ระหว่างทางที่เดินทางไปยังจุดแรกที่เธอได้ทะลุมิติมายังยุคนี้ จางซูเจินพยายามจดจำเส้นทางเผื่อเอาไว้ในกรณีที่ตนเองยังไม่ได้กลับไป จะได้จำเส้นทางที่มาได้โชคดีที่เส้นทางนั้นเป็นถนนสายหลัก เลี้ยวเพียงไม่กี่ครั้งและมีสัญลักษณ์และชื่อถนนให้จดจำได้ง่ายเมื่อรถจอดหญิงสาวก็เห็นอาคารที่เคยเห็นตอนที่วิ่งออกมาจากตรอกได้ หญิงสาวยิ้มออกมาด้วยความดีใจรีบลงจากรถแล้ววิ่งไปยังเส้นทางนั้น“นั่นคุณจะไปไหนซูเจิน บ้านสหายลี่อยู่ทางนี้” เขาร้องเรียกภรรยาเมื่อเห็นว่าหญิงสาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังถนนฝั่งตรงข้าม“รอพ่ออยู่นี่นะเสี่ยวอิง อย่าลงจากรถล่ะ” เขาบอกลูกสาวที่นั่งงงงวยอยู่ จากนั้นก็รีบตามภรรยาไปจางซูเจินไม่อยากจะพูดคำร่ำลาเพราะมันจะทำให้เด็กหญิงเสียน้ำตา เธอรีบเข้าไปในตรอกคับแคบนั่นแต่ก็ไม่มีประตูอยู่ตรงสุดทางเดิน มีเพียงประตูไม้เก่าๆ ที่เป็นของบ้านหลังอื่นเท่านั้น“คุณมาตรงนี้ทำไมซูเจิน เรากลับกันเถอะ”“ไม่ ฉันยังอยากอยู่ที่นี่ คุณพาลูกแวะซื้อของที่ตลาดก่อน ฉันมีธุระที่นี่” เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนสับสนและกระวนกระวายดวงตาหงส์ตอนนี้สั่นไหว จ้องมองตรงกำแพงสุดทางเดินในตรอกที่เคยมีประตูไม้สีแดงช
เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบบ่ายแล้ว แต่เพราะกินอาหารเช้าไปช่วงสาย ตอนนี้ทั้งสองคนก็ยังไม่หิวมากนัก ในขณะที่เยี่ยหงนั้นเพิ่งกินอาหารของเมื่อเช้าเป็นมื้อกลางวันเสร็จตอนที่พวกเขามาถึง“แม่ไม่รู้ว่าลูกจะกลับมาเร็ว เลยไม่ได้เตรียมอะไรเอาไว้ อยากกินอะไรก็ให้ซูเจินทำให้ก็แล้วกัน” น้ำเสียงนั้นราบเรียบ ราวกับว่าน้อยใจลูกชายอยู่และไม่เมินเฉยต่อลูกสะใภ้จางซูเจินเอาข้าวของไปเก็บในครัว รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายคงเริ่มแผนสงครามเย็นกับตนแล้ว“คุณหิวไหมคะ ฉันจะทำอะไรให้กิน” เธอกลับเข้ามาถามสามีตามหน้าที่ภรรยาของตน“ยังไม่หิว อาหารที่กินไปยังไม่ย่อยเลย” ปกติเขาจะตอบเธอสั้นๆ แค่ไม่กี่คำ แต่ตอบกลับยาวเป็นประโยคแบบนี้หญิงสาวก็เริ่มมั่นใจว่ามีอะไรบางอย่างทำให้เขาเปลี่ยนไปแน่“ฉันทำความสะอาดห้องไว้ให้แล้วนะ” เยี่ยหงพูดขึ้นมาเสียงเรียบ จากนั้นก็เก็บถ้วยข้าวลุกเดินไปที่ห้องครัวเหมือนไม่อยากอยู่ร่วมใช้อากาศหายใจในห้องเดียวกันกับลูกสะใภ้“ขอบคุณค่ะแม่” หญิงสาวกล่าวตามหลังด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ“คุณไปทำงานต่อเถอะค่ะ ไม่ได้ทำงานมาสองคืนแล้ว วันนี้ก็ยังพาฉันออกไปตลาดอีก” เธอหันไปบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน แล้วห
