ต้วนอี้หลาง เดินเข้ามาช่วยบีบไหล่ให้มารดา เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าให้แก่นาง เด็กชายรู้ดีว่ามารดา ต้องการให้พวกตน มีชีวิตที่ไม่ต้องเร่ร่อน จึงตอบรับเป็นบุตรสาวบุญธรรม ของท่านตาท่านยาย และลงมือทำงานอย่างหนัก
“อี้หลาง ขอแค่เรามีโอกาสที่จะลืมตาอ้าปาก คำว่าเหน็ดเหนื่อยมันไม่มีในหัวแม่เลยรู้ไหม แม้เจ้ายังเด็กอยู่ ก็ต้องมั่นที่จะหาความรู้ให้มาก เพื่ออนาคตที่ดีรู้ไหม ภายหน้าไร้แม่คอยคุ้มภัย เจ้าจะได้ดูแลตนเองได้”
หญิงสาวลูบมือน้อยๆ ของบุตรชาย ด้วยความรักใคร่ นี่หรือคำว่าแม่ที่นางเคยใฝ่ฝันอยากเป็น ก็ดีนางไม่ต้องทนเจ็บปวดตอนคลอด ยุคนี้ไม่มีเครื่องมือทำคลอด หากต้องมาอุ้มท้องและคลอดเอง นางคงคิดหนักไม่น้อย
“ข้าจะปกป้องพวกเขาแทนเจ้าอี้หรู เจ้าเก่งมากในฐานะแม่ ที่สู้เพื่อพวกเขาจนลมหายใจสุดท้าย”
หญิงสาวบอกกล่าว แก่คนที่จากไปแล้วอยู่ภายในใจ คงไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่าการมีชีวิตอยู่ เพื่อมองอนาคตของลูกๆ
“ข้าจะทำทุกอย่าง ให้ครอบครัวของเรามีความสุขขอรับ”
แก๊ก! เด็กชายตวัดสายตา ไปยังเสียงแปลกปลอมในทันที กิ่งไม้แห้งที่อยู่ด้านนอก ถูกเหยียบหัก แม้จะเบาสำหรับคนทั่วไป แต่ไม่ใช่ตัวเขา เด็กชายหันกลับมาที่มารดา โดยที่มือยังคงบีบนวดคลายเส้น ให้แก่ผู้เป็นแม่อย่างตั้งใจ
“เจ้าเข้าไปนอนเถอะ ทางนี้แม่จัดการเอง”
หญิงสาวที่ได้ยินเสียงกิ่งไม้หัก เริ่มห่วงใยในความปลอดภัยของบุตรชายเช่นกัน นับตั้งแต่ตื่นมา นางก็ฝึกฝนตัวเองอย่างหนัก ชาติที่แล้วนางตายเพราะวางใจคนใกล้ตัว หากวันนั้นไม่มึนเมาจากการดื่มฉลอง อย่างน้อยก็คงหนีรอดจากความตายได้
แต่ก็นะ...มันอาจถึงคราวตายของนาง จากคนไม่เคยประมาท ก็ละหลวมปล่อยให้ตนเองดื่มกินจนมึนเมา เพียงเพราะคิดว่าอยู่ในบ้านตัวเอง ไหนเลยคนลงมือก็คือคนในบ้าน
“ข้าจะอยู่ช่วยท่านแม่ดีกว่าขอรับ”
เด็กชายวัยสิบขวบ ที่มีรอยยิ้มละมุน หาได้ใสซื่อเยี่ยงเด็กไร้เดียง ทว่ามันคือแววตาพยัคฆ์ ฉายพาดผ่านไปชั่วขณะ สองแม่ลูกยังแสร้งไม่รู้เห็นสิ่งใด
อี้หรูซึ้งในน้ำใจของพ่อแม่บุญธรรมยิ่งนัก เพราะคนที่ลงมือกับนางและลูก ยังคงวนเวียนหาหนทาง เพื่อเข้ามากำจัดพวกนางอยู่บ่อยครั้ง แต่บิดาก็สามารถปกป้องพวกนางมาได้ตลอด ถึงอย่างนั้นวันที่แมลงกลางคืน หลุดรอดสายตาของบิดาก็ต้องมาถึง และมันอยู่ใกล้ตัวนางกับลูกแล้วในตอนนี้ แค่กำลังรอเวลาลงมือเท่านั้น
“เจ้าช่วยดูหม้อยา รอแม่สักครู่นะ ประเดี๋ยวแม่มา”
แม้ไม่อยากให้ลูกอยู่ห่างสายตา แต่ก็จำต้องปล่อยเขาไว้เพียงลำพังสักครู่ ด้วยไม่อยากให้เกิดความล่าช้า เพราะการรบในแบบที่ตัวเองไร้ซึ่งพลังยุทธ์ ย่อมต้องมีอาวุธในการลงมือ
“ขอรับ”
เด็กชายรับคำมารดา ก่อนจะมานั่งหน้าเตาแทนผู้เป็นแม่ คล้อยหลังมารดา เด็กชายลุกไปเอาเหล็กแหลม ที่ใช้ในการแทงปลาไหลมาแหย่เข้าไปในเตาไฟ ก่อนจะกอดอกเอนกายผิงถังไม้ด้านหลัง พร้อมทั้งหลับตาลงอย่างช้าๆ
เงาร่างสีดำ เคลื่อนเข้ามาภายในห้องปรุงยา คนในชุดดำแสยะยิ้มเหี้ยม เมื่อเป้าหมายหลักของเขา อยู่เพียงลำพังแล้ว หากปล่อยให้รอดไปได้ งานของเขาคงต้องยืดเยื้อออกไปอีกนานทีเดียว
