หลายฤดูผ่านไป
จินหมิงอันเติบใหญ่เป็นจิ้งจอกหนุ่ม มีอิทธิฤทธิ์มากล้นเดินตามรอยของผู้เป็นบิดา ฟางเหนียงภาคภูมิใจเหลือคณานับที่บุตรชายสง่างามเช่นนี้ อีกทั้งยังรวบรวมพลังสร้างลูกแก้วจิ้งจอกของตนเองได้แล้ว แม้ว่าลูกแก้วจิ้งจอกนั้นจะยังแข็งแกร่งไม่เท่าลูกแก้วจิ้งจอกที่อยู่ในตัวของนางก็ตาม
ยามนั้นเองสายลมพัดผ่านพาเอาความเย็นสบายโอบรอบร่าง ทว่ามีบางสิ่งลอยมากับสายลมด้วย กลิ่นที่คุ้นเคยพาให้หัวใจดวงน้อยเต้นแรงขึ้นมา
ฟางเหนียงหยัดกายขึ้นแล้วพุ่งตัวออกไปตามกลิ่นนั่น แหวกผ่านพงไพร เป็นหนึ่งเดียวกับสายลม กระทั่งมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง นางเดินตามหาไม่นานก็มาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง
“ยินดีด้วยเจ้าค่ะ ท่านเจ้าตระกูลได้บุตรชายเจ้าค่ะ!”
เสียงเด็กร้องไห้โยเยดังลอดออกมาให้ได้ยิน พร้อมกับเสียงแสดงความยินดีให้กับบิดาและมารดา นางยืนฟังเสียงร้องไห้นั้นอยู่นาน กระทั่งมีคนผู้หนึ่งทักนางเข้า
“มาหาผู้ใดหรือเจ้าคะ?”
“เอ่อ ข้า…”
“ข้าเห็นท่านยืนอยู่นานแล้ว”
“พอดีข้า… แค่ผ่านทางมา แล้วได้ยินเสียงเด็กร้องเข้าน่ะ”
“อ้อ ฮูหยินไห่ให้กำเนิดบุตรแล้วสินะเจ้าค่ะ พวกเขาเฝ้ารอบุตรมานานหลายปีเหลือเกิน เป็นเรื่องน่ายินดี”
สตรีชาวบ้านเอ่นด้วยความยินดี เพราะคู่สามีภรรยาสกุลไห่นั้นทำความดีมาก เป็นที่รักของผู้คน
“เด็กคนนี้ในอนาคตจะต้องเป็นคนใหญ่คนโต…”
“ท่าน เป็นนักพรตหรือเจ้าคะ?”
“มิใช่ก็ใกล้เคียง”
“เจ้าคะ?”
“เด็กคนนี้เติบใหญ่จะได้เป็นเจ้าคนนายคน มีแต่คนรัก และ… ได้ภรรยาเป็นสตรีที่งดงามที่สุด งดงามกว่าผู้ใด และเป็นสตรีที่ค่อนข้างพิเศษ”
“ขอบพระคุณแทนสกุลไห่ที่ท่านนักพรตอวยพรเช่นนี้”
“อืม… เช่นนั้น ข้าต้องขอตัวก่อน”
“โชคดีเจ้าค่ะ”
ฟางเหนียงเดินจากมา พร้อมกับหัวใจเต้นระรัว
ไม่ผิดแน่ ทารกผู้นั้นคือจินหมิงเยว่กลับชาติมาเกิดเป็นแน่ ทั้งกลิ่น ทั้งเสียง และแก่นวิญญาณไม่มีทางที่จะมิใช่!!
นางตั้งปณิธานแล้วว่าจะดูแลปกป้อง และจะต้องเกี้ยวพาราเอาบุรุษมาเป็นสามีอีกครั้งให้จนได้!
ถึงแม้ว่าในยามนี้บุรุษจะเป็นเพียงทารกก็ตาม รอให้โตก่อนนางจะกลับมาเกี่ยวบุรุษแน่นอน!
หลังจากนั้นฟางเหนียงก็แอบมาดูจินหมิงเยว่ที่กลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ในนามใหม่ว่าไห่ไท่หยาง ดูแล ปกป้องโดยมิให้ผู้ใดรู้ กระทั่งบุรุษผู้นั้นเริ่มเติบใหญ่ นางก็แทบไม่ปรากฏกายให้บุรุษเห็น เพราะกลัวว่าไห่ไท่หยางจะกลัว
ในวันหนึ่งสายฝนเทกระหน่ำลงมา ไห่ไท่หยางติดฝนอยู่ในชายตาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง สตรีโฉมสะคราญเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมแห่งนั้นแล้วหยิบยื่นร่มไม้ไผ่ให้กับบุรุษ
แค่เพียงสบตาเท่านั้นหัวใจของไห่ไท่หยางก็ถูกขโมยไปในชั่วพริบตา…
“รับไปสิเจ้าคะ”
นางยื่นร่มคันหนึ่งไปตรงหน้าของบุรุษ พร้อมด้วยดวงตาคู่หวานจ้องมองบุรุษหวานเชื่อม
“อะ เอ่อ มิได้ เจ้าใช้เถิด”
“ข้าอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้ แต่จวนของท่านอยู่ห่างออกไป เห็นชัดว่าท่านจำเป็นต้องใช้มากกว่าข้า”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าจวนของข้าอยู่ไกล?”
“ข้าเพียงคาดเดา มิเช่นนั้นก็คงไม่มายืนรอฝนซาอยู่ใต้ชายคานี้หรอกมิใช่หรือเจ้าคะ หากจวนอยู่ใกล้ก็คงฝ่าฝนไปแล้ว”
นางเอ่ยราวกับรู้จักบุรุษเสียทุกส่วน สร้างความประหลาดใจให้กับไห่ไท่หยางเหลือเกิน
“เช่นนั้นข้าขอเสียมารยาทรับเอาไว้…”
“อย่าได้กังวล ข้าเต็มใจเจ้าค่ะ”
นางยอบกายคำนับให้กับบุรุษก่อนจะเดินกลับเข้าไปด้านใน ทว่ากลับถูกไห่ไท่หยางเรียกรั้งเอาไว้เสียก่อน
“บอกนามของเจ้าได้หรือไม่?”
