“ท่านตาบอกว่าต้องออกไปนอกเมือง คงไกลพอสมควร ตอนนี้อาจกำลังเดินทางกลับอยู่ เจ้าก็อย่าได้กังวลให้มาก”
แม้ปากจะบอกน้องสาวไปแบบนั้น ทว่าคนที่เอ่ยปากขอมารดา ออกมารอท่านตา และพี่ชายอยู่หน้าประตูใหญ่ ก็คือตัวเขาเอง
“หากท่านตากับพี่ใหญ่มาถึง ข้าจะไม่คุยด้วยเลยคอยดู”
เด็กหญิงแสร้งพูดไปอย่างนั้น เพราะนางจะต้องได้ฟังนิทานก่อนนอน จากพี่ชายคนโต หาไม่แล้วยากนักจะหลับได้สนิท
ต้วนอี้หรู ยืนมองลูกๆ ด้วยแววตาเอ็นดู นางอนุญาตให้ทั้งคู่ออกมา ใช่ว่าตัวนางจะปล่อยพวกเขาให้ห่างสายตา การจะกักขังลูกๆ ไว้แต่ในบ้าน เพียงเพราะกลัวถูกทำร้าย แล้วเมื่อไหร่พวกเขาจะมีภูมิคุ้มกันตนเอง ในยามไร้นางและท่านตาท่านยายคอยปกป้อง
“เจ้าเหนื่อยมาทั้งวัน ไยไม่ไปพักสักหน่อยเล่า บิดาเจ้ากลับมาค่อยกินข้าวกัน”
ต้วนฮูหยิน ลูบต้นแขนบุตรสาว ด้วยความห่วงใย สามีกับหลานชายไปธุระนอกเมือง บุตรสาวรับหน้าที่ทำทุกอย่างแทน แม้จะมีคนในโรงหมอคอยช่วย แต่ก็ยังคงหนักอยู่ดี
นับตั้งแต่บุตรสาว ปรุงยารักษาที่สะดวกต่อการใช้ รวมทั้งมีเครื่องประทินผิวสำหรับบุรุษและสตรี ทำให้โรงหมอคับคั่งไปด้วยผู้มาเยือน ทั้งรักษาโรคและหาซื้อสินค้า
“ขอแค่ครอบครัวของเรา กินอิ่มนอนหลับ ท่านพ่อท่านแม่ไม่ต้องลำบาก งานหนักแค่นี้ สบายมากสำหรับข้าเจ้าค่ะ”
“เจ้าช่างกตัญญูนัก” หญิงชราเอ่ยชมบุตรสาว...
“พี่รอง พวกเขามีคนป่วยหรือเจ้าคะ”
ก่อนที่ทั้งคู่จะหันไปตามเสียงเล็กๆ ของอี้หลิง ทว่าก่อนที่หญิงชราจะก้าวออกไปดู บุตรสาวก็รั้งไว้ พร้อมส่ายหน้าน้อยๆ ให้นางรั้งรออยู่ตรงนี้
ทางด้านต้วนอี้หลง เมื่อมองตามนิ้วน้อยๆ ของน้องสาวไป ความระแวดระวังตามที่พี่ชายเคยย้ำเตือน ก็ทำให้เขาเลือกที่จะขยับมายืนบังน้องสาวเอาไว้
เพราะนับตั้งแต่เกิดเรื่องกับมารดาและพี่ชาย เขาไม่คิดวางใจสิ่งใดทั้งสิ้น ยิ่งพี่ชายคอยกำชับเอาไว้ ว่าต่อให้มีคนล้มตายตรงหน้า ก็อย่าได้เชื่อเพียงตาเห็น แม้เขาจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนไปของคนเป็นพี่ แต่แล้วอย่างไรเล่า นั่นพี่ชายของเขา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเชื่อมั่นมิแคลงใจ
“ท่านยายหวังขอรับ”
เด็กชายหันไปเรียกแม่นมชรา โดยที่เขาไม่ได้แสดงความแตกตื่นออกมา แม้ว่าหัวใจของเขาในตอนนี้ เต้นถี่รัวราวกับจะหลุดออกมาข้างนอกแล้วก็ตาม
หญิงชรารีบเดินมาโอบร่าง ของนายน้อยทั้งสอง เพื่อที่จะพากลับเข้าไปด้านใน นางเองก็ไม่ได้วางใจ ผู้ที่กำลังเดินตรงมา ยังทิศทางที่พวกนางยืนอยู่เช่นกัน
“ที่นี่โรงหมอสกุลต้วนใช่หรือไม่ขอรับ โปรดช่วยน้องชายของข้าน้อยด้วยนะขอรับ”
ยังไม่ทันที่ทั้งสามจะกลับเข้าด้านใน หนึ่งในชายแปลกหน้า ก็เอ่ยถามขึ้นเสียก่อน ทำให้หญิงชราจำต้องหยุดนิ่ง แต่ก็เลือกที่จะดันหลัง ให้นายน้อยทั้งสองกลับเข้าไปก่อน นางจะอยู่รับหน้าเอง
“ตอนนี้โรงหมอปิดแล้ว แต่ถ้าพวกเจ้าอยากได้ยาบรรเทาอาการ ข้าจะนำมาให้ รออยู่ตรงนี้สักครู่ก็แล้วกัน”
แม้ว่านายหญิงของนาง จะพอตรวจอาการเบื้องต้นได้บ้าง แต่นางจะไม่เสี่ยงให้ใครเข้าไปภายในโรงหมอ ในเวลาที่ท่านหมอชราไม่อยู่เยี่ยงเป็นอันขาด
“ให้ข้าเข้าพบท่านหมอด้วยเถอะนะขอรับ พวกข้ามีเงินที่จะจ่ายค่ารักษา” ชายหนุ่มคนเดิมยังคงร้องขอความเห็นใจ
“ข้ามิได้หมิ่นพวกเจ้า ว่าไร้เงินทอง แต่ตอนนี้โรงหมอปิดแล้ว หากไม่ได้รับอนุญาต ข้าคงไม่อาจให้พวกเจ้าเข้าไปได้”
“ไหนว่าท่านหมอต้วนเป็นคนจิตใจดี น้องชายข้าป่วยหนักมาหลายวัน เรามาจากต่างเมืองเพื่อรักษา ไยขับไล่เราเยี่ยงนี้เล่า หรือว่า...”
แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยสิ่งใดต่อ รถม้าได้เคลื่อนมาจอดอยู่ไม่ห่างจากคนทั้งสาม หญิงชรารีบเดินไปที่รถม้า ด้วยความรู้สึกโล่งใจ คุณชายใหญ่ของนางกลับมาแล้ว
ซึ่งคนแรกที่ก้าวออกจากด้านในรถม้า คือคุณชายของนางนั่นเอง หญิงชรายืนมือไปให้คุณชายจับ เพื่อพยุงตัวลงจากรถม้า ซึ่งต้วนอี้หลางไม่ได้ปฏิเสธ เขายังคงเป็นเด็กชายที่ดีของแม่นมชราอยู่เสมอ
ก่อนที่เขาจะชะงักนิ่งเล็กน้อย เมื่อเห็นว่ามีคนแปลกหน้า มายืนอยู่ที่ลานหน้าประตูโรงหมอ แต่เขาก็เลือกที่จะเดินไปยืนข้างรถม้า เพื่อรอผู้เป็นตาลงมา
“พวกเขาเป็นใครกัน”
ท่านหมอต้วนเอ่ยถามแม่นมหวัง หลังจากลงมายืนข้างหลานชายแล้ว
“พวกเขาบอกว่ามาจากต่างเมือง เพื่อมารักษาที่โรงหมอของเราเจ้าค่ะ แต่ข้าน้อยมิได้ให้พวกเขาเข้าไปเจ้าค่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง”
“ท่านลุง ในเมื่อพวกเขาเจ็บป่วย ก็ให้เข้าไปรักษาเถิด เดินทางมาไกล ย่อมต้องอาการหนักไม่น้อย”
เป็นชายหนุ่มที่สวมหมวกบังลม เอ่ยขึ้นหลังจากที่เขาส่งม้าให้แก่ผู้ติดตามนำไปเก็บ แล้วก้าวมายืนอยู่ข้างสองตาหลาน
“ท่านหมอ โปรดช่วยน้องชายของข้าน้อยด้วยขอรับ ถึงเราจะไม่ได้ร่ำรวย แต่เราก็พอมีเงินจ่ายค่ารักษานะขอรับ”
“พาเขาเข้าไปด้านในเถอะ”
หมอชราเอ่ยปากอย่างไม่เต็มใจเท่าใดนัก แต่เมื่อเจ้าสำนักเจียงเอ่ยปากแล้ว ย่อมต้องรับประกันถึงความปลอดภัย ให้แก่ครอบครัวของเขา
“ขอบคุณท่านหมอขอรับ” ชายหนุ่มแปลกหน้าทั้งสาม ค้อมกายขอบคุณในเมตตาของหมอชรา
“อี้หลาง พาท่านลุงของเจ้าเข้าไปพักก่อน ตาตรวจคนไข้เสร็จจะตามเข้าไป”
“ขอให้ข้าอยู่กับท่านตา เพื่อศึกษาเถอะนะขอรับ ให้สองคนนั่นพาท่านลุง ไปพบท่านยายกับท่านแม่ น่าจะดีกว่านะขอรับ”
เด็กชายพยักพเยิดไปที่สองแฝด ซึ่งตอนนี้โผล่หน้ามาส่งยิ้มแป้นให้กับผู้เป็นตาและพี่ชาย ทว่าผู้ที่ถูกเรียกว่าลุง ถึงกับเบิกตากว้าง กับใบหน้าพิมพ์เดียว กับเจ้าหลานชายจอมเจ้าเล่ห์ ที่ยืนอยู่ข้างเขาในตอนนี้ แฝดสาม...และมิใช่เพียงแค่ชายหนุ่มเท่านั้น ที่ตกใจกับสิ่งนี้
เพราะชายทั้งสามก็อดไม่ได้ ที่จะอุทานอยู่ในใจ ตอนแรกคิดว่าแค่แฝดสอง ทว่าพอเห็นเด็กอีกคน ก้าวลงจากรถม้า พวกเขาถึงกับตื่นตะลึงกันอยู่ไม่น้อย“ไยวันนี้เจ้าดื้อกับตานักนะ” ชายชราอดดุหลานชายไม่ได้“เขาอยู่กับท่านลุงดีแล้วขอรับ ข้าจะไปกับสองแสบนั่นเอง”ปึกๆ มือใหญ่ตบหนักๆ ลงบนบ่าของอี้หลาง นี่คือความน่าสนใจ ที่ดึงดูดให้เขามาด้วยตนเอง เด็กคนนี้มีสายตาเฉียบคมเกินวัย ไม่สิ! นิสัยประเภทนี้ ส่วนมากลูกหลานฮ่องเต้ และทายาทเหล่าแม่ทัพมักจะเป็นกันเพราะต้องเป็นผู้นำ จึงถูกฝึกฝนการต่อสู้ และเรียนรู้ตำรามาอย่างเข้มงวด จึงไม่แปลกที่จะเห็นทายาท ของสายเลือดเหล่านั่น มีความเฉียบคมและเก็บทุกความรู้สึกได้ดีกว่าเด็กโดยทั่วไปแน่นอนว่าคนทั้งสาม มีจุดประสงค์ในการมา ต้วนอี้หลางเลยเลือกที่จะตามติดท่านหมอต้วนไป คงเพราะห่วงในความปลอดภัยของชายชรา เขาเองก็อยากรู้ถึงฝีมือของเด็กชายเช่นกัน“เช่นนั้น...เจ้าเข้าไปรอข้าในเรือน กับท่านป้าและน้องสาวเจ้าก่อน เสร็จแล้วเราค่อยไปกินมื้อค่ำกัน” ชายชราบอกแก่ชายหนุ่ม ซึ่งติดตามมาในคราบของญาติ“ขอรับ” ชายหนุ่มรับคำ“คุณชายเชิญด้านในเจ้าค่ะ”แม่นมหวัง ผายมือให้แก่ชายหนุ่ม ซึ่งนางไม่
