หมับ!
“ว้าย! ทะ ท่านพี่ ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ!?”
บุรุษย่อกายลงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของนาง เรียวขาของนางถูกยกขึ้นสูง ก่อนที่บุรุษจะก้มหน้าลงไปแล้วใช้เรียวลิ้นปาดเลียบาดแผลจากงูพิษ
“อึก!” ความเจ็บปวดบริเวณนั้นทำเอาสตรีตัวน้อยสะดุ้ง นางพยายามจะดึงขาหนีหากแต่มิอาจทำได้ดั่งใจ ยิ่งถูกเรียวลิ้นนั่นสัมผัสนางยิ่งเจ็บปวด
เหตุใดบุรุษจึงต้องทรมานนางด้วย!!
ทว่าไม่นานบุรุษก็ดึงใบหน้าออก ช่างน่าแปลกนักที่บริเวณนั้นกลับไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกเลย ทั้งที่ครั้นก่อนหน้านางรู้สึกปวดหนึบแปลกๆ เมื่อกดสายตามองดูก็เห็นว่าบาดแผลที่ตรงนั้นหายไปแล้ว นางจำได้ว่าเคยมีแผลอยู่ตรงนี้นี่!
“ท่านพี่… รักษาให้ข้าหรือเจ้าคะ?”
“ถือว่าความหวาดกลัวยังไม่ยึดครองสมองน้อยๆ ของเจ้า”
“…?”
“มา ข้าจะช่วยแต่งตัว”
“ข้าทำเองได้เจ้าค่ะ” นางกอดตนเองแล้วถอยห่างจากบุรุษ ท่าทางเช่นนี้ราวกับแมวน้อยขู่ฟ่อๆ ไม่มีมิด แม้จะรู้ว่าหากเข้าไปยุ่งจะโดนคมเล็บข่วน
แต่บุรุษก็ดึงผ้าคลุมซึ่งนางเอาห่มตัวออก แล้วสวมอาภรณ์ทับให้นาง จากนั้นก็อุ้มนางมาวางบนเตียง ยามนี้นางอับอายจนไม่กล้าสบตากับบุรุษเสียแล้ว!!
“มนุษย์โดยส่วนใหญ่นั้นโลภมาก สตรีพวกนั้นโดยส่วนใหญ่ก็โลภมากเช่นกัน เมื่อข้ารับนางมาเป็นเครื่องบรรณาการ พวกนางก็ขโมยข้าวของมีค่าจากตำหนัก บ้างก็บุกเข้าไปในสวนบุปผาพันปี... ที่นี่ก็ไม่ต่างจากเผ่ามนุษย์ มีกฎเกณฑ์เอาไว้ควบคุมคนใต้ปกครอง หากทำตามกฎเกณฑ์มีหรือที่จะถูกสังหาร”
สตรีตัวน้อยได้ยินเช่นนั้นก็คลายความหวาดกลัวลงไปได้บ้าง แม้การกระทำของจินหมิงเยว่จะดูมีเหตุผล แต่ถึงอย่างไรความโหดเหี้ยมของบุรุษก็ยังคงติดตานางอยู่ดี
“ท่าน... สังหารพวกนางด้วยตนเองหรือเจ้าคะ” ฟางเหนียงเอ่ยถาม แม้นางจะหวาดกลัวจนตัวสั่น แต่ช่างน่าแปลกนักที่นางเอาแต่ถามคำถามน่ากลัวเช่นนี้
“โดยส่วนใหญ่ก็ใช่ ข้าเป็นประมุข กฎเกณฑ์โดยส่วนใหญ่ก็เป็นข้าที่ร่างขึ้นมา”
“ท่านจะสังหารข้าหรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าขโมยของหรือ?”
“หามิได้ ข้าจะทำเช่นนั้นไปเพื่อสิ่งใดกันเจ้าคะ ของๆ คนอื่นข้าไม่มีทางฉกฉวยเป็นอันขาด!”
“หึ เช่นนั้นจงอย่าได้หวาดกลัว ผู้ที่ทำตามกฎเกณฑ์ไม่มีทางถูกลงโทษ” ฝ่ามือหนาลูบลงบนหัวของนางอย่างอ่อนโยน ครั้นก่อนหน้าเป็นตนเองที่ทำให้นางหวาดหวั่น
นางคงจะหวาดกลัวมาก ทว่าบุรุษไม่รู้วิธีอ่อนโยนกับสตรี ทว่าที่ทำไปเพราะไม่อยากปิดบังสิ่งใดกับนาง กลัวว่าหากนางมารู้คราวหลังนางจะยิ่งเกลียดชังและหวาดกลัวตน
“ข้าไม่มีวันสังหารเจ้า”
ตึกตัก ตึกตัก
ไม่รู้ด้วยเหตุใดหัวใจดวงน้อยจึงสั่นไหวเช่นนี้ ดวงตาของบุรุษซึ่งจ้องมองนางเป็นสิ่งยืนยันถ้อยคำได้ดี ว่าจินหมิงเยว่นั้นไม่มีวันทำร้ายนาง ทั้งๆ ที่เมื่อครู่บุรุษเพิ่งจะกระทำเรื่องโหดร้ายมาแท้ๆ หัวใจของนางช่างโลเลยิ่งนัก
“กะ กฎของเขาจิ้งจอกมีสิ่งใดบ้างเจ้าคะ?”
“ไม่ทำร้ายกันเอง ไม่ทำร้ายมนุษย์หรือไปรุกราน ห้ามนำเรื่องภายในออกไปพูดกับคนภายนอก ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือจิ้งจอกด้วยกันก็ตาม”
…กฎก็ดูไม่ยากนี่…
สตรีตัวน้อยครุ่นคิดอยู่ในใจ
“ส่วนกฎของเจ้า… คืออยู่เคียงข้างข้าจวบจนวาระสุดท้าย”
“…!?”
