สิบวันถัดมา ณ จวนสกุลจาง เมืองหลวง
จางฮูหยิน นั่งใบหน้าเรียบตึงอยู่ภายในห้องรับแขก ซึ่งเวลานี้บุตรสาวคนโตของสามี กำลังนั่งสะอื้นไห้อย่างคนทุกข์ระทมแสนสาหัส ได้ร้องขอให้สามีของนาง ช่วยจัดการบุตรสาวตัวปลอม ที่ถูกขับออกจากสกุลจาง ไปนานนับสิบปีให้พ้นไปจากสายตา
ซึ่งตัวนางเองนั้น ได้แต่งเข้ามาหลังจากอดีตฮูหยินใหญ่ สิ้นไปได้เพียงครึ่งปี ซึ่งตอนนั้นจางอี้หรูเอง ก็ได้ออกเรือนไป โดยมีนาง เป็นมารดาที่ส่งบุตรสาวเข้าหอ
ทว่าเวลาผ่านไปเพียงปีกว่า อี้หรูที่กำลังตั้งครรภ์แก่ ก็ต้องมีอันต้องระเห็จออกจากจวนสกุลโจว เพราะจางหย๋าชินปรากฏตัวขึ้น พร้อมหลักฐานว่าเป็นบุตรสาว ที่แท้จริงของสกุลจาง
เมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนั้น โจวเค่อก็เลือกหย่าจางอี้หรู แต่งกับจางหย๋าชินตามการหมั้นหมาย ของสองสกุลที่มีมาแต่เดิม ซึ่งตอนนั้นนนางเองในฐานะมารดา พยายามยิ่งนักที่จะขัดค้าน
แต่ด้วยนางก็เพิ่งคลอดลูกได้ไม่นาน จึงไม่อาจวิ่งเต้นช่วยลูกเลี้ยงได้ แม้นางจะเสนอรับอี้หรูเป็นลูก อนุคนโปรดของสามี กับทุกคนในจวน ก็เลือกที่จะปฏิเสธความคิดของนาง สุดท้ายจางอี้หรูก็หายไปจากเมืองหลวงนานกว่าสิบปี
ทว่าบัดนี้ข่าวที่นางเองก็เพิ่งได้รับ ทำให้ในใจลึกๆ ก็รู้สึกยินดีและโล่งใจ แม้จะเป็นแม่ลูกกันเพียงไม่นาน อี้หรูก็เป็นบุตรสาวที่ดีมาตลอด ไม่เคยกระด้างกระเดื่องต่อแม่เลี้ยงเยี่ยงนาง
ต่างจากจางหย๋าชิน ที่ทำตัวราวเป็นนางหงส์ ทั้งที่ฐานะก็ไม่ได้เหนือไปกว่านาง หรือจะเรียกว่าต่ำต้อยกว่านางก็ไม่ผิด แต่ยังอยากแสดงความเป็นใหญ่ ทั้งในสกุลจางและโจว
“ท่านพี่ต้องช่วยชินเอ๋อร์ของเรานะเจ้าคะ ดูสิ! แต่งเข้าจวนไปตั้งหลายปี สามีกลับไม่เห็นค่า คิดจะไปนำตัวลูกของหญิงชั้นต่ำ กลับมาสืบทอดอำนาจ”
อนุหลินเอ่ยกับสามี เหมือนเวลานี้ไร้เงาของภรรยาเอกอยู่ร่วม และนี่ก็ทำให้จางฮูหยิน อดสงสัยอยู่ในใจไม่ได้ อนุหลินดูจะใส่ใจบุตรสาวอดีตเมียเอกเหลือเกิน
“อะแฮ่ม!”
จางฮูหยินกระแอมไอ เมื่อภรรยาอีกคนของสามี ทำสิ่งเกินหน้าเกินตาไป เรื่องของบุตรสาวที่ออกเรือนไปนานปี ก็ควรที่จะเว้นระยะไม่เข้าไม่ข้องแวะให้มาก แต่อนุหลินกลับเป็นเดือดเป็นร้อน กับครอบครัวของลูกเลี้ยงจนเกินงาม
“ท่านแม่คงคิดว่าเรื่องนี้ ไร้สาระสินะเจ้าคะ”
จางหย๋าชิน หันมองมารดาเลี้ยง สายตาหยิ่งทะนงนั้น ไม่ได้ทำให้จางฮูหยินคิดหลบเลี่ยง หากไร้อำนาจสองสกุลใหญ่อยู่เบื้องหลัง สตรีที่เป็นแม่ไก่ไม่ออกไข่ มีหรือจะยังลอยหน้าลอยตา ประหนึ่งกิ้งก่าได้ทองเยี่ยงนี้
“หากสามีจะนำลูกของตนเองกลับบ้าน ก็นับเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ เจ้าควรเป็นคนใจกว้างให้มาก อยู่มาจนบัดนี้ยังไร้ทายาท ไยไม่คิดจะทำให้สามียำเกรง ด้วยความมีน้ำใจของเจ้าเล่า”
จางฮูหยินเสนอแนะทางออกให้แก่ลูกเลี้ยง แม้ว่าจะไม่ชื่นชอบจางหย๋าชินแค่ไหน แต่ในฐานะของมารดาก็ต้องช่วยเหลือ
“ข้ายินดีรับลูกใครก็ได้ มาเป็นบุตรบุญธรรม แต่มิใช่ลูกของนังอี้หรู! ท่านพ่อดูท่านแม่สิเจ้าคะ เห็นคนนอกดีกว่าข้าที่เป็นคนในบ้าน”
เมื่อมารดาเลี้ยงไม่เข้าข้าง ทั้งยังแนะนำในสิ่งที่นางชิงชัง หญิงสาวจึงได้หันไปหาบิดา เพื่อให้ความต้องการบรรลุผล
“ฮูหยินใหญ่ ควรทำตัวให้เป็นมารดาที่ดี”
ท่านเสนาบดีจาง เอ่ยตำหนิภรรยา ก่อนจะหันไปปลอบโยนบุตรสาว ด้วยคิดมาตลอดว่าเขาติดค้างนาง ที่เลี้ยงลูกคนอื่นมานานหลายปี แต่สายเลือดของเขา กลับต้องระหกระเหินอยู่นอกบ้าน
