ในห้องน้ำ สองแม่ลูกผลัดกันถูหลังให้แก่กัน แล้วร้องเพลงไปด้วยอย่างมีความสุข
เป็นครั้งแรกที่เยี่ยซิ่วอิงอาบน้ำอย่างมีความสุขมากขนาดนี้ ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าวันที่เธอรอคอยได้มาถึงแล้ว
“แม่คะ หนูมีความสุขมากเลย”
“แม่ก็มีความสุข” จางซูเจินยอมรับในสถานะแม่ของตน จากนั้นก็สอนลูกสาวร้องเพลงเด็กอนุบาลในยุคของตน แล้วหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
เยี่ยหงที่ยื่นหูฟังก็รู้สึกหมั่นไส้ จางซูเจินเป็นอย่างนี้เสมอ พอทำให้ลูกสาวร้องไห้ก็มักจะแสดงความรักออกมาเพื่อไม่ให้เด็กเอาความไปฟ้องบิดา
จางซูเจินสังเกตว่าผมหน้าม้าของเด็กหญิงเริ่มยาวปิดตาแล้ว เธอเอากรรไกรมาเล็มผมหน้าม้าให้แล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจในฝีมือของตน
จะว่าไปแล้วเธอก็ตอนสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย เธอก็เคยทำงานพิเศษเป็นลูกมือในร้านเสริมสวยพอจะมีประสบการณ์อยู่บ้าง
ทำอาหารไม่ได้ ปลูกผักไม่เป็น อนาคตอาจถูกสามีขอหย่า ถ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้เธอก็จะไปรับจ้างในร้านเสริมสวยก็น่าจะดี
‘ถ้าหย่าแล้วเสี่ยวอิงล่ะ’ จางซูเจินนึกถึงเด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้า พลันสลัดความคิดนั้นออกไปจากหัวเมื่อดวงตากลมโตมองมาด้วยแววตาที่รักและเทิดทูน
“เราไปแต่งตัวกันเถอะ” เธอบอกเด็กหญิงแล้วพากลับไปแต่งตัวที่ห้องนอน
เลือกชุดออกมาให้เด็กน้อยสวมใส่ แล้วเลือกเสื้อผ้าสีพื้นมาสวมใส่จนเยี่ยซิ่วอิงเอียงคอมองมารดาด้วยความสงสัย
“แม่ไม่ใส่ชุดสวยๆ เหรอคะ”
“แม่ไม่ได้ออกไปไหนนี่”
“ปกติแม่ไม่ไปไหนแม่ก็แต่งตัวสวย เสื้อผ้าพวกเป็นเสื้อผ้าที่พ่อซื้อให้แต่แม่บอกไม่ชอบเลยไม่เคยใส่” เสียงพูดเจื้อยแจ้วนั้นน่าเอ็นดูมาก
ประโยคนี้ทำให้จางซูเจินรู้จักจางซูเจินคนเดิมมากขึ้น และพอเข้าใจได้ว่าทำไมแม่สามีมีถึงไม่ชอบใจสะใภ้คนนี้
เธอนั่งมัดผมเกล้าเป็นจุกซาลาเปาเล็กๆ สองข้างให้แก่ลูกสาว จากนั้นก็พาออกไปนั่งที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่เยี่ยหงกำลังเตรียมอาหารเย็น
“ให้ฉันช่วยหั่นผักนะคะ” เธอไม่รอฟังคำอนุญาตแล้วเดินเข้าไปจะหยิบผักมาช่วยหั่น
“ไม่ต้อง” นางเยี่ยบอกปัดอย่างไม่พอใจ
“แม่ต้องให้ฉันทำช่วยบ้างนะคะ หากฉันไม่หัดทำต่อไปจะช่วยเบาแรงแม่ได้อย่างไร” เธอบอกด้วยความใจเย็น พยายามอดทนให้ได้มากที่สุด
เยี่ยหงได้ยินดังนั้น พลันเกิดอยากรู้ว่าคนอย่างจางซูเจินจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริงหรือ ในเมื่อก็ให้โอกาสมาหลายปีแล้ว ให้โอกาสอีกสักวันคงไม่เป็นไร
“หั่นผักยาวสักสองชุ่น (สองนิ้ว) จะได้กินง่ายๆ” น้ำเสียงนั้นราบเรียบ แล้วมองวิธีหั่นผักที่ดูเก้กังนั้นด้วยรอยยิ้มที่เหยียดหยัน
“แม่คะ หนูกินลูกกวาดได้ไหม” เยี่ยซิ่วอิงถามขึ้น พร้อมกับในมือที่ถือลูกกวาดเดินเข้ามาหา
“แม่ให้กินลูกกวาดเม็ดเดียวก็พอนะ วันนี้ค่ำแล้วลูกต้องกินข้าวก่อน พรุ่งนี้ค่อยกินอีก” จางซูเจินบอกลูกสาว แล้วช่วยแม่สามีทำอย่างอื่นต่อ
เมื่อเห็นว่าลูกสะใภ้ไม่ได้ดุด่าหลานสาวต่อหน้า เยี่ยจงจึงไม่ได้บ่นว่าอะไรออกมา เธอสอนวิธีปรุงอาหารอย่างง่ายให้แก่จางซูเจิน เพื่อที่จะรอซ้ำเติมตอนที่ทำพลาด แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะตั้งใจมาก
‘ทำตัวดีหนึ่งวันหรือจะทดแทนความเลวร้ายตลอดห้าปีที่ผ่านมาได้’ เยี่ยหงยังคงถืออคติ พลางคิดว่าสะใภ้ดอกบัวขาวคนนี้อาจกำลังทำให้ตายใจ แล้วจะมีแผนการอะไรในภายหลังแน่นอน
เมื่ออาหารเย็นทำเสร็จแล้ว เยี่ยหลี่เฉียงก็มาถึงบ้าน เขาเดินเข้าในด้วยท่าทางที่เหน็ดเหนื่อย พอเห็นว่าลูกสาวตัดผมหน้าม้าแล้วและทำทรงผมมัดจุกสองข้างน่าเอ็นดูก็ยิ้มอย่างชื่นชม “เสี่ยวอิงของพ่อวันนี้น่ารักมาก”
“แม่ทำค่ะ แม่ตัดผมและมัดผมให้หนู เหมือนซาลาเปาใช่ไหมล่ะ” เด็กน้อยพูดเสียงใสด้วยความร่าเริง และดูมีความสุขมาก
เยี่ยหลี่เฉียงมองหน้าภรรยาที่กำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่ เธอช่วยมารดาของเขาและทำดีกับลูกย่อมมีเหตุผลแน่ และเยี่ยหงก็รู้ทันความคิดลูกชาย
“ตอนบ่ายเสี่ยวอิงฉี่ราดใส่ชุดของซูเจินน่ะ คงถูกด่ามา แม่ได้ยินแต่เสียงร้องไห้” เธออธิบายให้ลูกชายรู้ว่าที่จางซูเจินทำไปเพื่อปกปิดความผิดของตน
“แม่ไม่ได้ด่าหนูนะคะ แม่บอกรักหนูค่ะพ่อ ที่หนูร้องไห้เพราะหนูดีใจ แม่ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เสี่ยวอิงรักแม่ที่สุดเลย” เด็กหญิงรีบปกป้องแม่
แต่ไม่มีใครเชื่อเธอ ปกติแล้วเวลาที่ถูกมารดาดุด่าและต่อว่า จางซูเจินก็จะทำให้ลูกสาวออกมาปกป้องเธอแบบนี้เสมอ ดังนั้นคำพูดที่อธิบายในครั้งนี้จึงไม่มีใครใส่ใจนัก
“กลับมาเหนื่อยๆ ไปล้างหน้าล้างตาแล้วค่อยมากินข้าวสิอาหลี่”
“ครับแม่” เขาตอบรับคำมารดาแล้วเดินถือกระเป๋าเอกสารเข้าไปยังห้องนอนส่วนตัวเพื่อถอดเสื้อสูทแขวนเอาไว้
พอเยี่ยหลี่เฉียงเดินกลับมานั่งที่โต๊ะอาหาร มารดาก็คีบอาหารให้ลูกชายอย่างเอาใจ
“ทำงานมาเหนื่อยๆ ข้าวกลางวันก็ไม่ได้กิน ลูกต้องกินเยอะๆ นะอาหลี่ น่าจะปล่อยให้ตำรวจจับไปเข้าคุก บ้านเราจะได้เอาตัวเสนียดนี่ออกจากบ้านเสียที ไม่รู้รอดมาได้อย่างไร” ประโยคนั้นตั้งใจเหน็บแนมลูกสะใภ้ให้เธอรู้สึกผิด
เยี่ยหลี่เฉียงชะงักไปเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่ามารดารู้เรื่องบ่อนนั้นถูกบุกค้นได้อย่างไร พลางคิดว่าอาจได้ยินมาจากคุณนายเฉินที่มักเอาเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังเสมอ
จางซูเจินไม่สนใจคำพูดว่าร้ายนั่น เธอไม่ได้ทำเสียหน่อยทำไมจะต้องรู้สึกผิด แค่เธอทะลุมิติมาโผล่ที่นี่ก็ปวดสมองจะแย่แล้ว ไม่อยากสร้างศัตรูที่ไหน แต่อยากอยู่อย่างสงบสุขรอวันกลับไปเท่านั้น
“เสี่ยวอิง กินนี่เยอะๆ นะ ไข่ตุ๋นนี่ย่าสอนให้แม่ทำ ดูสิว่าพอกินได้ไหม” จางซูเจินตักไข่ตุ๋นให้ลูกสาว อย่างเอาใจ
น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลและอ่อนโยนกว่าเดิมมาก
“เธอทำแค่หน้าที่คนผสม เครื่องปรุงฉันตวงให้ทุกอย่าง หากอร่อยก็ต้องเป็นฝีมือฉันจะอวดอ้างไปทำไมกัน”
‘ครั้งที่สองแล้วนะ อดทนเอาไว้ซูเจิน อดทนเอาไว้’ เธอนับเอาไว้หลังจากที่ถูกแม่สามีเหน็บแนมไม่หยุด ซึ่งเธอก็พยายามอดทนมากแล้ว
“แต่มันอร่อยขึ้นกว่าทุกครั้งค่ะ เพราะว่าแม่เป็นคนตักให้หนู” เจ้าเสี่ยวอิงตัวน้อยยังคงเข้าข้างผู้เป็นมารดา
จางซูเจินอดสะท้อนใจไม่ได้ เพราะวีรกรรมที่ซูเจินคนนั้นทำกับลูกเอาไว้ไม่สมควรได้รับความรักจากเยี่ยซิ่วอิงมากขนาดนี้
ตอนนี้เธอทำหน้าที่แม่แล้ว แต่หากประตูมิติเปิดอีกครั้งแล้วต้องสลับมิติกันอีกรอบแล้วซูเจินคนนั้นกลับมาล่ะ เด็กหญิงคนนี้จะต้องเจอแม่ใจร้ายคนนั้นอีก เธอจะผิดหวังมากแค่ไหน
“หากลูกชอบ แม่จะให้ย่าสอนให้แม่ทำ แล้วแม่จะทำให้เสี่ยวอิงกินบ่อยๆ ดีหรือไม่” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
เยี่ยหลี่เฉียงมองแววตาที่อ่อนโยนไร้มารยานั้นก็คิดว่านี่ใช่ภรรยาแสนร้ายกาจของตนจริงๆ นะหรือ แล้วหากเธอจะเสแสร้งว่าทำดีกับทุกคน เธอจะแกล้งทำไปเพื่ออะไรกัน
แต่อย่างไรก็ช่างเขาก็จะปล่อยให้เธอทำมันต่อไป เพราะคนที่จะได้รับผลประโยชน์มากที่สุดก็คือเยี่ยซิ่วอิง เพราะตอนนี้ลูกสาวของตนดูมีความสุขมาก
ดวงตาที่เป็นประกายสุกใสระยิบระยับดั่งดวงดาวบนท้องฟ้านั้น บ่งบอกถึงความสุขที่ออกมาจากความรู้สึกของเด็กหญิงอย่างแท้จริง ซึ่งเขาไม่ได้เห็นมานานแล้ว
‘ผมภาวนาให้คุณทำดีให้ตลอดรอดฝั่ง เพราะคนที่จะมีความสุขที่สุดก็คือลูกของเรา’