คราวนี้ฟางเหนียงเผลอสบตากับบุรุษ สายตาที่ส่งมาถึงนางซ่อนเร้นไปด้วยความหมายลึกลับ ยามสบตากันนั้นคล้ายกับถูกส่งมอบความรู้สึกบางอย่างระคนกับถูกค้นหาบางอย่างเสียจนเกือบลืมหายใจ
จินหมิงเยว่เผยรอยยิ้มอ่อนละมุน ก่อนจะหยัดกายขึ้นเต็มความสูง กดสายตามองดูนางซึ่งหน้าแดงระเรื่อชวนให้นึกเอ็นดู
“ข้าจะไม่อยู่สองสามวัน หากเป็นไปได้ข้าอยากให้เจ้าอยู่แต่ในตำหนัก”
สตรีตัวน้อยพยักหน้าแทนคำตอบ แม้จะอยากหนีแต่นางจะหนีได้อย่างไร ร่างกายของนางยังสั่นกลัวเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่เลย ขอเพียงแค่มีชีวิตอยู่ ให้นางกระทำสิ่งใดย่อมยินยอม
หลายวันต่อมา…
ฟางเหนียงนอนซมด้วยพิษไข้จากพิษของงูร้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ จวบจนกระทั่งวันที่จินหมิงเยว่กลับมานางก็ยังคงไม่ฟื้น บุรุษจึงเป็นกังวลเหลือเกิน
…มนุษย์นั้นช่างอ่อนแอเหลือเกิน โดยเฉพาะเจ้า…
ฝ่ามือหยาบสัมผัสดวงหน้าหวานชื้นเหงื่ออย่างแผ่วเบา ความร้อนจัดส่งผ่านมาถึงฝ่ามือของบุรุษ พาให้เกิดความวิตกกังวล
“ความรักทำให้ข้าดูโง่เขลายิ่งนัก… ข้ามิอาจทนดูเจ้าเจ็บปวดเช่นนี้ได้”
บุรุษโน้มใบหน้าลงไปแล้วประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากอวบร้อนจัดด้วยพิษไข้ สอดแทรกเรียวลิ้นเข้าไปตักตวงความหอมหวานเป็นการแลกเปลี่ยน ลูกแก้วซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณอันมหาศาลค่อยๆ ลอยออกจากปากของบุรุษ เข้าสู่ปากของสตรีตัวน้อย จินหมิงเยว่ยังคงจูบอย่างดูดดื่มด้วยความโลภ ดูดลิ้นเล็กๆ นั่นเข้าปากของตน เกี่ยวกระหวัดอย่างคนไม่รู้จักพอ
“อื้อ!”
กระทั่งสตรีตัวน้อยร้องเสียงอื้ออึง จึงถอนออกอย่างอ้อยอิ่ง จดจ้องดวงหน้าหวานที่กำลังมีสีเลือดฝาดขึ้นมา จากที่เมื่อครู่ซีดเซียว ก่อนจะหันกายหนีแล้วเดินออกไป…
ทางด้านของฟางเหนียง ไม่นานก็ฟื้นตื่นขึ้นมา ร่างกายของนางมิได้เจ็บปวดทรมานอีกแล้ว นางจำได้ว่าร่างกายปวดระบมมากขึ้นเรื่อยๆ มันช่างทรมานเหลือเกิน รับรู้ว่าร่างกายของตนเองร้อนผ่าวด้วยพิษไข้ จากนั้น… ก็มิได้รับรู้สิ่งใดอีกเลย
…ช่างน่าแปลกเหลือเกิน…
ฟางเหนียงนึกคิดอย่างประหลาดใจ นางจำได้ว่าเจ็บตรงตรงข้อเท้า จึงยื่นมือออกไปสัมผัสรอยช้ำบริเวณนั้นทว่ากลับไม่รู้สึกเจ็บอันใด นางจึงออกแรงจิ้ม สักพักก็เริ่มทุบ ทว่าไร้ความเจ็บปวดจากบาดแผล มีเพียงความเจ็บเล็กน้อยจากแรงทุบของตนเองเท่านั้น
ตำนานเล่าขานเรื่องหนึ่งที่นางเคยฟังเมื่อครั้นวัยเยาว์ผุดขึ้นมา นางนึกคิดได้เพียงสิ่งเดียว…
…ลูกแก้วจิ้งจอก…
ไม่มีทางเป็นสิ่งอื่นไปได้ สตรีตัวน้อยคิดเท่าใดก็คิดไม่ตกเสียที นางกระทำตนไร้มารยาทและแสนดื้อดึงถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงยังใจอ่อน มอบลูกแก้วจิ้งจอกให้นางอีก
ฟางเหนียงรู้ถึงความสำคัญของลูกแก้วจิ้งจอก ตามตำนานเล่าขานที่มีมาช้านาน ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่หากแต่ต้องมีเค้าโครงความจริงอยู่บ้างเป็นแน่ ในเมื่อจิ้งจอกเก้าหางที่ควรจะมีอยู่แต่ในตำนาน ยังกลายเป็นตำนานที่มีชีวิตเช่นนี้เลย เช่นนั้นเรื่องราวของลูกแก้วจิ้งจอกก็คงไม่ต่างกันสักเท่าใดนัก
สตรีตัวน้อยหยัดกายลุกขึ้นสวมใส่อาภรณ์ ยามนั้นเองจิ้งจอกปีศาจผู้มีหูที่ได้ยินเสียงดีกว่ามนุษย์อย่างฮวาอินก็เข้ามาในห้อง
“ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ เอ่อ ฮูหยินประมุขจะไปที่ใดเจ้าคะ?” นางรีบเข้ามาช่วยสวมใส่อาภรณ์ด้วยท่าทางคล่องแคล่ว
“ประมุขของเจ้ากลับมาแล้วใช่หรือไม่?”
