ลมหายใจนี้ของข้า มันผู้ใดก็พรากไปอีกไม่ได้ เพราะเขาจะใช้มันให้คุ้มค่า กว่าลมหายใจเดิม ที่สละเพื่อผู้คนมากมาย ทว่าสุดท้ายเป็นเขา ที่ต้องสูญสิ้นทุกสิ่งอย่าง มิเว้นแม้แต่ลมหายใจ “วาจาสาวหาวนัก...หึๆ แบบนี้สิข้าชอบ ยามเจ้าร้องขอชีวิตใต้คมกระบี่ของข้า มันจะได้รู้สึกอิ่มเอมใจ” “เจ้าใช้สิ่งใดกับข้า แล้วเจ้าไม่คิดบ้างหรือ ว่าข้าจะใช้มันกับพวกเจ้า” ชายสวมหน้ากาก และเจ้าบ้านทั้งสอง ต่างยกชายเสื้อขึ้นปิดจมูกเอาไว้ โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่เด็กชายพูด จะจริงเท็จเพียงใด แต่จากการที่ต้วนอี้หลาง ไม่สะทกสะท้านต่อพิษในชาร้อน พวกเขาก็พอรู้แล้วว่าเด็กคนนี้ ไม่ธรรมดาอย่างที่ตาเห็น “ฮ่าๆ ข้าเป็นหลานชายของหมอ มีมารดาเก่งกาจเรื่องพิษ คิดว่าข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าหลบหลีกได้หรือ ช้าไปสักหน่อยนะ” ควับ! กระบี่ยาวถูกดึงออกจากฝัก ชี้ตรงมาที่ใบหน้าเด็กชาย ต้วนอี้หลาง ยังคงไม่ละสายตาไปจากเจ้าของกระบี่ เขาเริ่มใช้พิษที่ปรุงด้วยตนเอง ตั้งแต่ก้าวเข้ามาภายในห้องนี้แล้ว แค่เขาไม่เร่งรีบให้มันออกฤทธิ์ในฉับพลันก็เท่านั้น ร่างกายเล็กๆ นี้แม้จะเริ่มแข็งแรงมากแล้ว แต่ก็ยังไม่
หลังมื้อค่ำ ณ ห้องพักของเจ้าสำนักเจียง เจียงกั๋วจ้าน นั่งกำหมัดแน่น เมื่อคนสนิทรายงานถึงสิ่งที่เกิดขึ้น กับหมอชราและต้วนอี้หลาง ตอนไปที่บ้านสกุลเฉา นี่ขนาดตัวเขาคิดว่าป้องกันในทุกทิศทางแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังคงมีช่องโหว่ให้มดแมงเหล่านั้น แทรกกายเข้ามาได้อยู่ดี “เจ้าเพิ่มคนดูแลทุกคนที่นี่ให้มากหน่อย แต่มิต้องเอิกเกริกไป อย่าได้ทำลายความเป็นส่วนตัวของทุกคน ข้ามีเรื่องต้องไปทำ” “นายท่านจะไปที่ใดขอรับ” “ข้าจะเข้าเมืองหลวง เห็นทีครานี้ ถ้าข้าไม่ลงมือด้วยตนเอง ทุกอย่างคงยากจะจบสิ้น” บางทีเขาต้องไปมอบคำเตือน ให้กับคนเหล่านี้สักหน่อย ถ้ารับฟังก็ดีไป แต่ถ้ายังดื้อดึง ก็อย่าได้มากล่าวโทษเขาในภายหลัง ว่าลงมืออย่างไรน้ำใจ “ท่านพี่เจียง หลับหรือยังเจ้าคะ” เสียงหวานจากด้านนอก ทำให้ชายหนุ่มผุดลุกขึ้น ก้าวออกไปหน้าห้องพักในทันที คนสนิททำได้แค่ยิ้มแห้ง กับอาการของผู้เป็นนาย มันชัดเจนจนแม้แต่เด็กห้าขวบยังมองออก “คุณหนูต้วน” เพียงประตูเปิดออก ชายหนุ่มก็เอ่ยทักหญิงสาว ด้วยน้ำเสียงลิงโลด ก่อนจะปรับท่าทางให้สุขุมดังเดิม เมื
