ชายชราไม่สนว่าอีกฝ่าย จะช่วยเหลือด้วยหนี้บุญคุณ หรือเพราะราคาค่าจ้าง ขอแค่ตอนนี้ครอบครัวเขาปลอดภัย สิ่งใดก็หาได้สำคัญไม่
“เป็นท่านลุงไม่ได้หรือขอรับ ที่ไปด้วยตนเอง”
“อี้หลาง!”
เป็นครั้งแรกที่ชายชรา รู้สึกว่าหลานชาย ทำตัวเสียมารยาท สอดแทรกการสนทนา ทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน
“ท่านหมออย่าได้ตำหนิเขาเลยขอรับ ข้าเองก็อยากรู้เหตุผลของความกล้านี้เช่นกัน”
ชายหนุ่มเกรงเด็กชายจะถูกลงโทษ จึงได้เอ่ยปากช่วยเหลือ และเป็นอย่างที่เขาพูดไป เขาอยากรู้ว่าทำไม เด็กชายจึงอยากให้เขาไปด้วยตนเอง
“ท่านลุงมีภรรยา แล้วหรือยังขอรับ”
“อี้หลาง เจ้าอย่าได้เสียมารยาทเกินไปนัก ครานี้ตาต้องลงโทษเจ้าจริงๆ แล้วนะ”
ชายชรารู้สึกกรุ่นโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว นี่นับเป็นเรื่องที่ก้าวล่วงอย่างแท้จริง
“ไม่เป็นไรท่านหมอ ข้าชอบความใจกล้าของเขา เจ้าอยากรู้ข้าก็ไม่ขอปิดบัง ข้านั้นไร้ภรรยา รวมถึงทายาทด้วย”
ชายหนุ่มผ่านโลกมาไม่น้อย พอจะเดาความคิดของเด็กชายออก แต่เขาเองก็อยากมั่นใจ ว่าคิดถูกหรือไม่กับการตีความ ในคำถามของต้วนอี้หลาง
“เช่นนั้นท่านลุงยิ่งเหมาะสมขอรับ และถ้าท่านลุงไม่ไปด้วยตนเอง อาจรู้สึกเสียดาย ในวันหน้าก็เป็นได้นะขอรับ”
ทั้งคู่สบตากันนิ่ง ก่อนที่เจ้าสำนักเจียง จะหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ เมื่อสิ่งที่เขาตีความหมาย ในคำพูดของเด็กชายตรงหน้า ไม่ผิดจากที่คิดไว้
เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ แววตานี้หากเป็นในชายฉกรรจ์ มันคือแววตาของนักรบผู้เจนสงคราม เหมือนการพูดเล่น ทว่าแฝงไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม
“อ่า...เช่นนั้นข้าคงต้องไปด้วยตนเอง เพราะไม่อยากเสียดายในวันหน้า อย่างที่เจ้าว่ามาหลานชาย”
เป็นการตอบตกลง ที่ดูง่ายดายเกินไปแล้ว ในความคิดของชายชรา ทว่าต่างจากต้วนอี้หลาง ที่รู้ดีแก่ใจว่าชายหนุ่มผู้นี้ ชื่นชอบความท้ายทายเป็นที่สุด
คนที่หัวเราะให้กับทุกอย่างบนโลก คือคนที่จริงใจและอันตรายที่สุดเช่นกัน คนประเภทรักแรงเกลียดแรง หากคบหาได้จะเป็นผลดีต่อชีวิตยิ่งนัก และเขาจะไม่พลาดโอกาส ที่จะผูกมิตรแบบกระชับแน่นกับคนผู้นี้
“ท่านเจ้าสำนัก หลานชายของข้า เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ศีรษะมาก่อน พอฟื้นมาก็จะไม่คงเดิมเท่าใดนัก ท่านเจ้าสำนักโปรดอย่าได้ถือสาเลยนะขอรับ”
“ท่านหมออย่าได้ตำหนิเขาเลยขอรับ บางทีเขาอาจทบทวนมาดีแล้ว ก่อนจะพูดออกมา ข้ากลับชอบที่เขากล้าพูดมันออกมาตรงๆ และเขายังสามารถทำให้ข้า อยากรู้ถึงสิ่งที่จะทำให้ข้ารู้สึกดายอีกด้วย”
“ท่านตา ข้าต้องขอโทษด้วยขอรับ ที่ทำให้ท่านตารู้สึกไม่ดี และเสียหน้าในครานี้ แต่ข้ามั่นใจ...ว่ามันจะดีในภายหน้าขอรับ”
เด็กชายเอ่ยกับผู้เป็นตา แน่นอนเขาย่อมมีเป้าหมายอยู่ในใจ ส่วนมันจะสำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา แต่เขามั่นใจยิ่งนักว่ามันจะไม่สูญเปล่า
ชายชราทำเพียงยืนมือ ไปวางบนไหล่เล็กของหลาน แล้วขยับฝ่ามือตบเบาๆ อย่างจำยอมต่อคำพูดของหลานชาย หากจะว่าไปแล้วนี่เป็นครั้งแรก ที่ต้วนอี้หลางทำเช่นนี้ เพราะทุกครั้งที่ติดตามเขาออกนอกบ้าน หลานชายจะสงบเงียบยิ่งนัก