“นามของข้าหรือเจ้าคะ…”
“อืม… ข้าจะได้เอาร่มมาคืนได้ถูกคน”
“จะเอาแค่ร่มมาคืนจริงๆ หรือเจ้าคะ?”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“ไม่ถูกใจข้าหรือเจ้าคะ?”
“จะ เจ้า…!!”
ใบหน้าคมคายแดงก่ำเสียยิ่งกว่าผลอิงเถา บุรุษลักเลิ่กอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ แล้วเอ่ยต่อว่า…
“ก็ได้ ข้าพึงใจในตัวเจ้าตั้งแต่แรกเห็น”
“เช่นนั้นวันหลังเอาร่มมาคืนก็เลี้ยงน้ำชาข้าสิเจ้าคะ เพราะข้าเองก็อยากสานสัมพันธ์ ด้วยความรู้สึกเดียวกับท่าน… ฟางเหนียงขอตัวเจ้าค่ะ” เอ่ยจบนางก็หมุนกายเดินกลับเข้าไปในโรงเตี๊ยม ไห่ไท่หยางได้แต่มองตามหลังจนลับสายตา ทว่าเมื่อดึงสายตากลับมากลับพบกับถุงหอมของอิสตรี
บุรุษก้มลงเก็บมันมาแล้วสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ช่างเป็นกลิ่นที่รู้สึกคุ้นเคยเหลือเกิน คุ้นเคยเสียจนน่าแปลกใจ…
…ราวกับเคยเจอกันมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น…
ช่างน่าแปลกเหลือเกินที่หลังจากวันนั้น ไห่ไท่หยางก็ไม่สามารถลืมนางได้เลย รอยยิ้ม กลิ่นหอม ของนางตราตรึงอยู่ในใจ พร้อมกับความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
บุรุษนำร่มไม้ไผ่ไปคืนนางที่โรงเตี๊ยมเดิม หากแต่เสี่ยวเอ้อกลับบอกว่าสตรีผู้นั้นเดินทางออกไปเสียแล้ว ด้วยมีใจพึงในตัวนางจึงให้คนตามหาอย่างลับๆ เพราะกลัวที่บ้านจะรู้
หากรู้ไห่ไท่หยางก็ไม่รู้ว่าควรจะบอกออกไปอย่างไร ว่าตนนั้นตกหลุมรักสตรีเพียงแรกพบสบตา ครอบครัวคงจะคิดว่าบุรุษนั้นมองโลกใบนี้อย่างเพ้อฝัน
แม้แต่ตนเองยังคิดเช่นนั้นเลย รักแรกพบหรือ?
ไม่เคยมีในความคิดของบุรุษมาก่อน ไม่เคยเชื่อมาก่อน กระทั่งวันนั้นที่สายฝนเทกระหน่ำลงมาราวกับพายุเข้า หากแต่กลับมองเห็นดวงหน้าหวานโฉมสะคราญงดงาม รอยยิ้มของนางอ่อนหวานและสดใสราวกับดวงอาทิตย์
“อ่า…” บุรุษยกสองมือขึ้นปิดหน้าที่ร้อนผ่าวขึ้นมา
…ข้าตกหลุมรักนางเข้าอย่างจัง!...
หลายวันผ่านไปไห่ไท่หยางเป็นองครักษ์ในสังกัดของไท่จื่อ และมีคำสั่งให้ไปปราบโจรป่า จึงยกกำลังพลขึ้นหุบเขา ระหว่างกำลังพักแรมกลางป่านั้น ไห่ไท่หยางก็เดินสำรวจรอบบริเวณ
กระทั่งมาเจอลำธาร หากแต่ที่ริมลำธารพบกับจิ้งจอกบาดเจ็บ ทว่ามันมิใช่จิ้งจอกธรรมดา หากแต่เป็นจิ้งจอกเก้าหาง! มันนอนหายใจรวยริน ไห่ไท่หยางไม่รอช้าที่จะรีบเข้าไปช่วย
จิ้งจอกตัวนั้นยังมีสติ เพียงแต่ไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะขยับตัว มันปล่อยให้ไห่ไท่หยางรักษาบาดแผลให้กับมัน โดยที่มองอยู่ตลอด กระทั่งทำแผลเสร็จแล้วไห่ไท่หยางจึงคิดที่จะจากไป เขาไม่คิดที่จะเผยแพร่ตัวตนของจิ้งจอกเก้าหางให้ผู้ใดรับรู้ คิดเพียงแต่ว่าต่างคนต่างอยู่จะดีที่สุด
ทว่าก่อนที่บุรุษจะจากไปกลับได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
“อันเอ๋อร์ เจ้าอยู่ที่ใด อันเอ๋อร์! ได้ยินแม่หรือไม่!?”
พร้อมด้วยการปรากฏตัวของอิสตรีโฉมสะคราญนางหนึ่ง ตัวนางเองก็บาดเจ็บเช่นกันแต่กลับดูไม่เจ็บปวดเท่าใด ไห่ไท่หยางไม่คิดจะสนใจ ไม่คิดจะยุ่งเรื่องของผู้อื่น ถ้าสตรีนางนั้นมิใช่สตรีที่ตนพึงใจตั้งแต่แรกพบ
“แม่นางฟางเหนียง?”
