จินหมิงอันนางไม่เป็นห่วงเท่าใดนัก เพราะรู้จากไห่ไท่หยางว่าบุตรชายของตนนั้นอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ ศูนย์รวมพลังของดินแดนจิ้งจอกแห่งนี้ อีกทั้งภายในตัวของบุตรชายนั้นมีลูกแก้วจิ้งจอกอันสมบูรณ์ ไม่นานก็คงฟื้นตัวได้
แต่กับตนเองนั้นแม้จะมีลูกแก้วจิ้งจอกซึ่งมีพลังมากมายมหาศาล หากแต่มิใช่ลูกแก้วจิ้งจอกซึ่งเป็นพลังต้นกำเนิดของนาง ไม่ต่างไปจากจิตวิญญาณที่อาศัยร่างของนาง การมีลูกแก้วจิ้งจอกทำให้นางทนความเจ็บปวดได้ ขนาดนางมีลูกแก้วจิ้งจอกยังเจ็บปวดถึงเพียงนี้ ไม่อยากจะนึกภาพเลยว่าถ้าหากนางไม่มีมันจะเจ็บปวดเจียนตายที่ขนาดไหน
หากเป็นบาดแผลธรรมดาลูกแก้วจิ้งจอกก็สามารถรักษาให้นางหายได้ในชั่วพริบตา หากแต่มันเป็นแผลที่เกิดจากปีศาจ อีกทั้งร่างกายของนางแต่เดิมทีแล้วนั้นเป็นเพียงมนุษย์ มันจึงค่อนข้างใช้เวลาในการรักษาและฟื้นฟู
ฟางเหนียงบอกทางบุรุษมายังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ตลอดมานางเคยหลีกเลี่ยงสถานที่แห่งนี้ มันเต็มไปด้วยความทรงจำยากลืมเลือน นางเคยแช่อยู่ที่นี่พร้อมกับร่างไร้วิญญาณของบุรุษอันเป็นที่รัก…
ทว่าบัดนี้นางมิอาจหลีกเลี่ยงได้ นางมิได้ตัวคนเดียว แต่ยังมีดินแดนที่จินหมิงเยว่สร้างขึ้นมาเพื่อนาง และ… ยังมีพยานรักที่เป็นหลักฐานอย่างดีว่าความรักระหว่างมนุษย์และจิ้งจอกเก้าหางเป็นความจริง หาได้เป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าขาน
“เจ้าจะทำอะไร?” ไห่ไท่หยางเอ่ยพลางยึดแขนของนางเอาไว้
“แช่น้ำ”
“มิได้ บาดแผลของเจ้าไม่ควรโดนน้ำ”
“นี่คือบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ สามารถรักษาได้ทุกบาดแผล แม้กระทั่งคนใกล้ตายก็สามารถฟื้นคืนขึ้นมาได้…”
ถึงแม้ว่าอย่างสุดท้ายนางจะไม่เคยเห็นมากับตาก็ตาม แต่เรื่องของบาดแผลนางเคยพิสูจน์มาด้วยตนเองแล้ว บาดแผลและรอยแผลเป็นที่เคยถูกเฆี่ยนตีจากสกุลเก่า มลายหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน
แม้อยากจะห้าม และดูเหมือนกับเรื่องที่นางเอ่ยขึ้นมานั้นเป็นเรื่องไร้สาระเหลือเกิน บาดแผลใดหากโดนน้ำก็จะเน่าเปื่อยยากต่อการรักษา
ทว่าวันนี้ไห่ไท่หยางเจอเรื่องเหนือธรรมชาติมากมายเหลือเกิน จิ้งจอกเก้าหาง งูยักษ์ และตำหนักงดงามกลางป่าแห่งนี้ราวกับตัดขาดจากโรคภายนอก อีกทั้งยังความจริงที่ว่า…สตรีตรงหน้าของตนก็คงเป็นจิ้งจอกเก้าหาง และยังเคยเป็นมนุษย์มาก่อน
บุรุษยังจำได้ดีในยามที่ฟางเหนียงพูดคุยกับงูยักษ์ นางบอกว่านางเคยเป็นมนุษย์มาก่อน…
เช่นนั้นหมายความว่ายามนี้นางมิใช่มนุษย์ แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น มีคำถามพูดขึ้นมามากมายในระหว่างที่มองร่างบอบบางค่อยๆ เดินลงไปแช่ในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เขาอยากถามออกไปเหลือเกินหากแต่มิอาจเอื้อนเอ่ยออกไปได้ จะดูเป็นการเสียมารยาทไปหรือไม่ เขามีสิทธิ์อะไรไปถามนาง และ…กลัวว่าคำถามของตนนั้นอาจจะไปกระทบกระเทือนจิตใจของนาง