บางทีเขาต้องรู้จักเปิดตาให้กว้าง เพื่อมองความคิดของหลานชายให้มาก มันคงจะจริงอย่างที่เจ้าสำนักเจียงกล่าวมา ต้วนอี้หลางคงคิดมาดีแล้ว ก่อนจะเอ่ยออกมา
“เช่นนั้นเราไปกินข้าวกันดีกว่าขอรับ จะได้กลับถึงโรงหมอไม่มืดค่ำจนเกินไป”
ชายหนุ่มลุกขึ้น ก่อนจะผายมือให้แก่แขกของสำนัก ให้เดินเคียงข้างเขาไป เมื่อถึงห้องอาหารแล้ว ชายหนุ่มได้ขอตัวไปสั่งงานสักครู่ ในช่วงเวลาที่รออาหารยกมา
“วันนี้ตาต้องทำโทษเจ้า หลังจากเรากลับถึงบ้าน”
เมื่ออยู่กันเพียงลำพัง ชายชราได้เอ่ยกับหลานชาย ด้วยสีหน้าจริงจัง แม้เขาจะพอรู้ถึงจุดประสงค์ของหลานชาย แต่เด็กที่ดีต้องไม่แทรก การสนทนาของผู้ใหญ่ หากเขามิใช่คนที่เคยช่วยชีวิตท่านเจ้าสำนักไว้ ไม่รู้ว่าความขุ่นเคือง ที่อีกฝ่ายเก็บซ่อนไว้ จะปะทุออกมาหรือไม่
“สิ่งที่ข้าทำผิด ย่อมพร้อมรับการลงโทษขอรับ แต่เรื่องนี้ท่านตาอย่าได้กังวลเลยขอรับ ข้าคิดว่าการที่เรามีเกราะคุ้มภัยที่มั่นคง ย่อมเพิ่มความน่าเชื่อถือ ต่อกิจการภายหน้าของเราขอรับ ถึงมันจะเสี่ยงกับบางเรื่องก็ตาม แต่ทุกความเสี่ยงมักมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอขอรับ”
เด็กชายไม่ได้ปฏิเสธ ต่อการถูกคาดโทษ เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ทว่าความเสี่ยงของเขา แม้มันจะมีโอกาสเพียงน้อยนิด แต่ถ้าสำเร็จขึ้นมา มันคือความมั่นคงที่ยั่งยืน หากเมื่อเทียบกับโทษที่จะได้รับจากผู้เป็นตา
ยามค่ำคืน ณ โรงหมอ
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว ทว่าสองตาหลานยังกลับมาไม่ถึงบ้าน ทำให้สองแฝดร้อนใจ จนต้องออกมานั่งรอพี่ชายและผู้เป็นตา อยู่หน้าประตูใหญ่ โดยมีแม่นมหวังติดตามคอยเฝ้าดูแล
ซึ่งทั้งสามไม่รู้เลยว่า กำลังมีสายตาของใครหลายคน จับจ้องพวกเขาอยู่ในมุมมืด และคนที่กำลังเฝ้ามองอยู่นั้น ถึงกับมีอาการตื่นตะลึง เมื่อเห็นถนัดตาแล้วว่าเด็กสองคน ที่กำลังชะเง้อมองถนน มีใบหน้าที่เหมือนกันราวกับแกะ…
ดูท่างานนี้ต้องรีบจบให้ได้โดยไว เพราะนี่มิใช่ครั้งแรก ที่คว้าน้ำเหลวต่อการลงมือ กับแม่ลูกขอทาน และนี่นับว่าเหนือความคาดหมาย เรื่องจำนวนของเป้าหมายไปมากทีเดียว
“ไยท่านตากลับมาช้านักเล่าเจ้าคะ มืดค่ำมากแล้วด้วย”
ต้วนอี้หลิง เริ่มบ่นกระปอดกระแปด เมื่อยังไร้วี่แววของผู้เป็นตาและพี่ชายคนโต นับว่ายังดีที่มารดากับท่านยาย กลับมาจากไปธุระตั้งแต่ก่อนเที่ยง หาไม่แล้วนางคงกระวนกระวายใจมากกว่านี้
“ท่านตาบอกว่าต้องออกไปนอกเมือง คงไกลพอสมควร ตอนนี้อาจกำลังเดินทางกลับอยู่ เจ้าก็อย่าได้กังวลให้มาก” แม้ปากจะบอกน้องสาวไปแบบนั้น ทว่าคนที่เอ่ยปากขอมารดา ออกมารอท่านตา และพี่ชายอยู่หน้าประตูใหญ่ ก็คือตัวเขาเอง “หากท่านตากับพี่ใหญ่มาถึง ข้าจะไม่คุยด้วยเลยคอยดู” เด็กหญิงแสร้งพูดไปอย่างนั้น เพราะนางจะต้องได้ฟังนิทานก่อนนอน จากพี่ชายคนโต หาไม่แล้วยากนักจะหลับได้สนิท ต้วนอี้หรู ยืนมองลูกๆ ด้วยแววตาเอ็นดู นางอนุญาตให้ทั้งคู่ออกมา ใช่ว่าตัวนางจะปล่อยพวกเขาให้ห่างสายตา การจะกักขังลูกๆ ไว้แต่ในบ้าน เพียงเพราะกลัวถูกทำร้าย แล้วเมื่อไหร่พวกเขาจะมีภูมิคุ้มกันตนเอง ในยามไร้นางและท่านตาท่านยายคอยปกป้อง “เจ้าเหนื่อยมาทั้งวัน ไยไม่ไปพักสักหน่อยเล่า บิดาเจ้ากลับมาค่อยกินข้าวกัน” ต้วนฮูหยิน ลูบต้นแขนบุตรสาว ด้วยความห่วงใย สามีกับหลานชายไปธุระนอกเมือง บุตรสาวรับหน้าที่ทำทุกอย่างแทน แม้จะมีคนในโรงหมอคอยช่วย แต่ก็ยังคงหนักอยู่ดี นับตั้งแต่บุตรสาว ปรุงยารักษาที่สะดวกต่อการใช้ รวมทั้งมีเครื่องประทินผิวสำหรับบุรุษและสตรี ทำให้โรงหมอคับคั่งไป