ยามนั้นเองฟางเหนียงก็เจอกับร่างของจิ้งจอกตัวหนึ่ง พร้อมด้วยบุรุษที่นางกำลังเกี้ยว หากแต่เกิดเรื่องที่ดินแดนจิ้งจอกเสียก่อน การพบเจอกันในวันฝนตกนั่นจรงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย กระทั่งวันนี้…
“ท่าน…”
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? แถวนี้มีโจรป่า มันอันตรายรู้หรือไม่?” ไห่ไท่หยางเจ้ามาหานางอย่างรีบร้อน ดวงตาคมมองสำรวจร่างบอบบางตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความเป็นห่วง คราบเลือดบนอาภรณ์ของนางนั้นสร้างความหวั่นวิตกให้บุรุษไม่น้อย
“ขออภัย ตอนนี้ข้าไม่มีเวลาแล้ว”
สตรีตัวน้อยเบี่ยงตัวหลบจากฝ่ามือที่นางเคยโหยหา แล้วรีบเข้าไปดูจินหมิงอันในร่างของจิ้งจอกเก้าหางด้วยความเป็นห่วง
“หมิงอัน… เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
บุรุษมองภาพนั้นด้วยความประหลาดใจระคนสับสน นางรู้จักจิ้งจอกเก้าหางตนนั้นได้อย่างไร มันเกี่ยวข้องกับการที่นางบาดเจ็บและมาอยู่ในป่าแห่งนี้เพียงผู้เดียวหรือไม่?
ทว่ามิอาจครุ่นคิดสิ่งอื่นได้ เมื่องูตัวหนึ่งปรากฏกายพร้อมกับแผ่แม่เบี้ยเตรียมจู่โจม ยามนั้นเองฟางเหนียงก็ได้ใช้พลังของจิ้งจอกสร้างค่ายกลป้องกัน ไห่ไท่หยางตะลึงงันกับสิ่งที่ได้เห็น สตรีที่ตนพึงใจเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมา… มิใช่คนธรรมดาหรอกหรือ?
ลางสังหรณ์ของบุรุษร้องเตือนเสียงดังลั่น ว่านางนั้นไม่ต่างไปจากจิ้งนอกเก้าหางที่ตนเองได้ช่วยรักษาบาดแผลเอาไว้เมื่อครู่
เกิดการต่อสู้กันระหว่างูยักษ์และฟางเหนียงในคราบมนุษย์ ผลัดกันรุกผลัดกันรับ การสร้างบาดแผลให้กัน กระทั่งสภาพย่ำแย่ทั้งคู่
“ท่านไท่หยาง ข้าขอร้องท่านสักอย่างได้หรือไม่…”
ลมหายใจของนางหอบเหนื่อยและโรยรินเหลือเกิน หากร่างของนางล้มลงในยามนั้นก็คงไม่แปลกใจเท่าใด
“เรื่องอะไร?”
“ช่วยพาจิ้งจอกตัวนั้นไปยังทิศตะวันออก วิ่งไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอตำหนักกลางป่า”
“ตำหนักกลางป่าหรือ?”
“ขออภัย ข้ามิอาจอธิบายให้ท่านได้ หากข้ารอด ข้าจะบอกท่านทุกอย่าง ข้าขอร้องท่านได้หรือไม่?” นางหันไปขอร้องทั้งน้ำตา หัวใจของบุรุษปวดหนึบอย่างน่าประหลาด ทั้งที่ครั้งนี้เป็นการพบเจอกันครั้งที่สองเท่านั้น แต่เหตุใดคล้ายกับตัวเองมีความรู้สึกลึกซึ้งให้กับนาง
“ได้… เจ้ารีบตามมาล่ะ”
“เจ้าค่ะ”
ไห่ไท่หยางรับปากแล้วเดินกลับไปแบกร่างของจิ้งจอกเก้าหางตัวนั้นขึ้นบ่า แล้ววิ่งออกไปทางทิศตะวันออก บุรุษวิ่งไปเรื่อยๆ ตามที่นางบอก กระทั่งเจอกับตำหนักกลางป่าอย่างที่นางบอกจริงๆ ตำหนักแสนงดงามราวกับมาอยู่อีกโลกหนึ่ง…
“ต้นไม้ใหญ่”
เสียงหนึ่งดังขึ้น หากทว่าพื้นที่นี้ไร้ผู้คน ไห่ไท่หยางจึงรับรู้ได้ทันทีว่าเสียงนี้อาจจะเป็นเสียงของจิ้งจอกเก้าหางที่ตนเองแบกอยู่บนบ่าก็ได้
เมื่อคิดได้ดังนั้นไห่ไท่หยางก็พาจิ้งจอกเก้าหางตัวนั้นมุ่งตรงเข้าไป เพื่อมองหาต้นไม้ใหญ่อย่างไม่รู้ทิศทาง ในยามนั้นเองคล้ายกับมีเสียงหนึ่งเรียกเขาเอาไว้ ซึ่งไห่ไท่หยางมิอาจจับใจความเสียงนั้นได้ เพราะมันมิใช่เสียงจริงๆ หากแต่เป็นความรู้สึกราวกับบางอย่างกำลังเรียกเขาต่างหาก
เดินตามความรู้สึกนั้นไปก็พบกับบุปผางดงามหลายพันดอก และที่ใจกลางของบุปผางดงามแห่งนี้ก็มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แผ่กิ่งก้านสร้างร่มเงาขนาดใหญ่ ใต้นั้นยังมีชิงช้า และโต๊ะไม้ไผ่ขนาดเล็ก บ่งบอกว่าเจ้าของที่นี่ชอบมานอนเล่นใต้ต้นไมใหญ่แห่งนี้มากเพียงใด
เขาวางร่างของจิ้งจอกเก้าหางลงใต้ต้นไม้นั้น ฉับพลันเห็นถึงลำแสงสีขาวบริสุทธิ์โอบล้อมรอบร่างของจิ้งจอกเก้าหาง
แสงนั่นมันคือพลัง และพลังนั่นมันกำลังช่วยรักษา!!
