ยี่สิบวันต่อมา ณ โรงหมอสกุลต้วน
ร่างผอมแห้ง ยังคงนอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง โดยมีสายตาของหมอชราคอยเฝ้ามอง ยี่สิบวันก่อน ไม่รู้เพราะคำของหลวงจีนชรา หรือเพราะอยากพิสูจน์ คำพูดของหลวงจีน ที่ได้บอกแก่เขา
ว่าหากอยากมีทายาท ที่นำพาความรุ่งโรจน์มาให้ จงไปที่ตรอกท้ายตลาด เมื่อมีผู้ตกทุกข์อย่านิ่งนอนใจ ให้ยื่นมือช่วยเหลือ คนจากทางไกลตื่นมาเมื่อไหร่ จะนำพาให้เขาและภรรยามั่งมีไปจนชีวิตจะหาไม่
วันนั้นเขาและภรรยา จึงเดินไปตามคำบอกเล่านั้น ถือเสียว่าไปเดินเล่นรับลมกัน และได้เห็นขุนนางจากเมืองหลวง กับภรรยา กำลังสั่งให้คนทุบตีขอทานแม่ลูกอย่างโหดร้าย เขาจึงได้ยื่นมือเข้าช่วย โดยอ้างกฎหมายบ้านเมือง จึงทำให้สามีภรรยาใจอำมหิตนั้นล่าถอยไป
แต่ก็ยังมิวายที่จะมีคน มาคอยสอดส่องความเป็นไปในโรงหมอของเขาอยู่เป็นระยะ จนได้รู้ถึงที่มาของขอทานแม่ลูก จากปากของหญิงชราคนหนึ่ง ที่ได้มาอ้างตน ว่าเป็นแม่นมของขอทานสาว และเด็กอีกสองคน คือคู่แฝดของลูกชายขอทาน
และที่เขายินยอมเชื่อ เพราะเด็กอีกสองคน มีใบหน้าพิมพ์เดียวกันกับเด็กที่บาดเจ็บ ยิ่งเมื่อรู้สาเหตุของเรื่องราว ความสงสารต่อคนทั้งห้าก็มีมากขึ้นไปอีก เขาจึงยินดีรักษานาง โดยให้หญิงชราและเด็กแฝด มาช่วยงานที่โรงหมอ
แม้เขาไม่มีเงินทองอะไรมากมาย แต่ก็ยังไม่ถึงกับอดอยาก ข้าวปลาอาหารก็พอแบ่งกันให้อิ่มท้องได้ครบทุกคน ยิ่งเมื่อนึกถึงคำของหลวงจีนชรา เขาก็อดคิดตามไม่ได้
ประวัติของหญิงขอทาน นับว่ามีพื้นฐานชีวิตที่ดีมาก่อน มิว่าความรู้หรือมารยาท ย่อมถอดแบบชนชั้นสูงมา บางทีนี่อาจทำให้เขาสมหวังในเรื่องผู้สืบสกุล อย่างน้อยๆ นางก็มีบุตรชายถึงสองคน ภรรยาของเขาจะได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง หลังจากกล่าวโทษตนเองมานานหลายสิบปี
“ท่านพี่ นางสองแม่ลูก จะผ่านคืนนี้ไปได้ไหมเจ้าคะ”
ต้วนฮูหยินเอ่ยถามสามี นางเองก็ได้ฟังเรื่องที่ไต้ซือหลงอ้ายบอกแก่สามีเช่นกัน แต่ดูจากอาการของหญิงขอทาน กับบุตรชายแล้ว มันห่างไกลคำว่าจะตื่นขึ้นมายิ่งนัก
“สิ่งที่ไต้ซือบอกมานั้น คือความหวังของเรา แต่ในฐานะหมอแล้ว ข้าอยากทำให้เต็มที่”
“อันที่จริงเราอยู่กันสองคนผัวเมีย ก็มิลำบากอันใด ความมั่งมีที่ว่ามา มันก็ไม่ได้จำเป็นสักนิด”
ใช่ว่านางไม่คาดหวัง แต่นางก็กลัวว่าสองแม่ลูก จะต่อสู้กับชะตาต่อไม่ไหว จึงไม่อยากที่จะวาดหวังให้มากจนเกินไป เลยต้องแสร้งพูด เหมือนไม่เชื่อในคำของหลวงจีน ทั้งที่ในใจลึกๆ นางก็อยากให้สองแม่ลูกตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้ารู้ว่าเจ้ากลัวความผิดหวัง หากนางสองแม่ลูกไม่อาจสู้ต่อชะตาได้ เด็กน้อยอีกสองคนนั่นเล่า เจ้าไม่คิดว่าพวกเขา จะเป็นคนที่ไต้ซือบอกเราหรือ”
ชายชราพูดกับภรรยา ด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม ใบหน้าระบายยิ้มให้นางด้วยความรักใคร่ ทว่าต้วนฮูหยินกลับก้มหน้าเล็กน้อย นางรู้ดีว่าการที่ไร้ทายาทสืบสกุล ทำให้สามีต้องถูกหยามหมิ่น จากครอบครัวมากเพียงใด จนในที่สุดก็ถูกมอบหนังสือแยกบ้านจากพ่อสามี ความผิดทั้งหมดหาใช่เกิดที่เขา แต่เป็นตัวนางที่มิอาจมีลูกได้
