เจียงกั๋วจ้าน เอ่ยถามด้วยความสงสัย แม้ว่าตัวเขาเอง ก็พอรู้มาแล้วบ้างจากคนสนิท แต่เขาก็อยากฟัง จากปากของต้วนอี้หลางอีกสักครั้ง “ความลำพอง ของมือสังหารผู้นั้น และตอนที่ข้าเข้าไปเอาชา ที่ขอแบ่งจากนายท่านเฉามา ทำให้ข้าได้พบเห็นบางอย่าง ที่น่าจะมาจากสกุลโจว แต่ข้าอยากถามพวกเขาเอง มากกว่าที่จะคาดเดาเอาเองขอรับ” “ขอแบ่งหรือ...” ต้วนอี้หรู สบตาของบุตรชาย เพื่อค้นหาความจริง ก่อนจะเบนสายตาไปที่ชายหนุ่ม ซึ่งยืนอยู่ข้างกาย เจียงกั๋วจ้านรีบปรับสีหน้าให้เหมือนตัวเขา ไม่รู้เห็นสิ่งใด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในจวนเฉา คนของเขารายงานมาเสียละเอียดยิบ ราวกับตัวเขาได้นั่งอยู่ในเหตุการณ์เลยทีเดียว “เขาเอ่ยปากว่าให้ข้าจริงนะขอรับ ตอนนั้นท่านตายังมิทันหลับเลยด้วยซ้ำ” ต้วนอี้หลาง รีบเอ่ยถึงพยานคนสำคัญ แต่เขาจะแบ่งชามาเพียงบางส่วน หรือทั้งหมดนั้น คงมีเพียงเขากับคนของเจ้าสำนักเจียงเท่านั้นที่รู้ “เก็บไว้กินเพียงเล็กน้อยพอ เข้าเมืองหลวงต้องใช้จ่ายมาก เอาไปแปรเป็นเงินเสีย เราไปหาท่านตากับท่านยายได้แล้ว ไปกันเจ้าค่ะท่านพี่เจียง”
หญิงสาวไม่คิดอ้อมค้อม ไฟไหม้สกุลเฉาจนวอดวาย ในเวลาอันสั้น อีกทั้งเจ้าของบ้าน ก็สิ้นใจไปพร้อมกันถึงสองคน คนที่เหลือก็เพียงแค่สตรีและคนแก่เท่านั้น อย่างไรเสีย..บิดาของนางและบุตรชาย ก็ไปที่นั้นในช่วงก่อนไฟไหม้ หากคนอยากป้ายสี ก็ย่อมไม่รอเวลาเช่นกัน“ท่าน...เอ่อ...กั๋วจ้านเจ้าว่ามาเถิด”ชายชราหันไปหาเจ้าสำนักคุ้มภัย พร้อมเอ่ยปากอนุญาตให้ชายหนุ่ม บอกกล่าวถึงสิ่งที่ต้องการ ในเมื่อบุตรสาวพูดออกมาขนาดนี้แล้ว แสดงว่าพวกนาง ต้องหารือกันมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว“ข้าอยากพาเราทุกคน เข้าเมืองหลวงขอรับ”สิ้นคำของเจียงกั๋วจ้าน ชายชราได้หันไปสบตากับภรรยา พร้อมคว้ามือชื้นเหงื่อของนางมากุมไว้ เพราะมันหาใช่แค่สกุลต้วนเท่านั้น ที่ไม่ยอมรับในตัวนาง ทว่ามันร่วมสกุลเดิมของนางด้วยเช่นกัน ภรรยาใหม่ของพ่อตา ยึดครองทุกอย่างไปหมดสิ้นแล้ว“ท่านพ่อ ท่านแม่ อย่าได้กังวลไปเจ้าค่ะ เราจะปิดกระดานหมากนี้เสีย เพื่อความสงบสุข ในภายหน้าของครอบครัวเรา อีกอย่างข้ากับท่านพี่เจียง รวมถึงลูกๆ ไม่อยากจะต้องห่วงหน้าพะวงหลัง หากครอบครัวเราต้องแยกกันคนละทิศทาง ในเวลาที่เปลวไฟยังโหมกระหน่ำ เข้าหาครอบครัวเราเช่นนี้เจ้าค่ะ”“ท่านตา ท่าน