เขามองเธอกับลูกสาวผลัดกันตักอาหารให้กัน แล้วส่งยิ้มให้กันอยู่เป็นระยะ และแปลกตรงที่ว่าวันนี้จางซูเจินไม่ได้ตักอาหารเอาใจเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
************************
เมื่อมื้ออาหารค่ำจบลง จางซูเจินก็อาสาเป็นคนล้างจาน ต่างจากทุกครั้งที่มักจะเกี่ยงงานและอุ้มลูกหนีเข้าห้องไปก่อนหญิงสาวเก็บถ้วยชามไปยังลานซักล้างด้านหลังที่ติดกับห้องน้ำที่อยู่ด้านนอก ลงมือทำความสะอาดภาชนะเหล่านั้นเสร็จแล้ว ก็เดินกลับเข้ามาสำรวจภายในบ้านเธอพบว่านอกจากห้องครัวอยู่ด้านหลังและห้องอเนกประสงค์ที่ใช้ทั้งเป็นห้องนั่งเล่นและเป็นห้องกินข้าวแล้ว ก็ยังมีห้องนอนใหญ่หนึ่งห้อง ตรงข้ามมีห้องเก็บของขนาดเล็กและห้องนอนของแม่สามีเธอเปิดเข้าไปดูห้องเก็บของเล็กๆ นั้นแล้วมีความคิดว่าอยากแยกห้องนอนกับสามี แต่คิดดูดีๆ แล้วเยี่ยซิ่วอิงติดตนเองมาก หากตนย้ายมานอนห้องเล็กอีกฝ่ายต้องย้ายมานอนด้วยแน่ห้องนั้นน่าจะเตรียมไว้สำหรับเยี่ยซิ่วอิง ในวัยนี้ต้องหัดให้เด็กรู้จักการนอนคนเดียวได้แล้ว แต่ว่าเสี่ยวอิงยังนอนอยู่ที่ห้องของพ่อแม่ มันจะต้องมีเหตุผลแน่และหนึ่งในเหตุผลนั้นก็คือเอาไว้เป็นตัวขัดขวางความสุขของพ่อแม่‘เท่าที่ฟังดู เอาไว้ขัดขวางความสุขของแม่ฝ่ายเดียวมากกว่า หลี่เฉียงดูไม่น่าพิศวาสเมียตัวเองเสียเท่าไรนัก’ เธอเดาเหตุผลนั้นด้วยตัวเอง จากนั้นก็เดินเข้าห้องนอนไปเยี่ยหลี่เฉียงอยู่ในชุดพร้อมจ
ในตอนเช้า จางซูเจินตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกที่ รู้สึกถึงแขนน้อยๆ ที่พาดอยู่บนหน้าอกแล้วลืมตามาเห็นเยี่ยซิ่วอิงก็รู้ว่าตนไม่ได้ฝันไปตอนนี้เธอทะลุมายังมิติคู่ขนาน มาอยู่ในร่างคนที่มีชื่อแซ่และหน้าตาที่เหมือนกับตน แต่ว่าเธอมีครอบครัวแล้ว และเป็นคนที่ดูเหมือนว่าไม่มีใครชอบสะใภ้เยี่ยคนนี้จางซูเจินลุกขึ้นจากเตียง แล้วนึกได้ว่าเมื่อวานนี้เด็กหญิงปัสสาวะราด จึงปลุกให้เยี่ยซิ่วอิงตื่นขึ้นมาโดยการหอมแก้มซ้ำๆ จนอีกฝ่ายลืมตาขึ้นเธอเอานิ้วแตะที่ริมฝีปากของตัวเองเป็นสัญลักษณ์ไม่ให้เด็กหญิงส่งเสียงรบกวนบิดา ใบหน้าอ่อนหวานของผู้เป็นมารดาโน้มลงมากระซิบข้างหู“ไปฉี่กันเถอะ”เยี่ยซิ่วอิงพยักหน้าเบาๆ แล้วค่อยๆ ลุกจากที่นอนเดินตามมารดาไปยังห้องน้ำที่อยู่นอกบ้านเยี่ยหงที่ลุกมาทำอาหารเช้าเห็นว่าลูกสะใภ้ปลุกหลานสาวมาเข้าห้องน้ำแต่เช้าก็ประหลาดใจ แต่ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกมา คิดแต่เพียงว่าคงมีแผนการอะไรบางอย่างแน่หลังจากทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำเสร็จ จางซูเจินก็ให้เด็กหญิงไปนอนต่อ แต่อีกฝ่ายส่ายหัวเบาๆ“หนูอยากอยู่กับแม่”“แต่แม่ต้องไปช่วยย่าทำอาหารเช้า เสี่ยวอิงไปนอนกับพ่อนะ แล้วอย่าเสียงดังล่ะ” เมื่อได้ย
การทำงานบ้านนั้นไม่ใช่งานที่หนักหนาอะไรมากนัก จางซูเจินปัดกวาดเช็ดถูบ้านโดยมีลูกมืออย่างเยี่ยซิ่วอิงช่วยแม่ทำงานบ้านอย่างตั้งใจเยี่ยหงมองความตั้งใจนั้น รู้สึกชื่นชมที่อีกฝ่ายสอนงานบ้านหลานสาวของตนด้วยความใจเย็น แต่ก็ไม่ได้วางใจลูกสะใภ้มากนัก“ตอนเย็นบ้านเราจะมีแขกมากินมื้อค่ำด้วย” น้ำเสียงนั้นราบเรียบ ราวกับว่าพูดลอยๆ กับสายลมจางซูเจินหันไปมองแม่สามีที่เดินเข้ามาบอกตนแล้วยิ้มรับ “แม่จะให้ฉันหุงข้าวเพิ่ม หรือช่วยเป็นลูกมือทำอาหารหรือคะ ฉันยินดีช่วยเต็มที่”ความกระตือรือร้นของลูกสะใภ้ทำให้เธอหมั่นไส้ คนดีที่ไหนจะเอาตัวเข้าหาผู้ชายด้วยวิธีสกปรก“แค่หุงข้าวเพิ่มเท่านั้น ปกติอี้หรูจะมาทำกับข้าวที่นี่ เธอชอบทำอาหาร อาหลี่เองก็ติดใจฝีมือเธอมากเลยล่ะ” รอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ของแม่สามียามที่พูดถึงแขกคนสำคัญ ทำให้จางซูเจินรับรู้ได้ว่าคนคนนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่“อี้หรูเหรอคะ” เธอพูดทวนชื่อเสียงเบาเยี่ยหงคิดไว้อยู่แล้วว่าหากรู้ว่าเฉินอี้หรูมาหาที่บ้าน จางซูเจินจะต้องเก็บอาการไม่อยู่แล้วเปิดเผยตัวตนออกมาแน่“ใช่ อี้หรูจะมาเยี่ยมคุณนายเฉินผู้เป็นป้า ทุกครั้งที่มาบ้านเราก็เชิญเธอมากินข้าวอยู่เป็นประจำ