เจียงกั๋วจ้าน เอ่ยถามด้วยความสงสัย แม้ว่าตัวเขาเอง ก็พอรู้มาแล้วบ้างจากคนสนิท แต่เขาก็อยากฟัง จากปากของต้วนอี้หลางอีกสักครั้ง “ความลำพอง ของมือสังหารผู้นั้น และตอนที่ข้าเข้าไปเอาชา ที่ขอแบ่งจากนายท่านเฉามา ทำให้ข้าได้พบเห็นบางอย่าง ที่น่าจะมาจากสกุลโจว แต่ข้าอยากถามพวกเขาเอง มากกว่าที่จะคาดเดาเอาเองขอรับ” “ขอแบ่งหรือ...” ต้วนอี้หรู สบตาของบุตรชาย เพื่อค้นหาความจริง ก่อนจะเบนสายตาไปที่ชายหนุ่ม ซึ่งยืนอยู่ข้างกาย เจียงกั๋วจ้านรีบปรับสีหน้าให้เหมือนตัวเขา ไม่รู้เห็นสิ่งใด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในจวนเฉา คนของเขารายงานมาเสียละเอียดยิบ ราวกับตัวเขาได้นั่งอยู่ในเหตุการณ์เลยทีเดียว “เขาเอ่ยปากว่าให้ข้าจริงนะขอรับ ตอนนั้นท่านตายังมิทันหลับเลยด้วยซ้ำ” ต้วนอี้หลาง รีบเอ่ยถึงพยานคนสำคัญ แต่เขาจะแบ่งชามาเพียงบางส่วน หรือทั้งหมดนั้น คงมีเพียงเขากับคนของเจ้าสำนักเจียงเท่านั้นที่รู้ “เก็บไว้กินเพียงเล็กน้อยพอ เข้าเมืองหลวงต้องใช้จ่ายมาก เอาไปแปรเป็นเงินเสีย เราไปหาท่านตากับท่านยายได้แล้ว ไปกันเจ้าค่ะท่านพี่เจียง”
หญิงสาวไม่คิดอ้อมค้อม ไฟไหม้สกุลเฉาจนวอดวาย ในเวลาอันสั้น อีกทั้งเจ้าของบ้าน ก็สิ้นใจไปพร้อมกันถึงสองคน คนที่เหลือก็เพียงแค่สตรีและคนแก่เท่านั้น อย่างไรเสีย..บิดาของนางและบุตรชาย ก็ไปที่นั้นในช่วงก่อนไฟไหม้ หากคนอยากป้ายสี ก็ย่อมไม่รอเวลาเช่นกัน“ท่าน...เอ่อ...กั๋วจ้านเจ้าว่ามาเถิด”ชายชราหันไปหาเจ้าสำนักคุ้มภัย พร้อมเอ่ยปากอนุญาตให้ชายหนุ่ม บอกกล่าวถึงสิ่งที่ต้องการ ในเมื่อบุตรสาวพูดออกมาขนาดนี้แล้ว แสดงว่าพวกนาง ต้องหารือกันมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว“ข้าอยากพาเราทุกคน เข้าเมืองหลวงขอรับ”สิ้นคำของเจียงกั๋วจ้าน ชายชราได้หันไปสบตากับภรรยา พร้อมคว้ามือชื้นเหงื่อของนางมากุมไว้ เพราะมันหาใช่แค่สกุลต้วนเท่านั้น ที่ไม่ยอมรับในตัวนาง ทว่ามันร่วมสกุลเดิมของนางด้วยเช่นกัน ภรรยาใหม่ของพ่อตา ยึดครองทุกอย่างไปหมดสิ้นแล้ว“ท่านพ่อ ท่านแม่ อย่าได้กังวลไปเจ้าค่ะ เราจะปิดกระดานหมากนี้เสีย เพื่อความสงบสุข ในภายหน้าของครอบครัวเรา อีกอย่างข้ากับท่านพี่เจียง รวมถึงลูกๆ ไม่อยากจะต้องห่วงหน้าพะวงหลัง หากครอบครัวเราต้องแยกกันคนละทิศทาง ในเวลาที่เปลวไฟยังโหมกระหน่ำ เข้าหาครอบครัวเราเช่นนี้เจ้าค่ะ”“ท่านตา ท่าน
หนึ่งเดือนต่อมา ณ เมืองหลวง ครอบครัวท่านหมอต้วน ได้เดินทางมาถึงเมืองหลวง ในยามเช้าที่แดดยังอ่อนแสงอยู่ รถม้าได้มาหยุดยังหน้าประตูจวนขนาดใหญ่ซึ่งนั่นทำให้ทั้งครอบครัว ที่ลงมายืนอยู่ข้างรถม้า ได้แต่อ้าปากค้างกับความโอ่อ่า นี่แค่เพียงหน้าประตูบ้านเท่านั้นยังขนาดนี้ แล้วด้านในจะยิ่งใหญ่แค่ไหนกันเล่า...