หนึ่งเดือนต่อมา ณ เมืองหลวง ครอบครัวท่านหมอต้วน ได้เดินทางมาถึงเมืองหลวง ในยามเช้าที่แดดยังอ่อนแสงอยู่ รถม้าได้มาหยุดยังหน้าประตูจวนขนาดใหญ่ซึ่งนั่นทำให้ทั้งครอบครัว ที่ลงมายืนอยู่ข้างรถม้า ได้แต่อ้าปากค้างกับความโอ่อ่า นี่แค่เพียงหน้าประตูบ้านเท่านั้นยังขนาดนี้ แล้วด้านในจะยิ่งใหญ่แค่ไหนกันเล่า...แอ๊ด! เสียงประตูบานใหญ่เปิดออก คล้ายกับคนด้านในรอท่าคนด้านนอกอยู่ก่อนแล้ว เพียงครู่เดียวร่างสูงใหญ่ ของชายสูงวัยผู้มีใบหน้าดุดัน ได้ก้าวออกจากประตูจวน ก่อนจะรีบเดินลงบันได้กว้าง ตรงมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเจียงกั๋วจ้าน“ต้อนรับคุณชายกลับบ้านขอรับ”ชายสูงวัยประสานมือ โค้งกายให้แก่นายตน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบกับสายตาของผู้เป็นนาย ซึ่งในแววตาของเขานั้น เต็มไปด้วยความปีติยินดี ที่ได้พบหน้าของนายน้อย ผู้จากเมืองหลวงไปนานหลายปี“ท่านอาสบายดีนะขอรับ”“ข้าน้อยจะสบายกว่านี้ขอรับ หากคุณชายจะกลับมาอยู่ที่บ้าน หรืออย่างน้อยๆ ปีละสักหนสองหนก็ยังดีขอรับ หรือตาเฒ่าฮั่วมิยินยอมให้กลับมาขอรับ”“ฮ่าๆ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับ...”เจียงกั๋วจ้าน พยักพเยิดไปทางแขก ที่อยู่ด้านข้างของเขา ทำให้ชายสูงวัยรีบขยับก้าว ไ
“แน่นอนเจ้าค่ะ ว่ามันไม่เหมือนกัน เพราะยาแก้พิษราคาย่อมสูงกว่ายารักษา และการปรุงยารักษาก็คือพื้นฐานของยาแก้พิษ ข้าต้องศึกษาพิษให้มากกว่า เพื่อปรุงยาแก้ที่มีผลกำไรมากกว่า ส่วนยาและการรักษา หาได้เป็นหน้าที่ของข้า เป็นของท่านตากับท่านแม่ ข้าจะเป็นเบื้องหลังเท่านั้น” การตอบโต้ของสองพี่น้อง เรียกรอยยิ้มเอ็นดู ทั้งจากเจ้าบ้านและสามีภรรยาผู้เป็นตายาย ความไร้เดียงสาของหลานสาว ช่างน่าเอ็นดู แม้บางความคิดจะดูเกินตัวไปบ้าง แต่คนเราเมื่อมีเป้าหมายและความฝัน จึงรู้จักที่จะฝ่าฟันเพื่อไปให้ถึง “เจ้าจะปรุงยาแก้พิษ หรือเร่งให้คนที่ถูกพิษตายเร็วขึ้นกันแน่นะ” “พี่รอง! หากยังไม่เชื่อมั่นในตัวข้าอีก พี่รองจะเป็นคนแรก ที่จะได้ทดลองยาของข้า” “ทำเหมือนทุกวันนี้ ข้ารอดพ้นมือเจ้าอย่างนั้นล่ะ” ต้วนอี้หลง พึมพำเบาๆ กับตนเอง แต่มีหรือน้องสาวตัวดีจะปล่อยผ่าน ใบหน้าที่กลมดั่งชาลาเปา งอง้ำช่างน่าเอ็นดูนัก ในสายตาของพี่ชาย และนี่คือเหตุผล ที่เขามักยั่วเย้านางอยู่บ่อยครั้ง “หลิงเอ๋อร์ของตา ขอแค่เจ้าตั้งใจจะเรียนรู้ ตาย่อมสนับสนุนเจ้าอย่างเต็มที่ แต่เจ้าอย่าได