ช่างน่าขบขันเสียจริงที่มนุษย์ไร้ซึ่งอิทธิฤทธิ์อย่างไห่ไท่หยางนึกถึงจิตใจของจิ้งจอกเก้าหาง ปีศาจร้ายในตำนานเล่าขาน
“เหมือนท่านมีเรื่องอยากจะพูดกับข้า ข้าจะตอบคำถามของท่านเป็นการตอบแทนที่ช่วยข้ากับลูก ดีหรือไม่?” นางเอ่ยขณะนั่งหันหลังให้กับบุรุษ นางลงไปแช่น้ำโดยที่ยังคงสวมใส่อาภรณ์ชุดเดิม
“หากไม่เป็นการรบกวนท่าน”
“ข้ายินดี อย่างไรท่านก็เป็นผู้มีพระคุณแล้ว”
“เช่นนั้น…” แม้จะได้รับอนุญาตให้ถามคำถามออกไป แต่ไห่ไท่หยางก็ลังเลใจว่าควรถามคำถามนั้นออกไปหรือไม่
“ให้ข้าเดาท่านคงกำลังสงสัยเรื่องตัวตนของข้า และ… สงสัยว่าถ้าเขาหาท่านด้วยจุดประสงค์ใด…”
“…”
“ข้าคือสิ่งที่ท่านคิด… จิ้งจอกเก้าหาง ส่วนจุดประสงค์ที่ข้าเข้าหาท่าน… ข้าแค่พึงใจในตัวท่านก็เท่านั้น”
ฟางเหนียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ไห่ไท่หยางมองไม่เห็นดวงหน้าของนางเนื่องจากนางนั่งแช่น้ำโดยหันหลังให้กับเขา ถึงไม่รู้ว่ายามนี้นางกำลังทำหน้าอย่างไร ทว่าบุรุษนั้นหน้าเห่อร้อน ใบหูแดงก่ำกับถ้อยคำสารภาพจากสตรีที่ตนพึงมีใจให้
“ตามตำนานเล่าว่าจิ้งจอกเก้าหางจะกัดกินพลังชีวิตของมนุษย์ เพื่อเปลี่ยนให้ตัวเองเป็นมนุษย์”
สตรีตัวน้อยรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก ในสายตาของบุรุษนางดูเลวร้ายเช่นนั้นหรือไม่?
“ข้ามิได้มีเจตนาเช่นนั้นกับท่าน! ข้าก็แค่… ชอบท่าน”
หลังจากถ้อยคำนั้น ไม่มีผู้ใดเอื้อนเอยสิ่งใดออกมา มีเพียงเสียงของสายลมกระทบกับใบไม้เกิดเป็นเสียงเสียดสีของใบไม้เล็กๆ
“ข้าได้ยินว่าเจ้าเคยเป็นมนุษย์”
“…เจ้าค่ะ ข้าเคยเป็น…”
“แล้วเหตุใดจึงมิใช่แล้ว”
“ในอดีตเกิดเหตุการณ์ที่สามีของข้าต้องสละชีวิตเพื่อข้า เขาได้ให้ลูกแก้วจิ้งจอกแก่ข้า เมื่อต้นกำเนิดพลังจิ้งจอกหายไป พลังทั้งหมดจึงมารวมอยู่ที่ลูกแก้วจิ้งจอก หรือก็คือมารวมอยู่ในตัวของข้า จากนั้นมาข้าก็ละทิ้งความเป็นมนุษย์และกลายเป็นจิ้งจอก”
“สามีของเจ้าคงรักเจ้ามาก”
“เจ้าค่ะ สามีรักข้ามาก จนละเลยตนเอง ข้าอยากตีเขานักที่ไม่รักตนเองบ้างเลย เอาแต่รักข้า ทว่า… ข้าเองก็ไม่ต่างกัน ข้าเองก็รักเขามากกว่าตนเองเช่นกัน”
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดออกมาเลย ราวกับกำลังจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง จนกระทั่งร่างของฟางเหนียงเริ่มจมลงเรื่อยๆ
“ฟางเหนียง!” ไห่ไท่หยางคว้าร่างของนางขึ้นจากน้ำ เห็นว่าดวงหน้าของนางซีดเซียว บุรุษจึงเอ่ยโทษตนเองที่ยอมให้นางแช่น้ำ ทั้งๆ ที่บาดแผลเช่นนี้ไม่ควรโดนน้ำ จึงพยายามจะดึงร่างของนางขึ้นมา
“อึก! ยะ อย่า… ข้าต้องแช่”
“เจ้าหน้าซีดเช่นนี้ยังจะแช่อีกหรือ!?”