เพราะความรักทั้งสิ้น ทำให้สามีไม่รับอนุ ไม่ยอมให้หญิงใดมาแทรกระหว่างนางกับเขา ชีวิตของเขาต้องตกต่ำ เพราะนางเพียงคนเดียวจริงๆ
“ยายแก่ เจ้าคิดสิ่งใดเรื่อยเปื่อยอีกแล้ว”
ชายชราใช้มือช้อนคางภรรยา ให้เงยหน้าขึ้นสบตากับเขา ตลอดสามสิบปีมานี้ เขาไม่เคยคิดว่ามันคือความผิดของนางเลย
“ข้าแค่...แค่รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมด มันมาจากข้าเจ้าค่ะ”
“อย่าคิดไร้สาระ การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งยากยิ่งนัก สู้เรามีลูกที่โตแล้วเยี่ยงนาง หรือคู่แฝดนั่น ไม่ดีกว่าหรอกหรือ”
ต้วนฮูหยิน มองไปทางขอทานสาว ที่นอนไร้สติอยู่บนเตียง ก่อนจะหันกลับมามองสามี ด้วยมิอยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“นางมีสภาพเช่นนี้ ท่านยังคาดหวังอีกหรือเจ้าคะ”
“หึๆ ภรรยาข้า โลกนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าบางเรื่องมันจะเหนือความคาดหมายก็ตามที”
“แค่กๆ”
ทว่าเสียงไอแห้งๆ จากคนที่หายใจรวยรินมากว่ายี่สิบวัน พลันเรียกให้สองสามีภรรยา ให้ลุกขึ้นก้าวไปที่เตียงนอน ด้วยหัวใจอันพองโต เพราะความหวัง มันเริ่มเป็นรูปร่างขึ้นมาบ้างแล้ว
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
คำถามที่ใช้ภาษาและสำเนียง แตกต่างจากความคุ้นเคย ทำให้คนที่เพิ่งลืมตาตื่น ต้องหันมองด้วยความรู้สึกงุนงง แต่ก็ยังคงนิ่งเอาไว้ก่อน เธอหลุดมาในโลกของนิยายเหรอ เพราะความตายที่เธอได้รับ มันไม่มีทางเป็นความฝันอย่างแน่นอน
ถ้าหลับแล้วตื่นขึ้นในบ้านเดิม จากโลกยุคอนาคต เธอถึงจะเชื่อว่าเรื่องของสามีกับน้องชาย มันเป็นแค่เธอฝันไปเท่านั้น แต่ตราบใดที่เธอยังรู้สึกว่าตัวเองยังหายใจอยู่ และไม่ได้อยู่ในยุคเดิมที่คุ้นเคย มันคืออีกชีวิตหลังความตายสำหรับเธอ
และในจังหวะนั้นเอง ความทรงจำมากมายของหญิงสาวอีกคน พลันหลั่งไหลเข้ามาเหมือนสายน้ำเชี่ยว ไม่มีตรงไหนที่เรียกว่าความสุขเลย สำหรับผู้หญิงคนนี้ ตอนเด็กก็ถูกอบรมอย่างเข้มงวด เช่นผู้หญิงชนชั้นสูงของยุคโบราณ แต่พอแม่ตายไป ทุกอย่างก็ถูกช่วงชิง และพังทลายลงไปยิ่งกว่าดิ่งหัวลงสู่ก้นเหว มีลูกแฝดสามทั้งชายและหญิง มีแม่นมที่ภักดีอีกหนึ่งคน ที่สำคัญไปกว่านั้น เจ้าของความทรงจำ ไม่ใช่ลูกที่ถูกสับเปลี่ยนมารักษาสถานะ อย่างที่ถูกกล่าวหา แต่เป็นบุตรสาวตัวจริง ที่มารดาได้ฟูมฟักมาเป็นอย่างดี ยังคงหัวสมัยเก่าเต็มร้อยสินะ! จริงเท็จก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับ ถ้าเธอต้องมาใช้ร่างกายนี้ดำเนินชีวิตต่อไป ไม่มีคำว่ายาจกในสารระบบของเธอ แม้แต่เสี้ยวเดียวอย่างแน่นอน “อี้หรู เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง เจ้ายังได้ยินข้าอยู่หรือไม่” เมื่อเห็นอาการเหมอลอยของหญิงสาว ท่านหมอต้วนจึงเอ่ยถามย้ำต่อนางอีกครั้ง เพราะจากร่างกายที่เจ็บสาหัส หากจะมีอาการมึนงงไปบ้าง ย่อมมิใช่เรื่องแปลกอันใด “ที่นี่คือ...แล้วท่านทั้งสองคือผู้ใดกันเจ้าคะ แค่กๆ” หญิงสาวเอ่ยถามออกไป ด้วยน้ำเสียงแห