“น้องเล็ก เจ้าจะไปดูห้องของพี่สองคนหรือไม่”ต้วนอี้หลางเอ่ยชวนน้องสาว เพราะเขาตั้งใจว่าสายหน่อย จะออกไปเดินเล่น ในตลาดเมืองหลวงสักหน่อย หากเขากับน้องชายไปกันเพียงสองคน ยัยตัวเล็กรู้เข้าคงงอนเขาไปหลายวันเป็นแน่ “ไปเจ้าค่ะ” “อย่าได้ก่อเรื่อง”ต้วนอี้หรู พอจะเดาได้ว่าบุตรชายคนโต คิดจะทำอะไร นางเองก็แปลกใจที่รู้สึกวางใจ ในความคิดของลูกๆ ทั้งยังมั่นใจว่าอี้หลางจะไม่ทำให้ตนเอง และน้องๆ ตกอยู่ในอันตราย “ขอรับ/เจ้าค่ะ” สามพี่น้องรับคำมารดา ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่จะทำได้มากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นกับสถานการณ์ภายหน้า สามแฝดก้าวออกจากห้องไป โดยมีพ่อบ้านชู่นำทาง “ท่านตาขอรับ ข้ากับน้องๆ อยากออกไปเที่ยวชมตลาด ท่านตาพอจะพาเราไปได้หรือไม่ขอรับ” ต้วนอี้หลาง ไม่ได้คิดที่จะพาน้องๆ ออกไปเพียงลำพัง เพราะอย่างไรเสีย พวกเขาก็ยังเด็ก ทั้งยังต่างถิ่น การมีเจ้าถิ่นพาไป ย่อมปลอดภัยกว่า “เช่นนั้นข้าน้อยจะไปเรียนนายท่านก่อน แล้วจะพาคุณชายกับคุณหนูออกไปนะขอรับ” พ่อบ้านชู่ที่ไม่ได้เลี้ยงเด็กมานาน รู้สึกกระชุ่มกระฉวยขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เขาเฝ้า
“พวกท่านอย่าได้วางใจข้าเลย ข้าไม่ขอปิดบัง ว่าตัวข้าเป็นเพียงหัวขโมยคนหนึ่งเท่านั้น”“ไม่ดีหรือ...ทำงานกับข้า ท่านก็ไม่ต้องเป็นขโมย ทั้งยังได้ร่ำเรียนไปพร้อมพวกข้า อีกอย่าง...คนที่ท่านควรตอบแทนเป็นคนแรก คือนาง...”ต้วนอี้หลางชี้ไปที่น้องสาว ซึ่งกำลังยกถ้วยน้ำแกงมาที่เตียง พร้อมรอยยิ้มกว้าง เหมือนกับการดูแลตัวเขา เป็นสิ่งที่นางตั้งใจและมิคิดรังเกลียด“ข้า...ข้ามิคู่ควรได้รับน้ำใจนี้เลยขอรับ”“อยู่ที่ใจท่านแล้วพี่ชาย พวกข้าแค่เสนอทางเลือก ที่ท่านไม่ต้องไปเสี่ยงชีวิตข้างนอก หากอยากใช้กำลังในการปีนบ้านคน ไยไม่ฝึกฝนเป็นองครักษ์ให้เราสามพี่น้องเล่า”ต้วนอี้หลงที่นิ่งเงียบมาตลอดเอ่ยขึ้นบ้าง อีกทั้งข้อเสนอนั้น มิต่างอันใดกับข้อบังคับ ชายหนุ่มไม่เข้าใจเลย ว่าทำไม! สามพี่น้องจึงอยากให้เขาอยู่ร่วมบ้าน ทั้งที่เขาเป็นเพียงคนแปลกหน้า ที่อาจเป็นอันตรายต่อพวกเขาได้“ดื่มน้ำแกงหน่อยนะเจ้าคะ พี่ชายยังมีเวลาคิดอีกมาก เพราะร่างกายท่านตอนนี้ ก้าวพ้นห้องนี้ไปได้ ก็นับว่าเก่งมากแล้ว แต่ถึงออกไปได้ ก็ต้องตายอยู่ดี หากเป็นข้า...ข้าจะเลือกมีชีวิตอยู่ เพื่อสร้างชีวิตใหม่ให้มันดีกว่าเดิม ข้าไม่อายเลยนะเจ้าคะ ที่
ครึ่งก้านธูปต่อมา ณ ตลาดเมืองหลวง ชายหนุ่มวัยสิบแปด และเด็กแฝดทั้งสาม ต่างพากันเดินดูของตามร้านค้า ที่วางอยู่ริมทาง โดยมีคนสนิทของเจียงกั๋วจ้าน และพ่อบ้านชู่ก้าวตามไม่ห่าง พ่อบ้านชู่คอยแนะนำสิ่งต่างๆ ให้แก่เด็กๆ ด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ และบ่อยครั้งที่เขาอดไม่ได้ ที่จะมองเสี้ยวหน้าของม่อเหลียว ซึ่งมันทำให้เขาย้อนนึกถึงพี่น้องที่หายไป “ร้านเนื้อแพะตุ๋น ท่านตาเจ้าคะ มันใช่แพะจริงๆ ใช่ไหมเจ้าคะ” ด้วยเรื่องเล่าของพี่ชายทั้งสามของนาง มักพูดอยู่หลายหน ว่าเนื้อตามเส้นทางการค้า มักเป็นเนื้อสุนัขหรือไม่ก็เนื้อคน ทำให้เด็กหญิงรู้สึกหวั่นอยู่ในใจลึกๆ “แน่แท้ขอรับ ร้านนี้ขึ้นชื่อยิ่งนัก เช่นนั้นเราเข้าไปลองกันดีไหมขอรับ” “ดีเจ้าค่ะ ท่านลุงอู๋หยาง นั่งกินพร้อมกับพวกเราเลยนะเจ้าคะ เราค่อยไปเดินเล่นกันต่อ” เสียงเจื้อยแจ้วของต้วนอี้หลิง เรียกความเอ็นดู จากผู้ที่สัญจรไปมา เพราะนอกจากนางจะช่างเจรจาแล้ว ยังมีความงามที่ฉายชัดให้เห็น แน่นอนว่าเมื่อนางเติบโตไป ย่อมต้องเป็นสาวงามทีเดียวเชียว ทว่าชายหนุ่มวัยใกล้เคียงกับม่อเหลียว ต่างก็
เมื่อคุณชายรองให้แยกอาหารบนโต๊ะ ไปอีกโต๊ะยาวที่อยู่ใกล้กัน พร้อมทั้งให้เสี่ยวเอ้อไปเรียกเด็กยากไร้ และชายหญิงชรา ที่นั่งรอเศษกระดูกอยู่ใกล้หน้าต่างร้าน เข้ามากินอาหารที่สั่งไป อีกทั้งป้องกันคนในร้านรังเกียจ ต้วนอี้หลางประกาศเลี้ยงอาหารมื้อนี้ให้กับลูกค้าหลายโต๊ะ ที่อยู่ในร้านตอนนี้ เพื่อมิให้เกิดคำพูดเสียดสีต่อกัน ทว่าคนยากไร้เหล่านั้น ยังไม่ก้าวเข้ามาในร้าน คงมีเพียงชายชราคนหนึ่งเท่านั้น ที่เดินตามเสี่ยวเอ้อเข้ามาด้านใน “คุณชายจะมอบอาหารให้เราจริงหรือขอรับ หากเป็นเช่นนั้น เราขอรับน้ำใจ แต่ข้าน้อยมิอยากทำให้คุณชายเดือดร้อน ถูกผู้อื่นตำหนิ เพราะเอ่อ...โปรดมอบอาหาร ให้เราไปกินกันข้างนอกเถอะขอรับ” คำพูดที่ดูมีการศึกษา ทำให้ต้วนอี้หลาง และต้วนอี้หลง หันสบตากันชั่วครู่ “คนทุกคนล้วนมีเกียรติเท่ากัน เพียงแต่โชคชะตา และพื้นฐานมันต่างกันเท่านั้น” ต้วนอี้หลง พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่หนักเบาไป วางตัวได้อย่างเหมาะสม มิได้ดูหมิ่น แต่ก็ไม่ลดลงจนต่ำ “คุณชายโปรดรับการคารวะ จากข้าน้อยด้วยขอรับ” หนึ่งในชายชราขอทาน ประสานมือโค้ง
หลังจากมือธนูล้มลงสิ้นใจตาย ต้วนอี้หรู ค่อยๆ เบนหน้าไม้ ชี้ตรงไปยังต้วนฉี รูปร่างแบบนี้ ง่ายนักต่อการลงมือ แต่จะให้ตายตอนนี้มันสบายไป ในเมื่อตักเตือนไปแล้วยังรั้น ก็ต้องเพิ่มบทเรียนให้อีกสักหน่อย หญิงสาวลดปลายหน้าไม้ลงอีกระดับ ก่อนจะกดกลไล ปล่อยลูกดอกออกไปอีกครั้ง ฟิ้ว! ฉึก! “อ๊ากกก!!! ขะ...ข้า!! ของข้า ท่านแม่ ขาข้า!!!” ต้วนฉีใช้สองมือกุมต้นขา ที่ยังมีลูกดอกปักคาอยู่ ต้วนฮูหยินและเชี่ยจิ่น รีบคลานเข้าไปดูอาการของต้วนฉี ด้วยอาการสั่นเทา “ลูกแม่! เจ้าเจ็บมากหรือไม่” “ท่านแม่มิลองถูกยิงดูเล่าขอรับ อ๊ากก!! พวกสารเลวทำร้ายข้า!! ข้าจะฆ่าเจ้าให้หมด!” ต้วนฉีโวยวายเสียงดังลั่น ทว่ามันกลับไม่ได้ทำให้ผู้ลงมือ รู้สึกสงสารเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวหันกลับหาผู้เป็นปู่ เพราะอย่างไรเสียต้วนฉี ก็เป็นสายเลือดของท่านปู่ นางลงมือโดยไม่ขอความคิดเห็น ก็ถือว่าผิดอยู่บ้าง “หลานปู่ เจ้าไม่ต้องกังวล ในเมื่อเขาเลือกเส้นทางตัดสัมพันธ์สายเลือดแล้วแบบนี้ จะเก็บเขาไว้ให้แว้งกัดในภายหน้า ก็คงไม่เป็นผลดีต่อเราทุกคน” “เรื่องนี้อี้หรูทำเกินกว่าเหตุ แต่ใน
ภาพการรับมือของต้วนจ้าว ทำให้กลุ่มคนที่ซุ่มดูอยู่บนต้นไม้ จำต้องเบิกตากว้าง แต่ก็มิใช่ทั้งหมด เพราะต้วนอี้หลาง ทำเพียงยกยิ้มมุมปาก เขารู้อยู่แล้วว่าท่านตามิใช่ธรรมดา แต่คงมีเหตุผลที่เก็บซ่อนตัวตนเสียมิดชิด ในช่วงที่เขากับมารดายังบาดเจ็บ นักฆ่าเทียววนเวียนหมายเข้ามาสังหาร แต่กลับไม่มีมดแมงตัวใดหลุดรอด มาถึงเขากับมารดาได้เลย นั่นบอกได้ว่าโรงหมอสกุลต้วน มีดีอยู่ไม่น้อย “ดูเจ้าไม่แปลกใจเลย” เจียงกั๋วจ้าน ถามต้วนอี้หลาง ที่นั่งอยู่กิ่งไม้อยู่ถัดจากเขา เด็กชายหันไปส่งยิ้มกว้างให้แก่ผู้เป็นลุง “ก่อนที่ท่านตาจะพาข้าไปหาท่านลุง เราแม่ลูกบาดเจ็บสาหัสกันอยู่นานทีเดียว และตลอดระยะเวลานั้น มีนักฆ่าวนเวียนราวผึ้งตอมเกสรดอกไม้เชียวละขอรับ ท่านลุงคิดว่าไยมือสังหารจึงไม่เคยเฉียดใกล้เราแม่ลูกเลยเล่าขอรับ” “หากเป็นเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องถึงมือข้าเลยนี่” “ท่านลุงรู้แก่ใจดี ว่าพายุเมื่อมันโหมแรงขึ้น คนเราก็ต้องหาที่หลบภัยให้มั่นคงขึ้น ท่านตาแม้จะมากฝีมือ แต่วัยที่ร่วงโรยตามกาลเวลา ทำให้ท่านตาเกรงว่าเราแม่ลูกจะไร้เกราะคุ้มกาย” “ข้าไม่แปลก
หลังจากประตูจวนปิดลง สองแม่ลูกที่เคยแสดงท่าทีหวาดกลัวอย่างรนรานเมื่อครู่ พลันแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มหยัน เมื่อไร้สายตาคนภายนอก ก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งหวาดกลัวอีกต่อไปคนไร้ค่าที่คิดว่าตนเอง กำลังถือหมากเหนือกว่า ก็เป็นเพียงแมงเม่าที่บินเข้าหากองไฟ ที่จุดหลอกล่อเอาไว้ ท้ายที่สุดก็ต้องตายอยู่ดี “ข้าคิดเอาไว้อยู่แล้ว ว่าสักวันเจ้าต้องโผล่มาที่นี่” ต้วนฮูหยินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน นางไม่มีความจำเป็นต้องกลัวคนอย่างต้วนจ้าว ดีเสียอีกที่เขากลับมา จะได้มิต้องเสียเวลาไล่ล่า “แล้วอย่างไร” ต้วนจ้าวถามกลับ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ก็ไม่แล้วอย่างไร แต่ข้ามิชื่นชอบ ให้มีหนามแหลมมากีดขวางเส้นทาง”สิ้นคำของต้วนฮูหยิน บ่าวชายหญิงที่อยู่โดยรอบ ได้เคลื่อนกายโอบล้อมผู้ที่มาเยือนในทันที โดยในมือล้วนมีอาวุธ ซึ่งมันชัดเจนแล้วว่าที่ผ่านมา สองแม่ลูกเอง ก็เตรียมการเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว ซึ่งมันไม่ผิดจากที่เขา คาดการณ์เอาไว้เท่าใดนักรอยยิ้มหยันของสองแม่ลูก รวมถึงสะใภ้คนรอง ไม่ได้ทำให้พ่อลูกสกุลต้วนจากชายแดน รู้สึกตื่นเต้นแม้แต่น้อย นักฆ่าระดับสูงกว่านี้ เขาพ่อลูกก็เผชิญกันมามิรู้กี่