“เจ้าค่ะ”
“ข้าอยากจะไปหาเขาสักหน่อย”
“ยามนี้ท่านประมุขอยู่ในห้องทำงานเจ้าค่ะ”
ฟางเหนียงวิ่งเข้ามาในห้องทำงานของบุรุษ ทว่ากลับต้องชะงักฝีเท้าจนแทบหน้าคว่ำ นางรีบเดินกลับออกไปแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปใหม่อย่างเชื่องช้า
อยู่ดีๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าควรกระทำตนให้มีมารยาท
หารู้ไม่ว่าจินหมิงเยว่มิได้ติดใจเอาความใดกับนางเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่านางจะกระทำอันใดก็ตาม ทว่าอดมิได้ที่จะลอบยิ้มให้กับการกระทำของนาง เป็นหลักฐานชี้ชัดว่านางกำลังปรับตัวในฐานะฮูหยิน
“คำนับ ท่านพี่เจ้าค่ะ”
“ลมทิศใดพัดมา เจ้าจึงมาหาข้าเช่นนี้?”
“ท่านพี่… ให้ลูกแก้วจิ้งจอกกับข้าหรือเจ้าคะ”
“…อืม” ดวงตาเรียวคมเหลือบสายตาขึ้นมองนางเล็กน้อย ก่อนจะละจากงานเอกสารตรงหน้า คิดไม่ถึงว่านางจะรู้เรื่องของลูกแก้วจิ้งจอกด้วย “ไม่พอใจหรือ?”
“มิใช่เจ้าค่ะ ทว่าเหนียงเอ๋อร์สงสัย… เหตุใดท่านพี่จึงใจดีกับเหนียงเอ๋อร์ ทั้งที่เหนียงเอ๋อร์เป็นเด็กไม่ดี”
“…ดีหรือไม่ ข้าจะพิจารณาเอง วัยของเจ้าจะดื้อรั้นบ้างก็ไม่เห็นแปลก มีเมียเด็กก็ต้องเข้าใจ”
“เหนียงเอ๋อร์รู้ว่ามันช่างน่าอาย แต่เหนียงเอ๋อร์มิอาจอดทนต่อความเจ็บปวดนั้นได้ จึงอยากจะขอเก็บลูกแก้วจิ้งจอกเอาไว้สักพัก ได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ของของข้า ก็ไม่ต่างไปจากของเจ้าหรอกหนา เหนียงเอ๋อร์เอ๋ย พิษของงูยังคงอยู่ในร่างของเจ้า ยากนักที่จะขับออกไปหมดในเวลาอันสั้น เช่นนั้นเจ้าเก็บลูกแก้วเอาไว้ย่อมดีกว่า”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านพี่”
“แต่ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่รู้สึกเจ็บแล้ว ก็ยังต้องกินยาบำรุงอยู่ดี อย่าให้ข้าได้ยินว่าเจ้าดื้อ ไม่ยอมดื่มยาล่ะ”
“เจ้าค่ะ เช่นนั้น… เหนียงเอ๋อร์ขอตัวนะเจ้าคะ”
จินหมิงเยว่พยักหน้าแทนคำตอบ หลินจินเยว่คำนับเป็นการร่ำลาก่อนจะเดินออกไป
ฟางเหนียงกลับมาที่ห้องของนางเพื่อทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น การกระทำของนางเรียกได้ว่าเลวร้ายหากจินหมิงเยว่หวังดีต่อนางจริง และการมอบลูกแก้วจิ้งจอกให้นางเป็นสิ่งยืนยันได้ดี
ในเมื่อมิอาจหลีกหนีได้พ้น หากโชคชะตาของนางเป็นเช่นนั้น กระนั้นแล้วการทำความดีเพื่อให้ได้รับความโปรดปรานจากจิ้งจอกเก้าหางตนนี้ก็มิใช่เรื่องที่แย่ บุรุษเอง...ก็ดูมิใช่ปีศาจเลวร้าย...
นางเป็นฝ่ายได้รับมาตลอด เห็นทีต้องกระทำสิ่งใดเป็นการตอบแทนเสียบ้าง
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางก็รีบเดินตรงไปยังห้องครัวทันที สิ่งเดียวที่สตรีชาวมนุษย์เช่นนางจะตอบแทนได้มีไม่มากนัก ทันทีที่มาถึงปีศาจภายในห้องครัวต่างก็มองมาที่นางเป็นตาเดียว แม้แต่ฮวาอินที่คอยรับใช้นางยังประหลาดใจ
“ขออภัยฮูหยินประมุข แต่ข้าน้อยขอบังอาจถาม... ฮูหยินประมุขมาที่นี่ทำไมหรือเจ้าคะ?”