ต้วนฮูหยินช่วยพยุงหญิงสาว ให้ลงจากเตียงนอนอย่างอ่อนโยน ประหนึ่งมารดาดูแลบุตร“ฮูหยิน”“ว่าอย่างไร”“ข้ายังมีแม่นม กับบุตรชายหญิงอีกสองคนเจ้าค่ะ”“เจ้าวางใจ พวกเขาอยู่ที่โรงหมอนี้เช่นกัน ประเดี๋ยวคงพากันมาหาเจ้า แม่นมหวังกำลังเฝ้าบุตรชายเจ้าอยู่อีกห้อง”“ข้าน้อยมิรู้จะตอบแทนเมตตานี้ ของท่านหมอกับฮูหยินเช่นไรได้เจ้าค่ะ”“รู้อ่อนน้อมนัก มาเถอะข้าจะช่วยเจ้าเอง เสื้อผ้าของเจ้าข้าจะให้คนนำมาให้”อี้หรู รู้ดีว่ายุคสมัยนี้ คนที่จะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ต้องรู้ก้มหน้าในยามอับจน ต่อให้เป็นชนชั้นสูงก็ต้องรู้ถ่อมตัว เจ้าของร่างชำนาญในแบบสตรีในหอห้อง แต่นางมีความรู้รอบด้าน เมื่ออยู่ในโรงหมอแล้วเช่นนี้ ก็ต้องใช้ความรู้หางานทำเสียเลยมีงานก็มีเงิน ความอดยากก็จะเริ่มหายไปเอง ชีวิตเดิมนางก็มิได้ร่ำรวยแต่แรก ต้องสู้ฝ่าฟันเพื่อลบคำว่าลูกสาว ไม่มีคุณค่า ในชีวิตใหม่ต่างโลก นางจะต้องทำให้ตัวเองมีคุณค่า ที่บุรุษมิอาจเอื้อมเช่นกันอี้หรู ค่อยๆ ก้าวลงไปในอ่างน้ำ ที่ใหญ่พอให้ลงแช่ได้ถึงสองคน ความอุ่นซ่านที่แผ่กระจายไปตามร่าง ที่ค่อยๆ จมลงไปในน้ำจนมิดศีรษะ หญิงสาวซึมซับความอุ่นร้อนนั้น เพื่อตอกย้ำว่าตัวเอ
หลังจากทุกคนร่วมกันกินอาหารเสร็จ อี้หรูขอที่จะนอนเฝ้าบุตรชาย เพราะถ้าเป็นเจ้าของร่าง ก็คงทำเช่นเดียวกับนางในตอนนี้ คงมีแค่แม่ของนางในอีกโลก ที่ไม่เคยเห็นนางในสายตา ฉะนั้นนางจะต้องทำให้ลูกๆ ในชีวิตใหม่ เป็นคนที่ไม่หยามเหยียดเพศสตรี “คุณหนูบ่าวยังไหวเจ้าค่ะ” แม่นมหวังนั้น ห่วงว่าผู้เป็นนายที่เพิ่งฟื้น จะล้มเจ็บลงอีก จึงเลือกที่จะเสนอตัวในการดูแลคุณชายใหญ่ต่อเอง “ข้าอยู่ด้วย แม่นมหวังจะได้พักผ่อนบ้าง อีกอย่างข้าอยากให้อี้หลางตื่นมา เห็นหน้าข้าที่เป็นแม่ก่อนผู้ใด เขาจะได้รู้ว่าความกล้าหาญของเขามิได้เสียเปล่า” “ไม่ต้องห่วงไปแม่นมหวัง ข้าได้ตรวจชีพจรของอี้หรูแล้ว นางไม่ล้มเจ็บลงอีกง่ายๆ อย่างแน่นอน ขอแค่นางไม่ทำสิ่งใดเกินกำลัง” ท่านหมอต้วนยืนยันอีกเสียง เมื่อเห็นในความตั้งใจของหญิงสาว และเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ ไหนเลยจะอยากห่างลูก เมื่อยามลูกเจ็บป่วยเช่นนี้ “ขอบคุณท่านหมออีกครั้งนะเจ้าคะ ที่เมตตาเราทั้งห้าคน หากมิได้ท่านหมอกับฮูหยินช่วยเหลือ เราแม่ลูกคงไม่อาจมีชีวิตรอด โปรดรับการคำนับจากเราด้วยเจ้าค่ะ” หญิงสาวกำลังจะคุกเข่าล
“ต่อไปนี้เจ้าคือต้วนอี้หรู และหลานๆ ของข้าก็ล้วนเป็นคนสกุลต้วน ที่สำคัญเจ้าคือบุตรสาว ที่ออกเรือนไปอยู่ไกล ได้หย่าร้างกลับมาอยู่กับพ่อแม่ หาใช่บุตรสาวบุญธรรม เข้าใจหรือไม่” “อี้หรูทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อ” หญิงสาวคลี่ยิ้มกว้าง ความระแวดระวังนั้นใช่หายไปจากสมอง แต่เวลานี้นางต้องเลือกหาที่คุ้มหัวก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันในภายหลัง แค่กๆ ทว่าเสียงไอจากคนบนเตียง ทำให้ทุกคนที่กำลังยินดี ต่อสถานะใหม่ในโรงหมอ ต่างพากันหันกลับไปมองที่เตียง แม่นมหวังรีบพยุงนายสาวให้ลุกขึ้น เพื่อไปดูอาการของคุณชายใหญ่ หมอชรารีบเข้าไปนั่งยังขอบเตียง แล้วตรวจดูอาการของหลานชายหมาดๆ โดยมีต้วนฮูหยิน ถือถ้วยน้ำติดตามไปด้วย ช่างเป็นวาสนาร่วมกันยิ่งนัก ได้บุตรสาวมิทันถึงชั่วอึดใจ หลานชายที่สิ้นสติมาหลายวัน ได้ตื่นขึ้นมาเสียที สวรรค์ช่างเมตตายายแก่เยี่ยงนาง ให้มีความชุ่มชื่นหัวใจในวัยใกล้ฝั่ง “หลานตาเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ชายชราเอ่ยถามหลานชาย ที่ตอนนี้นอนนิ่งจ้องหน้าเขา ราวกับคนกำลังตกอยู่ในห้วงของความคิด เด็กชายกระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะค่อยๆ หันมองไปที่คนอื่นๆ