“คนอย่างพวกเจ้า กลัวผีเด็กเยี่ยงข้าด้วยหรือ”เด็กชายแสยะยิ้มเหี้ยม ภาพนี้มีเพียงสามคนร้ายเท่านั้นที่เห็น ว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ไร้เดียงสาตามวัยแม้แต่น้อย ทว่ามันเหมือนปีศาจจำแลงมาในร่างเด็กมากกว่า“รีบลงมือเถอะ แค่เด็กปากมิสิ้นกลิ่นน้ำนม จะไปต่อคำให้เสียเวลาทำไม”หนึ่งในสามคนร้ายรีบเอ่ยขึ้น เมื่อรู้สึกว่างานที่ควรง่าย มันอยากขึ้นอีกนับเท่าตัว มิพูดเปล่า...ชายหนุ่มล้วงเอาอาวุธลับออกมาจากอกเสื้อ ก่อนจะซัดออกไปยังเป้าหมาย ซึ่งก็คือเด็กชายตรงหน้าปัง! เคร้ง! แต่ก่อนที่อาวุธลับ จะทันได้ถึงตัวของสองตาหลาน ประตูถูกเปิดออกอย่างแรง พร้อมกับกระบี่ที่พุ่งมาสกัดเอาไว้ได้ทัน“ท่านพ่อ! อี้หลาง!”อี้หรู วิ่งเข้าไปยืนบังบิดากับบุตรชาย ให้พ้นสายตาของคนร้าย โดยไม่มีใครทันได้เห็นรอยยิ้มของเด็กชาย เขารู้อยู่แล้วว่ามารดามาถึง จึงได้ยอมยืนนิ่งเป็นเป้าให้คนร้ายลงมือ“อย่าเสียเวลากำจัดพวกมันซะ!”สิ้นคำลมหายใจคนพูดก็จบลงเช่นกัน และนั่นทำให้สองคนร้ายที่เหลือ ต้องมองหาทางหนีทีไล่แทน ผู้มาใหม่ยังยืนอยู่ที่เดิม แต่สามารถปลิดชีพสหายของพวกเขาได้ ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่พวกเขาจะสุ่มสี่สุ่มห้าลงมือ“พวกเจ้าดวงดียิ่งนัก ที่
สิบวันถัดมา ณ จวนสกุลจาง เมืองหลวง จางฮูหยิน นั่งใบหน้าเรียบตึงอยู่ภายในห้องรับแขก ซึ่งเวลานี้บุตรสาวคนโตของสามี กำลังนั่งสะอื้นไห้อย่างคนทุกข์ระทมแสนสาหัส ได้ร้องขอให้สามีของนาง ช่วยจัดการบุตรสาวตัวปลอม ที่ถูกขับออกจากสกุลจาง ไปนานนับสิบปีให้พ้นไปจากสายตา ซึ่งตัวนางเองนั้น ได้แต่งเข้ามาหลังจากอดีตฮูหยินใหญ่ สิ้นไปได้เพียงครึ่งปี ซึ่งตอนนั้นจางอี้หรูเอง ก็ได้ออกเรือนไป โดยมีนาง เป็นมารดาที่ส่งบุตรสาวเข้าหอทว่าเวลาผ่านไปเพียงปีกว่า อี้หรูที่กำลังตั้งครรภ์แก่ ก็ต้องมีอันต้องระเห็จออกจากจวนสกุลโจว เพราะจางหย๋าชินปรากฏตัวขึ้น พร้อมหลักฐานว่าเป็นบุตรสาว ที่แท้จริงของสกุลจางเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนั้น โจวเค่อก็เลือกหย่าจางอี้หรู แต่งกับจางหย๋าชินตามการหมั้นหมาย ของสองสกุลที่มีมาแต่เดิม ซึ่งตอนนั้นนนางเองในฐานะมารดา พยายามยิ่งนักที่จะขัดค้านแต่ด้วยนางก็เพิ่งคลอดลูกได้ไม่นาน จึงไม่อาจวิ่งเต้นช่วยลูกเลี้ยงได้ แม้นางจะเสนอรับอี้หรูเป็นลูก อนุคนโปรดของสามี กับทุกคนในจวน ก็เลือกที่จะปฏิเสธความคิดของนาง สุดท้ายจางอี้หรูก็หายไปจากเมืองหลวงนานกว่าสิบปีทว่าบัดนี้ข่าวที่นางเองก็
ท่านเสนาบดีจาง เลือกที่จะไม่สนใจอนุหลิน แต่เขารีบที่จะปิดจบคำของของบุตรสาว ด้วยการจะไปคุยกับบุตรเขยเอง หากจะเทียบอำนาจของอดีตภรรยาเอก และภรรยาเอกคนปัจจุบัน เขายอมรับว่าเมิ่งเหยียนเหนือกว่ามาก ด้วยสกุลเมิ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ ผ่านทางเมิ่งไท้ฮูหยิน“แต่ข้าร้อนใจนี่เจ้าคะ นางมีลูกชายส่วนข้า...”หญิงสาวเงียบไป เมื่อนึกถึงว่าตัวนาง ยังไม่มีทายาท มิว่าชายหรือหญิง ครอบครัวสามีก็เวียนวนให้สามีรับอนุ แล้วหากครอบครัวสามีรู้ว่าอี้หรูยังไม่ตาย ทั้งยังให้กำเนิดบุตรชายอีกเล่า ตำแหน่งฮูหยินของนาง คงต้องสั่นคลอนเป็นแน่“บุตรชายของน้องสาวเจ้า ไยไม่รับเขาไปเลี้ยงดูเล่า อย่างไรเสียฐานะของนางก็ไม่อาจสูงไปกว่านี้ได้ รับลูกของนางมาเลี้ยงดู อย่างไรก็เป็นสายเลือดเดียวกัน ไม่แน่เจ้าอาจตั้งครรภ์ในเร็ววันก็เป็นได้”เมื่อบุตรสาวยังไม่ยอม ที่จะสงบใจต่อคำของเขา ท่านเสนาบดีจาง จึงเสนอให้รับหลานชาย ที่เป็นลูกของบุตรสาวอีกคนของเขา ที่เกิดจากอนุไปเลี้ยงดู อย่างน้อยก็เป็นสายเลือดเดียวกัน ดีกว่าไปเอาเด็กที่ไม่รู้หัวนอนมาเลี้ยง“แต่ข้ามีวิธี ที่ดีกว่านั้นเจ้าค่ะ”เมื่อนึกถึงคำว่าลูกบุญธรรม หญิงสาวก็มีความคิดใหม่ผุดขึ้นมาในห