เพราะชายทั้งสามก็อดไม่ได้ ที่จะอุทานอยู่ในใจ ตอนแรกคิดว่าแค่แฝดสอง ทว่าพอเห็นเด็กอีกคน ก้าวลงจากรถม้า พวกเขาถึงกับตื่นตะลึงกันอยู่ไม่น้อย“ไยวันนี้เจ้าดื้อกับตานักนะ” ชายชราอดดุหลานชายไม่ได้“เขาอยู่กับท่านลุงดีแล้วขอรับ ข้าจะไปกับสองแสบนั่นเอง”ปึกๆ มือใหญ่ตบหนักๆ ลงบนบ่าของอี้หลาง นี่คือความน่าสนใจ ที่ดึงดูดให้เขามาด้วยตนเอง เด็กคนนี้มีสายตาเฉียบคมเกินวัย ไม่สิ! นิสัยประเภทนี้ ส่วนมากลูกหลานฮ่องเต้ และทายาทเหล่าแม่ทัพมักจะเป็นกันเพราะต้องเป็นผู้นำ จึงถูกฝึกฝนการต่อสู้ และเรียนรู้ตำรามาอย่างเข้มงวด จึงไม่แปลกที่จะเห็นทายาท ของสายเลือดเหล่านั่น มีความเฉียบคมและเก็บทุกความรู้สึกได้ดีกว่าเด็กโดยทั่วไปแน่นอนว่าคนทั้งสาม มีจุดประสงค์ในการมา ต้วนอี้หลางเลยเลือกที่จะตามติดท่านหมอต้วนไป คงเพราะห่วงในความปลอดภัยของชายชรา เขาเองก็อยากรู้ถึงฝีมือของเด็กชายเช่นกัน“เช่นนั้น...เจ้าเข้าไปรอข้าในเรือน กับท่านป้าและน้องสาวเจ้าก่อน เสร็จแล้วเราค่อยไปกินมื้อค่ำกัน” ชายชราบอกแก่ชายหนุ่ม ซึ่งติดตามมาในคราบของญาติ“ขอรับ” ชายหนุ่มรับคำ“คุณชายเชิญด้านในเจ้าค่ะ”แม่นมหวัง ผายมือให้แก่ชายหนุ่ม ซึ่งนางไม่
“คนอย่างพวกเจ้า กลัวผีเด็กเยี่ยงข้าด้วยหรือ”เด็กชายแสยะยิ้มเหี้ยม ภาพนี้มีเพียงสามคนร้ายเท่านั้นที่เห็น ว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ไร้เดียงสาตามวัยแม้แต่น้อย ทว่ามันเหมือนปีศาจจำแลงมาในร่างเด็กมากกว่า“รีบลงมือเถอะ แค่เด็กปากมิสิ้นกลิ่นน้ำนม จะไปต่อคำให้เสียเวลาทำไม”หนึ่งในสามคนร้ายรีบเอ่ยขึ้น เมื่อรู้สึกว่างานที่ควรง่าย มันอยากขึ้นอีกนับเท่าตัว มิพูดเปล่า...ชายหนุ่มล้วงเอาอาวุธลับออกมาจากอกเสื้อ ก่อนจะซัดออกไปยังเป้าหมาย ซึ่งก็คือเด็กชายตรงหน้าปัง! เคร้ง! แต่ก่อนที่อาวุธลับ จะทันได้ถึงตัวของสองตาหลาน ประตูถูกเปิดออกอย่างแรง พร้อมกับกระบี่ที่พุ่งมาสกัดเอาไว้ได้ทัน“ท่านพ่อ! อี้หลาง!”อี้หรู วิ่งเข้าไปยืนบังบิดากับบุตรชาย ให้พ้นสายตาของคนร้าย โดยไม่มีใครทันได้เห็นรอยยิ้มของเด็กชาย เขารู้อยู่แล้วว่ามารดามาถึง จึงได้ยอมยืนนิ่งเป็นเป้าให้คนร้ายลงมือ“อย่าเสียเวลากำจัดพวกมันซะ!”สิ้นคำลมหายใจคนพูดก็จบลงเช่นกัน และนั่นทำให้สองคนร้ายที่เหลือ ต้องมองหาทางหนีทีไล่แทน ผู้มาใหม่ยังยืนอยู่ที่เดิม แต่สามารถปลิดชีพสหายของพวกเขาได้ ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่พวกเขาจะสุ่มสี่สุ่มห้าลงมือ“พวกเจ้าดวงดียิ่งนัก ที่
สิบวันถัดมา ณ จวนสกุลจาง เมืองหลวง จางฮูหยิน นั่งใบหน้าเรียบตึงอยู่ภายในห้องรับแขก ซึ่งเวลานี้บุตรสาวคนโตของสามี กำลังนั่งสะอื้นไห้อย่างคนทุกข์ระทมแสนสาหัส ได้ร้องขอให้สามีของนาง ช่วยจัดการบุตรสาวตัวปลอม ที่ถูกขับออกจากสกุลจาง ไปนานนับสิบปีให้พ้นไปจากสายตา ซึ่งตัวนางเองนั้น ได้แต่งเข้ามาหลังจากอดีตฮูหยินใหญ่ สิ้นไปได้เพียงครึ่งปี ซึ่งตอนนั้นจางอี้หรูเอง ก็ได้ออกเรือนไป โดยมีนาง เป็นมารดาที่ส่งบุตรสาวเข้าหอทว่าเวลาผ่านไปเพียงปีกว่า อี้หรูที่กำลังตั้งครรภ์แก่ ก็ต้องมีอันต้องระเห็จออกจากจวนสกุลโจว เพราะจางหย๋าชินปรากฏตัวขึ้น พร้อมหลักฐานว่าเป็นบุตรสาว