บทที่ 9นางเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง“ขออภัยฮูหยินประมุข แต่ข้าน้อยขอบังอาจถาม... ฮูหยินประมุขมาที่นี่ทำไมหรือเจ้าคะ?”“ข้าอยากทำอาหาร”“หากอยากกินอะไรบอกข้าน้อยได้ ข้าน้อยจะนำมาบอกกับคนครัว ฮูหยินประมุขไม่เห็นต้องมาเองเลยเจ้าค่ะ”การมาถึงห้องครัวด้วยตนเองของผู้เป็นนาย สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับคนครัว เนื่องจากห้องครัวเป็นสถานที่ไร้ซึ่งความสนใจ หากทำอาหารออกมาดีก็ดีไป แต่หากทำอาหารออกมาไม่ดีนอกจากจะโดนตำหนิแล้ว บางคนอาจจะบุกมาถึงห้องครัวเฉกเช่นฟางเหนียง ซึ่งเรื่องนี้ฟางเหนียงรู้ดีอยู่แล้วจึงได้เอ่ยออกไปว่า“ข้าอยากทำอาหารด้วยตนเอง ข้าอยากปรนนิบัติท่านประมุขของพวกเจ้า” สตรีตัวน้อยเอ่ยออกไปเช่นนั้น ฮวาอินถึงกับสะดุ้งแม่นางผู้นี้คล้ายกับเฉลียวฉลาด รู้วิธีการเอาตัวรอด หากแต่ในเรื่องเช่นนี้กลับโง่เขลายิ่งนัก แน่นอนว่าเรื่องที่ฟางเหนียงเอ่ยเรียกจินหมิงเยว่ต่อหน้าธารกำนัลว่าท่านประมุขอย่างห่างเหินเช่นนี้ จะต้องถึงหูของบุรุษเป
บทที่ 10อยากจับกิน“เขาน่ากลัว” นางพึมพำเสียงเบา ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก ในเมื่อจินหมิงเยว่อนุญาตให้นางไปที่ใดก็ได้ตามที่ต้องการ เช่นนั้นนางก็ขอสำรวจรอบตำหนักเสียหน่อยเถิดเพื่อหาทางหนีทีไล่เอาไว้ด้วย เผื่อสักวันหนึ่งจินหมิงเยว่เลิกสนใจในตัวนาง นางจะได้หนีออกไปมีชีวิตเป็นของตนเอง ในยามนั้นคิดว่าจินหมิงเยว่คงไม่ไล่ตามนางแล้ว ทว่ายามนี้ต้องคอยเอาอกเอาใจบุรุษไปก่อน เพราะถึงหนีไปตอนนี้ก็ถูกจับกลับมาอยู่ดี“เจ้าแนะนำตำหนักให้ข้าหน่อยสิ”“ตำหนักพันปีข้าน้อยพอรู้คร่าวๆ มิได้รู้ลึกเจ้าค่ะ เนื่องจากที่นี่แม้แต่ปีศาจจิ้งจอกด้วยกันยังเข้ามายาก มีเพียงผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นเจ้าค่ะ”“ไม่เป็นไร ข้าแค่อยากรู้คร่าวๆ ว่าตรงไหนอยู่ตรงไหนเท่านั้น อ้อ ว่าแต่ ที่นี่มีห้อวหนังสือหรือไม่?”“มีเจ้าค่ะ ท่านประมุขค่อนข้างชื่นชอบหนังสือ อีกทั้งยังเป็นผู้คัดลอกอักษรเหล่านั้นด้วยตนเอง ว่ากันว่าห้องหนังสือภายในตำหนักพันปี
บทที่ 11ตัวตนของบุรุษปริศนา“ทำได้สิ พวกมนุษย์กล่าวขานพวกข้าอยู่หลายสิ่ง ตัวแทนแห่งการบำเพ็ญเพียร ตัวแทนแห่งความพยายาม ตัวแทนแห่งพลังอำนาจ และ... ตัวแทนแห่งตัณหาราคะ” จงใจจดจ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่งาม แล้วค่อยๆ โน้มหน้าไปใกล้ๆ จนปลายจมูกสัมผัสกัน “ตัวข้านั้นเป็นทั้งหมด ที่เหล่ามนุษย์ขนานนาม”“ตะ แต่แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน[1]นะเจ้าคะ”“ไม่ลองแล้วจะรู้หรือ ไม่แน่แตงดิบๆ อาจจะถูกปากกว่าที่คิดก็ได้”...ท่านช่าง... เจ้าเล่ห์สมกับเป็นจิ้งจอกจริงๆ...“หึ!” จินหมิงเยว่หัวเราะเสียงเบาก็จะละออกจากร่างบอบบาง “แต่อย่างไรแตงหวานๆ ก็อร่อย เช่นนั้นข้าจะรอให้แตงหวานก่อนก็ได้”ฟางเหนียงรีบหยัดกายลุกขึ้นจ้องมองบุรุษด้วยความไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงหยุด นางคิดว่าบุรุษจะขืนใจนางแม้นางไม่ยินยอมเป็นแน่...“ทว่าลูกแก้วที่อยู่กับเจ้านั้นสำคัญกับข้า อย่างน้อยทุกเจ็ดวันก็มาให้ข้าได้เติมพลังจาก