จางฮูหยินยอมรับว่านาง และบุตรชายนั้น ถูกปองร้ายมิใช่แค่ครั้งเดียว แต่เพราะคนของบิดา ที่ติดตามมาดูแล ช่วยเหลือเอาไว้ได้ทันท่วงทีทุกครั้งไป แต่กระนั้นนางก็มิอาจ ช่วยเหลือจางอี้หรูได้อยู่ดี“ท่านแม่ใจกว้างยิ่งนัก ที่มิชิงชังลูกของภรรยาอื่นๆ”“วันหน้าเมื่อเจ้าจะแต่งใครสักคนเข้าบ้าน อย่าได้นำพาบุคคลที่สาม เข้ามาทำลายครอบครัวเข้าใจหรือไม่”“ข้าจะไม่ทำเช่นนั้นแน่นอนขอรับ และข้าอยากพบพี่สาวคนนั้นสักครั้งขอรับ”คงไม่ใช่แค่มารดาเท่านั้น ที่สงสัยในหน้าตาของพี่สาวเช่นจางหย๋าชิน เพราะเขาเองก็อดแคลงใจในตัวนางไม่ได้เช่นกัน พี่น้องคนอื่นในจวน ล้วนมีความเหมือนหรือละม้ายกัน เกินห้าส่วนทุกคน ทว่าพี่สาวคนโต เหตุใดจึงต่างราวกับคนละสายเลือดแต่เพราะบิดารักในตัวของพี่สาวมาก เขาจึงทำได้เพียงเก็บงำเรื่องนี้เอาไว้ในใจ รอให้เติบโตอีกสักหน่อย ค่อยเอ่ยปากกับบิดาก็มิสาย“หากมีวาสนาต่อกัน ต่อให้เดินไปไกลสุดแผ่นดิน สุดท้ายก็วนกลับมาพบเจอกันอยู่ดี ส่วนตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องทำ คือปกป้องตนเองให้ดี ทั้งชีวิตของแม่ล้วนฝากไว้ในมือเจ้าหลีเกอ”จางฮูหยินวางมือบนสองข้างแก้มบุตรชาย ชีวิตของสตรีที่ออกเรือน ล้วนฝากไว้ที่คนเป็นลูก
นางไม่ได้ทำผิดต่อผู้ใด ไม่สิ! เจ้าของร่างมิได้ทำสิ่งใดผิด แต่เป็นคนที่ถูกกระทำทั้งสิ้น ถ้าชีวิตใหม่นางต้องสิ้นสุดในเร็ววัน นั่นก็คือชะตาที่ยากฝืน แต่ช่วงเวลาที่ยังอยู่ ใยนางต้องถดถอยจนตรอกด้วยเล่า “อี้หรู พวกเจ้ากินข้าวกันไปก่อนนะ พ่อจะออกไปดูคนไข้ที่ฝั่งตะวันตก ท่านเฉาให้บ่าวมาตาม” ท่านหมอชราเดินมาบอกบุตรสาว ด้วยเกรงว่าทุกคนจะหิ้วท้องรอเขากลับมา ซึ่งบอกเวลาที่แน่นอนไม่ได้ ด้วยมิรู้ว่าคนป่วยนั้นอาการหนักมากน้อยแค่ไหน “ให้ท่านพี่เจียงไปด้วยดีหรือไม่เจ้าคะ” “ไม่เป็นไร พ่อไปกับอี้หลางก็พอแล้ว” “เจ้าค่ะ” “อย่าได้กังวลไป พ่อจะรีบกลับ” หมอชรารู้ว่าบุตรสาวยังไม่วางใจ ต่อให้ตลอดสองเดือนมานี้ ทุกอย่างจะสงบเงียบ ทว่านั้นอาจเป็นการปกป้องของเจ้าสำนักเจียง ซึ่งอยู่ในฐานะผู้คุ้มกันที่เขาจ้างวาน คงมีเพียงเขากับหลานชายเท่านั้น ที่รู้ถึงตัวตนแท้จริงของเจียงกั๋วจ้าน หญิงสาวทำได้เพียงมองตามหลังบิดาไป แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อบิดาคือหมอมากฝีมือ และคนเจ็บป่วยที่มีเงิน มักเชิญตัวหมอไปรักษา มากกว่าที่จะเดินทางมาเอง เจี
ทว่านายบ่าวจวนเฉา กลับเหมือนไม่ได้เร่งร้อน เช่นที่ปากพูดสักเท่าใด แต่กลับคล้ายพอใจต่อสิ่งที่ต้องการ บรรลุผลแล้วมากกว่า “หมอต้วน เจ้าไม่คิดจะพูดสิ่งใดบ้างหรืออย่างไร” การเรียกขานเยี่ยงหมอชรา เป็นคนต่ำชั้นหาใช่ผู้อาวุโสใดๆ ในสายตาของบุตรชายคนรองสกุลเฉา และนั่นทำให้หมอชราตัดสินใจ แบบไม่ต้องทบทวนให้สิ้นเปลืองเวลา “คุณชายรองเฉา ข้าคงต้องขอตัวลา” “ไหนๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว ไยไม่เข้าไปดื่มชาสักหน่อยเล่า ท่านหมอต้วน” ชายร่างท้วม ก้าวออกมายืนเคียงข้างเฉากวง ทั้งรอยยิ้มและแววตา ที่เต็มไปด้วยความสำราญ ทำให้หมอชรารีบรั้งหลานชาย ให้มายืนชิดกายเอาไว้ นี่มิใช่วิสัยของบ้านที่มีคนเจ็บป่วย ต้วนอี้หลาง กวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณ มันเป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด นี่คือกลลวงให้เขาและผู้เป็นตามาที่นี่ แต่สิ่งที่เหนือความจากหมายของคนสกุลเฉา คือเขาและท่านตา มิได้มากันแค่สองคน และต่อให้มากันแค่สองคนตาหลาน เขาที่เตรียมพร้อมรับมือ กับทุกสถาณการ์ยามคับขันเอาไว้แล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องตื่นกลัว แม้ร่างกายในตอนนี้ไม่อำนวย แต่สมองของเขา มันมิได้จำกัดเรื่อง
ลมหายใจนี้ของข้า มันผู้ใดก็พรากไปอีกไม่ได้ เพราะเขาจะใช้มันให้คุ้มค่า กว่าลมหายใจเดิม ที่สละเพื่อผู้คนมากมาย ทว่าสุดท้ายเป็นเขา ที่ต้องสูญสิ้นทุกสิ่งอย่าง มิเว้นแม้แต่ลมหายใจ “วาจาสาวหาวนัก...หึๆ แบบนี้สิข้าชอบ ยามเจ้าร้องขอชีวิตใต้คมกระบี่ของข้า มันจะได้รู้สึกอิ่มเอมใจ” “เจ้าใช้สิ่งใดกับข้า แล้วเจ้าไม่คิดบ้างหรือ ว่าข้าจะใช้มันกับพวกเจ้า” ชายสวมหน้ากาก และเจ้าบ้านทั้งสอง ต่างยกชายเสื้อขึ้นปิดจมูกเอาไว้ โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่เด็กชายพูด จะจริงเท็จเพียงใด แต่จากการที่ต้วนอี้หลาง ไม่สะทกสะท้านต่อพิษในชาร้อน พวกเขาก็พอรู้แล้วว่าเด็กคนนี้ ไม่ธรรมดาอย่างที่ตาเห็น “ฮ่าๆ ข้าเป็นหลานชายของหมอ มีมารดาเก่งกาจเรื่องพิษ คิดว่าข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าหลบหลีกได้หรือ ช้าไปสักหน่อยนะ” ควับ! กระบี่ยาวถูกดึงออกจากฝัก ชี้ตรงมาที่ใบหน้าเด็กชาย ต้วนอี้หลาง ยังคงไม่ละสายตาไปจากเจ้าของกระบี่ เขาเริ่มใช้พิษที่ปรุงด้วยตนเอง ตั้งแต่ก้าวเข้ามาภายในห้องนี้แล้ว แค่เขาไม่เร่งรีบให้มันออกฤทธิ์ในฉับพลันก็เท่านั้น ร่างกายเล็กๆ นี้แม้จะเริ่มแข็งแรงมากแล้ว แต่ก็ยังไม่
“กรี๊ด!! สวี่เทียน! เจ้าคนเลือดเย็น เจ้ากล้าที่จะทอดทิ้งลูกของข้าได้อย่างไรกัน” ร่างงามทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ พร้อมทั้งประคองหยกในมือ ซึ่งเป็นตัวแทนของบุตรชายเอาไว้แนบอก นางผิดตรงไหนหรือสวรรค์ ไยจึงต้องทำร้ายลูกๆ ของนางเช่นนี้ด้วย ฉินชวงทำได้เพียงตัดต่อสวรรค์ ที่ไม่เมตตานางกับลูกเลย ไม่ว่าจะเรื่องฐานะหรือความรุ่งโรจน์ ล้วนแต่เป็นนางที่อยู่ใต้เงาผู้อื่นมาตลอด พอวันนี้นางได้มีโอกาส เชิดหน้าสู้ฟ้าได้อย่างภาคภูมิ ไยสวรรค์จึงได้กลั่นแกล้ง ช่วงชิงหัวใจของนางไปเช่นนี้เล่า นางไม่ได้โง่ขนาดจะดูไม่ออก ว่าตอนนี้ลูกๆ ของนางกำลังตกอยู่ในอันตราย หรืออาจสังเวยชีวิตไปแล้วก็เป็นได้ คงไม่มีใครที่ไหนตัดลิ้นของคนอื่น แล้วช่วงชิงเสื้อผ้า และสิ่งของติดตัวใครสักคน แล้วส่งมาข่มขู่ครอบครัวเขาเยี่ยงนี้เป็นแน่ ดูได้จากสายตาของสามี มันก็ชัดเจนว่าเขารู้แล้ว ว่าลิ้นในกล่องนั่น เป็นของบุตรชายนาง ใช่สิ! จดหมายนั่นต้องไขความกระจ่างให้ข้าได้ เมื่อนึกถึงจดหมาย ที่สามีเก็บเอาไว้ในอกเสื้อ ร่างระหงจึงลุกพรวดขึ้นในทันที นางต้องรู้ให้ได้ ว่าข้างในเขียนว่าอย่างไร เพราะนั่นอาจเป็นเบาะ
