หยางอี้หรู นักธุรกิจสาว ที่เป็นอัจฉริยะผู้ประสบผลสำเร็จ ตั้งแต่อายุยังน้อย ทว่าในงานเลี้ยงฉลองผลกำไรของบริษัท เธอกลับได้พบความลับของสามีกับน้องชาย ซึ่งนำมาสู่ความตายของเธอ ทว่าเมื่อเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง กลับพบว่าตัวเอง ได้อยู่ในอีกมิติที่แตกต่าง ทั้งยุคสมัยและการใช้ชีวิต ที่มันน่าตกใจไปมากกว่านั้น เธอมีลูกแฝดสามในวัยสิบขวบ และเจ้าของร่างยังเป็นขอทานอีกด้วย
ดูเพิ่มเติมภาพการรับมือของต้วนจ้าว ทำให้กลุ่มคนที่ซุ่มดูอยู่บนต้นไม้ จำต้องเบิกตากว้าง แต่ก็มิใช่ทั้งหมด เพราะต้วนอี้หลาง ทำเพียงยกยิ้มมุมปาก เขารู้อยู่แล้วว่าท่านตามิใช่ธรรมดา แต่คงมีเหตุผลที่เก็บซ่อนตัวตนเสียมิดชิด ในช่วงที่เขากับมารดายังบาดเจ็บ นักฆ่าเทียววนเวียนหมายเข้ามาสังหาร แต่กลับไม่มีมดแมงตัวใดหลุดรอด มาถึงเขากับมารดาได้เลย นั่นบอกได้ว่าโรงหมอสกุลต้วน มีดีอยู่ไม่น้อย “ดูเจ้าไม่แปลกใจเลย” เจียงกั๋วจ้าน ถามต้วนอี้หลาง ที่นั่งอยู่กิ่งไม้อยู่ถัดจากเขา เด็กชายหันไปส่งยิ้มกว้างให้แก่ผู้เป็นลุง “ก่อนที่ท่านตาจะพาข้าไปหาท่านลุง เราแม่ลูกบาดเจ็บสาหัสกันอยู่นานทีเดียว และตลอดระยะเวลานั้น มีนักฆ่าวนเวียนราวผึ้งตอมเกสรดอกไม้เชียวละขอรับ ท่านลุงคิดว่าไยมือสังหารจึงไม่เคยเฉียดใกล้เราแม่ลูกเลยเล่าขอรับ” “หากเป็นเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องถึงมือข้าเลยนี่” “ท่านลุงรู้แก่ใจดี ว่าพายุเมื่อมันโหมแรงขึ้น คนเราก็ต้องหาที่หลบภัยให้มั่นคงขึ้น ท่านตาแม้จะมากฝีมือ แต่วัยที่ร่วงโรยตามกาลเวลา ทำให้ท่านตาเกรงว่าเราแม่ลูกจะไร้เกราะคุ้มกาย” “ข้าไม่แปลกใจเลย ว
หลังจากประตูจวนปิดลง สองแม่ลูกที่เคยแสดงท่าทีหวาดกลัวอย่างรนรานเมื่อครู่ พลันแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มหยัน เมื่อไร้สายตาคนภายนอก ก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งหวาดกลัวอีกต่อไปคนไร้ค่าที่คิดว่าตนเอง กำลังถือหมากเหนือกว่า ก็เป็นเพียงแมงเม่าที่บินเข้าหากองไฟ ที่จุดหลอกล่อเอาไว้ ท้ายที่สุดก็ต้องตายอยู่ดี “ข้าคิดเอาไว้อยู่แล้ว ว่าสักวันเจ้าต้องโผล่มาที่นี่” ต้วนฮูหยินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน นางไม่มีความจำเป็นต้องกลัวคนอย่างต้วนจ้าว ดีเสียอีกที่เขากลับมา จะได้มิต้องเสียเวลาไล่ล่า “แล้วอย่างไร” ต้วนจ้าวถามกลับ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ก็ไม่แล้วอย่างไร แต่ข้ามิชื่นชอบ ให้มีหนามแหลมมากีดขวางเส้นทาง”สิ้นคำของต้วนฮูหยิน บ่าวชายหญิงที่อยู่โดยรอบ ได้เคลื่อนกายโอบล้อมผู้ที่มาเยือนในทันที โดยในมือล้วนมีอาวุธ ซึ่งมันชัดเจนแล้วว่าที่ผ่านมา สองแม่ลูกเอง ก็เตรียมการเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว ซึ่งมันไม่ผิดจากที่เขา คาดการณ์เอาไว้เท่าใดนักรอยยิ้มหยันของสองแม่ลูก รวมถึงสะใภ้คนรอง ไม่ได้ทำให้พ่อลูกสกุลต้วนจากชายแดน รู้สึกตื่นเต้นแม้แต่น้อย นักฆ่าระดับสูงกว่านี้ เขาพ่อลูกก็เผชิญกันมามิรู้กี่หน
สองวันถัดมา ณ สกุลต้วน ชายชราผู้เป็นใหญ่ในบ้าน เทียวเดินออกมาชะเง้อมองถนน เผื่อว่าบุตรชายที่ออกจากบ้านไปนาน จะผ่านมาให้ได้เห็นบ้าง นับตั้งแต่เขารู้ข่าว ถึงการกลับมาของบุตรชาย ใจที่โหยหาก็ทำให้เขา เฝ้ารอที่จะได้เห็นหน้าบุตรชายอย่างมีความหวัง ในอดีตเป็นเขาที่ไม่คิดอ่อนข้อให้แก่บุตรชาย จนนำมาซึ่งการแยกครอบครัว แต่เมื่อเวลาผันผ่านไปหลายปี เขาที่แก่ชรามากแล้ว ก็รู้ตัวดีว่าครั้งนั้น มันหาใช่เรื่องใหญ่ จนถึงขั้นต้องแยกครอบครัว ด้วยบิดาย้ำเตือนให้เขาต้องเลือก สุดท้ายแล้วเขาเองที่ผิดทั้งหมดเป็นเขาเองที่เห็นแก่ตัว เลือกรักษาอำนาจในมือ จนต้องปล่อยบุตรชายออกจากบ้านไป เผชิญกับความทุกข์ยาก ที่เขาไม่อาจรู้ได้เลย ว่าบุตรชายต้องพบเจอสิ่งใดบ้างและตอนนี้ไร้บิดาของเขาแล้ว อำนาจเด็ดขาดจึงอยู่ในมือเขาแล้ว ขอเพียงบุตรชายเอ่ยปาก ว่าอยากกลับมา เขาก็พร้อมนำชื่อบุตรชายและสะใภ้ กลับเข้าผังสกุลโดยไม่ลังเล “ท่านพี่จะมายืนทำอะไรตรงนี้เจ้าคะ ไยไม่ช่วยลูกเราหาหนทาง ทวงความเป็นธรรมคืนจากสวะพวกนั้น” ต้วนฮูหยินพูดกับสามี ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเท่าใดนัก เมื่อสองวันก่อนบุตรชาย ได้บอก
นายท่านโจวรับกระดาษนั้นมาคลี่อ่าน แม้ว่าตัวอักษรจะไม่ได้ยาวเท่าใดนัก แต่มันก็ชัดเจนว่านี่คือคำสั่ง ให้ลงมือต่ออดีตลูกสะใภ้กับหลานชาย“มันคงแค่เรื่องบังเอิญ”หลังอ่านเนื้อความจนจบ ชายชราเอ่ยออกมาอย่างไม่เต็มเสียงนัก ทั้งยังไม่กล้าสบตาสามพี่น้องตรงๆ แม้เขาจะมั่นใจว่านี่คือของจริง แต่สกุลโจวยังต้องพึ่งพาสกุลจางและหยาง การทำแบบนี้กับสายเลือดของสองสกุล เท่ากับลากเอาทั้งตระกูลโจวลงสู่เหวลึก“หึๆ ข้าน้อยรู้อยู่แล้วขอรับ ว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ ก็อย่างที่ข้าบอก ข้ามิใช่คนใจกว้าง หากยังมีเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกสักครั้ง ข้าถือว่าได้บอกกล่าวไปแล้ว หากมีสิ่งใดร้ายแรงอย่าได้โทษ ว่าข้าไร้น้ำใจ ส่วนสิ่งนี้...โปรดรักษามันให้ดีหน่อยนะขอรับ เพราะยามเกิดสิ่งใดขึ้นมามา คงเป็นคนที่มีสิ่งนี้เท่านั้น ที่ต้องแบกรับมันอย่างโดดเดี่ยว หาใช่คนที่แอบเอามันไปใช้”ต้วนอี้หลาง ส่งสัญญาณให้ม่อเหลียว นำบางอย่างไปยื่นส่งให้แก่ผู้นำสกุลโจว ชายชรารับกล่องไม้ไปเปิดออกดู ตลอดร่างชาหนึบ ราวกับถูกฟ้าฝ่ากลางแสกหน้าป้ายคำสั่งสกุลโจว มันไปตกอยู่ในมือของเด็กพวกนี้ได้อย่างไร ชายชราอดไม่ได้ที่จะหันไปที่บุตรชายคนโต และลูกสะใภ้ที่ตอนนี