เยี่ยหลี่เฉียงกลับมาถึงบ้านก็เห็นจักรยานจอดเอาไว้ในบ้านแล้ว เขาเดินเข้าไปด้วยอาการที่ครั่นเนื้อครั่นตัวเล็กน้อยวันนี้จางซูเจินดูจะสดใสขึ้นหลังจากมีอาการเศร้านับจากวันที่ทะเลาะกับมารดาของเขา ในขณะที่เยี่ยหงนั้นดูเฉยๆ กับลูกสะใภ้ และดูไม่ค่อยพูดในช่วงหลังมานี้“วันนี้แม่สอนฉันทำผัดเปรี้ยวหวาน กับไก่ตุ๋นสมุนไพร คุณลองชิมดูว่าพอใช้ได้ไหม เพราะครั้งนี้ฉันตวงเครื่องปรุงเอง” เธอถามเขาอย่างกระตือรือร้นการเอาใจสามีจะเป็นสิ่งแรกที่เธอควรทำ ทำให้สามีรักก่อน ให้เขาปกป้องเธอ แล้วจากนั้นค่อยให้เขาช่วยเธอทำให้แม่สามียอมรับในภายหลัง“อืม” เขายิ้มมองความสดใสของภรรยา แล้วเดินเข้าห้องนอนไปเพื่อเปลี่ยนชุด รู้สึกหนาวเนื้อตัวจนไม่อยากอาบน้ำ“เราไม่ได้ไปเดินเล่นที่สวนมาหลายวันแล้ว พรุ่งนี้แม่พาหนูไปนะคะ” เยี่ยซิ่วอิงทำเสียงอ้อนมารดาหลายวันที่ผ่านมาเห็นมารดาโศกเศร้าจึงไม่เรียกร้อง แต่วันนี้หลังจากมารดากลับมาถึงก็มีรอยยิ้มที่สดใสขึ้นจึงกล้าที่จะพูดออกมา“ได้สิจ๊ะ” เธอรับปากแล้วมองสามีที่เดินออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก“คุณไม่สบายเหรอ” เธอถามพร้อมกับดึงแขนให้เขานั่งลง ใช้หลังมือวางแตะที่หน้าผากพบว่าเขาตัว
ในตอนกลางดึก เยี่ยหลี่เฉียงลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่ปลายเท้า เพราะเขานอนยันผ้าห่มออกตั้งแต่ภรรยาแยกห้องนอนก็ไม่มีใครคอยดึงผ้าห่มขึ้นมาให้ จึงต้องลุกขึ้นมาเพื่อดึงผ้าขึ้นมาห่มเองตอนนี้เขารู้สึกว่าไข้ลดลงมากแล้ว แต่ยังคงอ่อนเพลียอยู่เล็กน้อย พรุ่งนี้น่าจะไปทำงานไหวคืนนี้เขาต้องพิมพ์เอกสารให้ได้สักครึ่งหนึ่ง แล้วพรุ่งนี้ต้องไปทำงานในส่วนที่ค้างไว้ให้เสร็จ เพราะมีกำหนดส่งงานในวันมะรืน หากลางานพักที่บ้านก็เกรงว่างานจะล่าช้า และผู้จัดการจะหาว่าเขาใช้อาการป่วยเป็นข้ออ้างในการไม่ส่งงานเมื่อนึกได้ดังนั้น เขาลุกขึ้นตั้งใจจะไปทำงานตามที่วางแผนเอาไว้แม้จะรู้ว่าตัวเองไม่น่าทำไหวแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยเมื่อลุกขึ้นหันหน้าไปที่โต๊ะทำงานของตน ภาพของจางซูเจินที่นอนฟุบอยู่ที่โต๊ะทำงานทำให้เขายิ้มออกมา ความทรงจำที่เลือนรางที่เขาคิดว่าเป็นความฝัน แต่ว่ามันกลับเกิดขึ้นจริงที่เธออยู่ดูแลเขาทั้งคืน“ซูเจิน” เขาเรียกเธอด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าเล็กน้อย แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีว่าจะตื่นเขาลุกไปปลุกเธอแล้วสัมผัสที่ลาดไหล่เล็กแล้วเขย่าเล็กน้อย “เจินเจิน” เขาเรียกเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนแต
“นี่ลูกยังจะไปทำงานอีกเหรอ” น้ำเสียงของเยี่ยหงแสดงความห่วงใยออกมา เมื่อเห็นว่าลูกชายของตนแต่งตัวในชุดสูทเตรียมตัวไปทำงาน“ผมดีขึ้นมากแล้วครับ คิดว่าน่าจะไปทำงานไหว” เขาตอบมารดาแล้วหันไปมองจางซูเจินที่หน้าแดงเมื่อสบตาเขาแล้วอมยิ้มเล็กน้อยเยี่ยหงสังเกตเห็นก็รู้สึกไม่พอใจ แต่ต้องพยายามเก็บอารมณ์ขุ่นเคืองเอาไว้ รอจังหวะที่เหมาะสมเพื่อที่จะเล่นงานลูกสะใภ้ในภายหลัง“พ่อไหวแน่นะคะ หน้ายังแดงอยู่เลย” เมื่อถูกทักท้วง เยี่ยหลี่เฉียงก็เพิ่งรู้ตัวว่าตอนเองก็หน้าแดงไม่ต่างจากภรรยา เพราะจูบเมื่อคืนนี้ที่เขาเผลอไผล และอ้อมกอดเมื่อเช้า มันทำให้หวั่นไหวแปลกๆหากเธอปรับปรุงตัวได้แบบนี้แต่แรก เขาก็คงรู้สึกดีเช่นนี้กับเธอไปนานแล้ว“เสี่ยวอิงกินเยอะๆ นะลูก” จางซูเจินกลัวว่าจะถูกลูกสาวทักบ้าง จึงรีบตักอาหารให้เป็นการใหญ่เขามองท่าทีเลิ่กลั่กของภรรยา ไม่รู้ว่าเธอน่ามองในสายตาของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่แววตาของลูกชายทำไมผู้เป็นแม่จะไม่รู้ เธอกินอาหารไม่ลงแล้ววางตะเกียบไว้ก่อนจะเดินออกไปด้วยความรู้สึกอึดอัดและขัดใจ“รีบกินรีบไปทำงานเถอะค่ะ ถ้าไม่ไหวก็กลับมานะคะ” เธอบอกเขาแล้วก้มหน้าก้มตากินอาหาร ยิ่งนึกภาพที่ตนน
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่สดใสของเยี่ยซิ่วอิง เป็นสิ่งที่ทำให้จางซูเจินรู้สึกดีขึ้นมาในช่วงบ่ายของวันนี้สองแม่ลูกนั่งจักรยานไปด้วยกันจนถึงสวนสาธารณะในหมู่บ้านหลังจากที่เด็กหญิงใช้เวลานอนกลางวันเพียงหนึ่งชั่วโมง“อาเจิน” เสียงเรียกของหยางซินทำให้จางซูเจินที่กำลังนั่งดูผีเสื้อกับลูกสาว หันไปส่งยิ้มให้เธอและซ่งเหลียนที่เดินมาด้วยกัน“มาไวจัง เด็กๆ ยังไม่เลิกเรียนเลย พวกฉันกำลังจะเดินไปรับ” ซ่งเหลียนถามแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร พร้อมกับชักชวนให้คู่สะใภ้เดินเข้าไปทักทาย“ไม่ได้มาหลายวันแล้วน่ะ เสี่ยวอิงอยากมาตั้งแต่เช้าแล้ว อยู่แต่บ้านมันอุดอู้” เธอตอบสหายใหม่ทั้งสอง เกือบลืมไปแล้วว่ายังมีทั้งสองคนนี้คอยให้ช่วยเหลือเธออยู่และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดที่ตอนแรกคิดจะใช้สองคนเป็นเครื่องมือ ทั้งๆ ที่พวกเธอเต็มใจช่วยเหลือตน“จริงสิ วันก่อนป้าเฉินพาผู้ชายมายืนชี้ไปที่หน้าบ้านสกุลเยี่ย ท่าทางน่ากลัวเชียวล่ะ สงสัยจะเป็นญาติมาจากต่างเมือง” หยางซินพูดถึงเรื่องนี้ให้ฟังจางซูเจินหน้าซีด ตัวสั่นกลัวไปชั่วขณะราวกับเลือดไหลไปรวมกันที่อื่นจนเย็นวาบที่สันหลัง ก่อนจะค่อยๆ คลายความกังวลนั้นลง“เป็นอะไรไป ดูสิหน
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อของมารดาทำให้เยี่ยซิ่วอิงอดไม่ได้ที่จะวิ่งเข้าไปในบ้าน จากนั้นก็กลับออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าแล้วซับเหงื่อให้มารดา“ขอบใจมากเสี่ยวอิง ลูกเข้าไปพักในบ้านก่อนเถอะ ตรงนี้แม่จะทำเอง” หญิงสาวบอกขณะที่นั่งถอนวัชพืชเพื่อปรับพื้นให้เรียบ“แต่หนูอยากช่วยแม่ค่ะ”“งั้นช่วยแม่ทำความสะอาดห้องนอนของลูกก่อนได้ไหม