ต้วนอี้หลาง เดินเข้ามาช่วยบีบไหล่ให้มารดา เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าให้แก่นาง เด็กชายรู้ดีว่ามารดา ต้องการให้พวกตน มีชีวิตที่ไม่ต้องเร่ร่อน จึงตอบรับเป็นบุตรสาวบุญธรรม ของท่านตาท่านยาย และลงมือทำงานอย่างหนัก “อี้หลาง ขอแค่เรามีโอกาสที่จะลืมตาอ้าปาก คำว่าเหน็ดเหนื่อยมันไม่มีในหัวแม่เลยรู้ไหม แม้เจ้ายังเด็กอยู่ ก็ต้องมั่นที่จะหาความรู้ให้มาก เพื่ออนาคตที่ดีรู้ไหม ภายหน้าไร้แม่คอยคุ้มภัย เจ้าจะได้ดูแลตนเองได้” หญิงสาวลูบมือน้อยๆ ของบุตรชาย ด้วยความรักใคร่ นี่หรือคำว่าแม่ที่นางเคยใฝ่ฝันอยากเป็น ก็ดีนางไม่ต้องทนเจ็บปวดตอนคลอด ยุคนี้ไม่มีเครื่องมือทำคลอด หากต้องมาอุ้มท้องและคลอดเอง นางคงคิดหนักไม่น้อย “ข้าจะปกป้องพวกเขาแทนเจ้าอี้หรู เจ้าเก่งมากในฐานะแม่ ที่สู้เพื่อพวกเขาจนลมหายใจสุดท้าย” หญิงสาวบอกกล่าว แก่คนที่จากไปแล้วอยู่ภายในใจ คงไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่าการมีชีวิตอยู่ เพื่อมองอนาคตของลูกๆ “ข้าจะทำทุกอย่าง ให้ครอบครัวของเรามีความสุขขอรับ” แก๊ก! เด็กชายตวัดสายตา ไปยังเสียงแปลกปลอมในทันที กิ่งไม้แห้งที่อยู่ด้านนอก ถูกเหยียบหัก แม้จะเบ
แต่เด็กเพียงสิบขวบเท่านั้น ไยจึงทำได้ขนาดนี้ พลังต้องมากพอ จึงสามารถแทงจนทะลุข้อมือของเขาได้ ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ลูกดอกถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ชายชุดดำ คิดจะถอยไปตั้งหลักฟิ้ว! เคร้ง! ฉึก! ในจังหวะที่ลูกดอกพุ่งออกมาเฉียดใกล้เขา เด็กชายตวัดเหล็กแหลมในมือเพียงเล็กน้อย ลูกดอกที่ควรเลยผ่านไป กลับพุ่งเข้ากลางลำคอของเขาในทันที ยากนักที่เขาจะหลบเลี่ยงได้ทัน“เจ้าเป็นใครกัน...”เป็นคำถามสุดท้าย ที่ไม่มีโอกาสได้ฟังคำตอบ ด้วยเขาสิ้นใจไปเสียก่อน เด็กชายรีบทิ้งเหล็กแหลมในมือ วิ่งเข้าสวมกอดมารดาเอาไว้แน่น ร่างกายของเด็กชายสั่นเทา ด้วยความหวาดกลัว“แม่ขอโทษที่มาช้า ทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตราย”หญิงสาวปลอบโยนบุตรชาย พร้อมใช้มือลูบแผ่นหลังสั่นเทานั้นให้คลายกังวล หากไม่ตอบโต้ก็คงต้องหลบซ่อนไปชั่วชีวิต ไม่ต่างจากเต่าที่หดหัวแค่ในกระดอง สู้เป็นสุนัขจนตรอก ที่พร้อมหันหน้าสู้จนตัวตาย เมื่อบีบคันไม่ดีกว่าหรือ“เกิดเรื่องใดขึ้น อี้หรู อี้หลาง พวกเจ้าปลอดภัยหรือไม่”ชายชราวิ่งเข้ามาภายในห้อง ด้วยใบหน้าตื่นตระหนก เขาตื่นมาเพื่อผลัดเปลี่ยนกับบุตรสาว ในการเคี่ยวยาส่งให้บ้านสกุลชูในตอนเช้า แต่ไม่คิดว่าจะเห็น