สวี่หวิ๋นไม่เอ่ยสิ่งใดอีก หญิงสาวตวัดกระบี่ในมือ พุ่งเข้าหาหญิงสาวแปลกหน้าในทันที เจียงอี้หลิง ทำเพียงขยับเท้าแค่เล็กน้อยเท่านั้น นางก็สามารถหลบหลีกการโจมตี ของสวี่หวิ๋นได้อย่างง่ายได้ แต่มีหรือสตรีเลือดร้อนเยี่ยงสวี่หวิ๋น จะยอมล่าถอยไปโดยง่าย หญิงสาวพลิกข้อมือเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งปลายกระบี่ เข้าหาคู่ต่อสู้อีกครั้ง เจียงอี้หลิง ทำเพียงหลบหลีก การโจมตีของอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ นางยังอยากดูฝีมือ ของบุตรสาวสวะตนนั้นอีกสักหน่อย และนั่นยิ่งเพิ่มโทสะให้แก่สวี่หวิ๋น นางไม่เคยถูกผู้ใด หหรือยามหน้าเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต ในเมื่อตอนนี้สตรีแปลกหน้า ทำเพียงขยับเท้า เคลื่อนไหวหลบหลีกนางเท่านั้น แต่ไม่ยอมจับอาวุธมาต่อสู้กับนาง ให้รู้ผลแพ้ชนะกันไปเลย การทำเช่นนี้มันเหมือนจงใจตบหน้านางชัดๆ “เจ้ากำลังดูถูกข้าอย่างนั้นรึ! น่าตายนัก!” สวี่หวิ๋น คำรามก้องด้วยโทสะที่ระเบิดออกมา นางไม่อยากเชื่อว่าวันนี้นางจะพ่ายให้แก่คนนอกได้ “หึๆ เจ้ายังไม่คู่ควรให้กระบี่ข้าออกจากฝัก” เจียงอี้หลิง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้า นางไม่ได้พูดไปส่งๆ แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ หากก
“ข้าน้อย...” “หุบปากของเจ้าซะ! เรื่องเมื่อครู่ หากหลุดออกไป ข้าจะตัดลิ้นพวกเจ้าทั้งหมด” ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะเอ่ยสิ่งใด หญิงสาวกลับชี้หน้าข่มขู่เขา และวาดปลายนิ้วไปที่อีกหนึ่งผู้คุ้มกัน กับสาวใช้ของนางให้เงียบปากเสีย เพราะหากใครคนใดเอ่ยถึงเรื่องที่เห็น ว่านางกอดกับบ่าวต่ำชั้น นางจะไม่มีวันปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว นางคือคุณหนูสูงศักดิ์ แต่ผู้คุ้มกันที่บิดาหา มาล้วนเป็นพวกไร้หัวนอนปลายเท้าทั้งสิ้น จะเอาสิ่งใดมาคู่ควรแตะต้องตัวนาง แปะ! แปะ! เสียงตบมือเป็นจังหวะเนิบช้า ราวกับกำลังเย้ยหยันต่อคำพูดของนาง ดังขึ้นจากเบื้องหลัง หญิงสาวตวัดสายตามองไปยังที่มาของเสียง ก่อนจะดวงตาเหลือกค้าง เมื่อเห็นว่าพี่ชายของนาง ถูกมัดห้อยตัวอยู่บนกิ่งท้อ เมื่อครู่ที่นางเห็นเขามันคือเรื่องจริง มิใชเพียงภาพลวงตา ที่ทำให้นางหยุดม้าอย่างกะทันหัน จนเกิดเรื่องเมื่อครู่ขึ้น “พี่ใหญ่!” หญิงสาววิ่งตรงไปหาพี่ชาย นางดึงกระบี่ในมืออกจากฝัก ก่อนจะตวัดปลายกระบี่ ไปยังเชือกที่ผู้ข้อมือทั้งสองข้างของพี่ชาย จนขาดสะบั้น ทำให้ร่างโชกเลือด ล่วงลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว ท
“มันไม่ใช่สิ่งที่น่ามอง เจ้าอย่าได้คิดสิ่งใดไปไกลนัก นี่อาจเป็นเพียงกลลวง ยิ่งเจ้าคิดว่าใช่ นั่นเท่ากับเจ้าเดินตามเส้นทางที่พวกมันขีดไว้ ที่ผ่านมาเจ้ามิใช่หรือ คือผู้ขีดเส้นกำหนดมาตลอด ไยวันนี้...เจ้าจึงคิดคล้อยตามกลลวงศัตรูไปได้เล่า” สวี่เทียน หยิบยกตัวตนของภรรยาขึ้นมาเอ่ยอ้าง ต่อให้นั่นคือลิ้นบุตรชาย แล้วอย่างไรล่ะ จะให้เขาดิ้นพล่านราวสุนัขถูกน้ำร้อนราดอย่างนั้นรึ! เหอะ! เขาก็จะไม่มีวันให้ความอ่อนแอของใครก็ตาม มาทำลายสิ่งที่เขา เฝ้ารอมาทั้งชีวิต ลูก...ฮึ! ก็แค่นั้น เขาไม่ได้คิดที่จะสนใจว่าอยู่หรือตาย เพราะสิ่งเดียวที่เขาสนใจ คืออำนาจที่พึงเป็นของเขาเท่านั้น ยี่สิบปีเชียวนะ! ที่เขาสละเวลามาอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ หากเขามีหนทาง ที่สามารถปีนป่ายให้สูงกว่านี้ได้จากที่อื่น มีหรือเขาจะยอมทำตามขอเสนอของภรรยา มาอยู่ให้สกุลอวี๋เหยียบย่ำเป็นเวลายาวนานขนาดนี้ เขยแต่งเข้าที่ไม่อาจใช้สกุลภรรยา คิดหรือว่าจะถูกมองอย่างให้เกียรติ แม้คนจะก้มหัวให้ยามพบเจอ แต่นั่นเพราะข้างกายเขา มีอวี๋เมี่ยวหรือไม่ก็บุตรชายของนาง หากเป็นเขาเดินเพียงลำพัง แทบจะไม่เคยได้รับรอยยิ้มที่ออกจ