“โปรดระวังวาจาด้วยขอรับ สกุลเจียงใช่บ้านที่จะพูดจาให้เสียหายได้”พ่อบ้านชู่ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ เมื่อหญิงปากกล้าอาจหาญ หมิ่นนายเขาให้เสื่อมเสีย“หากไม่ใช่ลูกติดอนุ แล้วพวกเขาจะเป็นใครได้ ข้าเข้าใจว่าต่อหน้าผู้คน เจ้าเรียกพวกเขาว่าคุณชายคุณหนู แต่ก็อย่างที่เจ้าเห็น ว่าตอนนี้พวกเขา กำลังมาเรียกร้องสิทธิ์อยู่บ้านโจว”“สักคำแล้วหรือขอรับ ที่คุณชายของข้าน้อย บอกว่าจะมาทวงสิทธิ์ อีกอย่างนายท่านทุกคนของสกุลเจียง ไม่รับอนุหรือสาวใช้อุ่นเตียง จะมีเพียงนายหญิงเดียวตลอดชีวิต ข้าน้อยพูดถึงขนาดนี้แล้ว คนฉลาดย่อมเข้าใจนะขอรับ”“สตรีลูกติด! คู่ควรหรือ! อย่าทำเหมือนข้ามิรู้ ว่าสกุลชั้นสูง จะต้องเลือกสิ่งที่ดีและคู่ควรเท่านั้น หาใช่สิ่งของมีตำหนิ”“ฮูหยินน้อยโจว กำลังกล่าวหาว่านายท่านของข้า เป็นคนเขลาอย่างนั้นหรือ...”“ข้าแค่บอกว่านางไม่คู่ควร!”“ไม่ใช่สิ่งที่คนนอก จะสอดรู้ขอรับ”พ่อบ้านชู่ มองไปที่สะใภ้สกุลโจว ด้วยแววตาเอาเรื่อง สตรีหน้าชังผู้นี้กล้าเกินไปแล้ว คิดหยามหมิ่นในการตัดสินใจนายท่านของเขา“นี่เจ้า!”“อะแฮ่ม!”โจวเค่อ กระแอมไอขัดขึ้นเสียก่อน ภรรยาของเขาอยู่ในสังคมชั้นสูงมานาน น่าจะ
การตอบโต้ระหว่างสี่พ่อลูก ทำให้ผู้นำตระกูล และสมาชิกคนอื่นๆ ที่นั่งรวมอยู่ ถึงกับทำหน้ากันไม่ถูกเลยทีเดียว ด้วยไม่คิดว่าเด็กอายุเพียงเท่านี้ กลับมีวาจาฉะฉาน ทั้งการวางตัวไม่เหมือนคนไร้การอบรมสักนิดทั้งความน่าเกรงขามนั่นอีกเล่า มันส่งผ่านออกมาทางแววตาอันเด็ดเดี่ยว บอกได้ชัดว่าภายหน้า ทั้งสามพี่น้องเมื่อเติบโตขึ้น หากเดินบนเส้นทางของผู้นำ ย่อมเป็นใหญ่ได้ในเวลาอันสั้นเมื่อนึกถึงตรงนี้ ผู้นำตระกูลจึงต้องขบคิด หาหนทางนำเด็กทั้งสาม หรือหนึ่งในสามกลับมาอยู่ในตระกูล เส้นเลือดของครอบครัวจะไหลเวียนได้ไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าสามารถทำให้สามแฝด อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา“นางเป็นเด็กผู้หญิง จำต้องรู้สำรวม เจ้าที่เป็นชายจะเข้าใจอันใด”“หากเป็นสตรีที่อ่อนโยน แล้วต้องพบชะตากรรมเช่นท่านแม่ ข้ายินดีสอนให้น้องสาว รู้จักที่จะปกป้องตนเอง มิต้องพึ่งพาบุรุษให้เกินจำเป็น เน้นพึ่งพาตนเองเป็นดีที่สุด”“เด็กคนนี้ ข้า...เห็นไหมเล่า เจ้าเองยังมองว่ามารดาของเจ้าไร้ค่า”“ใต้เท้าโจว คนไร้ค่า...คือผู้ที่ไร้ปัญญาก้าวหน้าด้วยตนเอง แต่ท่านแม่ของข้า นางประเสริฐเกินคนเยี่ยงท่านจะเอื้อมถึง สตรีเช่นนางใช่จะมีให้เห็นดาษดื่นเสียเ