“เพื่อรักษา… บาดแผล” เสียงของนางแหบพร่าราวกับจะหมดสติอยู่รอมร่อ
บุรุษไม่เอ่ยสิ่งใดและพยายามดึงร่างของนางขึ้น แต่ฟางเหนียงก็ขัดขืน สุดท้ายนางใช้กำลังของนางสุดแรงดึงร่างของบุรุษให้ลงมาแช่น้ำกับนางด้วย ก่อนจะซบลงบนแผงอกกว้างอย่างหมดแรง เรี่ยวแรงเมื่อครู่นี้คือเรี่ยวแรงทั้งหมดของนาง
“เจ้า…! เหตุใดจึงดื้อรั้นเช่นนี้!!”
“ท่าน… ดู บาดแผล ของข้า”
ได้ยินเช่นนั้นบุรุษก็ถือวิสาสะดูบาดแผลที่แขนของนาง ตรงแขนเสื้อมีรอยขาดจากเขี้ยวงูและรอยเลือดติดอยู่ชัดเจน อีกทั้งบุรุษยังจำได้ว่าเป็นบาดแผลค่อนข้างลึก ทว่ายามนี้คล้ายกับปากแผลมันเล็กลง
“…?”
บุรุษยื่นมือออกไปสัมผัสมันอย่างแผ่วเบา
“อึก!”
“ขะ ข้าขอโทษ…!”
“ไม่เป็นไร ข้าขออยู่เช่นนี้อีกสักครู่เถิด การรักษา… บาดแผล มันค่อนข้าง… กินพลังของข้า” นางเอ่ยเช่นนั้นแล้วทิ้งน้ำหนักพิงอกแกร่ง ไห่ไท่หยางเองก็โอบรับร่างนางเอาไว้
บุรุษรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดบริเวณที่มีบาดแผล ทว่าก็สังเกตเห็นว่าบริเวณที่มีบาดแผลเล็กๆ เมื่อถูกน้ำศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างมันก็สมานตัวอย่างรวดเร็ว ส่วนบาดแผลที่ใหญ่หน่อยก็ต้องใช้เวลา ซึ่งขั้นตอนในการรักษามันค่อนข้างเจ็บปวดอยู่เหมือนกัน
ไห่ไท่หยางจึงรู้ว่าฟางเหนียงต้องทนเจ็บปวดมากเพียงใด เนื่องจากบาดแผลของนางสาหัสกว่าของตนเองมากนัก และที่นางหน้าซีดมิใช่ว่าแช่น้ำมากเกินไป แต่เป็นเพราะกำลังเจ็บปวดจากการอดทน
เนิ่นนานกว่าที่บาดแผลของฟางเหนียงจะสมานสนิท สตรีตัวน้อยก็หลับไปเสียแล้ว บุรุษอุ้มนางขึ้นจากน้ำและเดินกลับไปยังตำหนักซึ่งอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่ เดินเข้าห้องนั้นออกห้องนี้กระทั่งเจอกับห้องที่คาดว่าน่าจะเป็นห้องของนาง เนื่องจากการตกแต่งและข้าวของเครื่องใช้เป็นของอิสตรี วางร่างของนางลงบนพื้นพิงกับกำแพง เพราะนางเปียกไปทั้งตัวจะให้วางลงบนเตียงก็เกรงว่าจะเปียกไปหมด
…เอาล่ะ ทีนี้ควรทำอย่างไรดี นางไม่มีนางกำนัลหรือ?..