บทที่ 12เติมพลังเสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นที่ข้างหู พร้อมกับลมหายใจอุ่นๆ รินรดแผ่วเบา หนังสือที่อยู่ในมือร่วงหล่นลง โชคดีที่เจ้าของเสียงนุ่มทุ้มคว้าหนังสือเล่มนั้นเอาไว้ ราวกับรู้อยู่ก่อนแล้ว ในณะที่ดวงตาเรียวคมจ้องมองดวงตาคู่งามนิ่งไม่ยอมละสายตา“ทะ ท่านพี่ ข้าตกใจหมด”“ตกใจเรื่องอะไร เว้นเสียแต่ว่าเจ้ากระทำความผิด”“เหนียยงเอ๋อร์กำลังอ่านหนังสือเพลินๆ ท่านพี่เข้ามามิให้สุ้มมิให้เสียงก็ต้องตกใจสิเจ้าคะ”“หากเจ้ามาหาข้าแล้วแกล้งกระโดดกอดคอข้า สาบานเลยว่าข้าไม่มีทางตกใจ” บุรุษว่าพลางยกยิ้มมุมปากด้วยความเจ้าเล่ห์สตรีตัวน้อยถอนหายใจแล้วยื่นมือออกไปคว้าหนังสือที่อยู่ในมือของบุรุษ แต่อีกฝ่ายกลับขยับหนี ฟางเหนียงเหลือบสายตามองบุรุษอีกหน แล้วส่งสายตาดุๆ ใส่ก่อนจะยื่นมือออกไปคว้าหนังสือ ทว่าจินหมิงเยว่ก็ยังกระทำแบบเดิม“ท่านพี่!”คราวนี้จินหมิงเยว่เหลือบสายตาอ่านชื่อหนังสือบนหน้าปก ซึ่งล้วนแล้วแต่
บทที่ 13ข้าปรารถนาเจ้าอย่างสุดหัวใจ“เจ้าค่ะ” นางตอบรับด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เดิมทีฟางเหนียงก็ไม่คิดปฏิเสธอยู่แล้ว เพราะรู้สึกผิดที่ครอบครองลูกแก้วจิ้งจอกเอาไว้ ทั้งๆ ที่มันควรจะอยู่กับเจ้าของหากทว่าข้อเท้าของนางยังเป็นรอยช้ำสีเข้มอยู่เลย นางขอโลภมากและเห็นแก่ตัว ครอบครองมันนานอีกคงไม่เป็นอะไร อย่างไรเสียเจ้าตัวก็อนุญาตนางแล้วรอบนี้จูบที่เคยหวานปานมธุรสกลับถูกบดขยี้ลงมาอย่างเร่าร้อน ฟางเหนียงรู้สึกตกใจจนสะดุ้ง หากถอยหลังหนีได้นางคงถอยไปแล้ว แต่ร่างของนางกลับถูกดันชิดกับชั้นหนังสือน่ะสิ จึงไม่มีโอกาสให้นางได้ถอยห่างเลยแม้แต่น้อย ยิ่งบุรุษกดริมฝีปากลงมา ก็ยิ่งเป็นการเปิดปากของนางให้อ้าออก เพื่อที่จินหมิงเยว่จะได้รุกรานเข้ามาได้อย่างลึกซึ้งมากกว่าเดิม“อื้อ” แม้รสจูบนั้นจะมิได้หวานซาบซ่าอย่างที่นางชื่นชอบ แต่รสจูบเช่นนี้กลับเร่งเร้าให้หัวใจของนางเต้นระรัวได้ดี ฟางเหนียงเผลอไผลไปกับสัมผัสของบุรษ ฝ่ามือหนาเริ่มซุกซน เฟ้นฟ้อนไปทั่วทั้งเรือนร่างของนางกระทั่งถ
บทที่ 14ทั้งโง่เขลาและดื้อรั้น“ช้าก่อนเจ้าค่ะ ช้าก่อน!”ทันทีที่สารถีเห็นคนงามก็หยุดรถม้าลงแล้วมองนางด้วยความฉงนใจ สภาพของนางดูสะอาดสะอ้านเกินกว่าคนที่หลงทาง อีกทั้งยังดูมีเรี่ยวมีแรงราวกับเพิ่งกินอิ่ม…ใบหน้านี้คุ้นเคยอย่างไรบอกไม่ถูก?...“ข้าขอติดรถท่านไปลงที่หมู่บ้านได้หรือไม่เจ้าคะ?”“เจ้าหลงป่าหรือ?”“เจ้าค่ะ ข้าออกมาตามหากระต่ายป่าที่ข้าเลี้ยงเอาไว้ แต่คลาดกับมัน มารู้ตัวอีกทีก็อยู่กลางป่าเสียแล้ว”“ขึ้นมาสิ ข้าจะพาไปส่งที่หมู่บ้าน”“ขอบคุณเจ้าค่ะ!!” ฟางเหนียงเอ่ยพลางยิ้มกว้าง กำลังจะเดินขึ้นรถม้าทว่าสารถีผู้นั้นก็เอ่ยเรียกนางเอาไว้เสียก่อน“ช้าก่อน เจ้า… ฟางเหนียง!?”“เจ้าคะ? ท่านรู้จักข้าด้วยหรือเจ้าคะ?”พลันโทสะก็ครอบงำบุรุษผู้นี้แล้วกระโดดเข้าจู่โจมฟางเหนียง!!
บทที่ 15ยินยอม“กลับกับข้าเถิด”สตรีตัวน้อยพยักหน้า ถึงอย่างไรนางก็ต้องกลับกับเขาอยู่แล้ว ไม่มีทางปล่อยให้ผู้ที่บาดเจ็บเพราะความดื้อรั้นของตัวเองกลับไปเพียงคนเดียวเป็นแน่“เดินไหวหรือไม่เจ้าคะ?”“เจ้าประคองข้าหน่อยได้หรือไม่?” บุรุษใช้โอกาสออดอ้อนนางอย่างเจ้าเล่ห์ หากไม่ถือโอกาสนี้ก็ไม่รู้แล้วว่าจะมีโอกาสออดอ้อนนางอีกเมื่อใดแม้บาดแผลจะลึก แต่ตนเป็นปีศาจจิ้งจอก บาดแผลจากสิ่งของมนุษย์อีกทั้งยังไร้พิษ ตราบใดที่มีลูกแก้วจิ้งจอกอยู่ข้างกาย ร่างกายก็สามารถฟื้นคืนสภาพได้อย่างรวดเร็ว“เจ้าค่ะ”เมื่อกลับมายังตำหนักพันปี ฟางเหนียงก็เตรียมที่จะออกไปหาฮวาอิน สำหรับนางแล้วปีศาจด้วยกันย่อมรู้ว่าควรทำอย่างไรกับบาดแผล อีกอย่างนางมาอยู่ที่นี่ก็ได้รับแต่การปรนนิบัติ จึงไม่รู้ว่าข้าวของเครื่องใช้นั้นอยู่ที่ใดบ้าง แต่กลับถูกจินหมิงเยว่คว้าท่อนแขนเอาไว้เสียก่อน“เจ้าจะไปที่ใด?