ที่แท้จริงของสกุลจางเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนั้น โจวเค่อก็เลือกหย่าจางอี้หรู แต่งกับจางหย๋าชินตามการหมั้นหมาย ของสองสกุลที่มีมาแต่เดิม ซึ่งตอนนั้นนนางเองในฐานะมารดา พยายามยิ่งนักที่จะขัดค้านแต่ด้วยนางก็เพิ่งคลอดลูกได้ไม่นาน จึงไม่อาจวิ่งเต้นช่วยลูกเลี้ยงได้ แม้นางจะเสนอรับอี้หรูเป็นลูก อนุคนโปรดของสามี กับทุกคนในจวน ก็เลือกที่จะปฏิเสธความคิดของนาง สุดท้ายจางอี้หรูก็หายไปจากเมืองหลวงนานกว่าสิบปีทว่าบัดนี้ข่าวที่นางเองก็
ท่านเสนาบดีจาง เลือกที่จะไม่สนใจอนุหลิน แต่เขารีบที่จะปิดจบคำของของบุตรสาว ด้วยการจะไปคุยกับบุตรเขยเอง หากจะเทียบอำนาจของอดีตภรรยาเอก และภรรยาเอกคนปัจจุบัน เขายอมรับว่าเมิ่งเหยียนเหนือกว่ามาก ด้วยสกุลเมิ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ ผ่านทางเมิ่งไท้ฮูหยิน“แต่ข้าร้อนใจนี่เจ้าคะ นางมีลูกชายส่วนข้า...”หญิงสาวเงียบไป เมื่อนึกถึงว่าตัวนาง ยังไม่มีทายาท มิว่าชายหรือหญิง ครอบครัวสามีก็เวียนวนให้สามีรับอนุ แล้วหากครอบครัวสามีรู้ว่าอี้หรูยังไม่ตาย ทั้งยังให้กำเนิดบุตรชายอีกเล่า ตำแหน่งฮูหยินของนาง คงต้องสั่นคลอนเป็นแน่“บุตรชายของน้องสาวเจ้า ไยไม่รับเขาไปเลี้ยงดูเล่า อย่างไรเสียฐานะของนางก็ไม่อาจสูงไปกว่านี้ได้ รับลูกของนางมาเลี้ยงดู อย่างไรก็เป็นสายเลือดเดียวกัน ไม่แน่เจ้าอาจตั้งครรภ์ในเร็ววันก็เป็นได้”เมื่อบุตรสาวยังไม่ยอม ที่จะสงบใจต่อคำของเขา ท่านเสนาบดีจาง จึงเสนอให้รับหลานชาย ที่เป็นลูกของบุตรสาวอีกคนของเขา ที่เกิดจากอนุไปเลี้ยงดู อย่างน้อยก็เป็นสายเลือดเดียวกัน ดีกว่าไปเอาเด็กที่ไม่รู้หัวนอนมาเลี้ยง“แต่ข้ามีวิธี ที่ดีกว่านั้นเจ้าค่ะ”เมื่อนึกถึงคำว่าลูกบุญธรรม หญิงสาวก็มีความคิดใหม่ผุดขึ้นมาในห
จางฮูหยินยอมรับว่านาง และบุตรชายนั้น ถูกปองร้ายมิใช่แค่ครั้งเดียว แต่เพราะคนของบิดา ที่ติดตามมาดูแล ช่วยเหลือเอาไว้ได้ทันท่วงทีทุกครั้งไป แต่กระนั้นนางก็มิอาจ ช่วยเหลือจางอี้หรูได้อยู่ดี“ท่านแม่ใจกว้างยิ่งนัก ที่มิชิงชังลูกของภรรยาอื่นๆ”“วันหน้าเมื่อเจ้าจะแต่งใครสักคนเข้าบ้าน อย่าได้นำพาบุคคลที่สาม เข้ามาทำลายครอบครัวเข้าใจหรือไม่”“ข้าจะไม่ทำเช่นนั้นแน่นอนขอรับ และข้าอยากพบพี่สาวคนนั้นสักครั้งขอรับ”คงไม่ใช่แค่มารดาเท่านั้น ที่สงสัยในหน้าตาของพี่สาวเช่นจางหย๋าชิน เพราะเขาเองก็อดแคลงใจในตัวนางไม่ได้เช่นกัน พี่น้องคนอื่นในจวน ล้วนมีความเหมือนหรือละม้ายกัน เกินห้าส่วนทุกคน ทว่าพี่สาวคนโต เหตุใดจึงต่างราวกับคนละสายเลือดแต่เพราะบิดารักในตัวของพี่สาวมาก เขาจึงทำได้เพียงเก็บงำเรื่องนี้เอาไว้ในใจ รอให้เติบโตอีกสักหน่อย ค่อยเอ่ยปากกับบิดาก็มิสาย“หากมีวาสนาต่อกัน ต่อให้เดินไปไกลสุดแผ่นดิน สุดท้ายก็วนกลับมาพบเจอกันอยู่ดี ส่วนตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องทำ คือปกป้องตนเองให้ดี ทั้งชีวิตของแม่ล้วนฝากไว้ในมือเจ้าหลีเกอ”จางฮูหยินวางมือบนสองข้างแก้มบุตรชาย ชีวิตของสตรีที่ออกเรือน ล้วนฝากไว้ที่คนเป็นลูก