ภายในห้องรับแขก สามพี่น้องนั่งนิ่งเงียบ ไม่ได้แสดงท่าทีตื่นตาตื่นใจ กับความมั่งมีของครอบครัวบิดา เพราะถ้าเทียบกับสกุลเจียงแล้ว นี่มิได้ถึงเศษเสี้ยวเลยก็ว่าได้ หากจะมีบิดาทั้งที ก็ต้องหน้าตาดีและร่ำรวย รวมถึงเป็นคนที่ดี คู่ควรมารดาเท่านั้นโจวเค่อผู้หลงตัวเอง กำลังนั่งยิ้มอย่างผู้มีชัย ซึ่งมันทำให้สามแฝดอดขำขันอยู่ในใจไม่ได้ ยิ้มไปเถิดบิดาข้า เพราะอีกไม่กี่อึดใจ มันจะหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อนเลย“พวกเจ้าคิดได้แล้วใช่หรือไม่ จึงมาหาข้าถึงบ้านเยี่ยงนี้ แต่ข้าต้องบอกเอาไว้ก่อนว่ามากสุด พวกเจ้าก็เป็นได้แค่ลูก ที่มิอาจสืบทอดตำแหน่งใดในสกุลโจวได้”โจวเค่อรีบบอกกับลูกที่เกิดกับอดีตภรรยา เขายอมรับว่าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอี้หรูจะยังรักษาลูกๆ เอาไว้ได้ อีกทั้งเมื่อล่าสุดที่ได้พบนาง ก็เกิดเหตุการณ์ที่เขามั่นใจยิ่งนัก ว่ายากที่นางกับลูกจะรอดชีวิตมาได้ และที่เขาไม่อยากเชื่อสายตา คือเขามีลูกแฝดถึงสามคนแต่เพราะตัวเขานั้น ยังต้องพึ่งพาสกุลจาง และสกุลหยางของภรรยา เพื่อความก้าวหน้าในราชสำนัก จึงไม่อาจหักหาญน้ำใจจางหย๋าชินได้ เพราะมีใครบ้าง ไม่ต้องกำอำนาจหนุนหลัง กับการอยู่ในสังคมสวมหน้ากากนี้“เรียนใต้เท
แม้นางจะยังไม่รู้ถึงสถานะของลูกเลี้ยง กับชายหนุ่มผู้เป็นทายาทสกุลเจียง แต่จากที่เขาออกโรงปกป้องหยางอี้หรู ย่อมบอกได้ว่าเขาจะมิทำลายสัมพันธ์อันดีกับอี้หรู โดยปล่อยให้น้องชายของหญิงสาว ตกอยู่ในอันตรายเจียงกั๋วจ้าน หันไปสบตากับหญิงสาวข้างกาย ก่อนจะหันกลับไปค้อมหัวให้แก่ผู้อาวุโสกว่า“หลีเกอ เจ้าจงถนอมพี่หญิงของเจ้าให้ดี”จางฮูหยินหันไปเอ่ยกับบุตรชาย แม้แขกทั้งสองจะไม่เอ่ยสิ่งใด แต่มารยาทที่แสดงออกมานั้น คือการตอบรับคำขอของนางอยู่ในที“ขอรับท่านแม่ พี่หญิงข้าเติบโตไม่ทันรู้เห็นสิ่งใดมากนัก แต่ข้าเชื่อมั่นในสายตา ว่าสิ่งใดจริงเท็จขอรับ”“เจ้าโตขึ้นมากทีเดียว เอาเป็นว่าเมื่อใด ที่เจ้าก้าวสู่คำว่าผู้นำ จงเปิดหูเปิดตาให้กว้าง ในโลกใบนี้ ความจริงใช่เพียงแค่ตาเห็น ยังมีอีกหลายสิ่งอย่าง ที่เจ้าต้องเรียนรู้ และใช้สติปัญญาในการไตร่ตรองให้ดี”หญิงสาวรู้ดีว่าจางฮูหยินนั้น มิเคยริษยาในตัวเจ้าของร่างเลย เพราะทุกความทรงจำนั้น คงเป็นสตรีผู้นี้ ที่ช่วยให้สี่แม่ลูก หนีรอดไปอยู่ไกลถึงชายแดนแต่คงเพราะวัยที่ยังไม่ได้มากนักในครานั้น ของมารดาเลี้ยง อีกทั้งลูกก็ยังเล็ก จึงไม่ง่ายเลยที่จะออกหน้า ช่วยลูกเลี้ยงเ