บทที่ 1เครื่องบรรณาการแด่จิ้งจอกเก้าหางร่างเล็กๆ ของเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังเดินเก็บสมุนไพรในป่าลึกชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นร่างของเจ้าขนปุกปุยนอนฟุบอยู่ไม่ไกลจากที่นางอยู่มากนัก เด็กน้อยพาตนเองไปใกล้ๆ กับมันก็พบว่าเจ้าก้อนปุกปุยนั้นคือจิ้งจอกตัวน้อย‘หมาน้อย!’แม้ว่านางจะเชื่อว่ามันเป็นหมาน้อยก็ตาม...นางอุ้มจิ้งจอกตัวน้อยหรือหมาน้อยของนางขึ้นมา เห็นว่ามันได้รับบาดเจ็บก็ใช้สมุนไพรที่ตนเองเพิ่งเก็บมา ก่อนจะใช้หินทุบๆ แล้วนำมันไปวางโปะไว้ที่บาดแผลของจิ้งจอกตัวน้อย พร้อมทั้งฉีกแขนเสื้อตนเองแล้วใช้พันที่ท้องของมันเอาไว้ดวงตาใสๆ ของนางมองเจ้าจิ้งจอกน้อยตัวนี้ด้วยความเวทนา อยากจะนำมันไปดูแลเหลือเกิน หากแต่แค่ตัวนางเองก็ลำบากมากพอแล้ว ไม่อยากนำเจ้าสัตว์ตัวน้อยไปทุกข์ยากด้วย อีกอย่างขืนนำจิ้งจอกตัวนี้กลับบ้านไปด้วย มีหวังจากที่จิ้งจอกตัวนี้จะรอดตาย คงถูกตีจนตายต่อหน้าต่อตานางแน่ๆแม้นางจะยังเด็กนัก แต่ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาก็ทำให้เด็กน้อยเข้าใจโลกที่นางอยู่อย่างถ่องแท้‘เรียบร้อย ข้าต้องไปแล้วนะ’ ด้วยความไร้เดียงสา นางคิดว่าทำแค่นี้จิ้งจอกตัวนั้นคงรอดตายแล้ว ก่อนจะเดินลงจากเขาไป...ดวงตาของ
บทที่ 2จิ้งจอกเก้าหางฟางเหนียงรู้ว่าหากไม่รับถ้วยเหล้านี้ ก็คงถูกป้อนทางปากเหมือนเมื่อครู่อีกเป็นแน่ จึงยื่นมือเล็กๆ สองมือออกไปรับมันมาอย่างไม่เต็มใจ“ข้าคิดว่า... ท่านเป็นคนช่วยเจ้าค่ะ”“ใช่ แต่ก็ไม่ใช่”“หมายความเช่นไรเจ้าคะ?”“ข้าส่งคนไปจับเจ้า และคนที่ช่วยเจ้าก็คือคนของข้า เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต่างจากข้าช่วยเจ้า เพียงแต่ข้ามิได้ไปช่วยด้วยตนเอง”“อ่า... อย่างไรก็ต้องขอบคุณนะเจ้าคะ” สตรีตัวน้อยกระโดดลงจากเตียง จากนั้นก็ประสานมือแล้วยอบกายคำนับ เท่านั้นยังไม่พอ นางยังก้มหัวลงจรดพื้นด้วยท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนอีกด้วย “เหนียงเอ๋อร์เป็นหนี้บุญคุณชีวิตท่านเสียแล้ว หากมีสิ่งใดที่เหนียงเอ๋อร์ตอบแทนท่านได้ โปรดบอกมาเถิดเจ้าค่ะ”“ลุกขึ้น”ฟางเหนียงทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนจะจ้องมองบุรุษตาปริบๆ ในขณะเดียวกันจินหมิงเยว่หย่อนกายนั่งลงบนเตียงท่าทีสบายๆ“ข้าช่วยเจ้า เพราะเจ้าเป็นคนในปกครองของข้า คนที่ข้าส่งไปรับเจ้าย่อมรู้ดีว่าหากผู้ใดคิดแตะต้องเจ้า โทษคือตายสถานเดียว”“เจ้าคะ? คะ คนของท่าน?”“ใช่... ชุดนี่” กวาดสายตามองสตรีตัวน้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า อาภรณ์พวกนี้มีกลิ่นเครื่องหอม ซึ่งต่างจากกลิ่นกายของฟางเ
บทที่ 3เจ้าสาวจิ้งจอกร่างกายของนางถูกพันธนาการอย่างร้ายกาจ แม้ท่าทีจะนุ่มนวลหากแต่เมื่อนางขยับ กลับมิอาจขยับร่างกายได้ตามใจ ร่างกายของบุรุษไม่ต่างจากหินผา ราวกับนางติดอยู่ในซอกหินไร้หนทางออก“ฮ้า!!” จวบจนเกือบหมดลมหายใจ จิ้งจอกตัวร้ายจึงถอนริมฝีปากออกเพื่อเปิดโอกาสให้นางสูดลมหายใจเสียงหัวเราะด้วยความเจ้าเล่ห์ระคนเอ็นดูดังขึ้นอย่างพึงพอใจ ก่อนที่อาภรณ์จะถูกปลดออกเผยเรือนร่างขาวผ่องใต้แสงจันทร์เต็มดวง ทว่า… ผิวขาวๆ ราวกับหยกมันแพะกลับแต่งแต้มไปด้วยรอยแผลจากการถูกทุบตีดวงตาเรียวคมจ้องมองมันอย่างโหดเหี้ยม เผลอออกแรงที่ข้อมือเล็กจนสตรีตัวน้อยสะดุ้งกับความเจ็บปวดนั่น“อ๊ะ!”