ลูกแค่ปัดฝุ่นเช็ดฝุ่นก็พอ” จางซูเจินหางานง่ายๆ ให้เด็กหญิงทำเสี่ยวอิงรับปากอย่างกระตือรือร้นแล้วเขาไปทำความสะอาดในห้องนอนของตน ด้วยวิธีที่มารดาเคยสอนเอาไว้ก่อนหน้านี้ โดยมีสายตาของเยี่ยหงมองด้วยความเอ็นดูหลานสาวของตน“เสี่ยวอิง นั่นหลานทำอะไร”“ทำความสะอาดห้องช่วยแม่ค่ะ ตอนนี้แม่ถอนหญ้าและทำความสะอาดหน้าบ้านอยู่” เด็กหญิงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่สดใสเยี่ยหงได้ยินก็หุบยิ้มลง แล้วเดินไปดูว่าลูกสะใภ้ตัวดีของเธอกำลังทำอะไรอยู่ เมื่อวานก็ปัดกวาดตรงนั้นแล้วย้ายกระถางต้นไม้ออก วันนี้ก็มาถอนหญ้าเหมือนจะเตรียมพื้นที่ทำอะไรบางอย่างแน่“เธอคิดจะทำอะไร” เยี่ยหงถามแล้วมองกองวัชพืชที่ถูกถอนออกไว้ตนไม่ได้ใช้ประโยชน์ก็จริง แต่พอเห็นว่าลูกสะใภ้จะใช้ทำประโยชน์ก็รู้สึกหวงแหนขึ้นมา
เมื่อสบโอกาสที่จางซูเจินพาหลานสาวของตนออกไปข้างนอก ดูจากที่นำจักรยานไปด้วยแล้วคาดว่าทั้งสองแม่ลูกคงจะใช้เวลานานพอสมควร เยี่ยหงจึงได้โอกาสนั้นในการไปหาเฉินเหม่ยที่บ้านเฉินเหม่ยยิ้มต้อนรับเห็นเยี่ยหงมาหาตน คิดว่าอีกฝ่ายคงอยากเริ่มแผนการแล้ว “วันนี้มาหาฉันถึงที่นี่มีแผนอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่” สีหน้าของคนถามเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์เยี่ยหงมองอีกฝ่ายอย่างกระอักกระอ่วนใจ แต่เพราะกลัวคำพูดที่เอาจริงเอาจังของเยี่ยหลี่เฉียงก็ไม่อยากทำเรื่องไม่ดีอีกแล้ว“ฉันไม่อยากทำเรื่องนั้นแล้ว อยากยกเลิกแผนที่จะทำลายชื่อเสียงของซูเจิน” เยี่ยหงบอกตามตรงไม่ใช่ว่าเธอเปิดใจยอมรับให้แก่ลูกสะใภ้แล้ว หากแต่เป็นเพราะว่าตนไม่อยากทำให้ลูกชายเป็นทุกข์ และไม่อยากเป็นคนที่นำความเสื่อมเสียเข้าสู่ตระกูลเยี่ยหากยังดันทุรังที่จะกลั่นแกล้งกดดันจางซูเจินต่อไป ไม่วายคนที่เป็นคนทำให้เยี่ยหลี่เฉียงไม่มีความสุขเป็นตัวเธอเอง“ได้อย่างไรกัน ฉันบอกคนไปแล้ว วางแผนจะลงมือแล้วด้วย” เฉินเหม่ยไม่ยอม“เธอยกเลิกเถอะอาเหม่ย ฉันว่าเรื่องนี้มันหนักหนาเกินไปฉันไม่อยากทำ”“แต่เธอเป็นคนวางแผนนี้เองนะ จะมาเปลี่ยนใจตอนนี้ได้อย่างไรกัน” น้ำเสีย
ความฝันประหลาดได้เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อคืนนี้ จางซูเจินรู้ได้ทันที และไปที่ตรอกนั้นเพื่อที่จะขอร้องให้จางซูเจินคนนั้นให้เธอได้อยู่ต่อที่นี่เธอเดินทางไปยังตอกที่คับแคบนั้นด้วยชุดเดิมที่เหมือนในความฝัน จากนั้นเมื่อถึงเวลาประตูก็ค่อยๆ ปรากฏแก่สายตามือเรียวค่อยๆ ยื่นออกไปเพื่อที่จะเปิดประตู แต่ว่าจางซูเจินอีกคนเปิดประตูออกมาก่อน แล้วทั้งสองก็มองหน้ากันราวกับว่าทุกอย่างมันเป็นเพียงแค่ฝัน“ซูเจิน” ทั้งสองเรียกชื่อของกันและกัน