เด็กคนนี้พอร่างกายสะอาดสะอ้าน ดูสง่าสมสายเลือดนัก แต่น่าเสียดายที่เกิดมาจากมารดา ที่อาภัพโชคและเป็นก้างชิ้นใหญ่ของผู้เป็นนาย จึงมีคำสั่งให้กำจัดนางแม่ลูกไปเสีย
“ข้าเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งท่านั้น เป็นอันตรายถึงขนาดต้องส่งมือสังหารมาเลยหรือ นายเจ้าช่างขลาดเขลานัก หึๆ”
คำพูดและเสียงหัวเราะของเด็กชาย ซึ่งพิงกายกับถังไม้ โดยที่ดวงตายังคงปิดสนิทอยู่ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเยียบเย็น ต่างจากเด็กวัยเพียงสิบขวบนี้เหลือเกิน
“ปากดีใช้ได้นี่...หึๆ”
ชายชุดดำไม่รีบรอ พุ่งเข้าหมายกำจัดเด็กชายในครั้งเดียว ทว่า...ฟิ้ว! ร่างสูงจำต้อง เบี่ยงกายหลบการโจมตี จากด้านหลังเสียก่อน สายตาดุกร้าวหันกลับไปยังที่มาของอาวุธ เป็นลูกดอกจากหน้าไม้ในมือของเป้าหมายสำคัญอีกคน
เด็กชายแสร้งขดตัว ด้วยความตื่นกลัว เมื่อเห็นแล้วว่าคนที่ลงมือ คืนมารดาของเขาเอง ใบหน้าที่เย็นชาของผู้เป็นแม่ ทำให้เขารู้สึกชื่นชมนางยิ่งนัก นี่ล่ะหนาคำว่าแม่ ต่อให้ตรงหน้าคือพยัคฆ์ร้าย ก็พร้อมกางปีกปกป้องลูก โดยไม่กลัวเกรงต่ออันตรายเบื้องหน้า
ชายชุดดำเห็นว่าหญิงสาวมีอาวุธ จึงคิดใช้เด็กชายเป็นทั้งโล่ และข้อต่อลองสำหรับจบภารกิจ จึงพุ่งเข้าหาเด็กชายอีกครั้ง เพื่อจับตัวเอาไว้
“อ๊ากกก!”
แต่ยังไม่ทันได้ถึงตัว มือของเขา กลับต้องปล่อยกระบี่ร่วงลงสู่พื้น เมื่อเหล็กแหลม ที่แดงฉานจากการเผาไฟ เสียบทะลุข้อมือของเขา มันแม่นยำราวจับวาง ขนาดตัวเขาที่เป็นนักฆ่ามานานปี ยังต้องใช้เวลานานนับสิบปี ในการฝึกฝนเพื่อให้ทรงพลังและแม่นยำได้
แต่เด็กเพียงสิบขวบเท่านั้น ไยจึงทำได้ขนาดนี้ พลังต้องมากพอ จึงสามารถแทงจนทะลุข้อมือของเขาได้ ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ลูกดอกถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ชายชุดดำ คิดจะถอยไปตั้งหลักฟิ้ว! เคร้ง! ฉึก! ในจังหวะที่ลูกดอกพุ่งออกมาเฉียดใกล้เขา เด็กชายตวัดเหล็กแหลมในมือเพียงเล็กน้อย ลูกดอกที่ควรเลยผ่านไป กลับพุ่งเข้ากลางลำคอของเขาในทันที ยากนักที่เขาจะหลบเลี่ยงได้ทัน“เจ้าเป็นใครกัน...”เป็นคำถามสุดท้าย ที่ไม่มีโอกาสได้ฟังคำตอบ ด้วยเขาสิ้นใจไปเสียก่อน เด็กชายรีบทิ้งเหล็กแหลมในมือ วิ่งเข้าสวมกอดมารดาเอาไว้แน่น ร่างกายของเด็กชายสั่นเทา ด้วยความหวาดกลัว“แม่ขอโทษที่มาช้า ทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตราย”หญิงสาวปลอบโยนบุตรชาย พร้อมใช้มือลูบแผ่นหลังสั่นเทานั้นให้คลายกังวล หากไม่ตอบโต้ก็คงต้องหลบซ่อนไปชั่วชีวิต ไม่ต่างจากเต่าที่หดหัวแค่ในกระดอง สู้เป็นสุนัขจนตรอก ที่พร้อมหันหน้าสู้จนตัวตาย เมื่อบีบคันไม่ดีกว่าหรือ“เกิดเรื่องใดขึ้น อี้หรู อี้หลาง พวกเจ้าปลอดภัยหรือไม่”ชายชราวิ่งเข้ามาภายในห้อง ด้วยใบหน้าตื่นตระหนก เขาตื่นมาเพื่อผลัดเปลี่ยนกับบุตรสาว ในการเคี่ยวยาส่งให้บ้านสกุลชูในตอนเช้า แต่ไม่คิดว่าจะเห็น