บทที่ 16อยากลองจับมันหรือไม่ใบหน้าคมคายเลื่อนลงมาที่ลำคอระหง ไม่รีรอที่จะฝากฝังรอยรักสีเข้มไว้บนเนื้อขาวๆ ของนาง เป็นหลักฐานว่าฟางเหนียงได้เต็มใจร่วมค่ำคืนนี้กับเขาแล้ว ทั้งดูดและเลียอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังตราตรึงสัมผัสนี้เข้าไปในกายของนาง“อื้อ ท่านพี่...”“ชอบหรือไม่”“อึก อื้อ” นางไม่ยอมตอบ และถึงแม้จะอยากตอบสิ่งใดออกไปก็ทำได้ยากเย็นเหลือเกิน เมื่อจินหมิงเยว่รุกรานนางอย่างหนักหน่วง แม้แต่การหายใจยังยากแล้ว อารมณ์วาบหวามทำให้นางมิอาจควบคุมตนเองได้“เปล่งเสียงออกมาเถิด ข้าชอบเสียงของเจ้า” บุรุษเอ่ย ขณะที่ฝ่ามือหยาบปลดอาภรณ์ของนางผิวขาวนวลเนียนที่อยู่ด้านใน กระตุกปมของเอี๊ยมสีขาวออกเผยทรวงอกอวบอิ่มที่เคยสัมผัสเมื่อคืนวันวสันต์ และบัดนี้ความงดงามปรากฏแกสายตาอีกครั้งฝ่ามือหยาบกอบกุมความอวบอิ่มทั้งสองเต้า ฟ้อนเฟ้นด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะปาดป่ายหยอกล้อเล่นกับยอดอกสีหวาน ฟางเหนียงเกร็งไปทั่วทั้งร่างกับสัมผัสวาบหวามนี้ น
บทที่ 26ห้วงคำนึงถึงนางหลายฤดูผ่านไปจินหมิงอันเติบใหญ่เป็นจิ้งจอกหนุ่ม มีอิทธิฤทธิ์มากล้นเดินตามรอยของผู้เป็นบิดา ฟางเหนียงภาคภูมิใจเหลือคณานับที่บุตรชายสง่างามเช่นนี้ อีกทั้งยังรวบรวมพลังสร้างลูกแก้วจิ้งจอกของตนเองได้แล้ว แม้ว่าลูกแก้วจิ้งจอกนั้นจะยังแข็งแกร่งไม่เท่าลูกแก้วจิ้งจอกที่อยู่ในตัวของนางก็ตามยามนั้นเองสายลมพัดผ่านพาเอาความเย็นสบายโอบรอบร่าง ทว่ามีบางสิ่งลอยมากับสายลมด้วย กลิ่นที่คุ้นเคยพาให้หัวใจดวงน้อยเต้นแรงขึ้นมาฟางเหนียงหยัดกายขึ้นแล้วพุ่งตัวออกไปตามกลิ่นนั่น แหวกผ่านพงไพร เป็นหนึ่งเดียวกับสายลม กระทั่งมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง นางเดินตามหาไม่นานก็มาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง“ยินดีด้วยเจ้าค่ะ ท่านเจ้าตระกูลได้บุตรชายเจ้าค่ะ!”เสียงเด็กร้องไห้โยเยดังลอดออกมาให้ได้ยิน พร้อมกับเสียงแสดงความยินดีให้กับบิดาและมารดา นางยืนฟังเสียงร้องไห้นั้นอยู่นาน กระทั่งมีคนผู้หนึ่งทักนางเข้า“มาหาผู้ใดหรือเจ้าคะ?”
บทที่ 25สูญเสียไปตลอดกาลดวงตาคู่งามลืมตาขึ้นท่ามกลางพงไพรอันคุ้นเคย ด้านข้างของนางคือร่างของจิ้งจอกหนุ่ม คนรักของนาง… ร่างของบุรุษที่รักนอนแน่นิ่งจนน่าหวาดหวั่นความอบอุ่นที่อยู่กลางอกบ่งบอกให้นางรับรู้ได้ถึงพลังชีวิตอันมหาศาล รวมถึงอิทธิฤทธิ์ของปีศาจจิ้งจอก มันคือลูกแก้วจิ้งจอกไม่ผิดแน่ใช่แล้ว ลูกแก้วจิ้งจอกอยู่กับนางมาตลอด ลูกแก้วจิ้งจอกที่เปรียบเสมือนพลังชีวิตของจินหมิงเยว่ บุรุษเคยบอกกับนางเช่นนั้น นั่นหมายความว่าไม่มีทางที่จินหมิงเยว่จะตาย เขาก็แค่หมดเรี่ยวแรงจึงหลับไปเท่านั้นนางเอ่ยปลอบตนเองแล้วหันไปหาบุรุษ หากทว่าเมื่อมือเล็กๆ แตะที่ร่างของบุรุษ ความเย็นยะเยือกก็แล่นผ่านเข้ามาในร่างของนาง สตรีตัวน้อยตัวแข็งทื่อ พลันน้ำตาก็ไหลอาบสู่สองข้างแก้ม“ไม่จริง ท่านพี่บอกว่า หากมีข้า มีลูกแก้วจิ้งจอก อย่างไรก็ไม่มีทางตายนี่”ฝ่ามือเล็กคว้าท่อนแขนของบุรุษแล้วออกแรงเขย่าแรงๆ เพื่อหวังให้บุรุษฟื้นตื่นขึ้นมา แม้ว่าบุรุษจะเจ็บ หากฟื้นขึ้นมานางจะยินยอมน