“ทุกวันนี้...ตัวข้าก็หาใช่คนของทั้งสองสกุล ข้าว่าเอาเวลาที่มาห่วงข้า ไปจัดการกับบุตรสาวพวกท่านจะดีกว่า เพราะวันนี้ถือว่าข้าให้เกียรติมากแล้ว ที่มาบอกกล่าวด้วยตนเองถึงบ้าน”ต้วนอี้หรู ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบดังเดิม ราวกับคำยั่วยุของอีกฝ่าย ไม่ได้มีผลต่อความรู้สึกของนาง และทำไมนางต้องรู้สึก ในเมื่อมันคืออดีต ที่กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่มีหรือที่อนุหลิน จะยินยอมให้อีกฝ่ายอยู่เหนือกว่า สายตาของนางได้เบนไปที่ชายหนุ่มรูปงาม ที่นั่งอยู่เคียงข้างหยางอี้หรู แม้นางจะรู้สึกเสียดาย ในความหล่อเหลานั้นเพียงใด แต่ก็หาได้สำคัญเท่าการกำจัดคนเช่นหยางอี้หรู “ถึงว่า...เจ้าคงมีที่พึ่งใหม่ ถึงได้อาจหาญมาต่อกรกับสกุลจาง เหอะ! พวกบ้านนอก ชั้น...”“หลินเยว่! เจ้าหรือข้า! ที่เป็นนายหญิงของบ้าน”ก่อนที่วาจาไร้หัวคิดของอนุหลิน จะนำพาเรื่องเดือดร้อนมาให้สกุลจาง เมิ่งเหยียนจำต้องหยุดภรรยาน้อย ของสามีเอาไว้เสียก่อน เพราะถ้ามีสิ่งใดเกิดขึ้น นางกับลูกก็พลอยรับผลนั้นตามไปด้วย มีตาแต่หามีแววสักนิดสัญลักษณ์ของจวนเจียง มีอยู่บนกายสาวใช้ ซึ่งยืนอยู่ข้างหยางอี้หรูและชายหนุ่ม นั่นเป็นการยืนยันว่าทำไ
ตลาดชายแดนตะวันออก ณ ตรอกเล็กๆ ขอทานหญิงในชุดมอซอ กำลังพยายามคลานหนี จากการถูกทำร้าย ตุบ! ตับ! ไม้ท่อนพอดีมือ ตีลงบนแผ่นหลังผอมแห้งอย่างไร้ปราณี หญิงสาวเจ็บร้าวเจียนตาย ทว่าก็มิอาจทำสิ่งใดได้เลย ขอทานตัวเหม็นเยี่ยงนางหรือ จะสู้ลูกหลานของขุนนางได้ “เจ้ามันหนังเหนียวนักนะอี้หรู ผ่านมาหลายปี เจ้ายังไม่ยอมที่จะตายไปเสียที” จางหย๋าชิน พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชิงชัง นางวางใจมาตั้งหลายปี ว่าอดีตภรรยาของสามี จะตายไปแล้วพร้อมลูกในท้อง แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยังชะตาไม่ขาด มีชีวิตรอดมาได้จนทุกวันนี้ “ข้ายอมมอบทุกอย่างให้เจ้าแล้ว ไยยังต้องตามติดทำร้ายข้าอยู่อีกเล่า” หยางอี้หรู ถามภรรยาใหม่ของสามี สตรีผู้ช่วงชิงแม้แต่ตัวตนของนาง เพียงเพราะนางถูกกล่าวหา ว่าเป็นลูกที่มารดานำมาสวมรอย เพื่อให้ฐานะฮูหยินใหญ่มั่นคง พอมารดาสิ้นใจ นางก็ถูกขับออกจากสกุล สามีที่เคยรักใคร่ ก็ยื่นหนังสือหย่าให้อย่างมิคิดใยดี ปล่อยนางที่กำลังตั้งครรภ์แก่ใกล้คลอด ต้องออกมาเผชิญชีวิตอย่างยากแค้น “ลมหายใจของเจ้าอย่างไรเล่า ที่เจ้ายังไม่ให้มันกับข้า!” “ชีว...
ความคิดเห็น