Share

บ่วงดวงชะตา พระชายาหมอดูมือฉมัง
บ่วงดวงชะตา พระชายาหมอดูมือฉมัง
ผู้แต่ง: เจียงหนานเยียน

บทที่ 1

“แม้ซือเจ๋อเยว่จะมีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิง แต่ก็ต้องแต่งงานกับเยียนอ๋องซื่อจื่อที่ตายในสมรภูมิรบ ช่างน่าเวทนาเสียจริง!”

“อย่างนางนับเป็นองค์หญิงที่ใดกัน? นางก็แค่เด็กบ้านนอกที่เติบโตในสำนักเต๋า แถมยังเป็นดาวอัปมงคลอีกด้วย”

“ข้ายังได้ยินมาว่า นางเป็นเหตุให้ฮ่องเต้องค์ก่อนสิ้นพระชนม์ด้วย”

“ดาวอัปมงคลแต่งกับคนตาย ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมนัก!”

ซือเจ๋อเยว่นั่งอยู่ในเกี้ยวแต่งงานหน้าประตูวังหลวงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ฟังเหล่าข้าราชบริพารรอบข้างวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด ริมฝีปากของนางเผยรอยยิ้มเย็นเยียบ

อดีตฮ่องเต้กับฮ่องเต้เจาหมิงเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตกัน เมื่อครั้งอดีตฮ่องเต้สวรรคตอย่างกะทันหัน มีพระธิดาเพียงองค์เดียวคือซือเจ๋อเยว่ บรรดาขุนนางจึงยกย่องให้ฮ่องเต้เจาหมิงขึ้นครองบัลลังก์

เมื่อฮ่องเต้เจาหมิงขึ้นครองราชย์ พระองค์ประกาศว่าจะทรงเลี้ยงดูพระธิดาน้อยวัยสองขวบอย่างดี แต่ไม่นานนัก นางกลับล้มป่วยหนัก และใช้ข้ออ้างที่ว่าต้องพักฟื้นร่างกายเพื่อส่งนางไปยังสำนักเต๋า

พวกเขาไม่รู้เลยว่าอาการเจ็บป่วยครานั้นได้คร่าชีวิตเด็กน้อยวัยสองขวบไปแล้ว ที่อยู่ในร่างนี้คือวิญญาณของผู้ใหญ่จากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด

นางใช้ชีวิตในสำนักเต๋ามานานถึงสิบห้าปี โดยที่ไร้ผู้ใดสนใจจะไถ่ถาม

เมื่อเดือนก่อน ซือเจ๋อเยว่ได้รับจดหมายจากพระมารดาแท้ ๆ ของนาง ซึ่งก็คืออวิ๋นไท่เฟย ใจความในจดหมายบอกว่านางป่วยหนักและต้องการให้ซือเจ๋อเยว่กลับวังหลวงเพื่อมาพบกันเป็นครั้งสุดท้าย

ทว่าพอนางมากลับมา ก็พบความจริงว่าอวิ๋นไท่เฟยหาได้ล้มป่วยไม่ ที่แท้เพียงแค่หลอกลวงให้นางกลับมาเพื่อแต่งงานกับเยียนอ๋องซื่อจื่อผู้สิ้นชีพในสมรภูมิรบแทนองค์หญิงสาม

นางไม่จำเป็นต้องคิดก็รู้ว่าคนที่มายืนรายล้อมพูดจาเสียดสีนางอยู่หน้าประตู ล้วนเป็นคนที่อวิ๋นไท่เฟยส่งมาทำให้นางรู้สึกแย่

นี่คือการบอกนางว่า นางต่ำศักดิ์ เกิดมาก็มีแต่ความอัปมงคล คู่ควรจะแต่งงานกับคนตายเท่านั้น

นางรู้สึกรำคาญใจเล็กน้อย จึงเอื้อมมือไปหมายจะดึงผ้าคลุมหน้าออกเพื่อให้หายใจสะดวก

แต่นางเพียงขยับมือเล็กน้อย กวนมามาที่อวิ๋นไท่เฟยส่งมาให้ติดตามนางก็กล่าวด้วยสีหน้าเข้มงวดว่า “องค์หญิง โปรดระวังกิริยาด้วย”

“ตอนนี้พระองค์กลับมาสู่วังหลวงเป็นถึงองค์หญิง มิใช่เด็กสาวบ้านป่าจากสำนักเต๋าอีกต่อไป”

“การกระทำทุกอย่างของพระองค์เป็นสิ่งแทนตัวราชวงศ์ มิอาจมีข้อผิดพลาดใดๆ ได้!”