“ไม่นะ! ท่านพี่...ท่านจะทำเยี่ยงนี้กับข้าไม่ได้ ข้าอยู่กับท่านตั้งแต่ยังสาว ยอมเป็นเพียงอนุมาเนินนาน แล้ววันนี้ท่านคิดขับไล่ข้า มันสมควรหรือ!” ต้วนฮูหยิน ไม่อยากจะเชื่อหู ว่าสามีจะกล้าขอยุติความสัมพันธ์ แม้ไม่เคยรักแต่ก็อยู่ร่วมบ้านกันมาเนินนาน พอลูกรักของเขากลับมา เขากล้าที่จะทอดทิ้งนาง ขัดคำสั่งเสียของพ่อสามี ที่มิให้ทอดทิ้งนางไปตลอดชีวิตเชียวหรือ! “ท่านแม่เกิดสิ่งใดขึ้นขอรับ” ต้วนฉีรีบก้าวออกมาจากจวน เขารีบประคองมารดาที่ยืนซวนเซ ก่อนจะตวัดสายตาไปที่กลุ่มคน ซึ่งยืนอยู่ลานหน้าจวน “พ่อเจ้าคิดหย่าขาดกับแม่”ต้วนฮูหยินรีบบอกบุตรชาย ก่อนจะยกผ้าเช็ดหน้าซับหัวตา แสร้งร้องไห้เสียใจ ที่ถูกสามีของเลิกต่อหน้าผู้คนที่ผ่านไปมา “เป็นเจ้าใช่ไหมต้วนจ้าว เจ้ากลับมาเพื่อทำลายบ้านข้า!” “หุบปาก!”นายท่านต้วน ตวาดบุตรชายคนรอง ด้วยความโกรธจนสั่นไปทั้งกาย แต่ก่อนที่ชายชราจะเอ่ยสิ่งใดต่อ ต้วนจ้าวก็วางมือลงบนแขนบิดา เรื่องนี้เขาต้องจัดการเอง บทเรียนเมื่อสองวันก่อน คงไม่ทำให้ต้วนฉีจดจำ ในอดีตเขาจำยอม เพราะสงสารบิดาและเมียรักแต่ไม่ใช่วันนี้ที่เขามีคร
สองวันถัดมา ณ สกุลต้วน ชายชราผู้เป็นใหญ่ในบ้าน เทียวเดินออกมาชะเง้อมองถนน เผื่อว่าบุตรชายที่ออกจากบ้านไปนาน จะผ่านมาให้ได้เห็นบ้าง นับตั้งแต่เขารู้ข่าว ถึงการกลับมาของบุตรชาย ใจที่โหยหาก็ทำให้เขา เฝ้ารอที่จะได้เห็นหน้าบุตรชายอย่างมีความหวัง ในอดีตเป็นเขาที่ไม่คิดอ่อนข้อให้แก่บุตรชาย จนนำมาซึ่งการแยกครอบครัว แต่เมื่อเวลาผันผ่านไปหลายปี เขาที่แก่ชรามากแล้ว ก็รู้ตัวดีว่าครั้งนั้น มันหาใช่เรื่องใหญ่ จนถึงขั้นต้องแยกครอบครัว ด้วยบิดาย้ำเตือนให้เขาต้องเลือก สุดท้ายแล้วเขาเองที่ผิดทั้งหมดเป็นเขาเองที่เห็นแก่ตัว เลือกรักษาอำนาจในมือ จนต้องปล่อยบุตรชายออกจากบ้านไป เผชิญกับความทุกข์ยาก ที่เขาไม่อาจรู้ได้เลย ว่าบุตรชายต้องพบเจอสิ่งใดบ้างและตอนนี้ไร้บิดาของเขาแล้ว อำนาจเด็ดขาดจึงอยู่ในมือเขาแล้ว ขอเพียงบุตรชายเอ่ยปาก ว่าอยากกลับมา เขาก็พร้อมนำชื่อบุตรชายและสะใภ้ กลับเข้าผังสกุลโดยไม่ลังเล “ท่านพี่จะมายืนทำอะไรตรงนี้เจ้าคะ ไยไม่ช่วยลูกเราหาหนทาง ทวงความเป็นธรรมคืนจากสวะพวกนั้น” ต้วนฮูหยินพูดกับสามี ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเท่าใดนัก เมื่อสองวันก่อนบุตรชาย ได้บอก