เช้าวันถัดมาสองตาหลาน ได้ออกจากโรงหมอไปตั้งแต่ฟ้ายังมิทันสาง ส่วนอี้หรูกับมารดา ได้เตรียมตัวออกไปส่งยาให้สกุลชูเช่นกัน หญิงสาวไม่ลืมที่จะปกปิดใบหน้าเอาไว้ เพราะใบหน้านี้ อาจนำความยุ่งยากมาสู้ตนเอง และครอบครัว “อี้หลง อี้หลิง เจ้าสองคน อย่าได้ออกมาด้านหน้าโรงหมอเป็นอันขาด รอแม่กับท่านยายกลับมา ค่อยออกมาวิ่งเล่นในสวนเข้าใจไหม” “ขอรับ/เจ้าค่ะ” คู่แฝดรับคำมารดาอย่างว่าง่าย นับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับมารดาและพี่ชาย ไม่ว่าสิ่งใดที่แม่และพี่กำชับไว้ ทั้งคู่ไม่เคยคิดที่จะดื้อรั้นเลยแม้แต่น้อย “ท่านแม่ เราไปกันเถอะเจ้าค่ะ” หญิงสาวหันไปชวนมารดา “ยายจะซื้อขนมมาฝากพวกเจ้านะ อย่าซนเล่า”ต้วนฮูหยินพยักหน้ารับบุตรสาว ก่อนจะหันไปบอกกับคู่แฝด ด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก หากจะว่าไปแล้วในสามแฝด คงมีเพียงสองคนนี้เท่านั้น ที่ยังดูเป็นเด็ก ต่างจากหลานชายคนโต ที่ดูจะเคร่งครึม และพูดน้อยมาก ติดจะเย็นชาไปเสียด้วยซ้ำ แต่นางก็เข้าใจหลานชายคนโตดี การต้องเป็นผู้นำครอบครัวในภายหน้า ต้องฝึกฝนตนเอง ทั้งความคิดและการกระทำให้มาก ทว่านางก็ไม่เคยลำ
ชายชราไม่สนว่าอีกฝ่าย จะช่วยเหลือด้วยหนี้บุญคุณ หรือเพราะราคาค่าจ้าง ขอแค่ตอนนี้ครอบครัวเขาปลอดภัย สิ่งใดก็หาได้สำคัญไม่ “เป็นท่านลุงไม่ได้หรือขอรับ ที่ไปด้วยตนเอง” “อี้หลาง!” เป็นครั้งแรกที่ชายชรา รู้สึกว่าหลานชาย ทำตัวเสียมารยาท สอดแทรกการสนทนา ทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน “ท่านหมออย่าได้ตำหนิเขาเลยขอรับ ข้าเองก็อยากรู้เหตุผลของความกล้านี้เช่นกัน” ชายหนุ่มเกรงเด็กชายจะถูกลงโทษ จึงได้เอ่ยปากช่วยเหลือ และเป็นอย่างที่เขาพูดไป เขาอยากรู้ว่าทำไม เด็กชายจึงอยากให้เขาไปด้วยตนเอง “ท่านลุงมีภรรยา แล้วหรือยังขอรับ” “อี้หลาง เจ้าอย่าได้เสียมารยาทเกินไปนัก ครานี้ตาต้องลงโทษเจ้าจริงๆ แล้วนะ” ชายชรารู้สึกกรุ่นโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว นี่นับเป็นเรื่องที่ก้าวล่วงอย่างแท้จริง “ไม่เป็นไรท่านหมอ ข้าชอบความใจกล้าของเขา เจ้าอยากรู้ข้าก็ไม่ขอปิดบัง ข้านั้นไร้ภรรยา รวมถึงทายาทด้วย” ชายหนุ่มผ่านโลกมาไม่น้อย พอจะเดาความคิดของเด็กชายออก แต่เขาเองก็อยากมั่นใจ ว่าคิดถูกหรือไม่กับการตีความ ในคำถามของต้วนอี้หลาง “เ
“ท่านตาบอกว่าต้องออกไปนอกเมือง คงไกลพอสมควร ตอนนี้อาจกำลังเดินทางกลับอยู่ เจ้าก็อย่าได้กังวลให้มาก” แม้ปากจะบอกน้องสาวไปแบบนั้น ทว่าคนที่เอ่ยปากขอมารดา ออกมารอท่านตา และพี่ชายอยู่หน้าประตูใหญ่ ก็คือตัวเขาเอง “หากท่านตากับพี่ใหญ่มาถึง ข้าจะไม่คุยด้วยเลยคอยดู” เด็กหญิงแสร้งพูดไปอย่างนั้น เพราะนางจะต้องได้ฟังนิทานก่อนนอน จากพี่ชายคนโต หาไม่แล้วยากนักจะหลับได้สนิท ต้วนอี้หรู ยืนมองลูกๆ ด้วยแววตาเอ็นดู นางอนุญาตให้ทั้งคู่ออกมา ใช่ว่าตัวนางจะปล่อยพวกเขาให้ห่างสายตา การจะกักขังลูกๆ ไว้แต่ในบ้าน เพียงเพราะกลัวถูกทำร้าย แล้วเมื่อไหร่พวกเขาจะมีภูมิคุ้มกันตนเอง ในยามไร้นางและท่านตาท่านยายคอยปกป้อง “เจ้าเหนื่อยมาทั้งวัน ไยไม่ไปพักสักหน่อยเล่า บิดาเจ้ากลับมาค่อยกินข้าวกัน” ต้วนฮูหยิน ลูบต้นแขนบุตรสาว ด้วยความห่วงใย สามีกับหลานชายไปธุระนอกเมือง บุตรสาวรับหน้าที่ทำทุกอย่างแทน แม้จะมีคนในโรงหมอคอยช่วย แต่ก็ยังคงหนักอยู่ดี นับตั้งแต่บุตรสาว ปรุงยารักษาที่สะดวกต่อการใช้ รวมทั้งมีเครื่องประทินผิวสำหรับบุรุษและสตรี ทำให้โรงหมอคับคั่งไป