นางไม่ได้ทำผิดต่อผู้ใด ไม่สิ! เจ้าของร่างมิได้ทำสิ่งใดผิด แต่เป็นคนที่ถูกกระทำทั้งสิ้น ถ้าชีวิตใหม่นางต้องสิ้นสุดในเร็ววัน นั่นก็คือชะตาที่ยากฝืน แต่ช่วงเวลาที่ยังอยู่ ใยนางต้องถดถอยจนตรอกด้วยเล่า “อี้หรู พวกเจ้ากินข้าวกันไปก่อนนะ พ่อจะออกไปดูคนไข้ที่ฝั่งตะวันตก ท่านเฉาให้บ่าวมาตาม” ท่านหมอชราเดินมาบอกบุตรสาว ด้วยเกรงว่าทุกคนจะหิ้วท้องรอเขากลับมา ซึ่งบอกเวลาที่แน่นอนไม่ได้ ด้วยมิรู้ว่าคนป่วยนั้นอาการหนักมากน้อยแค่ไหน “ให้ท่านพี่เจียงไปด้วยดีหรือไม่เจ้าคะ” “ไม่เป็นไร พ่อไปกับอี้หลางก็พอแล้ว” “เจ้าค่ะ” “อย่าได้กังวลไป พ่อจะรีบกลับ” หมอชรารู้ว่าบุตรสาวยังไม่วางใจ ต่อให้ตลอดสองเดือนมานี้ ทุกอย่างจะสงบเงียบ ทว่านั้นอาจเป็นการปกป้องของเจ้าสำนักเจียง ซึ่งอยู่ในฐานะผู้คุ้มกันที่เขาจ้างวาน คงมีเพียงเขากับหลานชายเท่านั้น ที่รู้ถึงตัวตนแท้จริงของเจียงกั๋วจ้าน หญิงสาวทำได้เพียงมองตามหลังบิดาไป แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อบิดาคือหมอมากฝีมือ และคนเจ็บป่วยที่มีเงิน มักเชิญตัวหมอไปรักษา มากกว่าที่จะเดินทางมาเอง เจี
ทว่านายบ่าวจวนเฉา กลับเหมือนไม่ได้เร่งร้อน เช่นที่ปากพูดสักเท่าใด แต่กลับคล้ายพอใจต่อสิ่งที่ต้องการ บรรลุผลแล้วมากกว่า “หมอต้วน เจ้าไม่คิดจะพูดสิ่งใดบ้างหรืออย่างไร” การเรียกขานเยี่ยงหมอชรา เป็นคนต่ำชั้นหาใช่ผู้อาวุโสใดๆ ในสายตาของบุตรชายคนรองสกุลเฉา และนั่นทำให้หมอชราตัดสินใจ แบบไม่ต้องทบทวนให้สิ้นเปลืองเวลา “คุณชายรองเฉา ข้าคงต้องขอตัวลา” “ไหนๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว ไยไม่เข้าไปดื่มชาสักหน่อยเล่า ท่านหมอต้วน” ชายร่างท้วม ก้าวออกมายืนเคียงข้างเฉากวง ทั้งรอยยิ้มและแววตา ที่เต็มไปด้วยความสำราญ ทำให้หมอชรารีบรั้งหลานชาย ให้มายืนชิดกายเอาไว้ นี่มิใช่วิสัยของบ้านที่มีคนเจ็บป่วย ต้วนอี้หลาง กวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณ มันเป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด นี่คือกลลวงให้เขาและผู้เป็นตามาที่นี่ แต่สิ่งที่เหนือความจากหมายของคนสกุลเฉา คือเขาและท่านตา มิได้มากันแค่สองคน และต่อให้มากันแค่สองคนตาหลาน เขาที่เตรียมพร้อมรับมือ กับทุกสถาณการ์ยามคับขันเอาไว้แล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องตื่นกลัว แม้ร่างกายในตอนนี้ไม่อำนวย แต่สมองของเขา มันมิได้จำกัดเรื่อง
หลังจากมือธนูล้มลงสิ้นใจตาย ต้วนอี้หรู ค่อยๆ เบนหน้าไม้ ชี้ตรงไปยังต้วนฉี รูปร่างแบบนี้ ง่ายนักต่อการลงมือ แต่จะให้ตายตอนนี้มันสบายไป ในเมื่อตักเตือนไปแล้วยังรั้น ก็ต้องเพิ่มบทเรียนให้อีกสักหน่อย หญิงสาวลดปลายหน้าไม้ลงอีกระดับ ก่อนจะกดกลไล ปล่อยลูกดอกออกไปอีกครั้ง ฟิ้ว! ฉึก! “อ๊ากกก!!! ขะ...ข้า!! ของข้า ท่านแม่ ขาข้า!!!” ต้วนฉีใช้สองมือกุมต้นขา ที่ยังมีลูกดอกปักคาอยู่ ต้วนฮูหยินและเชี่ยจิ่น รีบคลานเข้าไปดูอาการของต้วนฉี ด้วยอาการสั่นเทา “ลูกแม่! เจ้าเจ็บมากหรือไม่” “ท่านแม่มิลองถูกยิงดูเล่าขอรับ อ๊ากก!! พวกสารเลวทำร้ายข้า!! ข้าจะฆ่าเจ้าให้หมด!” ต้วนฉีโวยวายเสียงดังลั่น ทว่ามันกลับไม่ได้ทำให้ผู้ลงมือ รู้สึกสงสารเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวหันกลับหาผู้เป็นปู่ เพราะอย่างไรเสียต้วนฉี ก็เป็นสายเลือดของท่านปู่ นางลงมือโดยไม่ขอความคิดเห็น ก็ถือว่าผิดอยู่บ้าง “หลานปู่ เจ้าไม่ต้องกังวล ในเมื่อเขาเลือกเส้นทางตัดสัมพันธ์สายเลือดแล้วแบบนี้ จะเก็บเขาไว้ให้แว้งกัดในภายหน้า ก็คงไม่เป็นผลดีต่อเราทุกคน” “เรื่องนี้อี้หรูทำเกินกว่าเหตุ แต่ใน