ฟางเหนียงเปียกชุ่มไปทั้งตัว ครั้นจะให้อยู่เช่นนี้ก็กลัวว่าจะจับไข้ แต่จะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้นางก็กลัวว่าจะเสียมารยาทตาอนาง
…เอาเถิด ช่วยชีวิตคน มิได้คิดเป็นสิ่งอื่น อีกอย่างก็รู้กันอยู่แค่นี้…
คิดได้เช่นนั้นไห่ไท่หยางก็ค้นตู้เสื้อผ้าของนาง หยิบอาภรณ์สวมใส่ง่ายมาหนึ่งตัว ก่อนจะใช้ผ้าปิดตาแล้วเริ่มทำการผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้กับนาง
ทว่าไม่รู้คิดผิดหรือผิดถูกที่ใช้ผ้าปิดตาเอาไว้ เนื่องจากต้องใช้มือสัมผัสร่างกายของนาง ยิ่งดวงตามองไม่เห็นมันยิ่งทำให้สัมผัสนั้นชัดเจนยิ่งกว่าเธอ หัวใจบุรุษเต้นระรัวจนแทบจะหลุดออกมาจากอก มือหนาสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่น กลัวว่าจะไปสัมผัสตรงส่วนที่ไม่ควรเข้า
กว่าจะเสร็จก็เล่นเอาไห่ไท่หยางหอบเหนื่อยด้วยความประหม่า บุรุษอุ้มร่างของนางขึ้นก่อนจะวางลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา แล้วนั่งลงข้างเตียง ดึงผ้าปิดตาออกพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เฮ้อ…”
…ตัวข้าน่าชิงชังยิ่งนัก อย่าได้คิดอกุศลกับคนมิได้สติ!...
บุรุษว่ากล่าวตักเตือนตนเอง ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นทอดสายตามองดูฟางเหนียงนอนหลับตาพริ้ม จากนั้นก็ตัดสินใจเดินออกไปข้างนอก ไปยังสวนบุปผาพันปีที่ซึ่งพาจิ้งจอกเก้าหางตัวหนึ่งทิ้งไว้ที่ใต้ต้นไม้
เมื่อมาถึงก็เห็นว่าจิ้งจอกเก้าหางตัวนั้นได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้สติเท่านั้น บุรุษจึงย่อกายลงแล้วมองดูจิ้งจอกตัวนั้นเนิ่นนาน ยามนั้นเองดวงตาที่ปิดสนิทก็ค่อยๆ เปิดออก เมื่อมันสบตากับไห่ไท่หยางก็หยัดกายขึ้น ก่อนจะกลายร่างเป็นมนุษย์ต่อหน้าต่อตาของไห่ไท่หยาง ซึ่งบุรุษก็มองดูด้วยความตกตะลึงเช่นกัน
จิ้งจอกเก้าหางว่าครู่นี้กลายเป็นบุรุษรูปงามอายุประมาณสิบหกหนาว ในสายตาของไห่ไท่หยางเป็นเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้วจิ้งจอกเก้าหางตนนี้มีอายุถึงหนึ่งพันปี!
“ขอบพระคุณที่ท่านช่วยข้า หากมีสิ่งใดปรารถนา ข้าจะช่วยให้ท่านสมหวัง”
“เรื่องนั้นอย่าได้กังวล ข้ามิได้หวังสิ่งตอบแทนใดนอกเสียจากหวังให้คนที่ข้าช่วยนั้นอยู่รอดปลอดภัย”
“ท่านมีจิตใจงดงาม ทว่าบุณคุณย่อมทดแทน ท่านแม่ของข้าสอนเช่นนั้น โปรดบอกความปรารถนาของท่านมาเถิด”
“อืม เช่นนั้น… ข้าขอติดค้างความปรารถนาเอาไว้ก่อนได้หรือไม่?”
“ได้”
“ดี เช่นนั้นเจ้าจะไปดูท่านแม่ของเจ้าหน่อยหรือไม่ ข้าเพิ่งพาแม่ของเจ้าไปแช่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์มา แล้วก็เอ่อ… ถือวิสาสะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้นาง…”
“ผะ ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ นี่ท่าน…!” จิ้งจอกหนุ่มดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ แต่เดิมทีแล้วจินหมิงอันหวงแหนมารดามาก ยิ่งช่วงนี้รู้ว่านางออกไปยุ่งเกี่ยวกับบุรุษชาวมนุษย์ก็ยิ่งหวงแหน
แม้ว่ามนุษย์จะมีตำนานเกี่ยวกับจิ้งจอกที่ล่อลวงผู้คน หากแต่จินหมิงอันกลับหวาดกลัวว่ามารดาของตนจะถูกผู้คนหลอกมากกว่า!
“ข้าไม่มีทางเลือก นางเปลี่ยนไปทั้งตัวข้ากลัวว่านางจะจับไข้เอาได้ หากนางตื่นขึ้นมาแล้วต้องการเอาผิดข้า ข้าจะน้อมรับแต่โดยดี”
“…เอาเถิด ข้าเข้าใจท่าน เช่นนั้นเชิญพักผ่อนตามสบายจนกว่าท่านแม่ของข้าจะฟื้น” จินหมิงอันเอ่ยจบก็เดินนำบุรุษไปยังตำหนักพันปี
บทที่ 5ริมฝีปากงดงามค่ำคืนวสันต์อันเร่าร้อนผ่านพ้นไป เสียงนกขับขานเป็นบทเพลงแรกในยามเช้า ปลุกให้บุรุษและสตรีในห้องหอนอนตื่นจากห้วงแห่งนิทรา ทว่ามีเพียงจินหมิงเยว่ที่ลืมตาตื่นขึ้นอย่างสดชื่น เอียงใบหน้าพินิจสตรีในอ้อมแขนที่สลบระหว่างบทรักเมื่อคืนนี้ ก้มหน้าลงจุมพิตหน้าผากเนียนแนบแน่นทว่าร่างกายร้อนผ่าวทำเอาจินหมิงเยว่สะดุ้งเล็กน้อย…เหตุใดร่างกายของนางจึงร้อนเป็นไฟเช่นนี้?...“เหนียงเอ๋อร์?” มือหนาตบลงบนหัวไหล่เล็กเบาๆ เพื่อปลุกให้นางตื่น หากแต่สตรีตัวน้อยยังคงหลับตาพริ้มเมื่อคืนนางก็สลบคาเตียง เช้าวันนี้นางตัวร้อนผ่าว มันคืออาการอะไรกันแน่? เหตุใดมนุษย์จึงมีร่างกายที่ซับซ้อนเช่นนี้?จินหมิงเยว่คือปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง ซึ่งบำเพ็ญเพียรมานานถึงพันปี ตลอดพันปีไม่เคยป่วยไข้เฉกเช่นมนุษย์ ถึงแม้ว่าในเผ่าพันธุ์เดียวกันจะมีอาการเจ็บป่วย หากแต่บุรุษซึ่งปลีกวิเวกฝึกฝนตนหลงลืมมันไปนานเหลือเกิน จึงมิอาจรับรู้เลยว่าอาการนี้คืออาการป่วยไข้ร
บทที่ 6ตำหนักพันปี…ละ เลือดของข้าหรือ? จะ จากตรงนั้น!?...“เฮือก!!”“เป็นอะไรหรือเจ้าคะ?”“ละ เลือดข้า!”…ระ รอบเดือนหรือ!? ช่างน่าอายยิ่งนัก!...สตรีตัวน้อยรีบวิ่งเข้าไปดึงผ้าปูออกมาด้วยความอับอาย“ตายจริง ให้ข้าน้อยทำเอาเถิดเจ้าค่ะ”“มิได้ๆ นี่เป็นเลือดของข้า”“มิได้เจ้าค่ะ นี่เป็นงานของข้าน้อย”“ตะ แต่นี่ ระ รอบเดือนของข้านะ”“หืม?” ฮวาอินเอียงคอมองฟางเหนียงซึ่งหน้าแดงก่ำราวกับผลอิงเถา “ข้าน้อยคิดว่าอาจจะเป็นเลือดอย่างอื่นนะเจ้าคะ”“…”“เช่น… เลือดพรหมจรรย์ของท่าน”“…!?”“มาเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะเอาไปซัก ระหว่างนั้นฮูหยินประมุขก็ลองตรวจสอบดูนะเจ้าคะ หากเป็นเลือดรอบเดือนจ