เพราะชายทั้งสามก็อดไม่ได้ ที่จะอุทานอยู่ในใจ ตอนแรกคิดว่าแค่แฝดสอง ทว่าพอเห็นเด็กอีกคน ก้าวลงจากรถม้า พวกเขาถึงกับตื่นตะลึงกันอยู่ไม่น้อย“ไยวันนี้เจ้าดื้อกับตานักนะ” ชายชราอดดุหลานชายไม่ได้“เขาอยู่กับท่านลุงดีแล้วขอรับ ข้าจะไปกับสองแสบนั่นเอง”ปึกๆ มือใหญ่ตบหนักๆ ลงบนบ่าของอี้หลาง นี่คือความน่าสนใจ ที่ดึงดูดให้เขามาด้วยตนเอง เด็กคนนี้มีสายตาเฉียบคมเกินวัย ไม่สิ! นิสัยประเภทนี้ ส่วนมากลูกหลานฮ่องเต้ และทายาทเหล่าแม่ทัพมักจะเป็นกันเพราะต้องเป็นผู้นำ จึงถูกฝึกฝนการต่อสู้ และเรียนรู้ตำรามาอย่างเข้มงวด จึงไม่แปลกที่จะเห็นทายาท ของสายเลือดเหล่านั่น มีความเฉียบคมและเก็บทุกความรู้สึกได้ดีกว่าเด็กโดยทั่วไปแน่นอนว่าคนทั้งสาม มีจุดประสงค์ในการมา ต้วนอี้หลางเลยเลือกที่จะตามติดท่านหมอต้วนไป คงเพราะห่วงในความปลอดภัยของชายชรา เขาเองก็อยากรู้ถึงฝีมือของเด็กชายเช่นกัน“เช่นนั้น...เจ้าเข้าไปรอข้าในเรือน กับท่านป้าและน้องสาวเจ้าก่อน เสร็จแล้วเราค่อยไปกินมื้อค่ำกัน” ชายชราบอกแก่ชายหนุ่ม ซึ่งติดตามมาในคราบของญาติ“ขอรับ” ชายหนุ่มรับคำ“คุณชายเชิญด้านในเจ้าค่ะ”แม่นมหวัง ผายมือให้แก่ชายหนุ่ม ซึ่งนางไม่
“คนอย่างพวกเจ้า กลัวผีเด็กเยี่ยงข้าด้วยหรือ”เด็กชายแสยะยิ้มเหี้ยม ภาพนี้มีเพียงสามคนร้ายเท่านั้นที่เห็น ว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ไร้เดียงสาตามวัยแม้แต่น้อย ทว่ามันเหมือนปีศาจจำแลงมาในร่างเด็กมากกว่า“รีบลงมือเถอะ แค่เด็กปากมิสิ้นกลิ่นน้ำนม จะไปต่อคำให้เสียเวลาทำไม”หนึ่งในสามคนร้ายรีบเอ่ยขึ้น เมื่อรู้สึกว่างานที่ควรง่าย มันอยากขึ้นอีกนับเท่าตัว มิพูดเปล่า...ชายหนุ่มล้วงเอาอาวุธลับออกมาจากอกเสื้อ ก่อนจะซัดออกไปยังเป้าหมาย ซึ่งก็คือเด็กชายตรงหน้าปัง! เคร้ง! แต่ก่อนที่อาวุธลับ จะทันได้ถึงตัวของสองตาหลาน ประตูถูกเปิดออกอย่างแรง พร้อมกับกระบี่ที่พุ่งมาสกัดเอาไว้ได้ทัน“ท่านพ่อ! อี้หลาง!”อี้หรู วิ่งเข้าไปยืนบังบิดากับบุตรชาย ให้พ้นสายตาของคนร้าย โดยไม่มีใครทันได้เห็นรอยยิ้มของเด็กชาย เขารู้อยู่แล้วว่ามารดามาถึง จึงได้ยอมยืนนิ่งเป็นเป้าให้คนร้ายลงมือ“อย่าเสียเวลากำจัดพวกมันซะ!”สิ้นคำลมหายใจคนพูดก็จบลงเช่นกัน และนั่นทำให้สองคนร้ายที่เหลือ ต้องมองหาทางหนีทีไล่แทน ผู้มาใหม่ยังยืนอยู่ที่เดิม แต่สามารถปลิดชีพสหายของพวกเขาได้ ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่พวกเขาจะสุ่มสี่สุ่มห้าลงมือ“พวกเจ้าดวงดียิ่งนัก ที่
สิบวันถัดมา ณ จวนสกุลจาง เมืองหลวง จางฮูหยิน นั่งใบหน้าเรียบตึงอยู่ภายในห้องรับแขก ซึ่งเวลานี้บุตรสาวคนโตของสามี กำลังนั่งสะอื้นไห้อย่างคนทุกข์ระทมแสนสาหัส ได้ร้องขอให้สามีของนาง ช่วยจัดการบุตรสาวตัวปลอม ที่ถูกขับออกจากสกุลจาง ไปนานนับสิบปีให้พ้นไปจากสายตา ซึ่งตัวนางเองนั้น ได้แต่งเข้ามาหลังจากอดีตฮูหยินใหญ่ สิ้นไปได้เพียงครึ่งปี ซึ่งตอนนั้นจางอี้หรูเอง ก็ได้ออกเรือนไป โดยมีนาง เป็นมารดาที่ส่งบุตรสาวเข้าหอทว่าเวลาผ่านไปเพียงปีกว่า อี้หรูที่กำลังตั้งครรภ์แก่ ก็ต้องมีอันต้องระเห็จออกจากจวนสกุลโจว เพราะจางหย๋าชินปรากฏตัวขึ้น