“ฮึ! คนเป็นกลางต้องรู้จักคำว่าเมตตาบ้าง ท่านพี่ทำเหมือนไม่เคยเลี้ยงอี้หรูมาอย่างนั้น ท่านเห็นนางมาตั้งแต่เกิด ไยมิรู้ว่านิสัยนางเป็นเช่นไร การรู้สึกผิดต่อหย๋าชิน ใช่ว่าเป็นเรื่องผิดอันใด แต่เมื่อตัดขาดกับอี้หรูไปแล้ว ก็หาได้จำเป็นต้องจองเวรกัน ส่วนพ่อลูกเขาอยากดูแลกัน เราที่เป็นเพียงคนนอก ก็ควรจะใจกว้างให้มากมิใช่หรือเจ้าคะ”
“ท่านแม่มิเคยเลี้ยงนังอี้หรู แต่เหตุใดจึงเข้าข้างนาง ท่านแม่อยากให้ลูกของนาง มาช่วงชิงทุกอย่างไปจากข้า เหมือนที่แม่ของพวกมันทำเยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ”
“ข้าชี้ทางให้เจ้ามีจุดยืนอันมั่นคง เจ้ายังมองว่านี่มิใช่คำชี้แนะที่ดี จากมารดาเยี่ยงข้าอีกหรือ และข้าจะเตือนเจ้าอีกอย่าง จงรู้จักสำรวมให้มาก วาจาอย่าได้เหมือนสตรีร้านตลาด เกิดเป็นลูกหลานชนชั้นสูง ต้องรู้จักสงบคำไว้บ้าง ต่อให้ที่นี่คือบ้านก็ตามที”
“ฮูหยินใหญ่! กล้าดีเยี่ยงไร...”
เพี๊ยะ! ยังไม่ทันจบประโยค ใบหน้าของอนุหลินพลันสะบัด ตามแรงฝ่ามือ ของสาวใช้ข้างกายฮูหยินใหญ่ นี่คือผู้ติดตามสตรีชั้นสูงอย่างแท้จริง เพียงได้รับสัญญาณก็ลงมือได้ทันท่วงที โดยไม่ต้องเอ่ยปากให้สิ้นเปลืองคำพูด
“ข้ามิใช่สหายเจ้า และถ้าเจ้าจะนับตามฐานะ ก็ต้องดูว่าชาติกำเนิดของเจ้ามาจากทีใด หลินเยว่ ท่านพี่ข้าหวังว่าท่านจะไตร่ตรองให้ดี ก่อนจะกระทำสิ่งใด เพราะถ้ามีเรื่องราวทำให้บุตรชายของข้า ต้องมีเรื่องมัวหมองในภายหน้า ข้าจะทำให้รู้ว่าการใช้อำนาจสกุลเดิม อย่างแท้จริงต้องทำเยี่ยงไร”
เอ่ยจบร่างระหง ลุกขึ้นก้าวออกจากห้องไปในทันที นางเกิดมาจากสกุลชั้นสูง ย่อมรู้การวางตัว แน่นอนว่าอนุหลิน เป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้าน ที่ปีนขึ้นเตียงของสามี เมื่อครั้งเขาเดินทางไปต่างเมือง กับอดีตฮูหยินใหญ่ ขนาดมีภรรยาตามติด สตรีหน้าหนาผู้นี้ ก็ยังมิรู้ถูกผิด
ดีที่หญิงผู้นี้ไร้ทายาท หาไม่แล้วนางคงยุ่งยากมากกว่านี้ เพราะอนุคนอื่นหาได้ทำสิ่งใดเกินหน้า รู้อยู่ในพื้นที่ของตนเอง อย่างเจียมตน
ต่างจากอนุหลิน ที่เพียรพยายามก้าวข้าม จากคำว่าอนุเป็นภรรยาหนึ่งในสี่ แต่เพราะสิ่งที่สามีทำให้นาง ต้องแต่งเข้าจวนของเขา ผลตอบแทนย่อมต้องมีให้แก่นางเช่นกัน
“ท่านพี่”
อนุหลินเรียกสามี ด้วยน้ำเสียงปนสั่นเครือ จากการถูกสาวใช้ของฮูหยินใหญ่ตบ ทำไมสวรรค์กลั่นแกล้งนางนักเล่า สิ้นเมียเอกคนเก่า ตำแหน่งของนางก็ยังไม่อาจก้าวขึ้นแทนที่ได้ สุดท้ายสตรีอื่นก็เข้ามายึดอำนาจ ที่นางเฝ้ามองมาเนิ่นนานหลายปี
“เอาเป็นว่าเรื่องนี้ พ่อจะคุยกับโจวเค่อเอง เจ้าก็อย่าได้คิดมากไป”
ท่านเสนาบดีจาง เลือกที่จะไม่สนใจอนุหลิน แต่เขารีบที่จะปิดจบคำของของบุตรสาว ด้วยการจะไปคุยกับบุตรเขยเอง หากจะเทียบอำนาจของอดีตภรรยาเอก และภรรยาเอกคนปัจจุบัน เขายอมรับว่าเมิ่งเหยียนเหนือกว่ามาก ด้วยสกุลเมิ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ ผ่านทางเมิ่งไท้ฮูหยิน“แต่ข้าร้อนใจนี่เจ้าคะ นางมีลูกชายส่วนข้า...”