เช้าวันถัดมาสองตาหลาน ได้ออกจากโรงหมอไปตั้งแต่ฟ้ายังมิทันสาง ส่วนอี้หรูกับมารดา ได้เตรียมตัวออกไปส่งยาให้สกุลชูเช่นกัน หญิงสาวไม่ลืมที่จะปกปิดใบหน้าเอาไว้ เพราะใบหน้านี้ อาจนำความยุ่งยากมาสู้ตนเอง และครอบครัว “อี้หลง อี้หลิง เจ้าสองคน อย่าได้ออกมาด้านหน้าโรงหมอเป็นอันขาด รอแม่กับท่านยายกลับมา ค่อยออกมาวิ่งเล่นในสวนเข้าใจไหม” “ขอรับ/เจ้าค่ะ” คู่แฝดรับคำมารดาอย่างว่าง่าย นับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับมารดาและพี่ชาย ไม่ว่าสิ่งใดที่แม่และพี่กำชับไว้ ทั้งคู่ไม่เคยคิดที่จะดื้อรั้นเลยแม้แต่น้อย “ท่านแม่ เราไปกันเถอะเจ้าค่ะ” หญิงสาวหันไปชวนมารดา “ยายจะซื้อขนมมาฝากพวกเจ้านะ อย่าซนเล่า”ต้วนฮูหยินพยักหน้ารับบุตรสาว ก่อนจะหันไปบอกกับคู่แฝด ด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก หากจะว่าไปแล้วในสามแฝด คงมีเพียงสองคนนี้เท่านั้น ที่ยังดูเป็นเด็ก ต่างจากหลานชายคนโต ที่ดูจะเคร่งครึม และพูดน้อยมาก ติดจะเย็นชาไปเสียด้วยซ้ำ แต่นางก็เข้าใจหลานชายคนโตดี การต้องเป็นผู้นำครอบครัวในภายหน้า ต้องฝึกฝนตนเอง ทั้งความคิดและการกระทำให้มาก ทว่านางก็ไม่เคยลำ
ชายชราไม่สนว่าอีกฝ่าย จะช่วยเหลือด้วยหนี้บุญคุณ หรือเพราะราคาค่าจ้าง ขอแค่ตอนนี้ครอบครัวเขาปลอดภัย สิ่งใดก็หาได้สำคัญไม่ “เป็นท่านลุงไม่ได้หรือขอรับ ที่ไปด้วยตนเอง” “อี้หลาง!” เป็นครั้งแรกที่ชายชรา รู้สึกว่าหลานชาย ทำตัวเสียมารยาท สอดแทรกการสนทนา ทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน “ท่านหมออย่าได้ตำหนิเขาเลยขอรับ ข้าเองก็อยากรู้เหตุผลของความกล้านี้เช่นกัน” ชายหนุ่มเกรงเด็กชายจะถูกลงโทษ จึงได้เอ่ยปากช่วยเหลือ และเป็นอย่างที่เขาพูดไป เขาอยากรู้ว่าทำไม เด็กชายจึงอยากให้เขาไปด้วยตนเอง “ท่านลุงมีภรรยา แล้วหรือยังขอรับ” “อี้หลาง เจ้าอย่าได้เสียมารยาทเกินไปนัก ครานี้ตาต้องลงโทษเจ้าจริงๆ แล้วนะ” ชายชรารู้สึกกรุ่นโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว นี่นับเป็นเรื่องที่ก้าวล่วงอย่างแท้จริง “ไม่เป็นไรท่านหมอ ข้าชอบความใจกล้าของเขา เจ้าอยากรู้ข้าก็ไม่ขอปิดบัง ข้านั้นไร้ภรรยา รวมถึงทายาทด้วย” ชายหนุ่มผ่านโลกมาไม่น้อย พอจะเดาความคิดของเด็กชายออก แต่เขาเองก็อยากมั่นใจ ว่าคิดถูกหรือไม่กับการตีความ ในคำถามของต้วนอี้หลาง “เ
ชายหนุ่มใช้นิ้วเรียวยาว แยกกลีบบางออก เพื่อให้เขาได้สัมผัสเม็ดสวาท ได้ถนัดมากขึ้น ชายหนุ่มก้มลงดูดเม้มเกสรอ่อนนุ่ม สลับลากปลายลิ้นขึ้นลงตามร่องสวาท ที่ฉ่ำแฉะไปด้วยน้ำหวาน ซึ่งไหลออกมามิขาดสาย หญิงสาวยกก้นกลมกลึง ขึ้นสวนรับปลายลิ้น ของชายหนุ่มอย่างกระสันเสียว ร่างงามบิดเร้าประหนึ่งงูเลื้อย โดยที่ปากของนางยังคงดูดดึงท่อนเอ็นอุ่นร้อน ของชายหนุ่มอีกคน ที่ยังขยับเข้าออกตามมือบางที่รูดขึ้นลง ตามจังหวะขับเคลื่อน ชายหนุ่มทั้งสองครางเสียงต่ำ เมื่อความเสียวซ่านกระจายไปทั่วทุกอณูขุมขน ร่างสูงผละใบหน้าออกจากเนินเนื้ออวบอูม เปลี่ยนเป็นนั่งคุกเข่า อยู่ตรงหว่างขาเรียวงามแทน มือหยาบจับต้นขาหญิงสาวแยกออกกว้าง ก่อนที่เขาจะขยับให้ท่อนเอ็นอันใหญ่โต แนบชิดกับเนินเนื้อ ชายหนุ่มขยับโยกกายเล็กน้อย ให้ท่อนอุ่นร้อนเสียดสีกับเนินสวาทของนาง “อื้อ!!!”หญิงสาวครางในลำคอ ด้วยปากของนางยังคงไม่ได้รับอิสระ มือหยาบจับที่ท่อนเอ็นของตนเอง แล้วเอามันถูกขึ้นลงตามร่องสวาท เขามิได้เร่งร้อนที่จะสอดมันเข้าไปข้างในเพราะยิ่งเจ้าของร่างงามเสียวซ่านมากเพียงใด น้ำหวานหล่อลื่นจะออกมามากเท่านั้น