บทที่ 24เดิมทีนางควรจะตายไปตั้งนานแล้วยามนั้นเองบางสิ่งร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า เส้นแสงสีขาวหลายสายล้อมรอบพวกเขาเอาไว้“...!”จินหมิงเยว่และหลี่ตงหยางตวัดแขนขึ้นไปด้านหน้า ล้อมฟางเหนียงเอาไว้เพื่อปกป้องนางสตรีตัวน้อยสะดุ้งตกใจ โอบกอดจินหมิงเยว่เอาไว้ด้วยความหวาดกลัว...คนพวกนี้เป็นใครกัน?...“ส่งตัวนางมา หากต่อต้านจะถือว่าปรปักษ์ต่อสรวงสวรรค์”...สรวงสวรรค์หรือ!?...ดวงตาคู่งามเบิกกว้างด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน นางสับสนว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่!?“หากอยากได้ตัวนางนัก ก็เข้ามา!!” เป็นจินหมิงเยว่ที่เอ่ยออกไปอย่างไม่เกรงกลัว แม้จะเป็นผู้ใดหากมาพรากฟางเหนียงไปจากเขา บุรุษไม่ยินยอม!!เกิดการต่อสู้กันระหว่างปีศาจจิ้งจอก เทพหนุ่มตกสวรรค์และองครักษ์สวรรค์ โดยที่ฟางเหนียงอยู่ในการปกป้องของจินหมิงเยว่ตลอดการต่อสู้“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ เหตุใ
บทที่ 23เช่นนั้นข้าปรนนิบัติเจ้าแทนฟางเหนียงลงมือทำอาหารหลายอย่าง รวมถึงของหวานด้วย นางคีบทั้งผักทั้งปลาใส่ในถ้วยของบุรุษ ส่วนจินหมิงเยว่ก็คีบแต่พวกเนื้อสัตว์ใส่ถ้วยให้นางเช่นเดิม“เมื่อใดเจ้าจะอ้วนเสียที หืม?”“ข้าไม่อยากอ้วนเจ้าค่ะ”“เหตุใดจึงไม่อยากอ้วน?”“ข้าเป็นสตรี ก็ต้องรักสวยรักงามเป็นธรรมดา หากอ้วนเมื่อสวมใส่อาภรณ์ใดๆ ก็ไร้ความมั่นใจนี่เจ้าค่ะ”“เจ้าเคยอ้วนหรือ?”“ไม่เคยเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าหากอ้วนแล้วจะไม่งดงาม”“เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเคยมาก่อนที่เจ้าค่ะ! อีกอย่างข้าไม่เคยบอกว่าไม่อ้วนแล้วจะไม่งดงาม ข้าก็แค่คิดว่าคงไม่มีความมั่นใจ”“อ้วนให้ข้าหน่อยเถิด”“เอ๊ะ! ท่านพี่นี่อย่างไร หากอยากได้สตรีอ้วนๆ ก็ไปหาที่อื่น ไม่ต้องมาหาที่ข้า!”&l
บทที่ 22สัญชาตญาณที่ต้องปลดปล่อยฟางเหนียงขยับกายไปนั่งลงบนตักของบุรุษ จากนั้นก็ใช้สะโพกกดลงบนความแข็งแกร่ง ครอบครองแก่นกายบุรุษเพศเข้าไปในตัวของตนเอง“อ่า...” ทั้งฟางเหนียงและจินหมิงเยว่ครางด้วยความสุขสมสตรีตัวน้อยโอบกอดบุรุษแนบอกแล้วเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะจะเริ่มขยับสะโพกของตนเองด้วยท่าทางที่ดูเก้ๆ กังๆ ในช่วงแรก ทว่าไม่นานความวาบหวาม รัญจวนใจ ร่างกายก็ได้นำพาให้นางสามารถขับเคลื่อนร่างกาย มอบความเสียวซ่านให้กับบุรุษได้เป็นอย่างดีนางเอนกายไปข้างหลัง ใช้มือเกาะบ่าของบุรุษเอาไว้ก่อนจะเด้งสะโพกระรัว รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของแก่นกายได้อย่างชัดเจน“อ๊า ท่านพี่ อื้ม!” ทรวงอกของนางถูกดูดดื่มอย่างหื่นกระหาย แม้มันจะเจ็บเล็กน้อยเพราะมีรอยแผลจากการกระทำของบุรุษเมื่อครั้นก่อนหน้า หากแต่ความวาบหวามนั้นมีมากกว่า นางจึงยิ่งแอ่นอกให้ปากหยักดูดดื่มและกลืนกินตามต้องการฟางเหนียงเชิดหน้าขึ้นแล้วร้องครางเสียงหวานอย่างลืมอาย สูญสิ้นสติในการยับยั้งชั่งใจ กลีบกา
บทที่ 21รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปวันเวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ฟางเหนียงในวัยสิบหกปีครั้นมาที่ดินแดนจิ้งจอกแห่งนี้เป็นครั้งแรก บัดนี้นางอายุสิบแปดหนาวเสียแล้วความงดงามของนางนั้นเพิ่มมากขึ้นเสียจนจินหมิงเยว่แทบจะกกกอดนางเอาไว้ภายในห้องตลอดทั้งวันทั้งคืน ถึงแม้ว่ารอบตำหนักพันปีจะไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามาได้ หากมิได้รับอนุญาตก็ตาม“ท่านพี่เจ้าคะ!” เสียงเจื้อยแจ้วของฟางเหนียงดังขึ้น พร้อมการปรากฏกายของนาง ในขณะที่จินหมิงเยว่กำลังฝึกพละกำลังและอาคมบุรุษตวัดฝ่ามือครั้งหนึ่งพาร่างบอบบางลอยละล่องมานั่งบนตักของตนเอง แล้วฉวยโอกาสหอมแก้มนางไปหนึ่งที“ว้าย! ท่านพี่! ฮวาอินก็อยู่นะเจ้าคะ”“เฮ้อ ฮวาอินออกจะชอบที่ข้ากับเจ้าพลอดรักกัน”“ท่านพี่!!”เพี๊ยะ!!ว่าแล้วก็ตีท่อนแขนแกร่งไปหนึ่งทีด้วยความเขินอาย จินหมิงเยว่หัวเราะเสียงดัง ยิ่งได้เห็นพวงแก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อก็ยิ่งอยากแกล้