แอ๊ด! เสียงประตูบานใหญ่เปิดออก คล้ายกับคนด้านในรอท่าคนด้านนอกอยู่ก่อนแล้ว เพียงครู่เดียวร่างสูงใหญ่ ของชายสูงวัยผู้มีใบหน้าดุดัน ได้ก้าวออกจากประตูจวน ก่อนจะรีบเดินลงบันได้กว้าง ตรงมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเจียงกั๋วจ้าน“ต้อนรับคุณชายกลับบ้านขอรับ”ชายสูงวัยประสานมือ โค้งกายให้แก่นายตน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบกับสายตาของผู้เป็นนาย ซึ่งในแววตาของเขานั้น เต็มไปด้วยความปีติยินดี ที่ได้พบหน้าของนายน้อย ผู้จากเมืองหลวงไปนานหลายปี“ท่านอาสบายดีนะขอรับ”“ข้าน้อยจะสบายกว่านี้ขอรับ หากคุณชายจะกลับมาอยู่ที่บ้าน หรืออย่างน้อยๆ ปีละสักหนสองหนก็ยังดีขอรับ หรือตาเฒ่าฮั่วมิยินยอมให้กลับมาขอรับ”“ฮ่าๆ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับ...”เจียงกั๋วจ้าน พยักพเยิดไปทางแขก ที่อยู่ด้านข้างของเขา ทำให้ชายสูงวัยรีบขยับก้าว ไ
“แน่นอนเจ้าค่ะ ว่ามันไม่เหมือนกัน เพราะยาแก้พิษราคาย่อมสูงกว่ายารักษา และการปรุงยารักษาก็คือพื้นฐานของยาแก้พิษ ข้าต้องศึกษาพิษให้มากกว่า เพื่อปรุงยาแก้ที่มีผลกำไรมากกว่า ส่วนยาและการรักษา หาได้เป็นหน้าที่ของข้า เป็นของท่านตากับท่านแม่ ข้าจะเป็นเบื้องหลังเท่านั้น” การตอบโต้ของสองพี่น้อง เรียกรอยยิ้มเอ็นดู ทั้งจากเจ้าบ้านและสามีภรรยาผู้เป็นตายาย ความไร้เดียงสาของหลานสาว ช่างน่าเอ็นดู แม้บางความคิดจะดูเกินตัวไปบ้าง แต่คนเราเมื่อมีเป้าหมายและความฝัน จึงรู้จักที่จะฝ่าฟันเพื่อไปให้ถึง “เจ้าจะปรุงยาแก้พิษ หรือเร่งให้คนที่ถูกพิษตายเร็วขึ้นกันแน่นะ” “พี่รอง! หากยังไม่เชื่อมั่นในตัวข้าอีก พี่รองจะเป็นคนแรก ที่จะได้ทดลองยาของข้า” “ทำเหมือนทุกวันนี้ ข้ารอดพ้นมือเจ้าอย่างนั้นล่ะ” ต้วนอี้หลง พึมพำเบาๆ กับตนเอง แต่มีหรือน้องสาวตัวดีจะปล่อยผ่าน ใบหน้าที่กลมดั่งชาลาเปา งอง้ำช่างน่าเอ็นดูนัก ในสายตาของพี่ชาย และนี่คือเหตุผล ที่เขามักยั่วเย้านางอยู่บ่อยครั้ง “หลิงเอ๋อร์ของตา ขอแค่เจ้าตั้งใจจะเรียนรู้ ตาย่อมสนับสนุนเจ้าอย่างเต็มที่ แต่เจ้าอย่าได
“น้องเล็ก เจ้าจะไปดูห้องของพี่สองคนหรือไม่”ต้วนอี้หลางเอ่ยชวนน้องสาว เพราะเขาตั้งใจว่าสายหน่อย จะออกไปเดินเล่น ในตลาดเมืองหลวงสักหน่อย หากเขากับน้องชายไปกันเพียงสองคน ยัยตัวเล็กรู้เข้าคงงอนเขาไปหลายวันเป็นแน่ “ไปเจ้าค่ะ” “อย่าได้ก่อเรื่อง”ต้วนอี้หรู พอจะเดาได้ว่าบุตรชายคนโต คิดจะทำอะไร นางเองก็แปลกใจที่รู้สึกวางใจ ในความคิดของลูกๆ ทั้งยังมั่นใจว่าอี้หลางจะไม่ทำให้ตนเอง และน้องๆ ตกอยู่ในอันตราย “ขอรับ/เจ้าค่ะ” สามพี่น้องรับคำมารดา ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่จะทำได้มากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นกับสถานการณ์ภายหน้า สามแฝดก้าวออกจากห้องไป โดยมีพ่อบ้านชู่นำทาง “ท่านตาขอรับ ข้ากับน้องๆ อยากออกไปเที่ยวชมตลาด ท่านตาพอจะพาเราไปได้หรือไม่ขอรับ” ต้วนอี้หลาง ไม่ได้คิดที่จะพาน้องๆ ออกไปเพียงลำพัง เพราะอย่างไรเสีย พวกเขาก็ยังเด็ก ทั้งยังต่างถิ่น การมีเจ้าถิ่นพาไป ย่อมปลอดภัยกว่า “เช่นนั้นข้าน้อยจะไปเรียนนายท่านก่อน แล้วจะพาคุณชายกับคุณหนูออกไปนะขอรับ” พ่อบ้านชู่ที่ไม่ได้เลี้ยงเด็กมานาน รู้สึกกระชุ่มกระฉวยขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เขาเฝ้า
“พวกท่านอย่าได้วางใจข้าเลย ข้าไม่ขอปิดบัง ว่าตัวข้าเป็นเพียงหัวขโมยคนหนึ่งเท่านั้น”“ไม่ดีหรือ...ทำงานกับข้า ท่านก็ไม่ต้องเป็นขโมย ทั้งยังได้ร่ำเรียนไปพร้อมพวกข้า อีกอย่าง...คนที่ท่านควรตอบแทนเป็นคนแรก คือนาง...”ต้วนอี้หลางชี้ไปที่น้องสาว ซึ่งกำลังยกถ้วยน้ำแกงมาที่เตียง พร้อมรอยยิ้มกว้าง เหมือนกับการดูแลตัวเขา เป็นสิ่งที่นางตั้งใจและมิคิดรังเกลียด“ข้า...ข้ามิคู่ควรได้รับน้ำใจนี้เลยขอรับ”“อยู่ที่ใจท่านแล้วพี่ชาย พวกข้าแค่เสนอทางเลือก ที่ท่านไม่ต้องไปเสี่ยงชีวิตข้างนอก หากอยากใช้กำลังในการปีนบ้านคน ไยไม่ฝึกฝนเป็นองครักษ์ให้เราสามพี่น้องเล่า”ต้วนอี้หลงที่นิ่งเงียบมาตลอดเอ่ยขึ้นบ้าง อีกทั้งข้อเสนอนั้น มิต่างอันใดกับข้อบังคับ ชายหนุ่มไม่เข้าใจเลย ว่าทำไม! สามพี่น้องจึงอยากให้เขาอยู่ร่วมบ้าน ทั้งที่เขาเป็นเพียงคนแปลกหน้า ที่อาจเป็นอันตรายต่อพวกเขาได้“ดื่มน้ำแกงหน่อยนะเจ้าคะ พี่ชายยังมีเวลาคิดอีกมาก เพราะร่างกายท่านตอนนี้ ก้าวพ้นห้องนี้ไปได้ ก็นับว่าเก่งมากแล้ว แต่ถึงออกไปได้ ก็ต้องตายอยู่ดี หากเป็นข้า...ข้าจะเลือกมีชีวิตอยู่ เพื่อสร้างชีวิตใหม่ให้มันดีกว่าเดิม ข้าไม่อายเลยนะเจ้าคะ ที่
“กรี๊ด!! สวี่เทียน! เจ้าคนเลือดเย็น เจ้ากล้าที่จะทอดทิ้งลูกของข้าได้อย่างไรกัน” ร่างงามทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ พร้อมทั้งประคองหยกในมือ ซึ่งเป็นตัวแทนของบุตรชายเอาไว้แนบอก นางผิดตรงไหนหรือสวรรค์ ไยจึงต้องทำร้ายลูกๆ ของนางเช่นนี้ด้วย ฉินชวงทำได้เพียงตัดต่อสวรรค์ ที่ไม่เมตตานางกับลูกเลย ไม่ว่าจะเรื่องฐานะหรือความรุ่งโรจน์ ล้วนแต่เป็นนางที่อยู่ใต้เงาผู้อื่นมาตลอด พอวันนี้นางได้มีโอกาส เชิดหน้าสู้ฟ้าได้อย่างภาคภูมิ ไยสวรรค์จึงได้กลั่นแกล้ง ช่วงชิงหัวใจของนางไปเช่นนี้เล่า นางไม่ได้โง่ขนาดจะดูไม่ออก ว่าตอนนี้ลูกๆ ของนางกำลังตกอยู่ในอันตราย หรืออาจสังเวยชีวิตไปแล้วก็เป็นได้ คงไม่มีใครที่ไหนตัดลิ้นของคนอื่น