และนั่นก็เรียกสติของจินหมิงเยว่กลับมา… คลายแรงที่มือออก เผยให้เห็นข้อมือเล็กๆ แดงก่ำจากการถูกบีบเมื่อครู่…เจ้าก็ตัวเล็กถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงถูกทำร้ายไปทั้งตัว?...“ข้าบอกท่านแล้ว ว่าร่างกายของข้ามิได้งดงาม” เสียงหวานเอ่ยอย่างเศร้าสร้อยร่างกายของสตรีนั้นล้ำค่าไม่ต่างจากพรหมจรรย์ของพวกนาง หากแม้ร่างกายมีบาดแผลเพียงเล็กน้อยจนเกิดเป็นแผลเป็น เป็นข้ออ้างของการหย่าร้างได้ ในสตรีพรหมจรรย์ก็ทำให้พวกนางมิได้ออกเรือนกับบุรุษ
บทที่ 4เมียของข้า ช่างขี้โวยวายยิ่งนัก“ทะ ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ”“เจ้าไม่รู้ หรือแกล้งไม่รู้ หืม?” บุรุษไม่เอ่ยเพียงอย่างเดียว ยังแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตนเองอย่างจงใจ“ขะ ข้าไม่แน่ใจ...”“เจ้าคิดว่าอย่างไร?”“ข้า ข้าคิดว่าท่านจะทำให้ข้าเป็นภรรยาของท่าน”“เจ้าเข้าใจถูก”“แล้วเหตุใดจึงต้องให้ข้าอ้าขาเช่นนี้เจ้าคะ”“หึหึ เรื่องนี้เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ?”บุรุษหยั่งเชิงสตรีตัวน้อย แม้นางจะเพิ่งอายุสิบหกปีในวันนี้ หากแต่สงสัยเสียจริงว่าในเรื่องธรรมชาติของการสืบพันธ์ นางไม่รู้จริงๆ หรือ?“ไม่รู้เจ้าค่ะ” ทว่าคำตอบกลับเป็นเสียงหวานสั่นเครือเล็กน้อย และนัยน์ตากลมแสนใสซื่อ“อ่า เจ้านี่ช่าง... ไร้เดียงสาเสียจริง เช่นนั้นคืนนี้ข้าคงต้อง ‘ทำให้เจ้ารู้’ หลายอย่างเลยล่ะ”“ข้ายินดีรับก
บทที่ 28ตัวตนที่แท้จริงของนางจินหมิงอันนางไม่เป็นห่วงเท่าใดนัก เพราะรู้จากไห่ไท่หยางว่าบุตรชายของตนนั้นอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ ศูนย์รวมพลังของดินแดนจิ้งจอกแห่งนี้ อีกทั้งภายในตัวของบุตรชายนั้นมีลูกแก้วจิ้งจอกอันสมบูรณ์ ไม่นานก็คงฟื้นตัวได้แต่กับตนเองนั้นแม้จะมีลูกแก้วจิ้งจอกซึ่งมีพลังมากมายมหาศาล หากแต่มิใช่ลูกแก้วจิ้งจอกซึ่งเป็นพลังต้นกำเนิดของนาง ไม่ต่างไปจากจิตวิญญาณที่อาศัยร่างของนาง การมีลูกแก้วจิ้งจอกทำให้นางทนความเจ็บปวดได้ ขนาดนางมีลูกแก้วจิ้งจอกยังเจ็บปวดถึงเพียงนี้ ไม่อยากจะนึกภาพเลยว่าถ้าหากนางไม่มีมันจะเจ็บปวดเจียนตายที่ขนาดไหนหากเป็นบาดแผลธรรมดาลูกแก้วจิ้งจอกก็สามารถรักษาให้นางหายได้ในชั่วพริบตา หากแต่มันเป็นแผลที่เกิดจากปีศาจ อีกทั้งร่างกายของนางแต่เดิมทีแล้วนั้นเป็นเพียงมนุษย์ มันจึงค่อนข้างใช้เวลาในการรักษาและฟื้นฟูฟางเหนียงบอกทางบุรุษมายังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ตลอดมานางเคยหลีกเลี่ยงสถานที่แห่งนี้ มันเต็มไปด้วยความทรงจำยากลืมเลือน นางเคยแช่อยู่ที่นี่พร้อมกับร่
บทที่ 5ริมฝีปากงดงามค่ำคืนวสันต์อันเร่าร้อนผ่านพ้นไป เสียงนกขับขานเป็นบทเพลงแรกในยามเช้า ปลุกให้บุรุษและสตรีในห้องหอนอนตื่นจากห้วงแห่งนิทรา ทว่ามีเพียงจินหมิงเยว่ที่ลืมตาตื่นขึ้นอย่างสดชื่น เอียงใบหน้าพินิจสตรีในอ้อมแขนที่สลบระหว่างบทรักเมื่อคืนนี้ ก้มหน้าลงจุมพิตหน้าผากเนียนแนบแน่นทว่าร่างกายร้อนผ่าวทำเอาจินหมิงเยว่สะดุ้งเล็กน้อย…เหตุใดร่างกายของนางจึงร้อนเป็นไฟเช่นนี้?...“เหนียงเอ๋อร์?” มือหนาตบลงบนหัวไหล่เล็กเบาๆ เพื่อปลุกให้นางตื่น หากแต่สตรีตัวน้อยยังคงหลับตาพริ้มเมื่อคืนนางก็สลบคาเตียง เช้าวันนี้นางตัวร้อนผ่าว มันคืออาการอะไรกันแน่? เหตุใดมนุษย์จึงมีร่างกายที่ซับซ้อนเช่นนี้?จินหมิงเยว่คือปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง ซึ่งบำเพ็ญเพียรมานานถึงพันปี ตลอดพันปีไม่เคยป่วยไข้เฉกเช่นมนุษย์ ถึงแม้ว่าในเผ่าพันธุ์เดียวกันจะมีอาการเจ็บป่วย หากแต่บุรุษซึ่งปลีกวิเวกฝึกฝนตนหลงลืมมันไปนานเหลือเกิน จึงมิอาจรับรู้เลยว่าอาการนี้คืออาการป่วยไข้ร