ใบหน้างามของสองพี่น้อง เริ่มที่จะคลอเคลียกัน มือที่นุ่มเลื่อนไปตามเรือนร่างเย้ายวนของกันละกัน ทว่าก่อนที่ทั้งคู่จะถลำลึก เสพสมกันเอง พลันมีมือหยาบกร้านที่สากเนื้อผิว พลันมาสัมผัสที่เอวคอดของหญิงสาวทั้งสอง จากด้านหลัง แสงคบไฟที่ตกกระทบเพียงรำไร ทำให้ไม่อาจบอกได้ ว่าชายที่มาคลอเคลียนางสองพี่น้องเป็นใคร แต่ในเวลานี้ความร้อนรุ่มภายในกาย จำต้องได้รับการปลดปล่อย เมื่อได้รับสัมผัสจากบุรุษเพศ หญิงสาวทั้งสอง เปลี่ยนไปคลอเคลียร่างใหญ่นั้นทันที ทว่าชายหนุ่มที่พวกนางถวิลหา เพื่อปลดปล่อยกำหนัดจากฤทธิ์ของธูปหอม หาได้มีเพียงหนึ่งหรือสองคนอย่างที่คิด แต่ในเวลานี้จะกี่คนพวกนางก็หาได้ใส่ใจ ขอแค่สามารถทำให้ความร้อนรุ่มของพวกนาง หายไปได้เท่านั้นก็พอ มือสากเลื่อนขึ้นกอบกุมสองเต้าเต่งตึง ก่อนจะออกแรงบีบคลึงหนักๆ สองพี่น้องถูกแยกออกจากกัน โดยมีชายรูปร่างกำยาประกบหน้าหลัง ดวงตาที่ฉ่ำเยิ้มจากความต้องการ หลับพริ้มลงเมื่อปลายถันของนาง ถูกครอบครองด้วยปากอุ่นร้อน แผ่นอกที่แนบหลังของนาง มันช่างร้อนฉ่าจนทำให้ร่างของนาง เรียกร้องหาการเติมเต็ม ชายหนุ่มที่โอบกอดหญิงสาวจากด้
หลังจากอาหารค่ำสิ้นสุดลง สองพี่น้องได้ส่งภรรยาและคู่หมั้น เข้าไปในกระโจมพัก รอพวกเขาไปอาบน้ำที่ลำธารก่อน ส่วนหญิงสาวทั้งสอง กลับมิได้สนใจพวกเขามากนัก เพราะกำลังง่วนอยู่กับการทำหินร้อน เพื่อใช้ในค่ำคืนนี้อยู่ น้ำในลำธารเย็นเยียบยิ่งนัก ทว่าสำหรับสองพี่น้อง กลับไม่ได้รู้สึกสะท้านไหว ต่อความเย็นของน้ำแม้แต่น้อย ด้วยมารดาที่มีความรู้ในหลายแขนงซึ่งนางชื่นชอบการใช้ธรรมชาติ ในการบำบัดร่างกาย ความเย็นของน้ำนี่ก็เช่นกัน เพราะการที่พวกเขา นั่งบนหลังม้านานๆ ย่อมมีระบมอยู่แล้ว ความเย็นของน้ำจะช่วยให้มันบรรเทา และไม่ระบมจนเกินไป “นอกจากผู้หญิงในบ้าน ข้าไม่คิดว่าต้องแก้ผ้าให้สตรีอื่นเชยชมสักครั้ง” หยางอี้หลง เอ่ยกับพี่ชายด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เมื่อพวกเขากำลังเปลือยท่อนบน และท่อนล่างก็สวมเพียงกางเกงเนื้อบาง ชนิดว่าถ้ายืนเหนือน้ำเมื่อไหร่ ย่อมเห็นความใหญ่โตของส่วนล่างได้อย่างเด่นชัด “ก็ได้แค่มอง เจ้าจะหวงไปทำไม หืม!” ต้วนอี้หลางเย้าน้องชาย ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แสงจากคบไฟ ที่ส่องสะท้อนกางเกงสีขาวแนบเนื้อ ทำให้คนที่แอบมอง ถึงกับกลืนน้ำลายลงค
“ที่นี่มิได้มีคนนอก และนี่เป็นการเดินทางเพื่อท่องเที่ยว เราทุกคนควรที่จะร่วมทุกข์ ร่วมสุขไปด้วยกัน มิใช่มามัวแต่แบ่งแยกในเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ เพราะทุกคนในคณะ ล้วนรู้ถึงหน้าที่ของตนเองดีอยู่แล้ว เวลาพักก็ควรเท่าเทียมมิใช่หรือ” ต้วนอี้หลาง ยังคงชี้แจงให้หญิงสาวทั้งสองกระจ่าง แม้ว่ามันหาได้จำเป็นสักนิด ที่เขาจะต้องมานั่งสาธยายเรื่องเหล่านี้ แต่เพื่อไม่ให้เกิดคำถามสิ้นคิดขึ้นมาอีกเขาจึงต้องรีบบอกดักทางเอาไว้เสียก่อน หาไม่แล้วตัวเขาคงช้ำจากกำปั้นภรรยา ที่เดี๋ยวทุบเดี๋ยวตี ในทุกครั้งที่หญิงสาวแปลกหน้า คอยวนเวียนถามในสิ่งที่ไม่น่าถามและเขาก็ไม่ได้ถือสาภรรยา แต่กลับภูมิใจเสียอีก ที่นางหวงเขาราวแม่เสือหวงลูก เพราะ...ใช่แล้ว! ชีวิตเดิมของเขา ภรรยาในอดีต ไม่เคยแม้แต่จะชายตามองเขา อย่างคนที่เรียกว่ารักสักครั้ง “ตักอาหารเถอะ”ไฉอ้ายเอ่ยแทรกขึ้น เมื่อหญิงงาม หาหนทางสนทนากับสามีของนาง แสร้งโง่ไปอย่างนั้น เชอะ! แผนเด็กๆ นางโตมาในวังหลัง เล่ห์สตรีภายนอก หรือจะสู้ดอกไม้งามในวังได้ หมับ! ทว่าก่อนที่ฉู่เมี่ยวจะลุกขึ้น เพื่อไปจัดการกับอาหาร ไฉอ้ายรีบกดไหล่น้องสะใภ้ให้นั่งลง โ