บรรยากาศในสวนสาธารณะทำให้จางซูเจินไม่อยากกลับไปที่บ้านสกุลเยี่ยเลยแม้แต่นิด แม้พยายามมองข้ามคำพูดถากถางจากเยี่ยหงแล้ว แต่การได้ยินคำพูดแง่ลบผ่านหูก็อดรู้สึกอึดอัดใจไม่ได้บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้จางซูเจินคนนั้นไม่อยากอยู่บ้าน เพราะหากอยู่แล้วไม่สบายใจเป็นตนก็ไม่อยากอยู่เหมือนกันทั้งสองนั่งเล่นอยู่ที่สวนนั้นสักพัก เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงกำลังง่วงเพราะคงได้เวลานอนกลางวันตามประสาเด็ก เธอก็แบกลูกสาวขึ้นขี่หลังเดินกลับไปที่บ้านจางซูเจินตั้งใจว่าจะพาเยี่ยซิ่วอิงเข้านอนแล้วก็จะเตรียมตัวหุงข้าวเอาไว้ต้อนรับแขกในตอนเย็นแต่พอกลับไปถึงก็พบว่าแม่สามีจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว และมีสีหน้าที่บึ้งตึงราวกับจะตำหนิว่าเธอมัวแต่เที่ยวเดินเตร็ดเตร่ ใช้การพาลูกเดินเที่ยวเป็นข้ออ้างไม่มาช่วยหุงข้าวทั้งๆ ที่รับปากเอาไว้แล้วเธอจึงพาเยี่ยซิ่วอิงเข้าไปนอนในห้อง แล้วกลับออกมาเพื่อที่จะช่วยงานอย่างอื่น“มีอะไรให้ฉันช่วยอีกไหมคะ”“ไม่ต้องหรอก เชิญเธอไปแต่งหน้าแต่งตัวสวยๆ อย่างที่ชอบทำเป็นประจำเถอะ” ประโยคเหน็บแนมด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ กับสายตาที่มองด้วยความรังเกียจ ทำให้ซูเจินต้องสงบปากสงบคำเอาไว้สักพักก็มีเ
อาหารที่เฉินอี้หรูทำเสร็จทันเวลาที่เยี่ยหลี่เฉียงเลิกงานพอดี เขายิ้มทักทายให้เธอตามมารยาท ก่อนจะเดินเข้าห้องไปเพื่อเก็บกระเป๋าเอกสารเมื่อเข้าไปถึงห้องนอน ก็เห็นว่าจางซูเจินกำลังปลุกให้เยี่ยซิ่วอิงตื่น“เสี่ยวอิงคนดีของแม่ ตื่นได้แล้ว ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ลูกจะขี้เซาเกินไปแล้วนะ” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนแสดงความรักใคร่ปลายจมูกมนคลอเคลียที่แก้มปลุกให้เด็กหญิงตื่นขึ้นมา แต่เยี่ยหลี่เฉียงเข้าใจว่าเธอเสแสร้งเพราะรู้ว่าตนเดินเข้ามาในห้อง จึงแสดงความรักต่อลูกให้เขาเห็น‘คิดว่าผมไม่รู้ทันแม่ดอกบัวขาวอย่างคุณหรือ’เมื่อลูกสาวตื่นแล้ว จางซูเจินก็อุ้มเด็กขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มทักทายสามีเพื่อเอาใจอีกฝ่าย ไหนๆก็สัญญาเอาไว้แล้วว่าเธอจะเป็นคนที่ดีกว่าเดิม แม้จะไม่อยากทักแต่ก็ต้องทักทาย เพราะต้องเจอกันไปอีกนาน“กลับมาแล้วเหรอคะ เอางานกลับมาทำที่บ้านอีกแล้วสินะ” เธอชำเลืองมองกระเป๋าเอกสารที่เขานำมาวางที่โต๊ะทำงานพลางยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “แม่ขาหนูปวดฉี่” เยี่ยซิ่วอิงบอกมารดาจางซูเจินจึงแล้วพาเด็กหญิงไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะพามานั่งร่วมโต๊ะอาหารค่ำพร้อมหน้ากับทุกคน“ดีนะเสร็จทันเวลาพอดี สงสารอี้หรูมากที่ต้องทำอ
หลังจากมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอึดอัดใจนั้นจบลง เยี่ยหลี่เฉียงก็แยกมานั่งสอนความรู้ด้านภาษากับเฉินอี้หรูตามที่เธอขอเอาไว้‘พูดขนาดนั้นแล้วแต่ไม่ยอมกลับบ้านของตัวเองไป’ จางซูเจินรู้ว่าทั้งป้าทั้งหลานนั้นหน้าหนาเหลือทน แล้วเยี่ยหงยังชวนให้คุณนายเฉินไปเดินเล่นย่อยอาหารนอกบ้าน เพื่อปล่อยให้สองคนพูดคุยกันตามลำพังอีกเธอล้างถ้วยชามอยู่นอกบ้านโดยมีลูกสาวตัวน้อยมานั่งช่วยล้าง เด็กหญิงร้องเพลงที่เธอเคยสอนไปด้วยอย่างอารมณ์ดี มือน้อยๆ ประคองถ้วยข้าวล้างน้ำสะอาดแล้วคว่ำไว้อย่างระมัดระวัง“เสี่ยวอิงของแม่เก่งที่สุด” เธอมอบคำชมนั้นให้แก่ลูกสาวรอยยิ้มและแววตาที่อบอุ่นของมารดาทำให้เยี่ยซิ่วอิงรู้สึกดีมากขึ้นทุกๆ ครั้งที่ได้อยู่ใกล้“แม่เคยเล่าให้หนูฟังว่ายายใจดีและรักแม่มาก แม่เองก็ใจดีและรักหนูเหมือนยายใช่ไหมคะ”“แม่เคยเล่าเรื่องยายให้ลูกฟังด้วยเหรอ” จางซูเจินถามยิ้มๆ ในมือก็ทำงานไปด้วย“แม่ชอบร้องไห้บ่อยๆ ค่ะ ทุกครั้งที่ร้องไห้ก็จะเล่าเรื่องยายและเรื่องตาออกมา บางครั้งหนูก็ฟังจนหลับไป” คำพูดที่ไร้เดียงสานั้นทำให้จางซูเจินประหลาดใจผู้หญิงคนนั้นร้องไห้ระบายความในใจกับลูกสาวของตนอย่างนั้นหรือ
เมื่ออาบน้ำเข้ามาในห้องนอน เยี่ยหลี่เฉียงก็พบว่าภรรยาและลูกสาวได้หลับไปแล้วหากมองอย่างไม่มีอคติแล้ว จางซูเจินก็เป็นผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่ง สกุลจางหลังจากขาดเสาหลักไป ลูกของภรรยาเก่าอย่างเธอก็ถูกรังแกจากแม่เลี้ยง‘แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำแบบนั้นกับผมได้’ เมื่อพยายามจะมองเธอในแง่ดี แต่อคติภายในใจก็พวยพุ่งออกมาจากความรู้สึกที่พยายามเก็บซ่อนไว้วันนั้นเขามีงานเลี้ยงที่เจ้านายชาวต่างชาติจัดขึ้นที่ร้านอาหาร ขากลับเมามากและถูกจางซูเจินพาไปที่โรงแรมเพื่อมีสัมพันธ์กันเขาต้องแต่งงานกับเธอเพื่อรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามทำให้ชีวิตคู่ดีขึ้นแต่อีกฝ่ายก็ขยันสร้างแต่เรื่องให้มารดาเขาไม่พอใจจะว่าไปจางซูเจินเริ่มชอบเสี่ยงโชคก็ตอนที่เธอคลอดเยี่ยซิ่วอิงแล้ว จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าที่เธอทำแบบนั้นเพื่อเตรียมทุนรอหย่าจากเขาจริงๆ อย่างที่ลูกสาวพรั่งพรูออกมาเมื่อตอนหัวค่ำเยี่ยหลี่เฉียงสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ นั้นออกไป แล้วแทรกด้วยความคิดที่ว่า ผู้หญิงคนนั้นชอบเหลือเกินเวลาที่เขาหลับแล้วเธอจะเป็นฝ่ายปลุกเร้าอารมณ์แล้วร่วมรักกันโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัวอยู่บ่อยครั้ง ผู้หญิงแบบนี้นะหรือคือคนน่าสง
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเช้าวันนี้ ทำให้เยี่ยหงและเยี่ยหลี่เฉียงดูไม่เจริญอาหารนักคนหนึ่งรู้สึกผิดที่ต้องบอกความรู้สึกตามตรงกับมารดา และรู้สึกผิดที่ต้องบอกความจริงเรื่องที่เฉินเหม่ยแอบนินทาลับหลังให้รู้ทั้งที่ปิดบังมานานส่วนอีกคนก็รู้สึกผิดหวังที่เพื่อนบ้านที่ตนวางใจ เอาตนไปพูดนินทาเสียหายว่าเห็นแก่ได้ ทั้งๆ ที่คุณนายเฉินและหลานสาวเป็นฝ่ายเสนอข้อตกลงทำอาหารให้แต่แรกอีกทั้งรับรู้ความรู้สึกอึดอัดใจของลูกชายว่าเกิดจากแม่อย่างตน ก็ยิ่งทำให้รู้สึกแย่ไปอีกเป็นเท่าตัว แต่ถึงอย่างนั้นในใจก็ยังอยากได้เฉินอี้หรูมาเป็นสะใภ้มากกว่าจางซูเจินอยู่ดี“แม่ขา วันนี้ไปเดินเล่นกันนะคะ” เยี่ยซิ่วอิงที่กินอาหารเสร็จแล้วบอกมารดา“ได้สิ เอาไว้เราทำงานบ้านช่วยย่าเสร็จแล้ว ตอนบ่ายเสี่ยวอิงนอนกลางวันให้เต็มที่ ตอนเย็นแม่จะพาไปนะ” เธอมีข้อแม้กับลูกสาวน้ำเสียงและกิริยาที่อ่อนโยนของเธอ พร้อมกับประโยคที่บอกเขาในวันนั้นว่าเธอจะปรับปรุงตัวใหม่ ทำให้เยี่ยหลี่เฉียงรับรู้ได้ว่าตอนนี้เธอเปลี่ยนไปมาก...มากราวกับเป็นคนละคน“เดี๋ยวฉันเอาซาลาเปาใส่กล่องให้ไปกินที่บริษัทนะ เผื่อหิวระหว่างวันคุณจะได้หยิบมันขึ้นมากิน” เธอหันไปบอ