บทที่ 7จิ้งจอกใจร้ายหากแต่ก่อนหน้านั้นก็ถูกมือของฮวาอินทะลวงกลางอกจนทะลุไปอีกด้านเสียก่อน“เฮือก!!” ฟางเหนียงเห็นช่วงเวลานั้นพอดิบพอดี ราวกับทรวงสวรรค์กลั่นแกล้งให้นางหวาดกลัวสถานที่แห่งนี้มากกว่าเดิม!!สองขาอ่อนเรี่ยวแรง มองภาพฮวาอินจัดการกับศพของพวกเดียวกันไม่วางตา นางมิได้อยากมองหากแต่มิอาจบังคับสายตาได้พรึ่บ!ผ้าคลุมผืนหนึ่งถูกตวัดโอบคลุมรอบกายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ก่อนที่ร่างบอบบางจะถูกโอบอุ้มขึ้นมาจากพื้น ฮวาอินคำนับประมุขสูงสุดของเผ่าจิ้งจอก บุรุษปรายตามองร่างไร้วิญญาณของปีศาจจิ้งจอกซึ่งมีไอดำลอยออกมาจากกาย เขาใช้ปลายนิ้วชี้ไปที่ร่างนั้นก่อนที่ไอดำจะสลายหายไป ส่งสายตาโหดเหี้ยมแทนคำสั่งแล้วพานางกลับไปยังตำหนักพันปีเมื่อเข้ามาในห้อง บุรุษก็ดึงผ้าคลุมออกสบสายตากับสตรีตัวน้อยซึ่งนั่งตัวสั่นระริกอยู่บนเตียง“ท่าน… ประมุข” เสียงที่เคยหวานกลับถูกเอ่ยออกมาอย่างแหบแห้ง“ท่านประมุขหรือ? ค่ำคืนวสันต์ไม่อยู่ใน
บทที่ 8ความรักทำให้ข้าดูโง่เขลาหมับ!“ว้าย! ทะ ท่านพี่ ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ!?”บุรุษย่อกายลงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของนาง เรียวขาของนางถูกยกขึ้นสูง ก่อนที่บุรุษจะก้มหน้าลงไปแล้วใช้เรียวลิ้นปาดเลียบาดแผลจากงูพิษ“อึก!” ความเจ็บปวดบริเวณนั้นทำเอาสตรีตัวน้อยสะดุ้ง นางพยายามจะดึงขาหนีหากแต่มิอาจทำได้ดั่งใจ ยิ่งถูกเรียวลิ้นนั่นสัมผัสนางยิ่งเจ็บปวดเหตุใดบุรุษจึงต้องทรมานนางด้วย!!ทว่าไม่นานบุรุษก็ดึงใบหน้าออก ช่างน่าแปลกนักที่บริเวณนั้นกลับไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกเลย ทั้งที่ครั้นก่อนหน้านางรู้สึกปวดหนึบแปลกๆ เมื่อกดสายตามองดูก็เห็นว่าบาดแผลที่ตรงนั้นหายไปแล้ว นางจำได้ว่าเคยมีแผลอยู่ตรงนี้นี่!“ท่านพี่… รักษาให้ข้าหรือเจ้าคะ?”“ถือว่าความหวาดกลัวยังไม่ยึดครองสมองน้อยๆ ของเจ้า”“…?”“มา ข้าจะช่วยแต่งตัว”“ข้าทำเองได้เจ้าค่ะ” นางกอดตน