หญิงสาวเงียบไป เมื่อนึกถึงว่าตัวนาง ยังไม่มีทายาท มิว่าชายหรือหญิง ครอบครัวสามีก็เวียนวนให้สามีรับอนุ แล้วหากครอบครัวสามีรู้ว่าอี้หรูยังไม่ตาย ทั้งยังให้กำเนิดบุตรชายอีกเล่า ตำแหน่งฮูหยินของนาง คงต้องสั่นคลอนเป็นแน่“บุตรชายของน้องสาวเจ้า ไยไม่รับเขาไปเลี้ยงดูเล่า อย่างไรเสียฐานะของนางก็ไม่อาจสูงไปกว่านี้ได้ รับลูกของนางมาเลี้ยงดู อย่างไรก็เป็นสายเลือดเดียวกัน ไม่แน่เจ้าอาจตั้งครรภ์ในเร็ววันก็เป็นได้”เมื่อบุตรสาวยังไม่ยอม ที่จะสงบใจต่อคำของเขา ท่านเสนาบดีจาง จึงเสนอให้รับหลานชาย ที่เป็นลูกของบุตรสาวอีกคนของเขา ที่เกิดจากอนุไปเลี้ยงดู อย่างน้อยก็เป็นสายเลือดเดียวกัน ดีกว่าไปเอาเด็กที่ไม่รู้หัวนอนมาเลี้ยง“แต่ข้ามีวิธี ที่ดีกว่านั้นเจ้าค่ะ”เมื่อนึกถึงคำว่าลูกบุญธรรม หญิงสาวก็มีความคิดใหม่ผุดขึ้นมาในห
จางฮูหยินยอมรับว่านาง และบุตรชายนั้น ถูกปองร้ายมิใช่แค่ครั้งเดียว แต่เพราะคนของบิดา ที่ติดตามมาดูแล ช่วยเหลือเอาไว้ได้ทันท่วงทีทุกครั้งไป แต่กระนั้นนางก็มิอาจ ช่วยเหลือจางอี้หรูได้อยู่ดี“ท่านแม่ใจกว้างยิ่งนัก ที่มิชิงชังลูกของภรรยาอื่นๆ”“วันหน้าเมื่อเจ้าจะแต่งใครสักคนเข้าบ้าน อย่าได้นำพาบุคคลที่สาม เข้ามาทำลายครอบครัวเข้าใจหรือไม่”“ข้าจะไม่ทำเช่นนั้นแน่นอนขอรับ และข้าอยากพบพี่สาวคนนั้นสักครั้งขอรับ”คงไม่ใช่แค่มารดาเท่านั้น ที่สงสัยในหน้าตาของพี่สาวเช่นจางหย๋าชิน เพราะเขาเองก็อดแคลงใจในตัวนางไม่ได้เช่นกัน พี่น้องคนอื่นในจวน ล้วนมีความเหมือนหรือละม้ายกัน เกินห้าส่วนทุกคน ทว่าพี่สาวคนโต เหตุใดจึงต่างราวกับคนละสายเลือดแต่เพราะบิดารักในตัวของพี่สาวมาก เขาจึงทำได้เพียงเก็บงำเรื่องนี้เอาไว้ในใจ รอให้เติบโตอีกสักหน่อย ค่อยเอ่ยปากกับบิดาก็มิสาย“หากมีวาสนาต่อกัน ต่อให้เดินไปไกลสุดแผ่นดิน สุดท้ายก็วนกลับมาพบเจอกันอยู่ดี ส่วนตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องทำ คือปกป้องตนเองให้ดี ทั้งชีวิตของแม่ล้วนฝากไว้ในมือเจ้าหลีเกอ”จางฮูหยินวางมือบนสองข้างแก้มบุตรชาย ชีวิตของสตรีที่ออกเรือน ล้วนฝากไว้ที่คนเป็นลูก
นางไม่ได้ทำผิดต่อผู้ใด ไม่สิ! เจ้าของร่างมิได้ทำสิ่งใดผิด แต่เป็นคนที่ถูกกระทำทั้งสิ้น ถ้าชีวิตใหม่นางต้องสิ้นสุดในเร็ววัน นั่นก็คือชะตาที่ยากฝืน แต่ช่วงเวลาที่ยังอยู่ ใยนางต้องถดถอยจนตรอกด้วยเล่า “อี้หรู พวกเจ้ากินข้าวกันไปก่อนนะ พ่อจะออกไปดูคนไข้ที่ฝั่งตะวันตก ท่านเฉาให้บ่าวมาตาม” ท่านหมอชราเดินมาบอกบุตรสาว ด้วยเกรงว่าทุกคนจะหิ้วท้องรอเขากลับมา ซึ่งบอกเวลาที่แน่นอนไม่ได้ ด้วยมิรู้ว่าคนป่วยนั้นอาการหนักมากน้อยแค่ไหน “ให้ท่านพี่เจียงไปด้วยดีหรือไม่เจ้าคะ” “ไม่เป็นไร พ่อไปกับอี้หลางก็พอแล้ว” “เจ้าค่ะ” “อย่าได้กังวลไป พ่อจะรีบกลับ” หมอชรารู้ว่าบุตรสาวยังไม่วางใจ ต่อให้ตลอดสองเดือนมานี้ ทุกอย่างจะสงบเงียบ ทว่านั้นอาจเป็นการปกป้องของเจ้าสำนักเจียง ซึ่งอยู่ในฐานะผู้คุ้มกันที่เขาจ้างวาน คงมีเพียงเขากับหลานชายเท่านั้น ที่รู้ถึงตัวตนแท้จริงของเจียงกั๋วจ้าน หญิงสาวทำได้เพียงมองตามหลังบิดาไป แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อบิดาคือหมอมากฝีมือ และคนเจ็บป่วยที่มีเงิน มักเชิญตัวหมอไปรักษา มากกว่าที่จะเดินทางมาเอง เจี