แล้วช่วงชิงเสื้อผ้า และสิ่งของติดตัวใครสักคน แล้วส่งมาข่มขู่ครอบครัวเขาเยี่ยงนี้เป็นแน่ ดูได้จากสายตาของสามี มันก็ชัดเจนว่าเขารู้แล้ว ว่าลิ้นในกล่องนั่น เป็นของบุตรชายนาง ใช่สิ! จดหมายนั่นต้องไขความกระจ่างให้ข้าได้ เมื่อนึกถึงจดหมาย ที่สามีเก็บเอาไว้ในอกเสื้อ ร่างระหงจึงลุกพรวดขึ้นในทันที นางต้องรู้ให้ได้ ว่าข้างในเขียนว่าอย่างไร เพราะนั่นอาจเป็นเบาะ
สวี่หวิ๋นไม่เอ่ยสิ่งใดอีก หญิงสาวตวัดกระบี่ในมือ พุ่งเข้าหาหญิงสาวแปลกหน้าในทันที เจียงอี้หลิง ทำเพียงขยับเท้าแค่เล็กน้อยเท่านั้น นางก็สามารถหลบหลีกการโจมตี ของสวี่หวิ๋นได้อย่างง่ายได้ แต่มีหรือสตรีเลือดร้อนเยี่ยงสวี่หวิ๋น จะยอมล่าถอยไปโดยง่าย หญิงสาวพลิกข้อมือเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งปลายกระบี่ เข้าหาคู่ต่อสู้อีกครั้ง เจียงอี้หลิง ทำเพียงหลบหลีก การโจมตีของอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ นางยังอยากดูฝีมือ ของบุตรสาวสวะตนนั้นอีกสักหน่อย และนั่นยิ่งเพิ่มโทสะให้แก่สวี่หวิ๋น นางไม่เคยถูกผู้ใด หหรือยามหน้าเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต ในเมื่อตอนนี้สตรีแปลกหน้า ทำเพียงขยับเท้า เคลื่อนไหวหลบหลีกนางเท่านั้น แต่ไม่ยอมจับอาวุธมาต่อสู้กับนาง ให้รู้ผลแพ้ชนะกันไปเลย การทำเช่นนี้มันเหมือนจงใจตบหน้านางชัดๆ “เจ้ากำลังดูถูกข้าอย่างนั้นรึ! น่าตายนัก!” สวี่หวิ๋น คำรามก้องด้วยโทสะที่ระเบิดออกมา นางไม่อยากเชื่อว่าวันนี้นางจะพ่ายให้แก่คนนอกได้ “หึๆ เจ้ายังไม่คู่ควรให้กระบี่ข้าออกจากฝัก” เจียงอี้หลิง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้า นางไม่ได้พูดไปส่งๆ แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ หากก
“ข้าน้อย...” “หุบปากของเจ้าซะ! เรื่องเมื่อครู่ หากหลุดออกไป ข้าจะตัดลิ้นพวกเจ้าทั้งหมด” ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะเอ่ยสิ่งใด หญิงสาวกลับชี้หน้าข่มขู่เขา และวาดปลายนิ้วไปที่อีกหนึ่งผู้คุ้มกัน กับสาวใช้ของนางให้เงียบปากเสีย เพราะหากใครคนใดเอ่ยถึงเรื่องที่เห็น ว่านางกอดกับบ่าวต่ำชั้น นางจะไม่มีวันปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว นางคือคุณหนูสูงศักดิ์ แต่ผู้คุ้มกันที่บิดาหา มาล้วนเป็นพวกไร้หัวนอนปลายเท้าทั้งสิ้น จะเอาสิ่งใดมาคู่ควรแตะต้องตัวนาง แปะ! แปะ! เสียงตบมือเป็นจังหวะเนิบช้า ราวกับกำลังเย้ยหยันต่อคำพูดของนาง ดังขึ้นจากเบื้องหลัง หญิงสาวตวัดสายตามองไปยังที่มาของเสียง ก่อนจะดวงตาเหลือกค้าง เมื่อเห็นว่าพี่ชายของนาง ถูกมัดห้อยตัวอยู่บนกิ่งท้อ เมื่อครู่ที่นางเห็นเขามันคือเรื่องจริง มิใชเพียงภาพลวงตา ที่ทำให้นางหยุดม้าอย่างกะทันหัน จนเกิดเรื่องเมื่อครู่ขึ้น “พี่ใหญ่!” หญิงสาววิ่งตรงไปหาพี่ชาย นางดึงกระบี่ในมืออกจากฝัก ก่อนจะตวัดปลายกระบี่ ไปยังเชือกที่ผู้ข้อมือทั้งสองข้างของพี่ชาย จนขาดสะบั้น ทำให้ร่างโชกเลือด ล่วงลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว ท
“มันไม่ใช่สิ่งที่น่ามอง เจ้าอย่าได้คิดสิ่งใดไปไกลนัก นี่อาจเป็นเพียงกลลวง ยิ่งเจ้าคิดว่าใช่ นั่นเท่ากับเจ้าเดินตามเส้นทางที่พวกมันขีดไว้ ที่ผ่านมาเจ้ามิใช่หรือ คือผู้ขีดเส้นกำหนดมาตลอด ไยวันนี้...เจ้าจึงคิดคล้อยตามกลลวงศัตรูไปได้เล่า” สวี่เทียน หยิบยกตัวตนของภรรยาขึ้นมาเอ่ยอ้าง ต่อให้นั่นคือลิ้นบุตรชาย แล้วอย่างไรล่ะ จะให้เขาดิ้นพล่านราวสุนัขถูกน้ำร้อนราดอย่างนั้นรึ! เหอะ! เขาก็จะไม่มีวันให้ความอ่อนแอของใครก็ตาม มาทำลายสิ่งที่เขา เฝ้ารอมาทั้งชีวิต ลูก...ฮึ! ก็แค่นั้น เขาไม่ได้คิดที่จะสนใจว่าอยู่หรือตาย เพราะสิ่งเดียวที่เขาสนใจ คืออำนาจที่พึงเป็นของเขาเท่านั้น ยี่สิบปีเชียวนะ! ที่เขาสละเวลามาอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ หากเขามีหนทาง ที่สามารถปีนป่ายให้สูงกว่านี้ได้จากที่อื่น มีหรือเขาจะยอมทำตามขอเสนอของภรรยา มาอยู่ให้สกุลอวี๋เหยียบย่ำเป็นเวลายาวนานขนาดนี้ เขยแต่งเข้าที่ไม่อาจใช้สกุลภรรยา คิดหรือว่าจะถูกมองอย่างให้เกียรติ แม้คนจะก้มหัวให้ยามพบเจอ แต่นั่นเพราะข้างกายเขา มีอวี๋เมี่ยวหรือไม่ก็บุตรชายของนาง หากเป็นเขาเดินเพียงลำพัง แทบจะไม่เคยได้รับรอยยิ้มที่ออกจ
สองชั่วยามต่อมา ณ เรือนผู้รักษาการ สองสามีภรรยากำลังนั่งกินขนมจิบชา ด้วยความสำราญ หลังจากบทรักเล่าร้อน ได้จบลงไปได้ครู่ใหญ่แล้ว การหยอกเย้ากันของทั้งคู่ ยังคงมีเป็นปกติ ราวกับพวกเขายังคงเป็นหนุ่มสาว เช่นในวันวานก็มิปาน “เรียนนายท่าน มีของขวัญมาส่งขอรับ” เสียงรายงานจากด้านหน้าประตู ทำให้สองสามีภรรยา ขยับนั่งตัวตรงอย่างมีสง่า “เข้ามา” สวี่เทียนเอ่ยปากอนุญาต ให้คนด้านนอกเข้ามาข้างในได้ เพียงบ่าวชายก้าวพ้นประตูเข้ามา สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่กล่องไม้ในมือของบ่างผู้นั้นทันทีใครกันที่ส่งของขวัญมาให้เขากัน ด้วยในช่วงเวลานี้ หาได้มีวันสำคัญ หรือเทศกาลใด ที่ต้องมอบของขวัญของกำนัลต่อกัน หากจะเป็นคนจากภายนอกหุบเขา ก็ไม่น่าจะมีใครส่งมา โดยไม่แจ้งล่วงหน้าถึงการมาเยือน “เป็นของขวัญที่ไม่ทราบที่มาขอรับ ข้าน้อยคิดจะเปิดดู แต่...มิกล้าทำโดยพลการขอรับ” บ่าวชายรีบชี้แจง ต่อการที่เขาไม่อาจบอกถึงสิ่งของข้างในได้ เพราะเคยมีคนเปิดดูของขวัญ เพื่อตรวจสอบก่อนจะนำมาส่งมอบให้แก่ผู้เป็นนาย ผลก็คือบ่าวคนนั้น ได้สิ้นใจภายใต้คมดาบของท่านผู้รักษาการ