บทที่ 6ตำหนักพันปี…ละ เลือดของข้าหรือ? จะ จากตรงนั้น!?...“เฮือก!!”“เป็นอะไรหรือเจ้าคะ?”“ละ เลือดข้า!”…ระ รอบเดือนหรือ!? ช่างน่าอายยิ่งนัก!...สตรีตัวน้อยรีบวิ่งเข้าไปดึงผ้าปูออกมาด้วยความอับอาย“ตายจริง ให้ข้าน้อยทำเอาเถิดเจ้าค่ะ”“มิได้ๆ นี่เป็นเลือดของข้า”“มิได้เจ้าค่ะ นี่เป็นงานของข้าน้อย”“ตะ แต่นี่ ระ รอบเดือนของข้านะ”“หืม?” ฮวาอินเอียงคอมองฟางเหนียงซึ่งหน้าแดงก่ำราวกับผลอิงเถา “ข้าน้อยคิดว่าอาจจะเป็นเลือดอย่างอื่นนะเจ้าคะ”“…”“เช่น… เลือดพรหมจรรย์ของท่าน”“…!?”“มาเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะเอาไปซัก ระหว่างนั้นฮูหยินประมุขก็ลองตรวจสอบดูนะเจ้าคะ หากเป็นเลือดรอบเดือนจ
บทที่ 7จิ้งจอกใจร้ายหากแต่ก่อนหน้านั้นก็ถูกมือของฮวาอินทะลวงกลางอกจนทะลุไปอีกด้านเสียก่อน“เฮือก!!” ฟางเหนียงเห็นช่วงเวลานั้นพอดิบพอดี ราวกับทรวงสวรรค์กลั่นแกล้งให้นางหวาดกลัวสถานที่แห่งนี้มากกว่าเดิม!!สองขาอ่อนเรี่ยวแรง มองภาพฮวาอินจัดการกับศพของพวกเดียวกันไม่วางตา นางมิได้อยากมองหากแต่มิอาจบังคับสายตาได้พรึ่บ!ผ้าคลุมผืนหนึ่งถูกตวัดโอบคลุมรอบกายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ก่อนที่ร่างบอบบางจะถูกโอบอุ้มขึ้นมาจากพื้น ฮวาอินคำนับประมุขสูงสุดของเผ่าจิ้งจอก บุรุษปรายตามองร่างไร้วิญญาณของปีศาจจิ้งจอกซึ่งมีไอดำลอยออกมาจากกาย เขาใช้ปลายนิ้วชี้ไปที่ร่างนั้นก่อนที่ไอดำจะสลายหายไป ส่งสายตาโหดเหี้ยมแทนคำสั่งแล้วพานางกลับไปยังตำหนักพันปีเมื่อเข้ามาในห้อง บุรุษก็ดึงผ้าคลุมออกสบสายตากับสตรีตัวน้อยซึ่งนั่งตัวสั่นระริกอยู่บนเตียง“ท่าน… ประมุข” เสียงที่เคยหวานกลับถูกเอ่ยออกมาอย่างแหบแห้ง“ท่านประมุขหรือ? ค่ำคืนวสันต์ไม่อยู่ใน
บทที่ 26ห้วงคำนึงถึงนางหลายฤดูผ่านไปจินหมิงอันเติบใหญ่เป็นจิ้งจอกหนุ่ม มีอิทธิฤทธิ์มากล้นเดินตามรอยของผู้เป็นบิดา ฟางเหนียงภาคภูมิใจเหลือคณานับที่บุตรชายสง่างามเช่นนี้ อีกทั้งยังรวบรวมพลังสร้างลูกแก้วจิ้งจอกของตนเองได้แล้ว แม้ว่าลูกแก้วจิ้งจอกนั้นจะยังแข็งแกร่งไม่เท่าลูกแก้วจิ้งจอกที่อยู่ในตัวของนางก็ตามยามนั้นเองสายลมพัดผ่านพาเอาความเย็นสบายโอบรอบร่าง ทว่ามีบางสิ่งลอยมากับสายลมด้วย กลิ่นที่คุ้นเคยพาให้หัวใจดวงน้อยเต้นแรงขึ้นมาฟางเหนียงหยัดกายขึ้นแล้วพุ่งตัวออกไปตามกลิ่นนั่น แหวกผ่านพงไพร เป็นหนึ่งเดียวกับสายลม กระทั่งมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง นางเดินตามหาไม่นานก็มาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง“ยินดีด้วยเจ้าค่ะ ท่านเจ้าตระกูลได้บุตรชายเจ้าค่ะ!”เสียงเด็กร้องไห้โยเยดังลอดออกมาให้ได้ยิน พร้อมกับเสียงแสดงความยินดีให้กับบิดาและมารดา นางยืนฟังเสียงร้องไห้นั้นอยู่นาน กระทั่งมีคนผู้หนึ่งทักนางเข้า“มาหาผู้ใดหรือเจ้าคะ?”