“แต่กุ้งอบหม้อดินของบ่าว...”ฉู่เมี่ยว ที่เดินกลับมารวมตัวกับทุกคน ได้นำเสนออาหารของตนเองบ้าง “อะแฮ่ม!”แม่ทัพหนุ่มรีบกระแอมไอ เพื่อให้หญิงสาวเปลี่ยนคำแทนตัว ในเมื่อนางกับเขา หมั้นหมายกันมามิใช่ปีสองปี แต่มันตั้งแต่เขารู้ใจตัวเอง ก็ผ่านมากว่าเจ็ดปีแล้ว แต่ที่ยังไม่ได้แต่งงาน ก็เพราะรอคู่ของพี่ชายก่อน “ของเมี่ยวเอ๋อร์ ก็อร่อยมิแพ้กันนะเจ้าคะ ข้าใส่ขิงป่าลงไปด้วย รสชาติจะเผ็ดร้อนแต่ดีต่อร่างกาย ในยามค่ำคืนยิ่งนักเจ้าค่ะ” แม้ปากจะสาธยายถึงประโยชน์ ทว่าใบหน้าของนาง กลับแดงยิ่งกว่ากุ้งต้มเสียอีก ก็ในเมื่อสายตาหยาดเยิ้มของแม่ทัพหนุ่ม มองทุกการขยับของเรียวปากอิ่ม ซึ่งมันเชื้อเชิญให้ลิ้มลองยิ่งนัก “ขิงป่ารึ! เจ้าไปเก็บมาตอนไหนกัน” เมื่อเห็นอาการของน้องสามี ที่แทบจะกลืนกินฉู่เมี่ยว ต่อหน้านางกับสามี ไฉอ้ายรีบผุดลุกขึ้น เดินอ้อมไปคว้าจับมือของฉู่เมี่ยว พร้อมท่าทางลิงโลดอย่างคนอยากรู้ “เมี่ยวเอ๋อร์ได้มาตอนเดินตลาดในหมู่บ้านเจ้าค่ะ ตอนนั้นเห็นองค์...เอ่อ พี่สะใภ้กำลังเลือกขนมอยู่ เลยมิได้ชวนไปดูด้วยกันเจ้าค่ะ” หญิงสาวเปลี่ยนเรียกขานพี
“เหอะ! คุณหนูถึงสองคน ราวกับตั้งใจจับมาวางต่อหน้าทีเดียว”สองพี่น้องหันสบตากันทันที เมื่อพวกเขากำลังจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัย ที่อยู่ๆ มีสตรีโผล่มาระหว่างทาง อย่างเหมาะเจาะเช่นนี้“สตรีใดเล่า จะเทียบเท่าภรรยาข้าได้ อย่าได้ห่วงไปเลย”เมื่อเห็นอาการแง่งอนของภรรยา ใจที่มันด้านชามาช้านานพลันชุ่มชื่นราวต้นไม้ต้องสายฝนเลยทีเดียว เขาไม่สนว่านี่จะเป็นเพียงการแสดง หรือสิ่งที่ออกมาจากใจของนางจริงๆ “ขุนนาง พ่อค้า ไว้ใจได้หรือ...เรื่องสตรี” “ใครบอกเจ้ากัน หืม!” “ข้ามิได้ตาบอดนะ เห็นๆ อยู่ว่าทุกครอบครัว เกิดปัญหาก็เพราะความเจ้าชู้ของผู้ชายทั้งนั้น” ไฉอ้ายยกตัวอย่างแบบเหมารวม เพราะหนึ่งในนั้นก็คือบิดาของนาง แต่ก็ตำหนิบิดาทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะสนมมากมายนั้น ล้วนเป็นประกันสำหรับการมั่นคงของบัลลังก์ “ข้าเป็นพ่อค้า พบปะคนมากมายก็จริง แต่ข้าไม่เคยทำผิดต่อคู่หมั้นเยี่ยงเจ้าสักครั้ง” เพี๊ยะ! ท่อนแขนของชายหนุ่มรู้สึกแสบร้อน เมื่อฝ่ามือของภรรยา ตีลงมาเต็มแรง “เจ้ากำลังหาว่าเป็นตัวข้า ที่ทำผิดต่อคู่หมั้น โดยการไปไล่ล่าความรัก จากลู่เยี่ยถิงสินะ! ปล่อ
อีกด้านของขณะเดินทาง ที่เป็นส่วนของผู้คุ้มกันเสบียง สำหรับใช้ในการเดินทาง ได้มีคนงานจำนวนหนึ่ง คอยชำเลืองมองไปที่แม่ทัพหนุ่ม กับคู่หมั้นอยู่เป็นระยะตลอดการเดินทางหลายวันมานี้ คนที่เหมาะแก่การลงมือ เพื่อสร้างความระส่ำระสายในขณะเดินทาง เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึงตัว ขององค์หญิงไฉอ้าย ดูเหมือนพวกเขาจะเห็นแล้วทว่ายังไม่ทันที่จะได้หารือสิ่งใด ก็มีขบวนรถม้า ที่มีคนคุ้มกันจำนวนหนึ่ง ได่มาหยุดอยู่บนถนน ไม่ห่างจากคณะของราชบุตรเขย