พร้อมหลักฐานว่าเป็นบุตรสาว ที่แท้จริงของสกุลจางเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนั้น โจวเค่อก็เลือกหย่าจางอี้หรู แต่งกับจางหย๋าชินตามการหมั้นหมาย ของสองสกุลที่มีมาแต่เดิม ซึ่งตอนนั้นนนางเองในฐานะมารดา พยายามยิ่งนักที่จะขัดค้านแต่ด้วยนางก็เพิ่งคลอดลูกได้ไม่นาน จึงไม่อาจวิ่งเต้นช่วยลูกเลี้ยงได้ แม้นางจะเสนอรับอี้หรูเป็นลูก อนุคนโปรดของสามี กับทุกคนในจวน ก็เลือกที่จะปฏิเสธความคิดของนาง สุดท้ายจางอี้หรูก็หายไปจากเมืองหลวงนานกว่าสิบปีทว่าบัดนี้ข่าวที่นางเองก็
ท่านเสนาบดีจาง เลือกที่จะไม่สนใจอนุหลิน แต่เขารีบที่จะปิดจบคำของของบุตรสาว ด้วยการจะไปคุยกับบุตรเขยเอง หากจะเทียบอำนาจของอดีตภรรยาเอก และภรรยาเอกคนปัจจุบัน เขายอมรับว่าเมิ่งเหยียนเหนือกว่ามาก ด้วยสกุลเมิ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ ผ่านทางเมิ่งไท้ฮูหยิน“แต่ข้าร้อนใจนี่เจ้าคะ นางมีลูกชายส่วนข้า...”หญิงสาวเงียบไป เมื่อนึกถึงว่าตัวนาง ยังไม่มีทายาท มิว่าชายหรือหญิง ครอบครัวสามีก็เวียนวนให้สามีรับอนุ แล้วหากครอบครัวสามีรู้ว่าอี้หรูยังไม่ตาย ทั้งยังให้กำเนิดบุตรชายอีกเล่า ตำแหน่งฮูหยินของนาง คงต้องสั่นคลอนเป็นแน่“บุตรชายของน้องสาวเจ้า ไยไม่รับเขาไปเลี้ยงดูเล่า อย่างไรเสียฐานะของนางก็ไม่อาจสูงไปกว่านี้ได้ รับลูกของนางมาเลี้ยงดู อย่างไรก็เป็นสายเลือดเดียวกัน ไม่แน่เจ้าอาจตั้งครรภ์ในเร็ววันก็เป็นได้”เมื่อบุตรสาวยังไม่ยอม ที่จะสงบใจต่อคำของเขา ท่านเสนาบดีจาง จึงเสนอให้รับหลานชาย ที่เป็นลูกของบุตรสาวอีกคนของเขา ที่เกิดจากอนุไปเลี้ยงดู อย่างน้อยก็เป็นสายเลือดเดียวกัน ดีกว่าไปเอาเด็กที่ไม่รู้หัวนอนมาเลี้ยง“แต่ข้ามีวิธี ที่ดีกว่านั้นเจ้าค่ะ”เมื่อนึกถึงคำว่าลูกบุญธรรม หญิงสาวก็มีความคิดใหม่ผุดขึ้นมาในห
ชายหนุ่มใช้นิ้วเรียวยาว แยกกลีบบางออก เพื่อให้เขาได้สัมผัสเม็ดสวาท ได้ถนัดมากขึ้น ชายหนุ่มก้มลงดูดเม้มเกสรอ่อนนุ่ม สลับลากปลายลิ้นขึ้นลงตามร่องสวาท ที่ฉ่ำแฉะไปด้วยน้ำหวาน ซึ่งไหลออกมามิขาดสาย หญิงสาวยกก้นกลมกลึง ขึ้นสวนรับปลายลิ้น ของชายหนุ่มอย่างกระสันเสียว ร่างงามบิดเร้าประหนึ่งงูเลื้อย โดยที่ปากของนางยังคงดูดดึงท่อนเอ็นอุ่นร้อน ของชายหนุ่มอีกคน ที่ยังขยับเข้าออกตามมือบางที่รูดขึ้นลง ตามจังหวะขับเคลื่อน ชายหนุ่มทั้งสองครางเสียงต่ำ เมื่อความเสียวซ่านกระจายไปทั่วทุกอณูขุมขน ร่างสูงผละใบหน้าออกจากเนินเนื้ออวบอูม เปลี่ยนเป็นนั่งคุกเข่า อยู่ตรงหว่างขาเรียวงามแทน มือหยาบจับต้นขาหญิงสาวแยกออกกว้าง ก่อนที่เขาจะขยับให้ท่อนเอ็นอันใหญ่โต แนบชิดกับเนินเนื้อ ชายหนุ่มขยับโยกกายเล็กน้อย ให้ท่อนอุ่นร้อนเสียดสีกับเนินสวาทของนาง “อื้อ!!!”หญิงสาวครางในลำคอ ด้วยปากของนางยังคงไม่ได้รับอิสระ มือหยาบจับที่ท่อนเอ็นของตนเอง แล้วเอามันถูกขึ้นลงตามร่องสวาท เขามิได้เร่งร้อนที่จะสอดมันเข้าไปข้างในเพราะยิ่งเจ้าของร่างงามเสียวซ่านมากเพียงใด น้ำหวานหล่อลื่นจะออกมามากเท่านั้น