ความฝันประหลาดได้เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อคืนนี้ จางซูเจินรู้ได้ทันที และไปที่ตรอกนั้นเพื่อที่จะขอร้องให้จางซูเจินคนนั้นให้เธอได้อยู่ต่อที่นี่เธอเดินทางไปยังตอกที่คับแคบนั้นด้วยชุดเดิมที่เหมือนในความฝัน จากนั้นเมื่อถึงเวลาประตูก็ค่อยๆ ปรากฏแก่สายตามือเรียวค่อยๆ ยื่นออกไปเพื่อที่จะเปิดประตู แต่ว่าจางซูเจินอีกคนเปิดประตูออกมาก่อน แล้วทั้งสองก็มองหน้ากันราวกับว่าทุกอย่างมันเป็นเพียงแค่ฝัน“ซูเจิน” ทั้งสองเรียกชื่อของกันและกัน แล้วจางซูเจินที่ยืนในฝั่งปัจจุบันได้เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน“ซูเจิน ฉันไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกแล้ว ให้ฉันอยู่ที่นี้ในฐานะของเธอได้หรือไม่” เธอกล่าวด้วยนำเสียงที่สั่นเครือ ไม่อยากสูญเสียเยี่ยหลี่เฉียงที่รักตัวเองไปเลยสักนิด และที่สำคัญไม่อยากกลับไปที่สกุลเยี่ยอีกแล้ว“ฉันมาที่นี่ก็เพื่อที่จะบอกเธอ ว่าฉันก็ไม่อยากกลับไป ฉันอยากอยู่ที่นี่ต่อในฐานะของเธอเช่นเดียวกัน” จางซูเจินอีกคนพูดด้วยน้ำเสียงที่ยินดี เมื่ออีกฝ่ายมีความคิดที่ตรงกันต่างคนต่างโล่งใจที่อีกฝ่ายไม่ได้อยากกลับไปยังที่ของตน“ฉันไม่มีอะไรต้องห่วง แม่สามีกดขี่ข่มเหงฉันเหลือเกิน หลี่เฉียงก็เย็นชาและใจร้าย มีเพีย
นับวันจางซูเจินก็ยิ่งไม่มีความสุขที่อยู่ในบ้านสกุลเยี่ย เธอต้องแบกรับความกดดันทั้งจากเยี่ยหงและสามีของตนเองแม่สามีที่ร้ายกาจทั้งการกระทำและคำพูด จ้องจะกำจัดเธอออกไปจากลูกชายสามีที่เย็นชาและไม่เคยปกป้องตนเลยสักครั้ง เย็นชา ไร้ความรู้สึก ตลอดห้าปีที่แต่งงานกับเขาเธอไม่เคยมีความสุขเลยสักวัน“วันนี้แม่จะออกไปข้างนอก ลูกอยู่กับย่านะ” เธอบอกลูกสาวแล้วหยิบเงินในลิ้นชักที่สามีซ่อนไว้ออกมาจำนวนหนึ่ง“แม่คะ...” เยี่ยซิ่วอิงอยากห้าม แต่ก็กลัวว่ามารดาจะต่อว่าจึงไม่ได้พูดอะไร“เด็กดี อย่าบอกพ่อกับย่านะว่าแม่เอาเงินไป หากวันนี้โชคดีแม่จะซื้อลูกกวาดและเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้” น้ำเสียงนั้นพูดแล้วลูบศีรษะของเด็กหญิงวัยสี่ขวบอย่างรักใคร่เมื่อคืนนี้เธอฝันแปลกๆ แต่ไม่ใช่ฝันร้ายแต่อย่างใด ฝันว่ามีตัวเองอีกคนในกระจกในชุดที่สวยงาม วันนี้จึงเลือกชุดที่คล้ายกับในความฝันแล้วแต่งหน้าเพื่อให้แม่สามีเข้าใจว่าเธอมีธุระ“นั่นจะไปไหน” เยี่ยหงถามอย่างรู้ทัน“ฉันนัดเพื่อนเอาไว้ค่ะ” เธอโกหกแล้วหลบสายตาของหญิงวัยห้าสิบ รีบเดินออกจากประตูบ้านแล้วจูงจักรยานออกไปวันนี้มั่นใจว่าอย่างไรก็ต้องได้ไม่มากก็น้อย แล้วปั่นจักรยานไ
ในตอนเย็นเธอพยายามจะเข้าไปช่วยแม่สามีในครัว แต่ก็ถูกไล่ตะเพิดออกมาจึงมานั่งดูรายการโทรทัศน์อยู่ที่ห้องนั่งเล่นเยี่ยหลี่เฉียงกลับมาเห็นว่าภรรยานั่งเล่นอยู่อย่างสุขสบาย ในขณะที่มารดาของเขากำลังอยู่ในครัว เขาก็ยิ่งรู้สึกชิงชังภรรยาของตนเป็นอย่างมากในสายตาเขา เธอเป็นผู้หญิงที่เกียจคร้านไม่ทำอะไร ใช้แผนสกปรกเข้าหาผู้ชาย สองเดือนที่ผ่านมาเขาให้โอกาสเธอได้เปลี่ยนแปลงตัวเองแต่ก็ยังคงเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาว ปล่อยให้แม่ของเขาทำงานบ้านแบบนี้แล้วจะให้เขาเปิดใจยอมรับเธอ แล้วรักเธอลงได้อย่างไร“กลับมาแล้วเหรอคะ”เมื่อรู้ว่าสามีมาถึงแล้ว จางซูเจินก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาเขา“วันนี้คุณกลับค่ำกว่าปกติ งั้นกินข้าวก่อนค่อยอาบน้ำดีหรือไม่” เธอถามสามีด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็ยังคงเป็นสายตาที่เย็นชาของเขาเธอจึงเดินเข้าไปช่วยแม่สามียกอาหารออกมา พร้อมกับเตรียมถ้วยข้าวเพื่อที่จะตักข้าวให้แก่ทุกคนจากนั้นกลิ่นของอาหารก็ทำให้เธอรู้สึกคลื่นเหียน หญิงสาววิ่งออกไปที่หลังบ้านแล้วโก่งคออาเจียนกับกลิ่นที่เหม็นหืนนั้น“เป็นอะไรไปอีกล่ะ วันๆ เอาแต่เรียกร้องความสนใจ” เยี่ยหงพูดขึ้นมา ไม่ได้ส