แล้วจางซูเจินที่ยืนในฝั่งปัจจุบันได้เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน“ซูเจิน ฉันไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกแล้ว ให้ฉันอยู่ที่นี้ในฐานะของเธอได้หรือไม่” เธอกล่าวด้วยนำเสียงที่สั่นเครือ ไม่อยากสูญเสียเยี่ยหลี่เฉียงที่รักตัวเองไปเลยสักนิด และที่สำคัญไม่อยากกลับไปที่สกุลเยี่ยอีกแล้ว“ฉันมาที่นี่ก็เพื่อที่จะบอกเธอ ว่าฉันก็ไม่อยากกลับไป ฉันอยากอยู่ที่นี่ต่อในฐานะของเธอเช่นเดียวกัน” จางซูเจินอีกคนพูดด้วยน้ำเสียงที่ยินดี เมื่ออีกฝ่ายมีความคิดที่ตรงกันต่างคนต่างโล่งใจที่อีกฝ่ายไม่ได้อยากกลับไปยังที่ของตน“ฉันไม่มีอะไรต้องห่วง แม่สามีกดขี่ข่มเหงฉันเหลือเกิน หลี่เฉียงก็เย็นชาและใจร้าย มีเพีย
นับวันจางซูเจินก็ยิ่งไม่มีความสุขที่อยู่ในบ้านสกุลเยี่ย เธอต้องแบกรับความกดดันทั้งจากเยี่ยหงและสามีของตนเองแม่สามีที่ร้ายกาจทั้งการกระทำและคำพูด จ้องจะกำจัดเธอออกไปจากลูกชายสามีที่เย็นชาและไม่เคยปกป้องตนเลยสักครั้ง เย็นชา ไร้ความรู้สึก ตลอดห้าปีที่แต่งงานกับเขาเธอไม่เคยมีความสุขเลยสักวัน“วันนี้แม่จะออกไปข้างนอก ลูกอยู่กับย่านะ” เธอบอกลูกสาวแล้วหยิบเงินในลิ้นชักที่สามีซ่อนไว้ออกมาจำนวนหนึ่ง“แม่คะ...” เยี่ยซิ่วอิงอยากห้าม แต่ก็กลัวว่ามารดาจะต่อว่าจึงไม่ได้พูดอะไร“เด็กดี อย่าบอกพ่อกับย่านะว่าแม่เอาเงินไป หากวันนี้โชคดีแม่จะซื้อลูกกวาดและเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้” น้ำเสียงนั้นพูดแล้วลูบศีรษะของเด็กหญิงวัยสี่ขวบอย่างรักใคร่เมื่อคืนนี้เธอฝันแปลกๆ แต่ไม่ใช่ฝันร้ายแต่อย่างใด ฝันว่ามีตัวเองอีกคนในกระจกในชุดที่สวยงาม วันนี้จึงเลือกชุดที่คล้ายกับในความฝันแล้วแต่งหน้าเพื่อให้แม่สามีเข้าใจว่าเธอมีธุระ“นั่นจะไปไหน” เยี่ยหงถามอย่างรู้ทัน“ฉันนัดเพื่อนเอาไว้ค่ะ” เธอโกหกแล้วหลบสายตาของหญิงวัยห้าสิบ รีบเดินออกจากประตูบ้านแล้วจูงจักรยานออกไปวันนี้มั่นใจว่าอย่างไรก็ต้องได้ไม่มากก็น้อย แล้วปั่นจักรยานไ
ในตอนเย็นเธอพยายามจะเข้าไปช่วยแม่สามีในครัว แต่ก็ถูกไล่ตะเพิดออกมาจึงมานั่งดูรายการโทรทัศน์อยู่ที่ห้องนั่งเล่นเยี่ยหลี่เฉียงกลับมาเห็นว่าภรรยานั่งเล่นอยู่อย่างสุขสบาย ในขณะที่มารดาของเขากำลังอยู่ในครัว เขาก็ยิ่งรู้สึกชิงชังภรรยาของตนเป็นอย่างมากในสายตาเขา เธอเป็นผู้หญิงที่เกียจคร้านไม่ทำอะไร ใช้แผนสกปรกเข้าหาผู้ชาย สองเดือนที่ผ่านมาเขาให้โอกาสเธอได้เปลี่ยนแปลงตัวเองแต่ก็ยังคงเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาว ปล่อยให้แม่ของเขาทำงานบ้านแบบนี้แล้วจะให้เขาเปิดใจยอมรับเธอ แล้วรักเธอลงได้อย่างไร“กลับมาแล้วเหรอคะ”เมื่อรู้ว่าสามีมาถึงแล้ว จางซูเจินก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาเขา“วันนี้คุณกลับค่ำกว่าปกติ งั้นกินข้าวก่อนค่อยอาบน้ำดีหรือไม่” เธอถามสามีด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็ยังคงเป็นสายตาที่เย็นชาของเขาเธอจึงเดินเข้าไปช่วยแม่สามียกอาหารออกมา พร้อมกับเตรียมถ้วยข้าวเพื่อที่จะตักข้าวให้แก่ทุกคนจากนั้นกลิ่นของอาหารก็ทำให้เธอรู้สึกคลื่นเหียน หญิงสาววิ่งออกไปที่หลังบ้านแล้วโก่งคออาเจียนกับกลิ่นที่เหม็นหืนนั้น“เป็นอะไรไปอีกล่ะ วันๆ เอาแต่เรียกร้องความสนใจ” เยี่ยหงพูดขึ้นมา ไม่ได้ส
“เมื่อคืนคุณขืนใจฉัน คุณต้องรับผิดชอบ” เมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็ได้ยินประโยคแรกจากปากของเธอร่องรอยหย่อมเลือดที่อยู่บนเตียงนั้นเป็นหลักฐานได้กว่าเขาได้ล่วงล้ำเธอไปแล้ว“แต่เท่าที่จำได้ คุณเป็นฝ่ายขึ้นมาอยู่บนตัวผม” น้ำเสียงของเขาราบเรียบ และเต็มไปด้วยความรู้สึกโกรธเคืองผู้หญิงตรงหน้าเป็นอย่างมาก“คุณทำอย่างนั้นไปแล้ว หากไม่รับผิดชอบฉันจะต้องเข้าแจ้งความที่โรงพัก” เธอขู่เขา ทำให้เยี่ยหลี่เฉียงยิ่งรู้สึกรังเกียจเป็นอย่างมากเกิดเรื่องเช่นนี้เขาจะต้องถูกไล่ออกจากงานและหมดอนาคตเลยทีเดียวหลังจากพูดคุยกันแล้ว เขาพาเธอกลับไปส่งที่บ้านสกุลจาง ไป่ลิ่วเมื่อรู้ว่าลูกเลี้ยงหายไปกับผู้ชายทั้งคืนก็ถึงกับโกรธจนตัวสั่นแล้วบอกให้เยี่ยหลี่เฉียงรีบมาสู่ขอหลังจากนั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ งานแต่งงานเล็กๆ ก็ถูกจัดขึ้นที่บ้านสกุลจาง สินสอดก็ไม่ได้มากมายอย่างที่ไป่ลิ่วขอเอาไว้ตนไม่สามารถขายเธอให้กับเศรษฐีแก่ที่นัดหมายเอาไว้ก่อนหน้านี้ได้แล้ว จึงจำใจรับสินสอดเล็กน้อยเท่านั้นเยี่ยหงมองลูกสะใภ้ของตนด้วยความเกลียดชัง ยิ่งรู้ว่าการแต่งงานนี้เกิดขึ้นเพราะสาเหตุใดก็ยิ่งรังเกียจและต่อต้านอยู่ในใจ แต่หาทำอะไรได้ไม่หากไม่
คุณหนูสกุลจางที่เคยมีบิดากางปีกปกป้อง เมื่อสิ้นบิดาไปแล้วจางซูเจินกลายเป็นคุณหนูตกอับที่ถูกแม่เลี้ยงยักยอกทรัพย์สมบัติทุกอย่างไปเป็นของตน แล้วให้เธออยู่ที่บ้านคอยรับใช้เยี่ยงทาสหญิงสาวไม่เคยเข้าครัวมาก่อนก็ต้องเข้าไปฝึกฝน แต่ด้วยความไม่ชำนาญจึงไม่ได้ทำอาหารให้รสชาติออกมาดี จนถูกแม่เลี้ยงต่อว่าและถูกตีอยู่เสมอไป่ลิ่วในวัยสี่สิบยังสวยสะพรั่ง เธอเป็นแม่เลี้ยงที่ไร้ความเมตตาต่อจางซูเจิน เพราะตอนที่สามียังมีชีวิตอยู่ให้ท้ายลูกเลี้ยงคนนี้มากจึงไม่กล้าแตะต้องแต่เมื่อสามีตายไป ความแค้นที่ถูกสามีละเลยจึงนำมาลงที่จางซูเจิน จนหญิงสาวแทบทนไม่ไหวแต่ก็ต้องอยู่ที่สกุลจางต่อไป เพราะที่นี่เป็นบ้านของเธอในช่วงสามเดือนแรกหลังจากที่บิดาของเธอจากไป ไป่ลิ่วครอบครองทรัพย์สมบัติทั้งหมดและใช้เงินเป็นว่าเล่น ซื้อข้าวของเครื่องประดับไม่เว้นแต่ละวันจนในที่สุดเงินที่มีก็เริ่มร่อยหรอลง จึงหันไป ลงทุนปล่อยเงินกู้ร่วมกับผู้ชายที่เข้ามาติดพันหวังจะเป็นคนร่ำรวย สุดท้ายก็ถูกโกงผู้ชายคนนั้นเอาเงินหนีไปอย่างไร้ร่องรอย ไป่ลิ่ว จึงต้องขายของมีค่าเหล่านั้นที่ตนซื้อมาด้วยความจำใจ ระบายอารมณ์ด้วยการด่าทอและทุบตีจางซูเจิ