ทำให้คนทั้งกลุ่มหันสบตากันยิ้มๆดูเหมือนนายท่าน จะส่งคนมาช่วยได้อย่างทันการณ์นัก ที่นี่ห่างจากเมืองหลวงพอสมควร การปรากฏตัวของผู้ร่วมเส้นทาง ย่อมมีบ้างและไม่เป็นที่น่าสงสัย“คนของนายท่าน มาเร็วกว่าที่คิด”หนึ่งในคนร่วมขบวนการ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง งานของพวกเขามันตึงมือมาตลอด นับตั้งแต่หาหนทาง เข้ามาอยู่ในคณะเดินทาง จนถึงตอนนี้ ยังไร้โอกาสได้เข้าใกล้สตรี ของบุรุษบ้านเจียง มิว่าจะเป็นองค์หญิง หรือคู่หมั้นของแม่ทัพหยาง“เรียนท่านแม่ทัพ คนจากคณะเดินทางสกุลลั่ว ขอเข้าพบขอรับ”แม่ทัพหนุ่มขยับออกห่างคู่หมั้นเล็กน้อย เมื่อทหารคนสนิทได้ก้าวเข้ามารายงาน เขาเห็นแล้วว่ามีรถม
“แล้วทำไมท่านไม่บอกข้า! หรือท่านพี่คิดว่าข้ามิน่าไว้วางใจ” ใบหน้าที่ยังแสดงความสงสัยเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นงอง้ำอีกครั้ง เมื่อนึกถึงความไม่วางใจในตัวนาง ทว่าคนถูกตำหนิกลับยิ้มระรื่น เพราะคำเรียกแทนตัวเขา ที่ภรรยาใช้มันเปลี่ยนไปแล้ว “ภรรยา...ข้ายังไม่สบโอกาสที่จะบอกเจ้า หรือเจ้าคิดว่าตลอดการเดินทาง เราไม่มีหนอนติดตามหรือ” ชายหนุ่มคว้ามือบาง มากุมไว้พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และไม่คิดถือสา ต่ออาการกระฟัดกระเฟียดของนาง “เรามิใช่ไปตามหาน้องๆ ท่านหรอกหรือ” “นั่นก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนคืองานของอี้หลง” “ท่านพ่อไยใจร้ายต่อข้านัก ใช้งานพวกท่าน ทั้งที่ข้ายังมิทัน...เอ่อ เข้าพิธีอย่างสมเกียรติ” หญิงสาวแก้ตัวไปอย่างนั้น ทว่าใบหน้ากลับแดงก่ำ เมื่อนึกถึงคำที่นางเว้นไว้เมื่อครู่ นางเป็นสตรีจะร่ำร้องหาการเข้าหอได้อย่างไรกัน “ท่านพ่อตาเริ่มชรามากแล้ว ย่อมต้องสร้างรากฐานที่มั่นคง ให้แก่ทายาทคนต่อไป รวมถึงตัวเจ้าด้วยภรรยา ท่านพ่อตาห่วงใยเจ้ายิ่งนัก” “ท่านพี่คิดเช่นนั้นหรือ!” หญิงสาวเอ่ยถามสามี ด้วยแววตาหม่นแสงลงเล็ก
เส้นทางสู่แดนเหนือ ณ คณะของต้วนอี้หลาง บ่ายคล้อยแล้ว ต้วนอี้หลางจึงให้คนจัดตั้งที่พัก คืนนี้เป็นอีกคืนที่พวกเขา ต้องพักกันในป่ามิได้พักตามโรงเตี๊ยม ด้วยเร่งรีบติดตามม่อเหลียว ที่คงล่วงหน้าไปไกลมากแล้ว อีกเพียงไม่ถึงสามวัน พวกเขาก็จะเข้าสู่เขตแดนเหนือของแคว้น และนับว่าโชคดีนัก ที่การเดินทางในช่วงนี้ไม่มีหิมะตก อากาศจะไม่รุนแรงเท่าใดนัก สำหรับเขาที่ทำทั้งการค้า และสำนักคุ้มกันสินค้า ย่อมคุ้นชินต่อทุกสภาพอากาศ ด้วยเดินทางทั้งใน และนอกแคว้นอยู่เป็นนิจ ต่างกับภรรยาและฉู่เมี่ยว ซึ่งอากาศหนาวจนติดลบ คงไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัยเท่าใดนักสำหรับพวกนาง “เหนื่อยหรือไม่” หลังจากเดินสำรวจจุดพักเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มได้เดินกลับมาหาภรรยา ที่ยืนอยู่กับสาวใช้ของนาง ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือองครักษ์ของนางนั่นเอง “ไม่เลย...แต่เจ้าเล่า หายหรือยัง” หญิงสาวถามสามี อย่างไร้จริตของสตรี ที่เติบโตมากับการช่วงชิงอำนาจ หรือเพราะเขาไร้อำนาจให้ต้องช่วงชิง นางเลยถามเขาอย่างไม่ต้องแต่งเติมเสริมคำ “ดีขึ้นมากแล้ว น้องสามอาจเจ็บหนักจริง แต่นางยังมีชีวิตคง