ทว่านายบ่าวจวนเฉา กลับเหมือนไม่ได้เร่งร้อน เช่นที่ปากพูดสักเท่าใด แต่กลับคล้ายพอใจต่อสิ่งที่ต้องการ บรรลุผลแล้วมากกว่า “หมอต้วน เจ้าไม่คิดจะพูดสิ่งใดบ้างหรืออย่างไร” การเรียกขานเยี่ยงหมอชรา เป็นคนต่ำชั้นหาใช่ผู้อาวุโสใดๆ ในสายตาของบุตรชายคนรองสกุลเฉา และนั่นทำให้หมอชราตัดสินใจ แบบไม่ต้องทบทวนให้สิ้นเปลืองเวลา “คุณชายรองเฉา ข้าคงต้องขอตัวลา” “ไหนๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว ไยไม่เข้าไปดื่มชาสักหน่อยเล่า ท่านหมอต้วน” ชายร่างท้วม ก้าวออกมายืนเคียงข้างเฉากวง ทั้งรอยยิ้มและแววตา ที่เต็มไปด้วยความสำราญ ทำให้หมอชรารีบรั้งหลานชาย ให้มายืนชิดกายเอาไว้ นี่มิใช่วิสัยของบ้านที่มีคนเจ็บป่วย ต้วนอี้หลาง กวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณ มันเป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด นี่คือกลลวงให้เขาและผู้เป็นตามาที่นี่ แต่สิ่งที่เหนือความจากหมายของคนสกุลเฉา คือเขาและท่านตา มิได้มากันแค่สองคน และต่อให้มากันแค่สองคนตาหลาน เขาที่เตรียมพร้อมรับมือ กับทุกสถาณการ์ยามคับขันเอาไว้แล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องตื่นกลัว แม้ร่างกายในตอนนี้ไม่อำนวย แต่สมองของเขา มันมิได้จำกัดเรื่อง
ลมหายใจนี้ของข้า มันผู้ใดก็พรากไปอีกไม่ได้ เพราะเขาจะใช้มันให้คุ้มค่า กว่าลมหายใจเดิม ที่สละเพื่อผู้คนมากมาย ทว่าสุดท้ายเป็นเขา ที่ต้องสูญสิ้นทุกสิ่งอย่าง มิเว้นแม้แต่ลมหายใจ “วาจาสาวหาวนัก...หึๆ แบบนี้สิข้าชอบ ยามเจ้าร้องขอชีวิตใต้คมกระบี่ของข้า มันจะได้รู้สึกอิ่มเอมใจ” “เจ้าใช้สิ่งใดกับข้า แล้วเจ้าไม่คิดบ้างหรือ ว่าข้าจะใช้มันกับพวกเจ้า” ชายสวมหน้ากาก และเจ้าบ้านทั้งสอง ต่างยกชายเสื้อขึ้นปิดจมูกเอาไว้ โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่เด็กชายพูด จะจริงเท็จเพียงใด แต่จากการที่ต้วนอี้หลาง ไม่สะทกสะท้านต่อพิษในชาร้อน พวกเขาก็พอรู้แล้วว่าเด็กคนนี้ ไม่ธรรมดาอย่างที่ตาเห็น “ฮ่าๆ ข้าเป็นหลานชายของหมอ มีมารดาเก่งกาจเรื่องพิษ คิดว่าข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าหลบหลีกได้หรือ ช้าไปสักหน่อยนะ” ควับ! กระบี่ยาวถูกดึงออกจากฝัก ชี้ตรงมาที่ใบหน้าเด็กชาย ต้วนอี้หลาง ยังคงไม่ละสายตาไปจากเจ้าของกระบี่ เขาเริ่มใช้พิษที่ปรุงด้วยตนเอง ตั้งแต่ก้าวเข้ามาภายในห้องนี้แล้ว แค่เขาไม่เร่งรีบให้มันออกฤทธิ์ในฉับพลันก็เท่านั้น ร่างกายเล็กๆ นี้แม้จะเริ่มแข็งแรงมากแล้ว แต่ก็ยังไม่
หลังมื้อค่ำ ณ ห้องพักของเจ้าสำนักเจียง เจียงกั๋วจ้าน นั่งกำหมัดแน่น เมื่อคนสนิทรายงานถึงสิ่งที่เกิดขึ้น กับหมอชราและต้วนอี้หลาง ตอนไปที่บ้านสกุลเฉา นี่ขนาดตัวเขาคิดว่าป้องกันในทุกทิศทางแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังคงมีช่องโหว่ให้มดแมงเหล่านั้น แทรกกายเข้ามาได้อยู่ดี “เจ้าเพิ่มคนดูแลทุกคนที่นี่ให้มากหน่อย แต่มิต้องเอิกเกริกไป อย่าได้ทำลายความเป็นส่วนตัวของทุกคน ข้ามีเรื่องต้องไปทำ” “นายท่านจะไปที่ใดขอรับ” “ข้าจะเข้าเมืองหลวง เห็นทีครานี้ ถ้าข้าไม่ลงมือด้วยตนเอง ทุกอย่างคงยากจะจบสิ้น” บางทีเขาต้องไปมอบคำเตือน ให้กับคนเหล่านี้สักหน่อย ถ้ารับฟังก็ดีไป แต่ถ้ายังดื้อดึง ก็อย่าได้มากล่าวโทษเขาในภายหลัง ว่าลงมืออย่างไรน้ำใจ “ท่านพี่เจียง หลับหรือยังเจ้าคะ” เสียงหวานจากด้านนอก ทำให้ชายหนุ่มผุดลุกขึ้น ก้าวออกไปหน้าห้องพักในทันที คนสนิททำได้แค่ยิ้มแห้ง กับอาการของผู้เป็นนาย มันชัดเจนจนแม้แต่เด็กห้าขวบยังมองออก “คุณหนูต้วน” เพียงประตูเปิดออก ชายหนุ่มก็เอ่ยทักหญิงสาว ด้วยน้ำเสียงลิงโลด ก่อนจะปรับท่าทางให้สุขุมดังเดิม เมื