ใบหน้างามของสองพี่น้อง เริ่มที่จะคลอเคลียกัน มือที่นุ่มเลื่อนไปตามเรือนร่างเย้ายวนของกันละกัน ทว่าก่อนที่ทั้งคู่จะถลำลึก เสพสมกันเอง พลันมีมือหยาบกร้านที่สากเนื้อผิว พลันมาสัมผัสที่เอวคอดของหญิงสาวทั้งสอง จากด้านหลัง แสงคบไฟที่ตกกระทบเพียงรำไร ทำให้ไม่อาจบอกได้ ว่าชายที่มาคลอเคลียนางสองพี่น้องเป็นใคร แต่ในเวลานี้ความร้อนรุ่มภายในกาย จำต้องได้รับการปลดปล่อย เมื่อได้รับสัมผัสจากบุรุษเพศ หญิงสาวทั้งสอง เปลี่ยนไปคลอเคลียร่างใหญ่นั้นทันที ทว่าชายหนุ่มที่พวกนางถวิลหา เพื่อปลดปล่อยกำหนัดจากฤทธิ์ของธูปหอม หาได้มีเพียงหนึ่งหรือสองคนอย่างที่คิด แต่ในเวลานี้จะกี่คนพวกนางก็หาได้ใส่ใจ ขอแค่สามารถทำให้ความร้อนรุ่มของพวกนาง หายไปได้เท่านั้นก็พอ มือสากเลื่อนขึ้นกอบกุมสองเต้าเต่งตึง ก่อนจะออกแรงบีบคลึงหนักๆ สองพี่น้องถูกแยกออกจากกัน โดยมีชายรูปร่างกำยาประกบหน้าหลัง ดวงตาที่ฉ่ำเยิ้มจากความต้องการ หลับพริ้มลงเมื่อปลายถันของนาง ถูกครอบครองด้วยปากอุ่นร้อน แผ่นอกที่แนบหลังของนาง มันช่างร้อนฉ่าจนทำให้ร่างของนาง เรียกร้องหาการเติมเต็ม ชายหนุ่มที่โอบกอดหญิงสาวจากด้
หลังจากอาหารค่ำสิ้นสุดลง สองพี่น้องได้ส่งภรรยาและคู่หมั้น เข้าไปในกระโจมพัก รอพวกเขาไปอาบน้ำที่ลำธารก่อน ส่วนหญิงสาวทั้งสอง กลับมิได้สนใจพวกเขามากนัก เพราะกำลังง่วนอยู่กับการทำหินร้อน เพื่อใช้ในค่ำคืนนี้อยู่ น้ำในลำธารเย็นเยียบยิ่งนัก ทว่าสำหรับสองพี่น้อง กลับไม่ได้รู้สึกสะท้านไหว ต่อความเย็นของน้ำแม้แต่น้อย ด้วยมารดาที่มีความรู้ในหลายแขนงซึ่งนางชื่นชอบการใช้ธรรมชาติ ในการบำบัดร่างกาย ความเย็นของน้ำนี่ก็เช่นกัน เพราะการที่พวกเขา นั่งบนหลังม้านานๆ ย่อมมีระบมอยู่แล้ว ความเย็นของน้ำจะช่วยให้มันบรรเทา และไม่ระบมจนเกินไป “นอกจากผู้หญิงในบ้าน ข้าไม่คิดว่าต้องแก้ผ้าให้สตรีอื่นเชยชมสักครั้ง” หยางอี้หลง เอ่ยกับพี่ชายด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เมื่อพวกเขากำลังเปลือยท่อนบน และท่อนล่างก็สวมเพียงกางเกงเนื้อบาง ชนิดว่าถ้ายืนเหนือน้ำเมื่อไหร่ ย่อมเห็นความใหญ่โตของส่วนล่างได้อย่างเด่นชัด “ก็ได้แค่มอง เจ้าจะหวงไปทำไม หืม!” ต้วนอี้หลางเย้าน้องชาย ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แสงจากคบไฟ ที่ส่องสะท้อนกางเกงสีขาวแนบเนื้อ ทำให้คนที่แอบมอง ถึงกับกลืนน้ำลายลงค
“ที่นี่มิได้มีคนนอก และนี่เป็นการเดินทางเพื่อท่องเที่ยว เราทุกคนควรที่จะร่วมทุกข์ ร่วมสุขไปด้วยกัน มิใช่มามัวแต่แบ่งแยกในเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ เพราะทุกคนในคณะ ล้วนรู้ถึงหน้าที่ของตนเองดีอยู่แล้ว เวลาพักก็ควรเท่าเทียมมิใช่หรือ” ต้วนอี้หลาง ยังคงชี้แจงให้หญิงสาวทั้งสองกระจ่าง แม้ว่ามันหาได้จำเป็นสักนิด ที่เขาจะต้องมานั่งสาธยายเรื่องเหล่านี้ แต่เพื่อไม่ให้เกิดคำถามสิ้นคิดขึ้นมาอีกเขาจึงต้องรีบบอกดักทางเอาไว้เสียก่อน หาไม่แล้วตัวเขาคงช้ำจากกำปั้นภรรยา ที่เดี๋ยวทุบเดี๋ยวตี ในทุกครั้งที่หญิงสาวแปลกหน้า คอยวนเวียนถามในสิ่งที่ไม่น่าถามและเขาก็ไม่ได้ถือสาภรรยา แต่กลับภูมิใจเสียอีก ที่นางหวงเขาราวแม่เสือหวงลูก เพราะ...ใช่แล้ว! ชีวิตเดิมของเขา ภรรยาในอดีต ไม่เคยแม้แต่จะชายตามองเขา อย่างคนที่เรียกว่ารักสักครั้ง “ตักอาหารเถอะ”ไฉอ้ายเอ่ยแทรกขึ้น เมื่อหญิงงาม หาหนทางสนทนากับสามีของนาง แสร้งโง่ไปอย่างนั้น เชอะ! แผนเด็กๆ นางโตมาในวังหลัง เล่ห์สตรีภายนอก หรือจะสู้ดอกไม้งามในวังได้ หมับ! ทว่าก่อนที่ฉู่เมี่ยวจะลุกขึ้น เพื่อไปจัดการกับอาหาร ไฉอ้ายรีบกดไหล่น้องสะใภ้ให้นั่งลง โ