บทที่ 25สูญเสียไปตลอดกาลดวงตาคู่งามลืมตาขึ้นท่ามกลางพงไพรอันคุ้นเคย ด้านข้างของนางคือร่างของจิ้งจอกหนุ่ม คนรักของนาง… ร่างของบุรุษที่รักนอนแน่นิ่งจนน่าหวาดหวั่นความอบอุ่นที่อยู่กลางอกบ่งบอกให้นางรับรู้ได้ถึงพลังชีวิตอันมหาศาล รวมถึงอิทธิฤทธิ์ของปีศาจจิ้งจอก มันคือลูกแก้วจิ้งจอกไม่ผิดแน่ใช่แล้ว ลูกแก้วจิ้งจอกอยู่กับนางมาตลอด ลูกแก้วจิ้งจอกที่เปรียบเสมือนพลังชีวิตของจินหมิงเยว่ บุรุษเคยบอกกับนางเช่นนั้น นั่นหมายความว่าไม่มีทางที่จินหมิงเยว่จะตาย เขาก็แค่หมดเรี่ยวแรงจึงหลับไปเท่านั้นนางเอ่ยปลอบตนเองแล้วหันไปหาบุรุษ หากทว่าเมื่อมือเล็กๆ แตะที่ร่างของบุรุษ ความเย็นยะเยือกก็แล่นผ่านเข้ามาในร่างของนาง สตรีตัวน้อยตัวแข็งทื่อ พลันน้ำตาก็ไหลอาบสู่สองข้างแก้ม“ไม่จริง ท่านพี่บอกว่า หากมีข้า มีลูกแก้วจิ้งจอก อย่างไรก็ไม่มีทางตายนี่”ฝ่ามือเล็กคว้าท่อนแขนของบุรุษแล้วออกแรงเขย่าแรงๆ เพื่อหวังให้บุรุษฟื้นตื่นขึ้นมา แม้ว่าบุรุษจะเจ็บ หากฟื้นขึ้นมานางจะยินยอมน
บทที่ 24เดิมทีนางควรจะตายไปตั้งนานแล้วยามนั้นเองบางสิ่งร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า เส้นแสงสีขาวหลายสายล้อมรอบพวกเขาเอาไว้“...!”จินหมิงเยว่และหลี่ตงหยางตวัดแขนขึ้นไปด้านหน้า ล้อมฟางเหนียงเอาไว้เพื่อปกป้องนางสตรีตัวน้อยสะดุ้งตกใจ โอบกอดจินหมิงเยว่เอาไว้ด้วยความหวาดกลัว...คนพวกนี้เป็นใครกัน?...“ส่งตัวนางมา หากต่อต้านจะถือว่าปรปักษ์ต่อสรวงสวรรค์”...สรวงสวรรค์หรือ!?...ดวงตาคู่งามเบิกกว้างด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน นางสับสนว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่!?“หากอยากได้ตัวนางนัก ก็เข้ามา!!” เป็นจินหมิงเยว่ที่เอ่ยออกไปอย่างไม่เกรงกลัว แม้จะเป็นผู้ใดหากมาพรากฟางเหนียงไปจากเขา บุรุษไม่ยินยอม!!เกิดการต่อสู้กันระหว่างปีศาจจิ้งจอก เทพหนุ่มตกสวรรค์และองครักษ์สวรรค์ โดยที่ฟางเหนียงอยู่ในการปกป้องของจินหมิงเยว่ตลอดการต่อสู้“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ เหตุใ
บทที่ 23เช่นนั้นข้าปรนนิบัติเจ้าแทนฟางเหนียงลงมือทำอาหารหลายอย่าง รวมถึงของหวานด้วย นางคีบทั้งผักทั้งปลาใส่ในถ้วยของบุรุษ ส่วนจินหมิงเยว่ก็คีบแต่พวกเนื้อสัตว์ใส่ถ้วยให้นางเช่นเดิม“เมื่อใดเจ้าจะอ้วนเสียที หืม?”“ข้าไม่อยากอ้วนเจ้าค่ะ”“เหตุใดจึงไม่อยากอ้วน?”“ข้าเป็นสตรี ก็ต้องรักสวยรักงามเป็นธรรมดา หากอ้วนเมื่อสวมใส่อาภรณ์ใดๆ ก็ไร้ความมั่นใจนี่เจ้าค่ะ”“เจ้าเคยอ้วนหรือ?”“ไม่เคยเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าหากอ้วนแล้วจะไม่งดงาม”“เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเคยมาก่อนที่เจ้าค่ะ! อีกอย่างข้าไม่เคยบอกว่าไม่อ้วนแล้วจะไม่งดงาม ข้าก็แค่คิดว่าคงไม่มีความมั่นใจ”“อ้วนให้ข้าหน่อยเถิด”“เอ๊ะ! ท่านพี่นี่อย่างไร หากอยากได้สตรีอ้วนๆ ก็ไปหาที่อื่น ไม่ต้องมาหาที่ข้า!”&l
บทที่ 22สัญชาตญาณที่ต้องปลดปล่อยฟางเหนียงขยับกายไปนั่งลงบนตักของบุรุษ จากนั้นก็ใช้สะโพกกดลงบนความแข็งแกร่ง ครอบครองแก่นกายบุรุษเพศเข้าไปในตัวของตนเอง“อ่า...” ทั้งฟางเหนียงและจินหมิงเยว่ครางด้วยความสุขสมสตรีตัวน้อยโอบกอดบุรุษแนบอกแล้วเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะจะเริ่มขยับสะโพกของตนเองด้วยท่าทางที่ดูเก้ๆ กังๆ ในช่วงแรก ทว่าไม่นานความวาบหวาม รัญจวนใจ ร่างกายก็ได้นำพาให้นางสามารถขับเคลื่อนร่างกาย มอบความเสียวซ่านให้กับบุรุษได้เป็นอย่างดีนางเอนกายไปข้างหลัง ใช้มือเกาะบ่าของบุรุษเอาไว้ก่อนจะเด้งสะโพกระรัว รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของแก่นกายได้อย่างชัดเจน“อ๊า ท่านพี่ อื้ม!” ทรวงอกของนางถูกดูดดื่มอย่างหื่นกระหาย แม้มันจะเจ็บเล็กน้อยเพราะมีรอยแผลจากการกระทำของบุรุษเมื่อครั้นก่อนหน้า หากแต่ความวาบหวามนั้นมีมากกว่า นางจึงยิ่งแอ่นอกให้ปากหยักดูดดื่มและกลืนกินตามต้องการฟางเหนียงเชิดหน้าขึ้นแล้วร้องครางเสียงหวานอย่างลืมอาย สูญสิ้นสติในการยับยั้งชั่งใจ กลีบกา