“เธอรู้เรื่องหลานคุณนายเฉินหรือยัง เฉินอี้หรูคนนั้น” หยางซินและซ่งเหลียนแวะมานั่งคุยที่ร้านเสริมสวยของจางซูเจิน แล้วนำข่าวลือมาเล่าให้ฟัง“ไม่เลย ตั้งแต่วันที่เจอกันตอนให้ปากคำที่โรงพักครั้งก่อน เห็นว่าแตกหักกับคุณนายเฉินและตัดสัมพันธ์กันไปแล้ว จากนั้นก็ไม่เห็นเธออีกเลย”จางซูเจินไม่ได้เล่าว่าตนได้ยินเรื่องที่อีกฝ่ายไปยั่วยวนนายลิ่วที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน“เฉินอี้หรูถูกนักเลงแถวนั้นตบตี ใครๆ ต่างก็บอกว่าเป็นฝีมือสะใภ้ลิ่ว สาเหตุเพราะเธอไปยุ่งเกี่ยวกับลิ่วเซียงเลยถูกภรรยาของเขาจ้างนักเลงไปตบตี แต่ก็ไม่มีพยานและหลักฐาน” ซ่งเหลียนเล่าเรื่องที่ตนได้ยินมา“พอทำอะไรไม่ได้ เฉินอี้หรูจึงคับแค้นใจ แล้วดักทำร้ายสะใภ้ลิ่วเพื่อแก้แค้น แต่โชคร้ายที่มีคนมาเห็นและช่วยเหลือเอาไว้ เธอจึงพลาดท่าแล้ว...แท้งลูก” หยางซินกระซิบเสียงเบาในประโยคท้าย“แท้งลูกอย่างนั้นหรือ” จางซูเจินตกใจ เพราะก่อนหน้านี้เฉินอี้หรูพยายามยั่วยวนสามีของตนแต่ก็ไม่ได้ผล พอเกิดเรื่องกับเฉินเหม่ยก็เปลี่ยนเป้าหมายไปหาลิ่วเซียง เรื่องเพิ่งเกิดไม่ถึงเดือนจะท้องแล้วแท้งอะไรรวดเร็วเช่นนั้น“พ่อแม่ของเฉินอี้หรูเค้นถามบุตรสาวของตน จนรู้ว่าจ
จางซูเจินนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง เหงื่อผุดบนหน้าผากทั้งๆ ที่อากาศก็ค่อนข้างเย็น เยี่ยหลี่เฉียงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของภรรยา เขาลุกขึ้นดูเธอที่กำลังฝันร้ายแล้วขยับเข้าไปดึงเธอมากอดไว้แนบอก“ผมอยู่นี่แล้วเจินเจิน ไม่ว่าคุณจะฝันร้ายอย่างไร ผมก็จะปกป้องคุณเอง” เขากระซิบเสียงเบา ก่อนจะหลับไปเมื่ออีกฝ่ายสงบลงไปแล้วภรรยาสาวลืมตาขึ้นมาในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนั้น ความฝันเมื่อครู่เป็นความฝันที่เธอเคยฝันถึงมาก่อนหน้านี้ในฝันเธอกำลังเดินท่ามกลางม่านหมอกที่หนาตา แล้วเห็นแสงสว่างจึงเดินตามไปจนถึงที่นั่น พบกระจกบานใหญ่ที่ส่องมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเอง แต่การเคลื่อนไหวของเงาสะท้อนนั้นกลับไม่ใช่เธอ เหมือนมีจางซูเจินอีกคนในกระจกเงาและที่สำคัญ มันเป็นความฝันในคืนก่อนหน้าที่จะเข้าประตูมิติมายังที่นี่!‘หรือว่าประตูมิติจะเปิดอีกครั้ง’ เธอนึกสงสัยแต่ข้อความที่บอกว่าเธอไม่สามารถหวนคืนไปได้อีกนั้นก็ชัดเจนอยู่ว่ากลับไปไม่ได้อีกแล้วหญิงสาวทนความสงสัยเอาไว้ไม่ได้อย่างไรเธอต้องพิสูจน์ให้รู้เรื่องในตอนสายเธอเปลี่ยนไปใส่ชุดเดิมที่เคยใส่ในวันนั้นและแต่งหน้าอย่างสวยงาม เพราะคิดว่าชุดนี้อาจมีส่วน และหากประตู