สองชั่วยามต่อมา ณ เรือนผู้รักษาการ สองสามีภรรยากำลังนั่งกินขนมจิบชา ด้วยความสำราญ หลังจากบทรักเล่าร้อน ได้จบลงไปได้ครู่ใหญ่แล้ว การหยอกเย้ากันของทั้งคู่ ยังคงมีเป็นปกติ ราวกับพวกเขายังคงเป็นหนุ่มสาว เช่นในวันวานก็มิปาน “เรียนนายท่าน มีของขวัญมาส่งขอรับ” เสียงรายงานจากด้านหน้าประตู ทำให้สองสามีภรรยา ขยับนั่งตัวตรงอย่างมีสง่า “เข้ามา” สวี่เทียนเอ่ยปากอนุญาต ให้คนด้านนอกเข้ามาข้างในได้ เพียงบ่าวชายก้าวพ้นประตูเข้ามา สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่กล่องไม้ในมือของบ่างผู้นั้นทันทีใครกันที่ส่งของขวัญมาให้เขากัน ด้วยในช่วงเวลานี้ หาได้มีวันสำคัญ หรือเทศกาลใด ที่ต้องมอบของขวัญของกำนัลต่อกัน หากจะเป็นคนจากภายนอกหุบเขา ก็ไม่น่าจะมีใครส่งมา โดยไม่แจ้งล่วงหน้าถึงการมาเยือน “เป็นของขวัญที่ไม่ทราบที่มาขอรับ ข้าน้อยคิดจะเปิดดู แต่...มิกล้าทำโดยพลการขอรับ” บ่าวชายรีบชี้แจง ต่อการที่เขาไม่อาจบอกถึงสิ่งของข้างในได้ เพราะเคยมีคนเปิดดูของขวัญ เพื่อตรวจสอบก่อนจะนำมาส่งมอบให้แก่ผู้เป็นนาย ผลก็คือบ่าวคนนั้น ได้สิ้นใจภายใต้คมดาบของท่านผู้รักษาการ
“แต่ข้ามีข้อเสนอที่ดีกว่านั้น หากเจ้าตอบรับมัน ข้าจะมิถือสาเรื่องเมื่อครู่นี้” เมื่อมีสิ่งอื่นที่ดึงดูดใจ มากกว่าการที่นางสามหาวต่อบิดา สวี่หวางจึงยื่นข้อเสนอในทันที หญิงสาวตรงหน้าอาจเพียงแค่ อยากเรียกร้องความสนใจจากเขา หาไม่แล้วมีหรือหัวหน้าผู้คุ้มกัน จะพาเขามาที่นี่ “ข้อเสนอ...คนเยี่ยงเจ้า มีข้อเสนอใดกับข้าเช่นนั้นรึ!” น้ำเสียงปนเย้ยหยันของหญิงสาว ทำให้สวี่หวางจำต้องข่มกลั้นเอาไว้ก่อน ในเมื่อหมากกระดานนี้ นางอยากควบคุม เขาก็จะยินยอมเล่นไปกับนางสักหน่อย ค่อยจบมันในหมากตัวสุดท้าย “เป็นอนุของข้า แล้วเรื่องเมื่อครู่ข้าจะปล่อยผ่านไป” “อยากฟังข้อเสนอของข้าบ้างไหม” หญิงสาวย่อนถามกลับ ด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่จริงจังเท่าใดนัก “ว่ามาสิ! ข้าคือบุตรชายของประมุขแห่งหุบเขานี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะหามิได้” สวี่หวางตบตนเอง พร้อมประกาศให้รู้ถึงอำนาจในมือ เขาคือบุตรชายคนโต ภายหน้าเขาก็คือประมุขผู้มั่งคั่ง เจ้าของหุบเขาแห่งนี้ แค่สตรีต่างถิ่นคนหนึ่ง มีหรือเขาจะเลี้ยงดูนางไม่ได้ “จริงหรือ...บิดาเจ้าแซ่สวี่ ไหนเลยจะเป็นประมุขได้” เมื่อได้ยินพูดของหญิงสาวตรงหน้า สวี่หวางถึงกับหน้าถอดสี หรือนี่จะ