“เมื่อคืนคุณขืนใจฉัน คุณต้องรับผิดชอบ” เมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็ได้ยินประโยคแรกจากปากของเธอร่องรอยหย่อมเลือดที่อยู่บนเตียงนั้นเป็นหลักฐานได้กว่าเขาได้ล่วงล้ำเธอไปแล้ว“แต่เท่าที่จำได้ คุณเป็นฝ่ายขึ้นมาอยู่บนตัวผม” น้ำเสียงของเขาราบเรียบ และเต็มไปด้วยความรู้สึกโกรธเคืองผู้หญิงตรงหน้าเป็นอย่างมาก“คุณทำอย่างนั้นไปแล้ว หากไม่รับผิดชอบฉันจะต้องเข้าแจ้งความที่โรงพัก” เธอขู่เขา ทำให้เยี่ยหลี่เฉียงยิ่งรู้สึกรังเกียจเป็นอย่างมากเกิดเรื่องเช่นนี้เขาจะต้องถูกไล่ออกจากงานและหมดอนาคตเลยทีเดียวหลังจากพูดคุยกันแล้ว เขาพาเธอกลับไปส่งที่บ้านสกุลจาง ไป่ลิ่วเมื่อรู้ว่าลูกเลี้ยงหายไปกับผู้ชายทั้งคืนก็ถึงกับโกรธจนตัวสั่นแล้วบอกให้เยี่ยหลี่เฉียงรีบมาสู่ขอหลังจากนั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ งานแต่งงานเล็กๆ ก็ถูกจัดขึ้นที่บ้านสกุลจาง สินสอดก็ไม่ได้มากมายอย่างที่ไป่ลิ่วขอเอาไว้ตนไม่สามารถขายเธอให้กับเศรษฐีแก่ที่นัดหมายเอาไว้ก่อนหน้านี้ได้แล้ว จึงจำใจรับสินสอดเล็กน้อยเท่านั้นเยี่ยหงมองลูกสะใภ้ของตนด้วยความเกลียดชัง ยิ่งรู้ว่าการแต่งงานนี้เกิดขึ้นเพราะสาเหตุใดก็ยิ่งรังเกียจและต่อต้านอยู่ในใจ แต่หาทำอะไรได้ไม่หากไม่
คุณหนูสกุลจางที่เคยมีบิดากางปีกปกป้อง เมื่อสิ้นบิดาไปแล้วจางซูเจินกลายเป็นคุณหนูตกอับที่ถูกแม่เลี้ยงยักยอกทรัพย์สมบัติทุกอย่างไปเป็นของตน แล้วให้เธออยู่ที่บ้านคอยรับใช้เยี่ยงทาสหญิงสาวไม่เคยเข้าครัวมาก่อนก็ต้องเข้าไปฝึกฝน แต่ด้วยความไม่ชำนาญจึงไม่ได้ทำอาหารให้รสชาติออกมาดี จนถูกแม่เลี้ยงต่อว่าและถูกตีอยู่เสมอไป่ลิ่วในวัยสี่สิบยังสวยสะพรั่ง เธอเป็นแม่เลี้ยงที่ไร้ความเมตตาต่อจางซูเจิน เพราะตอนที่สามียังมีชีวิตอยู่ให้ท้ายลูกเลี้ยงคนนี้มากจึงไม่กล้าแตะต้องแต่เมื่อสามีตายไป ความแค้นที่ถูกสามีละเลยจึงนำมาลงที่จางซูเจิน จนหญิงสาวแทบทนไม่ไหวแต่ก็ต้องอยู่ที่สกุลจางต่อไป เพราะที่นี่เป็นบ้านของเธอในช่วงสามเดือนแรกหลังจากที่บิดาของเธอจากไป ไป่ลิ่วครอบครองทรัพย์สมบัติทั้งหมดและใช้เงินเป็นว่าเล่น ซื้อข้าวของเครื่องประดับไม่เว้นแต่ละวันจนในที่สุดเงินที่มีก็เริ่มร่อยหรอลง จึงหันไป ลงทุนปล่อยเงินกู้ร่วมกับผู้ชายที่เข้ามาติดพันหวังจะเป็นคนร่ำรวย สุดท้ายก็ถูกโกงผู้ชายคนนั้นเอาเงินหนีไปอย่างไร้ร่องรอย ไป่ลิ่ว จึงต้องขายของมีค่าเหล่านั้นที่ตนซื้อมาด้วยความจำใจ ระบายอารมณ์ด้วยการด่าทอและทุบตีจางซูเจิ
“เธอรู้เรื่องหลานคุณนายเฉินหรือยัง เฉินอี้หรูคนนั้น” หยางซินและซ่งเหลียนแวะมานั่งคุยที่ร้านเสริมสวยของจางซูเจิน แล้วนำข่าวลือมาเล่าให้ฟัง“ไม่เลย ตั้งแต่วันที่เจอกันตอนให้ปากคำที่โรงพักครั้งก่อน เห็นว่าแตกหักกับคุณนายเฉินและตัดสัมพันธ์กันไปแล้ว จากนั้นก็ไม่เห็นเธออีกเลย”จางซูเจินไม่ได้เล่าว่าตนได้ยินเรื่องที่อีกฝ่ายไปยั่วยวนนายลิ่วที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน“เฉินอี้หรูถูกนักเลงแถวนั้นตบตี ใครๆ ต่างก็บอกว่าเป็นฝีมือสะใภ้ลิ่ว สาเหตุเพราะเธอไปยุ่งเกี่ยวกับลิ่วเซียงเลยถูกภรรยาของเขาจ้างนักเลงไปตบตี แต่ก็ไม่มีพยานและหลักฐาน” ซ่งเหลียนเล่าเรื่องที่ตนได้ยินมา“พอทำอะไรไม่ได้ เฉินอี้หรูจึงคับแค้นใจ แล้วดักทำร้ายสะใภ้ลิ่วเพื่อแก้แค้น แต่โชคร้ายที่มีคนมาเห็นและช่วยเหลือเอาไว้ เธอจึงพลาดท่าแล้ว...แท้งลูก” หยางซินกระซิบเสียงเบาในประโยคท้าย“แท้งลูกอย่างนั้นหรือ” จางซูเจินตกใจ เพราะก่อนหน้านี้เฉินอี้หรูพยายามยั่วยวนสามีของตนแต่ก็ไม่ได้ผล พอเกิดเรื่องกับเฉินเหม่ยก็เปลี่ยนเป้าหมายไปหาลิ่วเซียง เรื่องเพิ่งเกิดไม่ถึงเดือนจะท้องแล้วแท้งอะไรรวดเร็วเช่นนั้น“พ่อแม่ของเฉินอี้หรูเค้นถามบุตรสาวของตน จนรู้ว่าจ
จางซูเจินนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง เหงื่อผุดบนหน้าผากทั้งๆ ที่อากาศก็ค่อนข้างเย็น เยี่ยหลี่เฉียงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของภรรยา เขาลุกขึ้นดูเธอที่กำลังฝันร้ายแล้วขยับเข้าไปดึงเธอมากอดไว้แนบอก“ผมอยู่นี่แล้วเจินเจิน ไม่ว่าคุณจะฝันร้ายอย่างไร ผมก็จะปกป้องคุณเอง” เขากระซิบเสียงเบา ก่อนจะหลับไปเมื่ออีกฝ่ายสงบลงไปแล้วภรรยาสาวลืมตาขึ้นมาในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนั้น ความฝันเมื่อครู่เป็นความฝันที่เธอเคยฝันถึงมาก่อนหน้านี้ในฝันเธอกำลังเดินท่ามกลางม่านหมอกที่หนาตา แล้วเห็นแสงสว่างจึงเดินตามไปจนถึงที่นั่น พบกระจกบานใหญ่ที่ส่องมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเอง แต่การเคลื่อนไหวของเงาสะท้อนนั้นกลับไม่ใช่เธอ เหมือนมีจางซูเจินอีกคนในกระจกเงาและที่สำคัญ มันเป็นความฝันในคืนก่อนหน้าที่จะเข้าประตูมิติมายังที่นี่!‘หรือว่าประตูมิติจะเปิดอีกครั้ง’ เธอนึกสงสัยแต่ข้อความที่บอกว่าเธอไม่สามารถหวนคืนไปได้อีกนั้นก็ชัดเจนอยู่ว่ากลับไปไม่ได้อีกแล้วหญิงสาวทนความสงสัยเอาไว้ไม่ได้อย่างไรเธอต้องพิสูจน์ให้รู้เรื่องในตอนสายเธอเปลี่ยนไปใส่ชุดเดิมที่เคยใส่ในวันนั้นและแต่งหน้าอย่างสวยงาม เพราะคิดว่าชุดนี้อาจมีส่วน และหากประตู
หลังจากหายดีแล้ว ร้านเสริมสวยประจำหมู่บ้านก็เปิดให้บริการตามปกติ เยี่ยหงรับหน้าที่ดูแลหลานสาวอย่างใกล้ชิด และทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ เพราะลูกสะใภ้แย่งเธอทำงานตั้งแต่เช้าหยางซินและซ่งเหลียนเห็นว่าจางซูเจินมีความสุขขึ้นและเรื่องเลวร้ายได้ผ่านไปแล้ว พวกเธอจึงไม่ได้มาบ่อยอย่างแต่ก่อน แต่ก็ยังแวะเวียนมาใช้บริการและมานั่งพูดคุยด้วยบ้าง“เธอไปเรียนเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ตัดผม ดัดผม แล้วก็แต่งหน้า เรื่องพวกนี้ต้องใช้ทักษะมากเลยนะ” เยี่ยหงถามด้วยความใคร่รู้“ฉันกำพร้าค่ะ เลยต้องหางานทำเพื่อเลี้ยงตัวเอง ไม่ได้เรียนมาแต่ว่าเจ้าของร้านสอนให้”เยี่ยหงเข้าใจว่าเป็นเพราะนายจางเสียไปแล้วแม่เลี้ยงก็คงยึดสมบัติครอบครองผู้เดียว แล้วยังจะขายเธอให้เศรษฐีพ่อหม้ายอีก จางซูเจินถึงได้ลำบากเพราะอยู่ในบ้านที่แม่เลี้ยงข่มเหง และเพราะความลำบากนั้นเองจึงต้องวางแผนเข้าหาลูกชายของตน“จริงสิ ฉันไปเห็นที่บ้านคุณนายโจวตอนที่ไปย้อมผมให้เธอที่บ้าน เห็นผู้นำหมู่บ้านสอนวิธีปลูกผักด้วยกระถางต้นไม้ จำพวกผักบุ้ง ต้นกระเทียม และผักที่ปลูกง่าย กระถางบ้านเรามีเยอะลองปลูกดีหรือไม่”“ก็ดีนะ แม่ก็ว่างๆ ไม่ค่อยมีอะไรทำอยู่พ
ในระหว่างที่จางซูเจินยังไม่หายดี เยี่ยหงก็พยายามจะเข้าหาลูกสะใภ้และทำดีด้วยเพื่อหวังให้เธอยกโทษให้ โดยใช้หลานสาวเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์เธอทำอาหารบำรุงสุขภาพ แล้วเอาไปให้ลูกสะใภ้ที่นั่งพักอยู่ในห้องนอน แต่จางซูเจินก็ลังเลที่จะรับเอาไว้“ซูเจิน สามวันแล้วที่ลูกปฏิเสธน้ำใจของแม่ วันนี้รับไว้เถิดนะ บอกแม่สิเสี่ยวอิงว่าย่าตั้งใจทำมากแค่ไหน” เยี่ยหงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แสดงความจริงใจออกมาก่อนหน้านี้กลัวว่าจะถูกลูกชายโกรธ แต่ตอนนี้เธออยากให้ลูกสะใภ้ให้อภัยตนอย่างจริงใจมากกว่า“แม่คะ ย่าตั้งใจทำมากเลย หนูก็ช่วยด้วย แม่กินสักหน่อยนะคะ จะได้หายไวๆ” เด็กน้อยพูดตามที่ย่าสอนหลายวันมานี้เยี่ยหงแสดงให้รู้ว่าเธอสำนึกผิดและมีความห่วงใยมารดาของตน เยี่ยซิ่วอิงจึงใจอ่อนให้แก่ย่า และยินดีให้ความช่วยเหลือจางซูเจินเห็นว่าเด็กหญิงมีความพยายามจะช่วยเหลือผู้เป็นย่า และเยี่ยหงเองก็แสดงความจริงใจ คราวนี้เธอจึงรับนำแกงบำรุงนั้นเอาไว้“ขอบคุณค่ะ” น้ำเสียงนั้นกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ แต่ก็ยังคงห่างเหินอยู่บ้าง“ลูกไม่ได้ทำงานตั้งหลายวัน คงเบื่อแย่ งั้นออกไปนั่งเล่นที่ห้องนั่งเล่นดีไหม มีละครออกใหม่เราจะได้ด