ภาพการรับมือของต้วนจ้าว ทำให้กลุ่มคนที่ซุ่มดูอยู่บนต้นไม้ จำต้องเบิกตากว้าง แต่ก็มิใช่ทั้งหมด เพราะต้วนอี้หลาง ทำเพียงยกยิ้มมุมปาก เขารู้อยู่แล้วว่าท่านตามิใช่ธรรมดา แต่คงมีเหตุผลที่เก็บซ่อนตัวตนเสียมิดชิด ในช่วงที่เขากับมารดายังบาดเจ็บ นักฆ่าเทียววนเวียนหมายเข้ามาสังหาร แต่กลับไม่มีมดแมงตัวใดหลุดรอด มาถึงเขากับมารดาได้เลย นั่นบอกได้ว่าโรงหมอสกุลต้วน มีดีอยู่ไม่น้อย “ดูเจ้าไม่แปลกใจเลย” เจียงกั๋วจ้าน ถามต้วนอี้หลาง ที่นั่งอยู่กิ่งไม้อยู่ถัดจากเขา เด็กชายหันไปส่งยิ้มกว้างให้แก่ผู้เป็นลุง “ก่อนที่ท่านตาจะพาข้าไปหาท่านลุง เราแม่ลูกบาดเจ็บสาหัสกันอยู่นานทีเดียว และตลอดระยะเวลานั้น มีนักฆ่าวนเวียนราวผึ้งตอมเกสรดอกไม้เชียวละขอรับ ท่านลุงคิดว่าไยมือสังหารจึงไม่เคยเฉียดใกล้เราแม่ลูกเลยเล่าขอรับ” “หากเป็นเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องถึงมือข้าเลยนี่” “ท่านลุงรู้แก่ใจดี ว่าพายุเมื่อมันโหมแรงขึ้น คนเราก็ต้องหาที่หลบภัยให้มั่นคงขึ้น ท่านตาแม้จะมากฝีมือ แต่วัยที่ร่วงโรยตามกาลเวลา ทำให้ท่านตาเกรงว่าเราแม่ลูกจะไร้เกราะคุ้มกาย” “ข้าไม่แปลก
หลังจากประตูจวนปิดลง สองแม่ลูกที่เคยแสดงท่าทีหวาดกลัวอย่างรนรานเมื่อครู่ พลันแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มหยัน เมื่อไร้สายตาคนภายนอก ก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งหวาดกลัวอีกต่อไปคนไร้ค่าที่คิดว่าตนเอง กำลังถือหมากเหนือกว่า ก็เป็นเพียงแมงเม่าที่บินเข้าหากองไฟ ที่จุดหลอกล่อเอาไว้ ท้ายที่สุดก็ต้องตายอยู่ดี “ข้าคิดเอาไว้อยู่แล้ว ว่าสักวันเจ้าต้องโผล่มาที่นี่” ต้วนฮูหยินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน นางไม่มีความจำเป็นต้องกลัวคนอย่างต้วนจ้าว ดีเสียอีกที่เขากลับมา จะได้มิต้องเสียเวลาไล่ล่า “แล้วอย่างไร” ต้วนจ้าวถามกลับ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ก็ไม่แล้วอย่างไร แต่ข้ามิชื่นชอบ ให้มีหนามแหลมมากีดขวางเส้นทาง”สิ้นคำของต้วนฮูหยิน บ่าวชายหญิงที่อยู่โดยรอบ ได้เคลื่อนกายโอบล้อมผู้ที่มาเยือนในทันที โดยในมือล้วนมีอาวุธ ซึ่งมันชัดเจนแล้วว่าที่ผ่านมา สองแม่ลูกเอง ก็เตรียมการเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว ซึ่งมันไม่ผิดจากที่เขา คาดการณ์เอาไว้เท่าใดนักรอยยิ้มหยันของสองแม่ลูก รวมถึงสะใภ้คนรอง ไม่ได้ทำให้พ่อลูกสกุลต้วนจากชายแดน รู้สึกตื่นเต้นแม้แต่น้อย นักฆ่าระดับสูงกว่านี้ เขาพ่อลูกก็เผชิญกันมามิรู้กี่
“ไม่นะ! ท่านพี่...ท่านจะทำเยี่ยงนี้กับข้าไม่ได้ ข้าอยู่กับท่านตั้งแต่ยังสาว ยอมเป็นเพียงอนุมาเนินนาน แล้ววันนี้ท่านคิดขับไล่ข้า มันสมควรหรือ!” ต้วนฮูหยิน ไม่อยากจะเชื่อหู ว่าสามีจะกล้าขอยุติความสัมพันธ์ แม้ไม่เคยรักแต่ก็อยู่ร่วมบ้านกันมาเนินนาน พอลูกรักของเขากลับมา เขากล้าที่จะทอดทิ้งนาง ขัดคำสั่งเสียของพ่อสามี ที่มิให้ทอดทิ้งนางไปตลอดชีวิตเชียวหรือ! “ท่านแม่เกิดสิ่งใดขึ้นขอรับ” ต้วนฉีรีบก้าวออกมาจากจวน เขารีบประคองมารดาที่ยืนซวนเซ ก่อนจะตวัดสายตาไปที่กลุ่มคน ซึ่งยืนอยู่ลานหน้าจวน “พ่อเจ้าคิดหย่าขาดกับแม่”ต้วนฮูหยินรีบบอกบุตรชาย ก่อนจะยกผ้าเช็ดหน้าซับหัวตา แสร้งร้องไห้เสียใจ ที่ถูกสามีของเลิกต่อหน้าผู้คนที่ผ่านไปมา “เป็นเจ้าใช่ไหมต้วนจ้าว เจ้ากลับมาเพื่อทำลายบ้านข้า!” “หุบปาก!”นายท่านต้วน ตวาดบุตรชายคนรอง ด้วยความโกรธจนสั่นไปทั้งกาย แต่ก่อนที่ชายชราจะเอ่ยสิ่งใดต่อ ต้วนจ้าวก็วางมือลงบนแขนบิดา เรื่องนี้เขาต้องจัดการเอง บทเรียนเมื่อสองวันก่อน คงไม่ทำให้ต้วนฉีจดจำ ในอดีตเขาจำยอม เพราะสงสารบิดาและเมียรักแต่ไม่ใช่วันนี้ที่เขามีคร