นายท่านโจวรับกระดาษนั้นมาคลี่อ่าน แม้ว่าตัวอักษรจะไม่ได้ยาวเท่าใดนัก แต่มันก็ชัดเจนว่านี่คือคำสั่ง ให้ลงมือต่ออดีตลูกสะใภ้กับหลานชาย“มันคงแค่เรื่องบังเอิญ”หลังอ่านเนื้อความจนจบ ชายชราเอ่ยออกมาอย่างไม่เต็มเสียงนัก ทั้งยังไม่กล้าสบตาสามพี่น้องตรงๆ แม้เขาจะมั่นใจว่านี่คือของจริง แต่สกุลโจวยังต้องพึ่งพาสกุลจางและหยาง การทำแบบนี้กับสายเลือดของสองสกุล เท่ากับลากเอาทั้งตระกูลโจวลงสู่เหวลึก“หึๆ ข้าน้อยรู้อยู่แล้วขอรับ ว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ ก็อย่างที่ข้าบอก ข้ามิใช่คนใจกว้าง หากยังมีเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกสักครั้ง ข้าถือว่าได้บอกกล่าวไปแล้ว หากมีสิ่งใดร้ายแรงอย่าได้โทษ ว่าข้าไร้น้ำใจ ส่วนสิ่งนี้...โปรดรักษามันให้ดีหน่อยนะขอรับ เพราะยามเกิดสิ่งใดขึ้นมามา คงเป็นคนที่มีสิ่งนี้เท่านั้น ที่ต้องแบกรับมันอย่างโดดเดี่ยว หาใช่คนที่แอบเอามันไปใช้”ต้วนอี้หลาง ส่งสัญญาณให้ม่อเหลียว นำบางอย่างไปยื่นส่งให้แก่ผู้นำสกุลโจว ชายชรารับกล่องไม้ไปเปิดออกดู ตลอดร่างชาหนึบ ราวกับถูกฟ้าฝ่ากลางแสกหน้าป้ายคำสั่งสกุลโจว มันไปตกอยู่ในมือของเด็กพวกนี้ได้อย่างไร ชายชราอดไม่ได้ที่จะหันไปที่บุตรชายคนโต และลูกสะใภ้ที่ตอนนี
“โปรดระวังวาจาด้วยขอรับ สกุลเจียงใช่บ้านที่จะพูดจาให้เสียหายได้”พ่อบ้านชู่ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ เมื่อหญิงปากกล้าอาจหาญ หมิ่นนายเขาให้เสื่อมเสีย“หากไม่ใช่ลูกติดอนุ แล้วพวกเขาจะเป็นใครได้ ข้าเข้าใจว่าต่อหน้าผู้คน เจ้าเรียกพวกเขาว่าคุณชายคุณหนู แต่ก็อย่างที่เจ้าเห็น ว่าตอนนี้พวกเขา กำลังมาเรียกร้องสิทธิ์อยู่บ้านโจว”“สักคำแล้วหรือขอรับ ที่คุณชายของข้าน้อย บอกว่าจะมาทวงสิทธิ์ อีกอย่างนายท่านทุกคนของสกุลเจียง ไม่รับอนุหรือสาวใช้อุ่นเตียง จะมีเพียงนายหญิงเดียวตลอดชีวิต ข้าน้อยพูดถึงขนาดนี้แล้ว คนฉลาดย่อมเข้าใจนะขอรับ”“สตรีลูกติด! คู่ควรหรือ! อย่าทำเหมือนข้ามิรู้ ว่าสกุลชั้นสูง จะต้องเลือกสิ่งที่ดีและคู่ควรเท่านั้น หาใช่สิ่งของมีตำหนิ”“ฮูหยินน้อยโจว กำลังกล่าวหาว่านายท่านของข้า เป็นคนเขลาอย่างนั้นหรือ...”“ข้าแค่บอกว่านางไม่คู่ควร!”“ไม่ใช่สิ่งที่คนนอก จะสอดรู้ขอรับ”พ่อบ้านชู่ มองไปที่สะใภ้สกุลโจว ด้วยแววตาเอาเรื่อง สตรีหน้าชังผู้นี้กล้าเกินไปแล้ว คิดหยามหมิ่นในการตัดสินใจนายท่านของเขา“นี่เจ้า!”“อะแฮ่ม!”โจวเค่อ กระแอมไอขัดขึ้นเสียก่อน ภรรยาของเขาอยู่ในสังคมชั้นสูงมานาน น่าจะ