เจียงกั๋วจ้าน เอ่ยถามด้วยความสงสัย แม้ว่าตัวเขาเอง ก็พอรู้มาแล้วบ้างจากคนสนิท แต่เขาก็อยากฟัง จากปากของต้วนอี้หลางอีกสักครั้ง “ความลำพอง ของมือสังหารผู้นั้น และตอนที่ข้าเข้าไปเอาชา ที่ขอแบ่งจากนายท่านเฉามา ทำให้ข้าได้พบเห็นบางอย่าง ที่น่าจะมาจากสกุลโจว แต่ข้าอยากถามพวกเขาเอง มากกว่าที่จะคาดเดาเอาเองขอรับ” “ขอแบ่งหรือ...” ต้วนอี้หรู สบตาของบุตรชาย เพื่อค้นหาความจริง ก่อนจะเบนสายตาไปที่ชายหนุ่ม ซึ่งยืนอยู่ข้างกาย เจียงกั๋วจ้านรีบปรับสีหน้าให้เหมือนตัวเขา ไม่รู้เห็นสิ่งใด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในจวนเฉา คนของเขารายงานมาเสียละเอียดยิบ ราวกับตัวเขาได้นั่งอยู่ในเหตุการณ์เลยทีเดียว “เขาเอ่ยปากว่าให้ข้าจริงนะขอรับ ตอนนั้นท่านตายังมิทันหลับเลยด้วยซ้ำ” ต้วนอี้หลาง รีบเอ่ยถึงพยานคนสำคัญ แต่เขาจะแบ่งชามาเพียงบางส่วน หรือทั้งหมดนั้น คงมีเพียงเขากับคนของเจ้าสำนักเจียงเท่านั้นที่รู้ “เก็บไว้กินเพียงเล็กน้อยพอ เข้าเมืองหลวงต้องใช้จ่ายมาก เอาไปแปรเป็นเงินเสีย เราไปหาท่านตากับท่านยายได้แล้ว ไปกันเจ้าค่ะท่านพี่เจียง”
หญิงสาวไม่คิดอ้อมค้อม ไฟไหม้สกุลเฉาจนวอดวาย ในเวลาอันสั้น อีกทั้งเจ้าของบ้าน ก็สิ้นใจไปพร้อมกันถึงสองคน คนที่เหลือก็เพียงแค่สตรีและคนแก่เท่านั้น อย่างไรเสีย..บิดาของนางและบุตรชาย ก็ไปที่นั้นในช่วงก่อนไฟไหม้ หากคนอยากป้ายสี ก็ย่อมไม่รอเวลาเช่นกัน“ท่าน...เอ่อ...กั๋วจ้านเจ้าว่ามาเถิด”ชายชราหันไปหาเจ้าสำนักคุ้มภัย พร้อมเอ่ยปากอนุญาตให้ชายหนุ่ม บอกกล่าวถึงสิ่งที่ต้องการ ในเมื่อบุตรสาวพูดออกมาขนาดนี้แล้ว แสดงว่าพวกนาง ต้องหารือกันมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว“ข้าอยากพาเราทุกคน เข้าเมืองหลวงขอรับ”สิ้นคำของเจียงกั๋วจ้าน ชายชราได้หันไปสบตากับภรรยา พร้อมคว้ามือชื้นเหงื่อของนางมากุมไว้ เพราะมันหาใช่แค่สกุลต้วนเท่านั้น ที่ไม่ยอมรับในตัวนาง ทว่ามันร่วมสกุลเดิมของนางด้วยเช่นกัน ภรรยาใหม่ของพ่อตา ยึดครองทุกอย่างไปหมดสิ้นแล้ว“ท่านพ่อ ท่านแม่ อย่าได้กังวลไปเจ้าค่ะ เราจะปิดกระดานหมากนี้เสีย เพื่อความสงบสุข ในภายหน้าของครอบครัวเรา อีกอย่างข้ากับท่านพี่เจียง รวมถึงลูกๆ ไม่อยากจะต้องห่วงหน้าพะวงหลัง หากครอบครัวเราต้องแยกกันคนละทิศทาง ในเวลาที่เปลวไฟยังโหมกระหน่ำ เข้าหาครอบครัวเราเช่นนี้เจ้าค่ะ”“ท่านตา ท่าน
หลังจากมือธนูล้มลงสิ้นใจตาย ต้วนอี้หรู ค่อยๆ เบนหน้าไม้ ชี้ตรงไปยังต้วนฉี รูปร่างแบบนี้ ง่ายนักต่อการลงมือ แต่จะให้ตายตอนนี้มันสบายไป ในเมื่อตักเตือนไปแล้วยังรั้น ก็ต้องเพิ่มบทเรียนให้อีกสักหน่อย หญิงสาวลดปลายหน้าไม้ลงอีกระดับ ก่อนจะกดกลไล ปล่อยลูกดอกออกไปอีกครั้ง ฟิ้ว! ฉึก! “อ๊ากกก!!! ขะ...ข้า!! ของข้า ท่านแม่ ขาข้า!!!” ต้วนฉีใช้สองมือกุมต้นขา ที่ยังมีลูกดอกปักคาอยู่ ต้วนฮูหยินและเชี่ยจิ่น รีบคลานเข้าไปดูอาการของต้วนฉี ด้วยอาการสั่นเทา “ลูกแม่! เจ้าเจ็บมากหรือไม่” “ท่านแม่มิลองถูกยิงดูเล่าขอรับ อ๊ากก!! พวกสารเลวทำร้ายข้า!! ข้าจะฆ่าเจ้าให้หมด!” ต้วนฉีโวยวายเสียงดังลั่น ทว่ามันกลับไม่ได้ทำให้ผู้ลงมือ รู้สึกสงสารเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวหันกลับหาผู้เป็นปู่ เพราะอย่างไรเสียต้วนฉี ก็เป็นสายเลือดของท่านปู่ นางลงมือโดยไม่ขอความคิดเห็น ก็ถือว่าผิดอยู่บ้าง “หลานปู่ เจ้าไม่ต้องกังวล ในเมื่อเขาเลือกเส้นทางตัดสัมพันธ์สายเลือดแล้วแบบนี้ จะเก็บเขาไว้ให้แว้งกัดในภายหน้า ก็คงไม่เป็นผลดีต่อเราทุกคน” “เรื่องนี้อี้หรูทำเกินกว่าเหตุ แต่ใน