“การที่คนจากจวนเยียนอ๋องยังไม่มารับตัวเจ้าสาวเสียที คงเพราะรังเกียจองค์หญิงที่หยาบกระด้างเกินไป”

ซือเจ๋อเยว่ดึงผ้าคลุมหน้าออกอย่างแรง ดวงตาคู่งามดุจแก้วหลิวหลีจ้องตรงไปยังกวนมามา ก่อนจะเอ่ยว่า “กวนมามา ท่านเคยดูดวงหรือไม่?”

กวนมามาเห็นท่าทางของนางแล้วพลันขมวดคิ้วเตรียมจะดุด่า

นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เมื่อครู่นี้ข้าช่วยดูดวงให้ท่านแบบไม่คิดเงิน ท่านจะต้องตายในวันนี้แน่นอน”

“อีกประเดี๋ยวท่านก็ไม่ต้องไปส่งข้าที่จวนเยียนอ๋องหรอก รีบกลับไปเตรียมตัวสำหรับงานศพของตัวเองเถิด หากท่านไม่ฟังข้า ท่านจะต้องตายอย่างอนาถกลางถนนแน่”

กวนมามาตอบกลับด้วยเสียงเย็นชา “องค์หญิงอย่ามาขู่หม่อมฉันเลย ใคร ๆ ก็รู้ว่าถึงแม้พระองค์จะเติบโตที่สำนักเต๋า แต่ก็เป็นเพียงพวกไร้ค่า...”

กวนมามายังพูดไม่ทันจบ ก็รู้สึกถึงความเย็นวาบที่หลัง ราวกับมีดเล่มหนึ่งกำลังจ่ออยู่ที่คอของนาง พร้อมที่จะปลิดชีพได้ทุกเมื่อ!

นางถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว พลันรู้สึกว่าซือเจ๋อเยว่ไม่ใช่คนที่จะกลั่นแกล้งได้โดยง่าย

พอเหมาะพอดีกับที่ปลายถนนอีกฝั่งหนึ่ง มีเสียงกลองและฆ้องดังขึ้น ขบวนรับเจ้าสาวจากจวนเยียนอ๋องมาถึงแล้ว

กวนมามาที่กำลังจะหันมาดุด่าซือเจ๋อเยว่ เมื่อเห็นขบวนก็เปลี่ยนท่าที น้ำเสียงอ่อนลงอย่างไม่เต็มใจ “องค์หญิง รีบคลุมผ้าคลุมหน้ากลับไปเถิดเพคะ!”

เสียงนั้นเพิ่งจบลง ‘เจ้าบ่าว’ ที่อยู่บนหลังอาชาพันธุ์ดีตัวหนึ่ง ก็ค่อย ๆ ก้าวเข้ามาทางซือเจ๋อเยว่ ร่างของเขาสูงสง่าดั่งต้นสน สง่าราศีเปล่งประกายโดยธรรมชาติ

อาภรณ์เจ้าบ่าวที่เขาสวมไม่ได้นำพาความสดใสยินดี กลับทำให้ทั้งตัวของเขาเปรียบเสมือนกระบี่ที่เพิ่งชักออกจากฝัก แผ่รังสีแห่งความเยือกเย็นและความอำมหิตออกมา

ซือเจ๋อเยว่ที่มีผ้าคลุมหน้ากั้นอยู่มองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัด แต่สามารถรับรู้ได้ถึงรัศมีอันน่าเกรงที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขา

เขากระโดดลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่วและรวดเร็วมาก จากมุมของซือเจ๋อเยว่ นางเห็นเพียงแค่ขาที่เรียวยาวของเขาเท่านั้น

แม้จะมีผ้าคลุมหน้าและอาภรณ์มงคลสีแดง แต่ซือเจ๋อเยว่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งและกำยำของขาทั้งสองข้างของเขา

อยากลองลูบดูสักครั้งเหลือเกิน...

ท่ามกลางเสียงดนตรีที่บรรเลงดังขึ้นรอบตัว ขุนนางผู้ทำพิธีข้างกายขานร้องตามพิธีของการรับตัวเจ้าสาว

เพียงไม่นาน ซือเจ๋อเยว่ก็รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนยืนอยู่ตรงหน้านาง กลิ่นอายเย็นชาพุ่งเข้ามาพร้อมกับความกดดันมหาศาล

เขาหยุดยืนตรงหน้าของนาง “เยียนเซียวหรานมารับเจ้าสาวแทนพี่ชายผู้ล่วงลับช้าไป ขอองค์หญิงโปรดอภัยพ่ะย่ะค่ะ”

เสียงของเขาทุ้มต่ำ เย็นชา และเต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างน่าหลงใหล เป็นเสียงที่ไพเราะจับใจ ซึ่งเป็นเสียงแบบที่นางชื่นชอบที่สุด

ซือเจ๋อเยว่กระแอมไอเบา ๆ ก่อนโบกมือพลางพูดว่า “ไม่เป็นไร มาช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร ขอแค่มาถึงก็พอแล้ว”

ทันทีที่สิ้นคำ เสียงเย็นชาของเยียนเซียวหรานก็ดังขึ้น “นางมิใช่องค์หญิงสาม นางคือผู้ใด?”

ซือเจ๋อเยว่แปลกใจเล็กน้อย ดูเหมือนบุรุษผู้นี้จะไม่ธรรมดา เพียงแค่ได้ยินเสียงนางพูดประโยคเดียว ก็จำได้ว่านางไม่ใช่องค์หญิงสาม

กวนมามารีบกล่าว “องค์หญิงสามล้มป่วยกะทันหันเมื่อคืนนี้ มีไข้สูงไม่ยอมลด”

“องค์หญิงเจ๋อเยว่ทราบเรื่องนี้ จึงอาสาที่จะแต่งงานแทน ซึ่งเรื่องนี้ได้แจ้งให้ฮูหยินใหญ่ทราบตั้งแต่เช้าแล้ว”

“คาดว่าตอนที่คุณชายสามออกมารับตัวเจ้าสาวคงจะพลาดข่าวนี้ไปพอดี”

เยียนเซียวหรานหัวเราะเยาะ “ทั้งเมืองหลวงล้วนรู้กันดีว่าองค์หญิงเจ๋อเยว่เติบโตในสำนักเต๋า หลังจากฮ่องเต้เจาหมิงขึ้นครองบัลลังก์ สถานะของนางก็กระอักกระอ่วนยิ่งนัก”

นางเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวงเมื่อสามวันก่อน เรื่องที่นางอาสาแต่งเข้าจวนเยียนอ๋องนั้น แม้แต่คนโง่ยังไม่เชื่อเลย

คงพูดได้แค่ว่าฮ่องเต้เจาหมิงเพียงแค่ใช้นามขององค์หญิงสามเป็นข้ออ้างมาตั้งแต่แรก ผู้ที่ถูกหมายตัวให้แต่งเข้าจวนเยียนอ๋องมาโดยตลอดก็คือซือเจ๋อเยว่

เขากล่าวเสียงเย็นชา “ในพระราชโองการประทานสมรส ระบุว่าเป็นองค์หญิงสาม ข้าก็เพียงมารับเจ้าสาวแทนพี่ชาย เรื่องนี้ข้าต้องถามพี่ชายก่อน”

พูดจบ เขาหันไปสั่งว่า “ใครก็ได้ ไปซื้อธูปเทียนและกระดาษเงินกระดาษทองจากทางทิศตะวันออกของเมือง แล้วไปเชิญท่านอาจารย์จากวัดกุยหยวนมาทำพิธีเปิดแท่นเรียกวิญญาณของพี่ชายข้าขึ้นมา”

“ก่อนที่พี่ชายข้าจะตอบรับ ข้ามิอาจรับตัวองค์หญิงเจ๋อเยว่กลับจวนแทนพี่ชายได้”

ซือเจ๋อเยว่เก็บกดความไม่พอใจไว้เต็มอกตั้งแต่กลับมาที่วังหลวง บัดนี้ทุกคำพูดของเยียนเซียวหรานล้วนแฝงความรังเกียจอย่างชัดเจน

นางไม่ได้รังเกียจพี่ชายของเขาที่เป็นเพียงคนตายด้วยซ้ำ แต่เขากลับกล้ามารังเกียจนางหรือ?

เอาสิ ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างก็รังเกียจกันแล้ว เช่นนั้นก็เล่นให้ใหญ่ไปเลย

นางพูดขึ้นจากด้านข้างว่า “คุณชายสามอยากพบเยียนอ๋องซื่อจื่อหรือ? ไม่จำเป็นต้องไปถึงวัดกุยหยวนให้ยุ่งยากหรอก”

พูดจบ นางก็หยิบร่มสีดำขนาดใหญ่ที่พกติดตัวมากางออก แล้วครอบร่างของเยียนเซียวหรานเอาไว้

เขามองนางด้วยสายตาเย็นชา คิดจะก้าวถอยออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงคำครหา

ทว่าทันทีที่เขายกเท้าขึ้น ชั่วขณะนั้น ลมเย็นวูบก็พัดขึ้นรอบตัว ภายใต้ร่มคันนั้นกลับกลายเป็นอีกโลกหนึ่ง

ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังเป็นตอนเที่ยงที่แสงแดดสว่างจ้า แต่ในพริบตากลับเปลี่ยนเป็นมืดสนิทดุจยามราตรี!

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status