การตอบโต้ระหว่างสี่พ่อลูก ทำให้ผู้นำตระกูล และสมาชิกคนอื่นๆ ที่นั่งรวมอยู่ ถึงกับทำหน้ากันไม่ถูกเลยทีเดียว ด้วยไม่คิดว่าเด็กอายุเพียงเท่านี้ กลับมีวาจาฉะฉาน ทั้งการวางตัวไม่เหมือนคนไร้การอบรมสักนิดทั้งความน่าเกรงขามนั่นอีกเล่า มันส่งผ่านออกมาทางแววตาอันเด็ดเดี่ยว บอกได้ชัดว่าภายหน้า ทั้งสามพี่น้องเมื่อเติบโตขึ้น หากเดินบนเส้นทางของผู้นำ ย่อมเป็นใหญ่ได้ในเวลาอันสั้นเมื่อนึกถึงตรงนี้ ผู้นำตระกูลจึงต้องขบคิด หาหนทางนำเด็กทั้งสาม หรือหนึ่งในสามกลับมาอยู่ในตระกูล เส้นเลือดของครอบครัวจะไหลเวียนได้ไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าสามารถทำให้สามแฝด อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา“นางเป็นเด็กผู้หญิง จำต้องรู้สำรวม เจ้าที่เป็นชายจะเข้าใจอันใด”“หากเป็นสตรีที่อ่อนโยน แล้วต้องพบชะตากรรมเช่นท่านแม่ ข้ายินดีสอนให้น้องสาว รู้จักที่จะปกป้องตนเอง มิต้องพึ่งพาบุรุษให้เกินจำเป็น เน้นพึ่งพาตนเองเป็นดีที่สุด”“เด็กคนนี้ ข้า...เห็นไหมเล่า เจ้าเองยังมองว่ามารดาของเจ้าไร้ค่า”“ใต้เท้าโจว คนไร้ค่า...คือผู้ที่ไร้ปัญญาก้าวหน้าด้วยตนเอง แต่ท่านแม่ของข้า นางประเสริฐเกินคนเยี่ยงท่านจะเอื้อมถึง สตรีเช่นนางใช่จะมีให้เห็นดาษดื่นเสียเ
ภายในห้องรับแขก สามพี่น้องนั่งนิ่งเงียบ ไม่ได้แสดงท่าทีตื่นตาตื่นใจ กับความมั่งมีของครอบครัวบิดา เพราะถ้าเทียบกับสกุลเจียงแล้ว นี่มิได้ถึงเศษเสี้ยวเลยก็ว่าได้ หากจะมีบิดาทั้งที ก็ต้องหน้าตาดีและร่ำรวย รวมถึงเป็นคนที่ดี คู่ควรมารดาเท่านั้นโจวเค่อผู้หลงตัวเอง กำลังนั่งยิ้มอย่างผู้มีชัย ซึ่งมันทำให้สามแฝดอดขำขันอยู่ในใจไม่ได้ ยิ้มไปเถิดบิดาข้า เพราะอีกไม่กี่อึดใจ มันจะหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อนเลย“พวกเจ้าคิดได้แล้วใช่หรือไม่ จึงมาหาข้าถึงบ้านเยี่ยงนี้ แต่ข้าต้องบอกเอาไว้ก่อนว่ามากสุด พวกเจ้าก็เป็นได้แค่ลูก ที่มิอาจสืบทอดตำแหน่งใดในสกุลโจวได้”โจวเค่อรีบบอกกับลูกที่เกิดกับอดีตภรรยา เขายอมรับว่าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอี้หรูจะยังรักษาลูกๆ เอาไว้ได้ อีกทั้งเมื่อล่าสุดที่ได้พบนาง ก็เกิดเหตุการณ์ที่เขามั่นใจยิ่งนัก ว่ายากที่นางกับลูกจะรอดชีวิตมาได้ และที่เขาไม่อยากเชื่อสายตา คือเขามีลูกแฝดถึงสามคนแต่เพราะตัวเขานั้น ยังต้องพึ่งพาสกุลจาง และสกุลหยางของภรรยา เพื่อความก้าวหน้าในราชสำนัก จึงไม่อาจหักหาญน้ำใจจางหย๋าชินได้ เพราะมีใครบ้าง ไม่ต้องกำอำนาจหนุนหลัง กับการอยู่ในสังคมสวมหน้ากากนี้“เรียนใต้เท