สองวันถัดมา ณ สกุลต้วน ชายชราผู้เป็นใหญ่ในบ้าน เทียวเดินออกมาชะเง้อมองถนน เผื่อว่าบุตรชายที่ออกจากบ้านไปนาน จะผ่านมาให้ได้เห็นบ้าง นับตั้งแต่เขารู้ข่าว ถึงการกลับมาของบุตรชาย ใจที่โหยหาก็ทำให้เขา เฝ้ารอที่จะได้เห็นหน้าบุตรชายอย่างมีความหวัง ในอดีตเป็นเขาที่ไม่คิดอ่อนข้อให้แก่บุตรชาย จนนำมาซึ่งการแยกครอบครัว แต่เมื่อเวลาผันผ่านไปหลายปี เขาที่แก่ชรามากแล้ว ก็รู้ตัวดีว่าครั้งนั้น มันหาใช่เรื่องใหญ่ จนถึงขั้นต้องแยกครอบครัว ด้วยบิดาย้ำเตือนให้เขาต้องเลือก สุดท้ายแล้วเขาเองที่ผิดทั้งหมดเป็นเขาเองที่เห็นแก่ตัว เลือกรักษาอำนาจในมือ จนต้องปล่อยบุตรชายออกจากบ้านไป เผชิญกับความทุกข์ยาก ที่เขาไม่อาจรู้ได้เลย ว่าบุตรชายต้องพบเจอสิ่งใดบ้างและตอนนี้ไร้บิดาของเขาแล้ว อำนาจเด็ดขาดจึงอยู่ในมือเขาแล้ว ขอเพียงบุตรชายเอ่ยปาก ว่าอยากกลับมา เขาก็พร้อมนำชื่อบุตรชายและสะใภ้ กลับเข้าผังสกุลโดยไม่ลังเล “ท่านพี่จะมายืนทำอะไรตรงนี้เจ้าคะ ไยไม่ช่วยลูกเราหาหนทาง ทวงความเป็นธรรมคืนจากสวะพวกนั้น” ต้วนฮูหยินพูดกับสามี ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเท่าใดนัก เมื่อสองวันก่อนบุตรชาย ได้บอก
นายท่านโจวรับกระดาษนั้นมาคลี่อ่าน แม้ว่าตัวอักษรจะไม่ได้ยาวเท่าใดนัก แต่มันก็ชัดเจนว่านี่คือคำสั่ง ให้ลงมือต่ออดีตลูกสะใภ้กับหลานชาย“มันคงแค่เรื่องบังเอิญ”หลังอ่านเนื้อความจนจบ ชายชราเอ่ยออกมาอย่างไม่เต็มเสียงนัก ทั้งยังไม่กล้าสบตาสามพี่น้องตรงๆ แม้เขาจะมั่นใจว่านี่คือของจริง แต่สกุลโจวยังต้องพึ่งพาสกุลจางและหยาง การทำแบบนี้กับสายเลือดของสองสกุล เท่ากับลากเอาทั้งตระกูลโจวลงสู่เหวลึก“หึๆ ข้าน้อยรู้อยู่แล้วขอรับ ว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ ก็อย่างที่ข้าบอก ข้ามิใช่คนใจกว้าง หากยังมีเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกสักครั้ง ข้าถือว่าได้บอกกล่าวไปแล้ว หากมีสิ่งใดร้ายแรงอย่าได้โทษ ว่าข้าไร้น้ำใจ ส่วนสิ่งนี้...โปรดรักษามันให้ดีหน่อยนะขอรับ เพราะยามเกิดสิ่งใดขึ้นมามา คงเป็นคนที่มีสิ่งนี้เท่านั้น ที่ต้องแบกรับมันอย่างโดดเดี่ยว หาใช่คนที่แอบเอามันไปใช้”ต้วนอี้หลาง ส่งสัญญาณให้ม่อเหลียว นำบางอย่างไปยื่นส่งให้แก่ผู้นำสกุลโจว ชายชรารับกล่องไม้ไปเปิดออกดู ตลอดร่างชาหนึบ ราวกับถูกฟ้าฝ่ากลางแสกหน้าป้ายคำสั่งสกุลโจว มันไปตกอยู่ในมือของเด็กพวกนี้ได้อย่างไร ชายชราอดไม่ได้ที่จะหันไปที่บุตรชายคนโต และลูกสะใภ้ที่ตอนนี