บทที่ 20งอน“ลองขย่มข้าสิ”“ตะ แต่ข้าไม่รู้”“ทำแบบนี้”“อ๊ะ!?”ฝ่ามือหยาบยกสะโพกกลมขึ้นแล้วกดลงให้ครอบครองความแข็งแกร่งของตนเอง ความเสียวซ่านแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่างบอบบางฟางเหนียงขยับตามการนำพาของบุรุษ กระทั่งหาจังหวะของตนเองเจอ จินหมิงเยว่ก็เปลี่ยนเป็นบีบเคล้นสะโพกกลมกลึงด้วยความมันเขี้วแทนท่วงท่าของนางสร้างความรัญจวนในเหลือเกิน มันเชื่องช้าและละมุนละไม ราวกับจงใจทรมานจินหมิงเยว่ให้ต้องอดทนกับกามารมณ์ เกร็งทั่วทั้งร่างจนเห็นก้อนกล้ามเนื้อชัดเจน อีกทั้งเส้นเลือดยังปูดโปนออกมา“อ่า เหนียงเอ๋อร์ เจ้าช่าง...” บุรุษมิอาจเอื้อนเอ่ยได้อีก เมื่อนางเริ่มขยับถี่ขึ้นเรื่อยๆ มิได้เข้าสุดออกสุดเหมือนอย่างในครั้งแรก แต่เป็นการกดสะโพกระรัว“อืม” นางครางเสียงหวานแล้วแหงนหน้าขึ้นตามอารมณ์ จินหมิงเยว่ก้ามหน้าลงดูดดื่มกับยอดอกสีหวานเข้าปากอย่างกระหายความรู้สึกวาบหวา
บทที่ 19จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ดวงตาคู่งามเปิดอย่างเชื่องช้า คราวนี้ฟางเหนียงไม่ตกใจอีกแล้วว่านางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร สถานที่ที่ไม่ต่างไปจากสรวงสวรรค์ นางคงถูกเทพองค์นั้นเรียกตัวมาอีกเป็นแน่นางเตรียมที่จะมองหาตัวของผู้ที่เรียกนางมา แต่ไม่ทันที่จะได้หยัดกายลุกขึ้นเสียด้วยซ้ำ เสียงทุ้มน่าฟังก็ดังขึ้นเหนือหัว“เดี๋ยวนี้เจ้าไม่ตกใจแล้วหรือ?”ฟางเหนียงหยัดกายลุกขึ้น ก่อนจะหันไปยอบกายคำนับตามมารยาท“คำนับ ท่านเทพเจ้าค่ะ”“อ่า เจ้ารู้แล้วสินะ… รู้ได้อย่างไร หมิงเยว่บอกเจ้าหรือ?”“ท่านพี่ของข้ารู้จักกับท่านเป็นการส่วนตัวด้วยหรือเจ้าคะ?”“อ่า มิใช่สินะ”ใบหน้าคมคายหม่นลงเล็กน้อย ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับฟางเหนียงดูเหมือนว่าทั้งสองจะรู้จักกันสินะ แต่รู้จักกันด้วยดีหรือร้ายมิอานคาดเดาได้“ท่านเทพ… จุดประสงค์ของท่านคือสิ่งใดกันแน่?”สตรีตัวน้อยรู้สึกหวาดหวั่นเหลือเกิน หวาดกลัวว
บทที่ 18มิอาจยอมให้นางเสียหายลิ้นสากหลีกหนีเรียวลิ้นของนาง ลิ้นของนางก็ยังตามติดไม่ออก กลายเป็นจูบที่แสนดูดดื่มจนเกิดเสียงน่าอาย เมื่อยามที่ฟางเหนียงยอมแพ้คิดจะถอนริมฝีปากออก จินหมิงเยว่ก็เป็นฝ่ายคว้าท้ายทอยของนางแล้วกดให้แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็เป็นฝ่ายรุกรานโพรงปากอุ่น ตักตวงความหอมหวานอย่างเร่าร้อน ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เอาแต่หลีกหนีปฏิเสธนางแท้ๆ...จิ้งจอกเจ้าเล่ห์!!...อดมิได้ที่จะต่อว่าบุรุษในใจที่คิดหลอกนาง แต่ก็ยอมให้บุรุษรุกรานแต่โดยดี เพราะจูบหวานๆ ที่ถูกส่งมอบมามันพาให้ร่างของนางอ่อนระทวย เคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบซึ่งราวกับเอาอกเอาใจนาง นางจะยอมให้อภัยจินหมิงเยว่ก็แล้วกันเนิ่นนานกว่าทั้งสองจะถอนริมฝีปากออกจากัน ดวงตาสบประสานกันของหวานซึ้ง คล้ายกับกำลังแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่มีให้กันและกัน“เอาลูกแก้วคืนไปหรือยังเจ้าคะ?”“ยัง”“อ้าว?”“ข้าฝากไว้กับเจ้า หากข้าบาดเจ็บเจ้าจะได้จู