ภาพการรับมือของต้วนจ้าว ทำให้กลุ่มคนที่ซุ่มดูอยู่บนต้นไม้ จำต้องเบิกตากว้าง แต่ก็มิใช่ทั้งหมด เพราะต้วนอี้หลาง ทำเพียงยกยิ้มมุมปาก เขารู้อยู่แล้วว่าท่านตามิใช่ธรรมดา แต่คงมีเหตุผลที่เก็บซ่อนตัวตนเสียมิดชิด ในช่วงที่เขากับมารดายังบาดเจ็บ นักฆ่าเทียววนเวียนหมายเข้ามาสังหาร แต่กลับไม่มีมดแมงตัวใดหลุดรอด มาถึงเขากับมารดาได้เลย นั่นบอกได้ว่าโรงหมอสกุลต้วน มีดีอยู่ไม่น้อย “ดูเจ้าไม่แปลกใจเลย” เจียงกั๋วจ้าน ถามต้วนอี้หลาง ที่นั่งอยู่กิ่งไม้อยู่ถัดจากเขา เด็กชายหันไปส่งยิ้มกว้างให้แก่ผู้เป็นลุง “ก่อนที่ท่านตาจะพาข้าไปหาท่านลุง เราแม่ลูกบาดเจ็บสาหัสกันอยู่นานทีเดียว และตลอดระยะเวลานั้น มีนักฆ่าวนเวียนราวผึ้งตอมเกสรดอกไม้เชียวละขอรับ ท่านลุงคิดว่าไยมือสังหารจึงไม่เคยเฉียดใกล้เราแม่ลูกเลยเล่าขอรับ” “หากเป็นเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องถึงมือข้าเลยนี่” “ท่านลุงรู้แก่ใจดี ว่าพายุเมื่อมันโหมแรงขึ้น คนเราก็ต้องหาที่หลบภัยให้มั่นคงขึ้น ท่านตาแม้จะมากฝีมือ แต่วัยที่ร่วงโรยตามกาลเวลา ทำให้ท่านตาเกรงว่าเราแม่ลูกจะไร้เกราะคุ้มกาย” “ข้าไม่แปลก
หลังจากประตูจวนปิดลง สองแม่ลูกที่เคยแสดงท่าทีหวาดกลัวอย่างรนรานเมื่อครู่ พลันแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มหยัน เมื่อไร้สายตาคนภายนอก ก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งหวาดกลัวอีกต่อไปคนไร้ค่าที่คิดว่าตนเอง กำลังถือหมากเหนือกว่า ก็เป็นเพียงแมงเม่าที่บินเข้าหากองไฟ ที่จุดหลอกล่อเอาไว้ ท้ายที่สุดก็ต้องตายอยู่ดี “ข้าคิดเอาไว้อยู่แล้ว ว่าสักวันเจ้าต้องโผล่มาที่นี่” ต้วนฮูหยินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน นางไม่มีความจำเป็นต้องกลัวคนอย่างต้วนจ้าว ดีเสียอีกที่เขากลับมา จะได้มิต้องเสียเวลาไล่ล่า “แล้วอย่างไร” ต้วนจ้าวถามกลับ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ก็ไม่แล้วอย่างไร แต่ข้ามิชื่นชอบ ให้มีหนามแหลมมากีดขวางเส้นทาง”สิ้นคำของต้วนฮูหยิน บ่าวชายหญิงที่อยู่โดยรอบ ได้เคลื่อนกายโอบล้อมผู้ที่มาเยือนในทันที โดยในมือล้วนมีอาวุธ ซึ่งมันชัดเจนแล้วว่าที่ผ่านมา สองแม่ลูกเอง ก็เตรียมการเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว ซึ่งมันไม่ผิดจากที่เขา คาดการณ์เอาไว้เท่าใดนักรอยยิ้มหยันของสองแม่ลูก รวมถึงสะใภ้คนรอง ไม่ได้ทำให้พ่อลูกสกุลต้วนจากชายแดน รู้สึกตื่นเต้นแม้แต่น้อย นักฆ่าระดับสูงกว่านี้ เขาพ่อลูกก็เผชิญกันมามิรู้กี่
“ไม่นะ! ท่านพี่...ท่านจะทำเยี่ยงนี้กับข้าไม่ได้ ข้าอยู่กับท่านตั้งแต่ยังสาว ยอมเป็นเพียงอนุมาเนินนาน แล้ววันนี้ท่านคิดขับไล่ข้า มันสมควรหรือ!” ต้วนฮูหยิน ไม่อยากจะเชื่อหู ว่าสามีจะกล้าขอยุติความสัมพันธ์ แม้ไม่เคยรักแต่ก็อยู่ร่วมบ้านกันมาเนินนาน พอลูกรักของเขากลับมา เขากล้าที่จะทอดทิ้งนาง ขัดคำสั่งเสียของพ่อสามี ที่มิให้ทอดทิ้งนางไปตลอดชีวิตเชียวหรือ! “ท่านแม่เกิดสิ่งใดขึ้นขอรับ” ต้วนฉีรีบก้าวออกมาจากจวน เขารีบประคองมารดาที่ยืนซวนเซ ก่อนจะตวัดสายตาไปที่กลุ่มคน ซึ่งยืนอยู่ลานหน้าจวน “พ่อเจ้าคิดหย่าขาดกับแม่”ต้วนฮูหยินรีบบอกบุตรชาย ก่อนจะยกผ้าเช็ดหน้าซับหัวตา แสร้งร้องไห้เสียใจ ที่ถูกสามีของเลิกต่อหน้าผู้คนที่ผ่านไปมา “เป็นเจ้าใช่ไหมต้วนจ้าว เจ้ากลับมาเพื่อทำลายบ้านข้า!” “หุบปาก!”นายท่านต้วน ตวาดบุตรชายคนรอง ด้วยความโกรธจนสั่นไปทั้งกาย แต่ก่อนที่ชายชราจะเอ่ยสิ่งใดต่อ ต้วนจ้าวก็วางมือลงบนแขนบิดา เรื่องนี้เขาต้องจัดการเอง บทเรียนเมื่อสองวันก่อน คงไม่ทำให้ต้วนฉีจดจำ ในอดีตเขาจำยอม เพราะสงสารบิดาและเมียรักแต่ไม่ใช่วันนี้ที่เขามีคร