บทที่ 21รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปวันเวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ฟางเหนียงในวัยสิบหกปีครั้นมาที่ดินแดนจิ้งจอกแห่งนี้เป็นครั้งแรก บัดนี้นางอายุสิบแปดหนาวเสียแล้วความงดงามของนางนั้นเพิ่มมากขึ้นเสียจนจินหมิงเยว่แทบจะกกกอดนางเอาไว้ภายในห้องตลอดทั้งวันทั้งคืน ถึงแม้ว่ารอบตำหนักพันปีจะไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามาได้ หากมิได้รับอนุญาตก็ตาม“ท่านพี่เจ้าคะ!” เสียงเจื้อยแจ้วของฟางเหนียงดังขึ้น พร้อมการปรากฏกายของนาง ในขณะที่จินหมิงเยว่กำลังฝึกพละกำลังและอาคมบุรุษตวัดฝ่ามือครั้งหนึ่งพาร่างบอบบางลอยละล่องมานั่งบนตักของตนเอง แล้วฉวยโอกาสหอมแก้มนางไปหนึ่งที“ว้าย! ท่านพี่! ฮวาอินก็อยู่นะเจ้าคะ”“เฮ้อ ฮวาอินออกจะชอบที่ข้ากับเจ้าพลอดรักกัน”“ท่านพี่!!”เพี๊ยะ!!ว่าแล้วก็ตีท่อนแขนแกร่งไปหนึ่งทีด้วยความเขินอาย จินหมิงเยว่หัวเราะเสียงดัง ยิ่งได้เห็นพวงแก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อก็ยิ่งอยากแกล้
บทที่ 20งอน“ลองขย่มข้าสิ”“ตะ แต่ข้าไม่รู้”“ทำแบบนี้”“อ๊ะ!?”ฝ่ามือหยาบยกสะโพกกลมขึ้นแล้วกดลงให้ครอบครองความแข็งแกร่งของตนเอง ความเสียวซ่านแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่างบอบบางฟางเหนียงขยับตามการนำพาของบุรุษ กระทั่งหาจังหวะของตนเองเจอ จินหมิงเยว่ก็เปลี่ยนเป็นบีบเคล้นสะโพกกลมกลึงด้วยความมันเขี้วแทนท่วงท่าของนางสร้างความรัญจวนในเหลือเกิน มันเชื่องช้าและละมุนละไม ราวกับจงใจทรมานจินหมิงเยว่ให้ต้องอดทนกับกามารมณ์ เกร็งทั่วทั้งร่างจนเห็นก้อนกล้ามเนื้อชัดเจน อีกทั้งเส้นเลือดยังปูดโปนออกมา“อ่า เหนียงเอ๋อร์ เจ้าช่าง...” บุรุษมิอาจเอื้อนเอ่ยได้อีก เมื่อนางเริ่มขยับถี่ขึ้นเรื่อยๆ มิได้เข้าสุดออกสุดเหมือนอย่างในครั้งแรก แต่เป็นการกดสะโพกระรัว“อืม” นางครางเสียงหวานแล้วแหงนหน้าขึ้นตามอารมณ์ จินหมิงเยว่ก้ามหน้าลงดูดดื่มกับยอดอกสีหวานเข้าปากอย่างกระหายความรู้สึกวาบหวา
บทที่ 19จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ดวงตาคู่งามเปิดอย่างเชื่องช้า คราวนี้ฟางเหนียงไม่ตกใจอีกแล้วว่านางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร สถานที่ที่ไม่ต่างไปจากสรวงสวรรค์ นางคงถูกเทพองค์นั้นเรียกตัวมาอีกเป็นแน่นางเตรียมที่จะมองหาตัวของผู้ที่เรียกนางมา แต่ไม่ทันที่จะได้หยัดกายลุกขึ้นเสียด้วยซ้ำ เสียงทุ้มน่าฟังก็ดังขึ้นเหนือหัว“เดี๋ยวนี้เจ้าไม่ตกใจแล้วหรือ?”ฟางเหนียงหยัดกายลุกขึ้น ก่อนจะหันไปยอบกายคำนับตามมารยาท“คำนับ ท่านเทพเจ้าค่ะ”“อ่า เจ้ารู้แล้วสินะ… รู้ได้อย่างไร หมิงเยว่บอกเจ้าหรือ?”“ท่านพี่ของข้ารู้จักกับท่านเป็นการส่วนตัวด้วยหรือเจ้าคะ?”“อ่า มิใช่สินะ”ใบหน้าคมคายหม่นลงเล็กน้อย ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับฟางเหนียงดูเหมือนว่าทั้งสองจะรู้จักกันสินะ แต่รู้จักกันด้วยดีหรือร้ายมิอานคาดเดาได้“ท่านเทพ… จุดประสงค์ของท่านคือสิ่งใดกันแน่?”สตรีตัวน้อยรู้สึกหวาดหวั่นเหลือเกิน หวาดกลัวว
บทที่ 18มิอาจยอมให้นางเสียหายลิ้นสากหลีกหนีเรียวลิ้นของนาง ลิ้นของนางก็ยังตามติดไม่ออก กลายเป็นจูบที่แสนดูดดื่มจนเกิดเสียงน่าอาย เมื่อยามที่ฟางเหนียงยอมแพ้คิดจะถอนริมฝีปากออก จินหมิงเยว่ก็เป็นฝ่ายคว้าท้ายทอยของนางแล้วกดให้แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็เป็นฝ่ายรุกรานโพรงปากอุ่น ตักตวงความหอมหวานอย่างเร่าร้อน ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เอาแต่หลีกหนีปฏิเสธนางแท้ๆ...จิ้งจอกเจ้าเล่ห์!!...อดมิได้ที่จะต่อว่าบุรุษในใจที่คิดหลอกนาง แต่ก็ยอมให้บุรุษรุกรานแต่โดยดี เพราะจูบหวานๆ ที่ถูกส่งมอบมามันพาให้ร่างของนางอ่อนระทวย เคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบซึ่งราวกับเอาอกเอาใจนาง นางจะยอมให้อภัยจินหมิงเยว่ก็แล้วกันเนิ่นนานกว่าทั้งสองจะถอนริมฝีปากออกจากัน ดวงตาสบประสานกันของหวานซึ้ง คล้ายกับกำลังแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่มีให้กันและกัน“เอาลูกแก้วคืนไปหรือยังเจ้าคะ?”“ยัง”“อ้าว?”“ข้าฝากไว้กับเจ้า หากข้าบาดเจ็บเจ้าจะได้จู