“แต่กุ้งอบหม้อดินของบ่าว...”ฉู่เมี่ยว ที่เดินกลับมารวมตัวกับทุกคน ได้นำเสนออาหารของตนเองบ้าง “อะแฮ่ม!”แม่ทัพหนุ่มรีบกระแอมไอ เพื่อให้หญิงสาวเปลี่ยนคำแทนตัว ในเมื่อนางกับเขา หมั้นหมายกันมามิใช่ปีสองปี แต่มันตั้งแต่เขารู้ใจตัวเอง ก็ผ่านมากว่าเจ็ดปีแล้ว แต่ที่ยังไม่ได้แต่งงาน ก็เพราะรอคู่ของพี่ชายก่อน “ของเมี่ยวเอ๋อร์ ก็อร่อยมิแพ้กันนะเจ้าคะ ข้าใส่ขิงป่าลงไปด้วย รสชาติจะเผ็ดร้อนแต่ดีต่อร่างกาย ในยามค่ำคืนยิ่งนักเจ้าค่ะ” แม้ปากจะสาธยายถึงประโยชน์ ทว่าใบหน้าของนาง กลับแดงยิ่งกว่ากุ้งต้มเสียอีก ก็ในเมื่อสายตาหยาดเยิ้มของแม่ทัพหนุ่ม มองทุกการขยับของเรียวปากอิ่ม ซึ่งมันเชื้อเชิญให้ลิ้มลองยิ่งนัก “ขิงป่ารึ! เจ้าไปเก็บมาตอนไหนกัน” เมื่อเห็นอาการของน้องสามี ที่แทบจะกลืนกินฉู่เมี่ยว ต่อหน้านางกับสามี ไฉอ้ายรีบผุดลุกขึ้น เดินอ้อมไปคว้าจับมือของฉู่เมี่ยว พร้อมท่าทางลิงโลดอย่างคนอยากรู้ “เมี่ยวเอ๋อร์ได้มาตอนเดินตลาดในหมู่บ้านเจ้าค่ะ ตอนนั้นเห็นองค์...เอ่อ พี่สะใภ้กำลังเลือกขนมอยู่ เลยมิได้ชวนไปดูด้วยกันเจ้าค่ะ” หญิงสาวเปลี่ยนเรียกขานพี
“เหอะ! คุณหนูถึงสองคน ราวกับตั้งใจจับมาวางต่อหน้าทีเดียว”สองพี่น้องหันสบตากันทันที เมื่อพวกเขากำลังจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัย ที่อยู่ๆ มีสตรีโผล่มาระหว่างทาง อย่างเหมาะเจาะเช่นนี้“สตรีใดเล่า จะเทียบเท่าภรรยาข้าได้ อย่าได้ห่วงไปเลย”เมื่อเห็นอาการแง่งอนของภรรยา ใจที่มันด้านชามาช้านานพลันชุ่มชื่นราวต้นไม้ต้องสายฝนเลยทีเดียว เขาไม่สนว่านี่จะเป็นเพียงการแสดง หรือสิ่งที่ออกมาจากใจของนางจริงๆ “ขุนนาง พ่อค้า ไว้ใจได้หรือ...เรื่องสตรี” “ใครบอกเจ้ากัน หืม!” “ข้ามิได้ตาบอดนะ เห็นๆ อยู่ว่าทุกครอบครัว เกิดปัญหาก็เพราะความเจ้าชู้ของผู้ชายทั้งนั้น” ไฉอ้ายยกตัวอย่างแบบเหมารวม เพราะหนึ่งในนั้นก็คือบิดาของนาง แต่ก็ตำหนิบิดาทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะสนมมากมายนั้น ล้วนเป็นประกันสำหรับการมั่นคงของบัลลังก์ “ข้าเป็นพ่อค้า พบปะคนมากมายก็จริง แต่ข้าไม่เคยทำผิดต่อคู่หมั้นเยี่ยงเจ้าสักครั้ง” เพี๊ยะ! ท่อนแขนของชายหนุ่มรู้สึกแสบร้อน เมื่อฝ่ามือของภรรยา ตีลงมาเต็มแรง “เจ้ากำลังหาว่าเป็นตัวข้า ที่ทำผิดต่อคู่หมั้น โดยการไปไล่ล่าความรัก จากลู่เยี่ยถิงสินะ! ปล่อ
อีกด้านของขณะเดินทาง ที่เป็นส่วนของผู้คุ้มกันเสบียง สำหรับใช้ในการเดินทาง ได้มีคนงานจำนวนหนึ่ง คอยชำเลืองมองไปที่แม่ทัพหนุ่ม กับคู่หมั้นอยู่เป็นระยะตลอดการเดินทางหลายวันมานี้ คนที่เหมาะแก่การลงมือ เพื่อสร้างความระส่ำระสายในขณะเดินทาง เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึงตัว ขององค์หญิงไฉอ้าย ดูเหมือนพวกเขาจะเห็นแล้วทว่ายังไม่ทันที่จะได้หารือสิ่งใด ก็มีขบวนรถม้า ที่มีคนคุ้มกันจำนวนหนึ่ง ได่มาหยุดอยู่บนถนน ไม่ห่างจากคณะของราชบุตรเขย