“ข้าน้อยเพียงจะมาแจ้ง ให้ท่านผู้รักษาการทราบ ว่าตอนนี้...มีคนพบเห็น ท่านประมุขน้อยแล้วขอรับ” “ที่ไหน!” สวี่หวางรีบถามด้วยความตื่นเต้น หากวันนี้เขาสามารถทำให้อวี๋มู่หลง หายไปจากโลกนี้เสีย อนาคตของเขา ก็จะได้ไม่ต้องอยู่ภายใต้เงาผู้ใดอีก มารดาที่เป็นภรรยาแรก กลับกลายเป็นได้เพียงอนุ ที่รับเข้าสู่บ้านเท่านั้น ไม่อาจก้าวขึ้นทัดเทียมอดีตประมุข และเขาก็เป็นได้เพียงแค่ลูกที่บิดา ไม่อาจเชิดชูออกหน้าได้แม้คนเหล่านี้ จะให้ความนอบน้อมต่อเขา แต่ความเป็นจริงแล้วพวกมัน ก็ไม่เคยเห็นเขาในสายตาจริงๆ สักครั้ง หากเทียบกับอวี๋มู่หลง เจ้าสวะไร้ค่านั่น! “ในป่าท้อทิศตะวันออกของหุบเขาขอรับ” หัวหนาผู้ดูแล ตอบไปตามหน้าที่ แม้ว่าใจเขามิได้ชื่นชอบอนุและลูกๆ ของนาง ที่อาจหาญทำตัวทัดเทียมท่านประมุขน้อย แต่เขาก็ยังไม่มีอำนาจมากพอ ที่จะต่อกรกับผู้รักษาการได้ จนกว่าท่านประมุขน้อย จะก้าวขึ้นสู่อำนาจอย่างแท้จริง “พาข้าไป!” “แต่...” หัวหน้าผู้คุ้มกัน คิดที่จะปฏิเสธ ทว่า... “ฮึ! หรือเจ้าคิดจะปกป้องคนไร้ค่านั่น” สวี่หวาง พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเ
สิบห้าวันถัดมา ณ เรือนผู้รักษาการ เมืองหยินกวง เพล้ง! เสียงจอกสุรา ถูกปาลงพื้นจนแตกกระจาย ทำให้สาวใช้หลายนางที่ยืนรอรับใช้อยู่ พากันสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อผู้เป็นนายกำลังมีโทสะ ก่อนที่สตรีผู้เป็นอนุของท่านผู้รักษาการ จะเดินเข้ามา แล้วส่งสัญญาให้บรรดาสาวใช้ออกไปเสีย “ท่านพี่ ไยต้องมีโทสะด้วยเจ้าคะ” ฉินชวงเดินไปยืนด้านหลังสามี ก่อนจะวางมือบนไหล่หนา แล้วออกแรงบีบนวด เพื่อให้สามีรู้สึกผ่อนคลาย แม้ว่าการอยู่อย่างไรเกียรติของนาง จะมิใช่สิ่งที่วาดฝัน แต่นางก็ยังอยากให้บุตรชายคนโต เป็นผู้สืบทอดเมืองแห่งนี้ “มีคนพามันหนีไปได้ จนตอนนี้! ข้ายังหามันไม่พบเลย” สวี่เทียนกำหมัดแน่น ยิ่งเมื่อนึกถึงตอนที่บุตรชายคนเล็ก หนีไปพร้อมกับคนแปลกหน้า มันทำให้เขาราวกับถูกตบหน้า นี่มิใช่ครั้งแรก ที่บุตรชายรอดพ้นเงื้อมือเขาไปได้อย่างหวุดหวิดเพราะนับตั้งแต่บุตรชาย ล่วงรู้ความจริงหลายอย่าง ความสัมพันธ์พ่อลูกก็ยิ่งห่างไกล แล้วอย่างไรเล่า ก็ในเมื่อสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่ความเป็นพ่อลูก แต่เขาต้องการตราประทับเท่านั้น “อาจเป็นเหล่าผู้อาวุโส ที่แอบช่วยเขาลับหลัง แต่อย่า
“ว๊าย!!! พรู๊ด!!”หญิงสาวถึงกับพ่นชาในปากออกมา เมื่อความร้อนของชาในถ้วย ทำให้นางปากแทบพอง นางลืมไปว่ามันร้อนอยู่ “เจ็บมากหรือไม่!” ม่อเหลียวรีบถามด้วยน้ำเสียงรนราน ก่อนจะล่วงเอาขวดยาเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ แล้วป้อนเข้าปากหญิงสาว “คราวหน้าต้องระวังให้มากเข้าใจหรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างอ่อนโยน ซึ่งหากถ้าเป็นสตรีอื่น เขาไม่แม้แต่จะมองเลยด้วยซ้ำ เรื่องนี้ถือว่าเป็นสิ่งคุ้นชิน สำหรับคนทั้งสาม เว้นแต่อวี๋มู่หลงเท่านั้น ที่ยังไม่รู้ถึงเรื่องของหนุ่มสาวคู่นี้ แต่จากสายตาแล้วอวี๋มู่หลงเอง ก็พอจะคาดเดาได้แล้ว ว่าคนทั้งสองนั้น ต้องมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน แต่อาจด้วยหลายสิ่งอย่าง ทำให้ทั้งคู่ยังไม่แต่งงาน หรือสานสัมพันธ์รักไปมากกว่านี้ “พี่สาม”เมื่อเห็นพี่สาวไม่ได้เอ่ยสิ่งใดกับตนเองเลย นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาถึงกระท่อม อี้หยางจึงเรียกผู้เป็นพี่ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใช่เขาริษยาพี่ม่อเหลียว แต่เขาทั้งดีใจและน้อยใจปนกัน ก็ในเมื่อเขายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ พี่สาวก็มองเพียงพี่ม่อเหลียวคนเดียว “เจ้าเป็นผู้นำสกุลเจียงคนต่อไป แค่นี้จะมีน้ำตาได้อย่า