สองวันถัดมา ณ สกุลต้วน ชายชราผู้เป็นใหญ่ในบ้าน เทียวเดินออกมาชะเง้อมองถนน เผื่อว่าบุตรชายที่ออกจากบ้านไปนาน จะผ่านมาให้ได้เห็นบ้าง นับตั้งแต่เขารู้ข่าว ถึงการกลับมาของบุตรชาย ใจที่โหยหาก็ทำให้เขา เฝ้ารอที่จะได้เห็นหน้าบุตรชายอย่างมีความหวัง ในอดีตเป็นเขาที่ไม่คิดอ่อนข้อให้แก่บุตรชาย จนนำมาซึ่งการแยกครอบครัว แต่เมื่อเวลาผันผ่านไปหลายปี เขาที่แก่ชรามากแล้ว ก็รู้ตัวดีว่าครั้งนั้น มันหาใช่เรื่องใหญ่ จนถึงขั้นต้องแยกครอบครัว ด้วยบิดาย้ำเตือนให้เขาต้องเลือก สุดท้ายแล้วเขาเองที่ผิดทั้งหมดเป็นเขาเองที่เห็นแก่ตัว เลือกรักษาอำนาจในมือ จนต้องปล่อยบุตรชายออกจากบ้านไป เผชิญกับความทุกข์ยาก ที่เขาไม่อาจรู้ได้เลย ว่าบุตรชายต้องพบเจอสิ่งใดบ้างและตอนนี้ไร้บิดาของเขาแล้ว อำนาจเด็ดขาดจึงอยู่ในมือเขาแล้ว ขอเพียงบุตรชายเอ่ยปาก ว่าอยากกลับมา เขาก็พร้อมนำชื่อบุตรชายและสะใภ้ กลับเข้าผังสกุลโดยไม่ลังเล “ท่านพี่จะมายืนทำอะไรตรงนี้เจ้าคะ ไยไม่ช่วยลูกเราหาหนทาง ทวงความเป็นธรรมคืนจากสวะพวกนั้น” ต้วนฮูหยินพูดกับสามี ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเท่าใดนัก เมื่อสองวันก่อนบุตรชาย ได้บอก
นายท่านโจวรับกระดาษนั้นมาคลี่อ่าน แม้ว่าตัวอักษรจะไม่ได้ยาวเท่าใดนัก แต่มันก็ชัดเจนว่านี่คือคำสั่ง ให้ลงมือต่ออดีตลูกสะใภ้กับหลานชาย“มันคงแค่เรื่องบังเอิญ”หลังอ่านเนื้อความจนจบ ชายชราเอ่ยออกมาอย่างไม่เต็มเสียงนัก ทั้งยังไม่กล้าสบตาสามพี่น้องตรงๆ แม้เขาจะมั่นใจว่านี่คือของจริง แต่สกุลโจวยังต้องพึ่งพาสกุลจางและหยาง การทำแบบนี้กับสายเลือดของสองสกุล เท่ากับลากเอาทั้งตระกูลโจวลงสู่เหวลึก“หึๆ ข้าน้อยรู้อยู่แล้วขอรับ ว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ ก็อย่างที่ข้าบอก ข้ามิใช่คนใจกว้าง หากยังมีเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกสักครั้ง ข้าถือว่าได้บอกกล่าวไปแล้ว หากมีสิ่งใดร้ายแรงอย่าได้โทษ ว่าข้าไร้น้ำใจ ส่วนสิ่งนี้...โปรดรักษามันให้ดีหน่อยนะขอรับ เพราะยามเกิดสิ่งใดขึ้นมามา คงเป็นคนที่มีสิ่งนี้เท่านั้น ที่ต้องแบกรับมันอย่างโดดเดี่ยว หาใช่คนที่แอบเอามันไปใช้”ต้วนอี้หลาง ส่งสัญญาณให้ม่อเหลียว นำบางอย่างไปยื่นส่งให้แก่ผู้นำสกุลโจว ชายชรารับกล่องไม้ไปเปิดออกดู ตลอดร่างชาหนึบ ราวกับถูกฟ้าฝ่ากลางแสกหน้าป้ายคำสั่งสกุลโจว มันไปตกอยู่ในมือของเด็กพวกนี้ได้อย่างไร ชายชราอดไม่ได้ที่จะหันไปที่บุตรชายคนโต และลูกสะใภ้ที่ตอนนี