“แต่ข้ามีข้อเสนอที่ดีกว่านั้น หากเจ้าตอบรับมัน ข้าจะมิถือสาเรื่องเมื่อครู่นี้” เมื่อมีสิ่งอื่นที่ดึงดูดใจ มากกว่าการที่นางสามหาวต่อบิดา สวี่หวางจึงยื่นข้อเสนอในทันที หญิงสาวตรงหน้าอาจเพียงแค่ อยากเรียกร้องความสนใจจากเขา หาไม่แล้วมีหรือหัวหน้าผู้คุ้มกัน จะพาเขามาที่นี่ “ข้อเสนอ...คนเยี่ยงเจ้า มีข้อเสนอใดกับข้าเช่นนั้นรึ!” น้ำเสียงปนเย้ยหยันของหญิงสาว ทำให้สวี่หวางจำต้องข่มกลั้นเอาไว้ก่อน ในเมื่อหมากกระดานนี้ นางอยากควบคุม เขาก็จะยินยอมเล่นไปกับนางสักหน่อย ค่อยจบมันในหมากตัวสุดท้าย “เป็นอนุของข้า แล้วเรื่องเมื่อครู่ข้าจะปล่อยผ่านไป” “อยากฟังข้อเสนอของข้าบ้างไหม” หญิงสาวย่อนถามกลับ ด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่จริงจังเท่าใดนัก “ว่ามาสิ! ข้าคือบุตรชายของประมุขแห่งหุบเขานี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะหามิได้” สวี่หวางตบตนเอง พร้อมประกาศให้รู้ถึงอำนาจในมือ เขาคือบุตรชายคนโต ภายหน้าเขาก็คือประมุขผู้มั่งคั่ง เจ้าของหุบเขาแห่งนี้ แค่สตรีต่างถิ่นคนหนึ่ง มีหรือเขาจะเลี้ยงดูนางไม่ได้ “จริงหรือ...บิดาเจ้าแซ่สวี่ ไหนเลยจะเป็นประมุขได้” เมื่อได้ยินพูดของหญิงสาวตรงหน้า สวี่หวางถึงกับหน้าถอดสี หรือนี่จะ
“ข้าน้อยเพียงจะมาแจ้ง ให้ท่านผู้รักษาการทราบ ว่าตอนนี้...มีคนพบเห็น ท่านประมุขน้อยแล้วขอรับ” “ที่ไหน!” สวี่หวางรีบถามด้วยความตื่นเต้น หากวันนี้เขาสามารถทำให้อวี๋มู่หลง หายไปจากโลกนี้เสีย อนาคตของเขา ก็จะได้ไม่ต้องอยู่ภายใต้เงาผู้ใดอีก มารดาที่เป็นภรรยาแรก กลับกลายเป็นได้เพียงอนุ ที่รับเข้าสู่บ้านเท่านั้น ไม่อาจก้าวขึ้นทัดเทียมอดีตประมุข และเขาก็เป็นได้เพียงแค่ลูกที่บิดา ไม่อาจเชิดชูออกหน้าได้แม้คนเหล่านี้ จะให้ความนอบน้อมต่อเขา แต่ความเป็นจริงแล้วพวกมัน ก็ไม่เคยเห็นเขาในสายตาจริงๆ สักครั้ง หากเทียบกับอวี๋มู่หลง เจ้าสวะไร้ค่านั่น! “ในป่าท้อทิศตะวันออกของหุบเขาขอรับ” หัวหนาผู้ดูแล ตอบไปตามหน้าที่ แม้ว่าใจเขามิได้ชื่นชอบอนุและลูกๆ ของนาง ที่อาจหาญทำตัวทัดเทียมท่านประมุขน้อย แต่เขาก็ยังไม่มีอำนาจมากพอ ที่จะต่อกรกับผู้รักษาการได้ จนกว่าท่านประมุขน้อย จะก้าวขึ้นสู่อำนาจอย่างแท้จริง “พาข้าไป!” “แต่...” หัวหน้าผู้คุ้มกัน คิดที่จะปฏิเสธ ทว่า... “ฮึ! หรือเจ้าคิดจะปกป้องคนไร้ค่านั่น” สวี่หวาง พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเ
สิบห้าวันถัดมา ณ เรือนผู้รักษาการ เมืองหยินกวง เพล้ง! เสียงจอกสุรา ถูกปาลงพื้นจนแตกกระจาย ทำให้สาวใช้หลายนางที่ยืนรอรับใช้อยู่ พากันสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อผู้เป็นนายกำลังมีโทสะ ก่อนที่สตรีผู้เป็นอนุของท่านผู้รักษาการ จะเดินเข้ามา แล้วส่งสัญญาให้บรรดาสาวใช้ออกไปเสีย “ท่านพี่ ไยต้องมีโทสะด้วยเจ้าคะ” ฉินชวงเดินไปยืนด้านหลังสามี ก่อนจะวางมือบนไหล่หนา แล้วออกแรงบีบนวด เพื่อให้สามีรู้สึกผ่อนคลาย แม้ว่าการอยู่อย่างไรเกียรติของนาง จะมิใช่สิ่งที่วาดฝัน แต่นางก็ยังอยากให้บุตรชายคนโต เป็นผู้สืบทอดเมืองแห่งนี้ “มีคนพามันหนีไปได้ จนตอนนี้! ข้ายังหามันไม่พบเลย” สวี่เทียนกำหมัดแน่น ยิ่งเมื่อนึกถึงตอนที่บุตรชายคนเล็ก หนีไปพร้อมกับคนแปลกหน้า มันทำให้เขาราวกับถูกตบหน้า นี่มิใช่ครั้งแรก ที่บุตรชายรอดพ้นเงื้อมือเขาไปได้อย่างหวุดหวิดเพราะนับตั้งแต่บุตรชาย ล่วงรู้ความจริงหลายอย่าง ความสัมพันธ์พ่อลูกก็ยิ่งห่างไกล แล้วอย่างไรเล่า ก็ในเมื่อสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่ความเป็นพ่อลูก แต่เขาต้องการตราประทับเท่านั้น “อาจเป็นเหล่าผู้อาวุโส ที่แอบช่วยเขาลับหลัง แต่อย่า
“ว๊าย!!! พรู๊ด!!”หญิงสาวถึงกับพ่นชาในปากออกมา เมื่อความร้อนของชาในถ้วย ทำให้นางปากแทบพอง นางลืมไปว่ามันร้อนอยู่ “เจ็บมากหรือไม่!” ม่อเหลียวรีบถามด้วยน้ำเสียงรนราน ก่อนจะล่วงเอาขวดยาเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ แล้วป้อนเข้าปากหญิงสาว “คราวหน้าต้องระวังให้มากเข้าใจหรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างอ่อนโยน ซึ่งหากถ้าเป็นสตรีอื่น เขาไม่แม้แต่จะมองเลยด้วยซ้ำ เรื่องนี้ถือว่าเป็นสิ่งคุ้นชิน สำหรับคนทั้งสาม เว้นแต่อวี๋มู่หลงเท่านั้น ที่ยังไม่รู้ถึงเรื่องของหนุ่มสาวคู่นี้ แต่จากสายตาแล้วอวี๋มู่หลงเอง ก็พอจะคาดเดาได้แล้ว ว่าคนทั้งสองนั้น ต้องมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน แต่อาจด้วยหลายสิ่งอย่าง ทำให้ทั้งคู่ยังไม่แต่งงาน หรือสานสัมพันธ์รักไปมากกว่านี้ “พี่สาม”เมื่อเห็นพี่สาวไม่ได้เอ่ยสิ่งใดกับตนเองเลย นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาถึงกระท่อม อี้หยางจึงเรียกผู้เป็นพี่ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใช่เขาริษยาพี่ม่อเหลียว แต่เขาทั้งดีใจและน้อยใจปนกัน ก็ในเมื่อเขายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ พี่สาวก็มองเพียงพี่ม่อเหลียวคนเดียว “เจ้าเป็นผู้นำสกุลเจียงคนต่อไป แค่นี้จะมีน้ำตาได้อย่า