“โปรดระวังวาจาด้วยขอรับ สกุลเจียงใช่บ้านที่จะพูดจาให้เสียหายได้”พ่อบ้านชู่ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ เมื่อหญิงปากกล้าอาจหาญ หมิ่นนายเขาให้เสื่อมเสีย“หากไม่ใช่ลูกติดอนุ แล้วพวกเขาจะเป็นใครได้ ข้าเข้าใจว่าต่อหน้าผู้คน เจ้าเรียกพวกเขาว่าคุณชายคุณหนู แต่ก็อย่างที่เจ้าเห็น ว่าตอนนี้พวกเขา กำลังมาเรียกร้องสิทธิ์อยู่บ้านโจว”“สักคำแล้วหรือขอรับ ที่คุณชายของข้าน้อย บอกว่าจะมาทวงสิทธิ์ อีกอย่างนายท่านทุกคนของสกุลเจียง ไม่รับอนุหรือสาวใช้อุ่นเตียง จะมีเพียงนายหญิงเดียวตลอดชีวิต ข้าน้อยพูดถึงขนาดนี้แล้ว คนฉลาดย่อมเข้าใจนะขอรับ”“สตรีลูกติด! คู่ควรหรือ! อย่าทำเหมือนข้ามิรู้ ว่าสกุลชั้นสูง จะต้องเลือกสิ่งที่ดีและคู่ควรเท่านั้น หาใช่สิ่งของมีตำหนิ”“ฮูหยินน้อยโจว กำลังกล่าวหาว่านายท่านของข้า เป็นคนเขลาอย่างนั้นหรือ...”“ข้าแค่บอกว่านางไม่คู่ควร!”“ไม่ใช่สิ่งที่คนนอก จะสอดรู้ขอรับ”พ่อบ้านชู่ มองไปที่สะใภ้สกุลโจว ด้วยแววตาเอาเรื่อง สตรีหน้าชังผู้นี้กล้าเกินไปแล้ว คิดหยามหมิ่นในการตัดสินใจนายท่านของเขา“นี่เจ้า!”“อะแฮ่ม!”โจวเค่อ กระแอมไอขัดขึ้นเสียก่อน ภรรยาของเขาอยู่ในสังคมชั้นสูงมานาน น่าจะ
การตอบโต้ระหว่างสี่พ่อลูก ทำให้ผู้นำตระกูล และสมาชิกคนอื่นๆ ที่นั่งรวมอยู่ ถึงกับทำหน้ากันไม่ถูกเลยทีเดียว ด้วยไม่คิดว่าเด็กอายุเพียงเท่านี้ กลับมีวาจาฉะฉาน ทั้งการวางตัวไม่เหมือนคนไร้การอบรมสักนิดทั้งความน่าเกรงขามนั่นอีกเล่า มันส่งผ่านออกมาทางแววตาอันเด็ดเดี่ยว บอกได้ชัดว่าภายหน้า ทั้งสามพี่น้องเมื่อเติบโตขึ้น หากเดินบนเส้นทางของผู้นำ ย่อมเป็นใหญ่ได้ในเวลาอันสั้นเมื่อนึกถึงตรงนี้ ผู้นำตระกูลจึงต้องขบคิด หาหนทางนำเด็กทั้งสาม หรือหนึ่งในสามกลับมาอยู่ในตระกูล เส้นเลือดของครอบครัวจะไหลเวียนได้ไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าสามารถทำให้สามแฝด อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา“นางเป็นเด็กผู้หญิง จำต้องรู้สำรวม เจ้าที่เป็นชายจะเข้าใจอันใด”“หากเป็นสตรีที่อ่อนโยน แล้วต้องพบชะตากรรมเช่นท่านแม่ ข้ายินดีสอนให้น้องสาว รู้จักที่จะปกป้องตนเอง มิต้องพึ่งพาบุรุษให้เกินจำเป็น เน้นพึ่งพาตนเองเป็นดีที่สุด”“เด็กคนนี้ ข้า...เห็นไหมเล่า เจ้าเองยังมองว่ามารดาของเจ้าไร้ค่า”“ใต้เท้าโจว คนไร้ค่า...คือผู้ที่ไร้ปัญญาก้าวหน้าด้วยตนเอง แต่ท่านแม่ของข้า นางประเสริฐเกินคนเยี่ยงท่านจะเอื้อมถึง สตรีเช่นนางใช่จะมีให้เห็นดาษดื่นเสียเ
ภายในห้องรับแขก สามพี่น้องนั่งนิ่งเงียบ ไม่ได้แสดงท่าทีตื่นตาตื่นใจ กับความมั่งมีของครอบครัวบิดา เพราะถ้าเทียบกับสกุลเจียงแล้ว นี่มิได้ถึงเศษเสี้ยวเลยก็ว่าได้ หากจะมีบิดาทั้งที ก็ต้องหน้าตาดีและร่ำรวย รวมถึงเป็นคนที่ดี คู่ควรมารดาเท่านั้นโจวเค่อผู้หลงตัวเอง กำลังนั่งยิ้มอย่างผู้มีชัย ซึ่งมันทำให้สามแฝดอดขำขันอยู่ในใจไม่ได้ ยิ้มไปเถิดบิดาข้า เพราะอีกไม่กี่อึดใจ มันจะหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อนเลย“พวกเจ้าคิดได้แล้วใช่หรือไม่ จึงมาหาข้าถึงบ้านเยี่ยงนี้ แต่ข้าต้องบอกเอาไว้ก่อนว่ามากสุด พวกเจ้าก็เป็นได้แค่ลูก ที่มิอาจสืบทอดตำแหน่งใดในสกุลโจวได้”โจวเค่อรีบบอกกับลูกที่เกิดกับอดีตภรรยา เขายอมรับว่าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอี้หรูจะยังรักษาลูกๆ เอาไว้ได้ อีกทั้งเมื่อล่าสุดที่ได้พบนาง ก็เกิดเหตุการณ์ที่เขามั่นใจยิ่งนัก ว่ายากที่นางกับลูกจะรอดชีวิตมาได้ และที่เขาไม่อยากเชื่อสายตา คือเขามีลูกแฝดถึงสามคนแต่เพราะตัวเขานั้น ยังต้องพึ่งพาสกุลจาง และสกุลหยางของภรรยา เพื่อความก้าวหน้าในราชสำนัก จึงไม่อาจหักหาญน้ำใจจางหย๋าชินได้ เพราะมีใครบ้าง ไม่ต้องกำอำนาจหนุนหลัง กับการอยู่ในสังคมสวมหน้ากากนี้“เรียนใต้เท