ทำให้คนทั้งกลุ่มหันสบตากันยิ้มๆดูเหมือนนายท่าน จะส่งคนมาช่วยได้อย่างทันการณ์นัก ที่นี่ห่างจากเมืองหลวงพอสมควร การปรากฏตัวของผู้ร่วมเส้นทาง ย่อมมีบ้างและไม่เป็นที่น่าสงสัย“คนของนายท่าน มาเร็วกว่าที่คิด”หนึ่งในคนร่วมขบวนการ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง งานของพวกเขามันตึงมือมาตลอด นับตั้งแต่หาหนทาง เข้ามาอยู่ในคณะเดินทาง จนถึงตอนนี้ ยังไร้โอกาสได้เข้าใกล้สตรี ของบุรุษบ้านเจียง มิว่าจะเป็นองค์หญิง หรือคู่หมั้นของแม่ทัพหยาง“เรียนท่านแม่ทัพ คนจากคณะเดินทางสกุลลั่ว ขอเข้าพบขอรับ”แม่ทัพหนุ่มขยับออกห่างคู่หมั้นเล็กน้อย เมื่อทหารคนสนิทได้ก้าวเข้ามารายงาน เขาเห็นแล้วว่ามีรถม
“แล้วทำไมท่านไม่บอกข้า! หรือท่านพี่คิดว่าข้ามิน่าไว้วางใจ” ใบหน้าที่ยังแสดงความสงสัยเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นงอง้ำอีกครั้ง เมื่อนึกถึงความไม่วางใจในตัวนาง ทว่าคนถูกตำหนิกลับยิ้มระรื่น เพราะคำเรียกแทนตัวเขา ที่ภรรยาใช้มันเปลี่ยนไปแล้ว “ภรรยา...ข้ายังไม่สบโอกาสที่จะบอกเจ้า หรือเจ้าคิดว่าตลอดการเดินทาง เราไม่มีหนอนติดตามหรือ” ชายหนุ่มคว้ามือบาง มากุมไว้พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และไม่คิดถือสา ต่ออาการกระฟัดกระเฟียดของนาง “เรามิใช่ไปตามหาน้องๆ ท่านหรอกหรือ” “นั่นก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนคืองานของอี้หลง” “ท่านพ่อไยใจร้ายต่อข้านัก ใช้งานพวกท่าน ทั้งที่ข้ายังมิทัน...เอ่อ เข้าพิธีอย่างสมเกียรติ” หญิงสาวแก้ตัวไปอย่างนั้น ทว่าใบหน้ากลับแดงก่ำ เมื่อนึกถึงคำที่นางเว้นไว้เมื่อครู่ นางเป็นสตรีจะร่ำร้องหาการเข้าหอได้อย่างไรกัน “ท่านพ่อตาเริ่มชรามากแล้ว ย่อมต้องสร้างรากฐานที่มั่นคง ให้แก่ทายาทคนต่อไป รวมถึงตัวเจ้าด้วยภรรยา ท่านพ่อตาห่วงใยเจ้ายิ่งนัก” “ท่านพี่คิดเช่นนั้นหรือ!” หญิงสาวเอ่ยถามสามี ด้วยแววตาหม่นแสงลงเล็ก
เส้นทางสู่แดนเหนือ ณ คณะของต้วนอี้หลาง บ่ายคล้อยแล้ว ต้วนอี้หลางจึงให้คนจัดตั้งที่พัก คืนนี้เป็นอีกคืนที่พวกเขา ต้องพักกันในป่ามิได้พักตามโรงเตี๊ยม ด้วยเร่งรีบติดตามม่อเหลียว ที่คงล่วงหน้าไปไกลมากแล้ว อีกเพียงไม่ถึงสามวัน พวกเขาก็จะเข้าสู่เขตแดนเหนือของแคว้น และนับว่าโชคดีนัก ที่การเดินทางในช่วงนี้ไม่มีหิมะตก อากาศจะไม่รุนแรงเท่าใดนัก สำหรับเขาที่ทำทั้งการค้า และสำนักคุ้มกันสินค้า ย่อมคุ้นชินต่อทุกสภาพอากาศ ด้วยเดินทางทั้งใน และนอกแคว้นอยู่เป็นนิจ ต่างกับภรรยาและฉู่เมี่ยว ซึ่งอากาศหนาวจนติดลบ คงไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัยเท่าใดนักสำหรับพวกนาง “เหนื่อยหรือไม่” หลังจากเดินสำรวจจุดพักเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มได้เดินกลับมาหาภรรยา ที่ยืนอยู่กับสาวใช้ของนาง ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือองครักษ์ของนางนั่นเอง “ไม่เลย...แต่เจ้าเล่า หายหรือยัง” หญิงสาวถามสามี อย่างไร้จริตของสตรี ที่เติบโตมากับการช่วงชิงอำนาจ หรือเพราะเขาไร้อำนาจให้ต้องช่วงชิง นางเลยถามเขาอย่างไม่ต้องแต่งเติมเสริมคำ “ดีขึ้นมากแล้ว น้องสามอาจเจ็บหนักจริง แต่นางยังมีชีวิตคง