“โปรดระวังวาจาด้วยขอรับ สกุลเจียงใช่บ้านที่จะพูดจาให้เสียหายได้”พ่อบ้านชู่ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ เมื่อหญิงปากกล้าอาจหาญ หมิ่นนายเขาให้เสื่อมเสีย“หากไม่ใช่ลูกติดอนุ แล้วพวกเขาจะเป็นใครได้ ข้าเข้าใจว่าต่อหน้าผู้คน เจ้าเรียกพวกเขาว่าคุณชายคุณหนู แต่ก็อย่างที่เจ้าเห็น ว่าตอนนี้พวกเขา กำลังมาเรียกร้องสิทธิ์อยู่บ้านโจว”“สักคำแล้วหรือขอรับ ที่คุณชายของข้าน้อย บอกว่าจะมาทวงสิทธิ์ อีกอย่างนายท่านทุกคนของสกุลเจียง ไม่รับอนุหรือสาวใช้อุ่นเตียง จะมีเพียงนายหญิงเดียวตลอดชีวิต ข้าน้อยพูดถึงขนาดนี้แล้ว คนฉลาดย่อมเข้าใจนะขอรับ”“สตรีลูกติด! คู่ควรหรือ! อย่าทำเหมือนข้ามิรู้ ว่าสกุลชั้นสูง จะต้องเลือกสิ่งที่ดีและคู่ควรเท่านั้น หาใช่สิ่งของมีตำหนิ”“ฮูหยินน้อยโจว กำลังกล่าวหาว่านายท่านของข้า เป็นคนเขลาอย่างนั้นหรือ...”“ข้าแค่บอกว่านางไม่คู่ควร!”“ไม่ใช่สิ่งที่คนนอก จะสอดรู้ขอรับ”พ่อบ้านชู่ มองไปที่สะใภ้สกุลโจว ด้วยแววตาเอาเรื่อง สตรีหน้าชังผู้นี้กล้าเกินไปแล้ว คิดหยามหมิ่นในการตัดสินใจนายท่านของเขา“นี่เจ้า!”“อะแฮ่ม!”โจวเค่อ กระแอมไอขัดขึ้นเสียก่อน ภรรยาของเขาอยู่ในสังคมชั้นสูงมานาน น่าจะ
การตอบโต้ระหว่างสี่พ่อลูก ทำให้ผู้นำตระกูล และสมาชิกคนอื่นๆ ที่นั่งรวมอยู่ ถึงกับทำหน้ากันไม่ถูกเลยทีเดียว ด้วยไม่คิดว่าเด็กอายุเพียงเท่านี้ กลับมีวาจาฉะฉาน ทั้งการวางตัวไม่เหมือนคนไร้การอบรมสักนิดทั้งความน่าเกรงขามนั่นอีกเล่า มันส่งผ่านออกมาทางแววตาอันเด็ดเดี่ยว บอกได้ชัดว่าภายหน้า ทั้งสามพี่น้องเมื่อเติบโตขึ้น หากเดินบนเส้นทางของผู้นำ ย่อมเป็นใหญ่ได้ในเวลาอันสั้นเมื่อนึกถึงตรงนี้ ผู้นำตระกูลจึงต้องขบคิด หาหนทางนำเด็กทั้งสาม หรือหนึ่งในสามกลับมาอยู่ในตระกูล เส้นเลือดของครอบครัวจะไหลเวียนได้ไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าสามารถทำให้สามแฝด อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา“นางเป็นเด็กผู้หญิง จำต้องรู้สำรวม เจ้าที่เป็นชายจะเข้าใจอันใด”“หากเป็นสตรีที่อ่อนโยน แล้วต้องพบชะตากรรมเช่นท่านแม่ ข้ายินดีสอนให้น้องสาว รู้จักที่จะปกป้องตนเอง มิต้องพึ่งพาบุรุษให้เกินจำเป็น เน้นพึ่งพาตนเองเป็นดีที่สุด”“เด็กคนนี้ ข้า...เห็นไหมเล่า เจ้าเองยังมองว่ามารดาของเจ้าไร้ค่า”“ใต้เท้าโจว คนไร้ค่า...คือผู้ที่ไร้ปัญญาก้าวหน้าด้วยตนเอง แต่ท่านแม่ของข้า นางประเสริฐเกินคนเยี่ยงท่านจะเอื้อมถึง สตรีเช่นนางใช่จะมีให้เห็นดาษดื่นเสียเ
ภายในห้องรับแขก สามพี่น้องนั่งนิ่งเงียบ ไม่ได้แสดงท่าทีตื่นตาตื่นใจ กับความมั่งมีของครอบครัวบิดา เพราะถ้าเทียบกับสกุลเจียงแล้ว นี่มิได้ถึงเศษเสี้ยวเลยก็ว่าได้ หากจะมีบิดาทั้งที ก็ต้องหน้าตาดีและร่ำรวย รวมถึงเป็นคนที่ดี คู่ควรมารดาเท่านั้นโจวเค่อผู้หลงตัวเอง กำลังนั่งยิ้มอย่างผู้มีชัย ซึ่งมันทำให้สามแฝดอดขำขันอยู่ในใจไม่ได้ ยิ้มไปเถิดบิดาข้า เพราะอีกไม่กี่อึดใจ มันจะหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อนเลย“พวกเจ้าคิดได้แล้วใช่หรือไม่ จึงมาหาข้าถึงบ้านเยี่ยงนี้ แต่ข้าต้องบอกเอาไว้ก่อนว่ามากสุด พวกเจ้าก็เป็นได้แค่ลูก ที่มิอาจสืบทอดตำแหน่งใดในสกุลโจวได้”โจวเค่อรีบบอกกับลูกที่เกิดกับอดีตภรรยา เขายอมรับว่าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอี้หรูจะยังรักษาลูกๆ เอาไว้ได้ อีกทั้งเมื่อล่าสุดที่ได้พบนาง ก็เกิดเหตุการณ์ที่เขามั่นใจยิ่งนัก ว่ายากที่นางกับลูกจะรอดชีวิตมาได้ และที่เขาไม่อยากเชื่อสายตา คือเขามีลูกแฝดถึงสามคนแต่เพราะตัวเขานั้น ยังต้องพึ่งพาสกุลจาง และสกุลหยางของภรรยา เพื่อความก้าวหน้าในราชสำนัก จึงไม่อาจหักหาญน้ำใจจางหย๋าชินได้ เพราะมีใครบ้าง ไม่ต้องกำอำนาจหนุนหลัง กับการอยู่ในสังคมสวมหน้ากากนี้“เรียนใต้เท