้จางซูเจินประหลาดใจผู้หญิงคนนั้นร้องไห้ระบายความในใจกับลูกสาวของตนอย่างนั้นหรือ
อาหารที่เฉินอี้หรูทำเสร็จทันเวลาที่เยี่ยหลี่เฉียงเลิกงานพอดี เขายิ้มทักทายให้เธอตามมารยาท ก่อนจะเดินเข้าห้องไปเพื่อเก็บกระเป๋าเอกสารเมื่อเข้าไปถึงห้องนอน ก็เห็นว่าจางซูเจินกำลังปลุกให้เยี่ยซิ่วอิงตื่น“เสี่ยวอิงคนดีของแม่ ตื่นได้แล้ว ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ลูกจะขี้เซาเกินไปแล้วนะ” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนแสดงความรักใคร่ปลายจมูกมนคลอเคลียที่แก้มปลุกให้เด็กหญิงตื่นขึ้นมา แต่เยี่ยหลี่เฉียงเข้าใจว่าเธอเสแสร้งเพราะรู้ว่าตนเดินเข้ามาในห้อง จึงแสดงความรักต่อลูกให้เขาเห็น‘คิดว่าผมไม่รู้ทันแม่ดอกบัวขาวอย่างคุณหรือ’เมื่อลูกสาวตื่นแล้ว จางซูเจินก็อุ้มเด็กขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มทักทายสามีเพื่อเอาใจอีกฝ่าย ไหนๆก็สัญญาเอาไว้แล้วว่าเธอจะเป็นคนที่ดีกว่าเดิม แม้จะไม่อยากทักแต่ก็ต้องทักทาย เพราะต้องเจอกันไปอีกนาน“กลับมาแล้วเหรอคะ เอางานกลับมาทำที่บ้านอีกแล้วสินะ” เธอชำเลืองมองกระเป๋าเอกสารที่เขานำมาวางที่โต๊ะทำงานพลางยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “แม่ขาหนูปวดฉี่” เยี่ยซิ่วอิงบอกมารดาจางซูเจินจึงแล้วพาเด็กหญิงไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะพามานั่งร่วมโต๊ะอาหารค่ำพร้อมหน้ากับทุกคน“ดีนะเสร็จทันเวลาพอดี สงสารอี้หรูมากที่ต้องทำอ
บรรยากาศในสวนสาธารณะทำให้จางซูเจินไม่อยากกลับไปที่บ้านสกุลเยี่ยเลยแม้แต่นิด แม้พยายามมองข้ามคำพูดถากถางจากเยี่ยหงแล้ว แต่การได้ยินคำพูดแง่ลบผ่านหูก็อดรู้สึกอึดอัดใจไม่ได้บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้จางซูเจินคนนั้นไม่อยากอยู่บ้าน เพราะหากอยู่แล้วไม่สบายใจเป็นตนก็ไม่อยากอยู่เหมือนกันทั้งสองนั่งเล่นอยู่ที่สวนนั้นสักพัก เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงกำลังง่วงเพราะคงได้เวลานอนกลางวันตามประสาเด็ก เธอก็แบกลูกสาวขึ้นขี่หลังเดินกลับไปที่บ้านจางซูเจินตั้งใจว่าจะพาเยี่ยซิ่วอิงเข้านอนแล้วก็จะเตรียมตัวหุงข้าวเอาไว้ต้อนรับแขกในตอนเย็นแต่พอกลับไปถึงก็พบว่าแม่สามีจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว และมีสีหน้าที่บึ้งตึงราวกับจะตำหนิว่าเธอมัวแต่เที่ยวเดินเตร็ดเตร่ ใช้การพาลูกเดินเที่ยวเป็นข้ออ้างไม่มาช่วยหุงข้าวทั้งๆ ที่รับปากเอาไว้แล้วเธอจึงพาเยี่ยซิ่วอิงเข้าไปนอนในห้อง แล้วกลับออกมาเพื่อที่จะช่วยงานอย่างอื่น“มีอะไรให้ฉันช่วยอีกไหมคะ”“ไม่ต้องหรอก เชิญเธอไปแต่งหน้าแต่งตัวสวยๆ อย่างที่ชอบทำเป็นประจำเถอะ” ประโยคเหน็บแนมด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ กับสายตาที่มองด้วยความรังเกียจ ทำให้ซูเจินต้องสงบปากสงบคำเอาไว้สักพักก็มีเ
การทำงานบ้านนั้นไม่ใช่งานที่หนักหนาอะไรมากนัก จางซูเจินปัดกวาดเช็ดถูบ้านโดยมีลูกมืออย่างเยี่ยซิ่วอิงช่วยแม่ทำงานบ้านอย่างตั้งใจเยี่ยหงมองความตั้งใจนั้น รู้สึกชื่นชมที่อีกฝ่ายสอนงานบ้านหลานสาวของตนด้วยความใจเย็น แต่ก็ไม่ได้วางใจลูกสะใภ้มากนัก“ตอนเย็นบ้านเราจะมีแขกมากินมื้อค่ำด้วย” น้ำเสียงนั้นราบเรียบ ราวกับว่าพูดลอยๆ กับสายลมจางซูเจินหันไปมองแม่สามีที่เดินเข้ามาบอกตนแล้วยิ้มรับ “แม่จะให้ฉันหุงข้าวเพิ่ม หรือช่วยเป็นลูกมือทำอาหารหรือคะ ฉันยินดีช่วยเต็มที่”ความกระตือรือร้นของลูกสะใภ้ทำให้เธอหมั่นไส้ คนดีที่ไหนจะเอาตัวเข้าหาผู้ชายด้วยวิธีสกปรก“แค่หุงข้าวเพิ่มเท่านั้น ปกติอี้หรูจะมาทำกับข้าวที่นี่ เธอชอบทำอาหาร อาหลี่เองก็ติดใจฝีมือเธอมากเลยล่ะ” รอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ของแม่สามียามที่พูดถึงแขกคนสำคัญ ทำให้จางซูเจินรับรู้ได้ว่าคนคนนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่“อี้หรูเหรอคะ” เธอพูดทวนชื่อเสียงเบาเยี่ยหงคิดไว้อยู่แล้วว่าหากรู้ว่าเฉินอี้หรูมาหาที่บ้าน จางซูเจินจะต้องเก็บอาการไม่อยู่แล้วเปิดเผยตัวตนออกมาแน่“ใช่ อี้หรูจะมาเยี่ยมคุณนายเฉินผู้เป็นป้า ทุกครั้งที่มาบ้านเราก็เชิญเธอมากินข้าวอยู่เป็นประจำ