หลังจากหายดีแล้ว ร้านเสริมสวยประจำหมู่บ้านก็เปิดให้บริการตามปกติ เยี่ยหงรับหน้าที่ดูแลหลานสาวอย่างใกล้ชิด และทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ เพราะลูกสะใภ้แย่งเธอทำงานตั้งแต่เช้าหยางซินและซ่งเหลียนเห็นว่าจางซูเจินมีความสุขขึ้นและเรื่องเลวร้ายได้ผ่านไปแล้ว พวกเธอจึงไม่ได้มาบ่อยอย่างแต่ก่อน แต่ก็ยังแวะเวียนมาใช้บริการและมานั่งพูดคุยด้วยบ้าง“เธอไปเรียนเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ตัดผม ดัดผม แล้วก็แต่งหน้า เรื่องพวกนี้ต้องใช้ทักษะมากเลยนะ” เยี่ยหงถามด้วยความใคร่รู้“ฉันกำพร้าค่ะ เลยต้องหางานทำเพื่อเลี้ยงตัวเอง ไม่ได้เรียนมาแต่ว่าเจ้าของร้านสอนให้”เยี่ยหงเข้าใจว่าเป็นเพราะนายจางเสียไปแล้วแม่เลี้ยงก็คงยึดสมบัติครอบครองผู้เดียว แล้วยังจะขายเธอให้เศรษฐีพ่อหม้ายอีก จางซูเจินถึงได้ลำบากเพราะอยู่ในบ้านที่แม่เลี้ยงข่มเหง และเพราะความลำบากนั้นเองจึงต้องวางแผนเข้าหาลูกชายของตน“จริงสิ ฉันไปเห็นที่บ้านคุณนายโจวตอนที่ไปย้อมผมให้เธอที่บ้าน เห็นผู้นำหมู่บ้านสอนวิธีปลูกผักด้วยกระถางต้นไม้ จำพวกผักบุ้ง ต้นกระเทียม และผักที่ปลูกง่าย กระถางบ้านเรามีเยอะลองปลูกดีหรือไม่”“ก็ดีนะ แม่ก็ว่างๆ ไม่ค่อยมีอะไรทำอยู่พ
ในระหว่างที่จางซูเจินยังไม่หายดี เยี่ยหงก็พยายามจะเข้าหาลูกสะใภ้และทำดีด้วยเพื่อหวังให้เธอยกโทษให้ โดยใช้หลานสาวเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์เธอทำอาหารบำรุงสุขภาพ แล้วเอาไปให้ลูกสะใภ้ที่นั่งพักอยู่ในห้องนอน แต่จางซูเจินก็ลังเลที่จะรับเอาไว้“ซูเจิน สามวันแล้วที่ลูกปฏิเสธน้ำใจของแม่ วันนี้รับไว้เถิดนะ บอกแม่สิเสี่ยวอิงว่าย่าตั้งใจทำมากแค่ไหน” เยี่ยหงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แสดงความจริงใจออกมาก่อนหน้านี้กลัวว่าจะถูกลูกชายโกรธ แต่ตอนนี้เธออยากให้ลูกสะใภ้ให้อภัยตนอย่างจริงใจมากกว่า“แม่คะ ย่าตั้งใจทำมากเลย หนูก็ช่วยด้วย แม่กินสักหน่อยนะคะ จะได้หายไวๆ” เด็กน้อยพูดตามที่ย่าสอนหลายวันมานี้เยี่ยหงแสดงให้รู้ว่าเธอสำนึกผิดและมีความห่วงใยมารดาของตน เยี่ยซิ่วอิงจึงใจอ่อนให้แก่ย่า และยินดีให้ความช่วยเหลือจางซูเจินเห็นว่าเด็กหญิงมีความพยายามจะช่วยเหลือผู้เป็นย่า และเยี่ยหงเองก็แสดงความจริงใจ คราวนี้เธอจึงรับนำแกงบำรุงนั้นเอาไว้“ขอบคุณค่ะ” น้ำเสียงนั้นกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ แต่ก็ยังคงห่างเหินอยู่บ้าง“ลูกไม่ได้ทำงานตั้งหลายวัน คงเบื่อแย่ งั้นออกไปนั่งเล่นที่ห้องนั่งเล่นดีไหม มีละครออกใหม่เราจะได้ด