บทที่ 9นางเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง“ขออภัยฮูหยินประมุข แต่ข้าน้อยขอบังอาจถาม... ฮูหยินประมุขมาที่นี่ทำไมหรือเจ้าคะ?”“ข้าอยากทำอาหาร”“หากอยากกินอะไรบอกข้าน้อยได้ ข้าน้อยจะนำมาบอกกับคนครัว ฮูหยินประมุขไม่เห็นต้องมาเองเลยเจ้าค่ะ”การมาถึงห้องครัวด้วยตนเองของผู้เป็นนาย สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับคนครัว เนื่องจากห้องครัวเป็นสถานที่ไร้ซึ่งความสนใจ หากทำอาหารออกมาดีก็ดีไป แต่หากทำอาหารออกมาไม่ดีนอกจากจะโดนตำหนิแล้ว บางคนอาจจะบุกมาถึงห้องครัวเฉกเช่นฟางเหนียง ซึ่งเรื่องนี้ฟางเหนียงรู้ดีอยู่แล้วจึงได้เอ่ยออกไปว่า“ข้าอยากทำอาหารด้วยตนเอง ข้าอยากปรนนิบัติท่านประมุขของพวกเจ้า” สตรีตัวน้อยเอ่ยออกไปเช่นนั้น ฮวาอินถึงกับสะดุ้งแม่นางผู้นี้คล้ายกับเฉลียวฉลาด รู้วิธีการเอาตัวรอด หากแต่ในเรื่องเช่นนี้กลับโง่เขลายิ่งนัก แน่นอนว่าเรื่องที่ฟางเหนียงเอ่ยเรียกจินหมิงเยว่ต่อหน้าธารกำนัลว่าท่านประมุขอย่างห่างเหินเช่นนี้ จะต้องถึงหูของบุรุษเป
บทที่ 10อยากจับกิน“เขาน่ากลัว” นางพึมพำเสียงเบา ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก ในเมื่อจินหมิงเยว่อนุญาตให้นางไปที่ใดก็ได้ตามที่ต้องการ เช่นนั้นนางก็ขอสำรวจรอบตำหนักเสียหน่อยเถิดเพื่อหาทางหนีทีไล่เอาไว้ด้วย เผื่อสักวันหนึ่งจินหมิงเยว่เลิกสนใจในตัวนาง นางจะได้หนีออกไปมีชีวิตเป็นของตนเอง ในยามนั้นคิดว่าจินหมิงเยว่คงไม่ไล่ตามนางแล้ว ทว่ายามนี้ต้องคอยเอาอกเอาใจบุรุษไปก่อน เพราะถึงหนีไปตอนนี้ก็ถูกจับกลับมาอยู่ดี“เจ้าแนะนำตำหนักให้ข้าหน่อยสิ”“ตำหนักพันปีข้าน้อยพอรู้คร่าวๆ มิได้รู้ลึกเจ้าค่ะ เนื่องจากที่นี่แม้แต่ปีศาจจิ้งจอกด้วยกันยังเข้ามายาก มีเพียงผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นเจ้าค่ะ”“ไม่เป็นไร ข้าแค่อยากรู้คร่าวๆ ว่าตรงไหนอยู่ตรงไหนเท่านั้น อ้อ ว่าแต่ ที่นี่มีห้อวหนังสือหรือไม่?”“มีเจ้าค่ะ ท่านประมุขค่อนข้างชื่นชอบหนังสือ อีกทั้งยังเป็นผู้คัดลอกอักษรเหล่านั้นด้วยตนเอง ว่ากันว่าห้องหนังสือภายในตำหนักพันปี
บทที่ 11ตัวตนของบุรุษปริศนา“ทำได้สิ พวกมนุษย์กล่าวขานพวกข้าอยู่หลายสิ่ง ตัวแทนแห่งการบำเพ็ญเพียร ตัวแทนแห่งความพยายาม ตัวแทนแห่งพลังอำนาจ และ... ตัวแทนแห่งตัณหาราคะ” จงใจจดจ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่งาม แล้วค่อยๆ โน้มหน้าไปใกล้ๆ จนปลายจมูกสัมผัสกัน “ตัวข้านั้นเป็นทั้งหมด ที่เหล่ามนุษย์ขนานนาม”“ตะ แต่แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน[1]นะเจ้าคะ”“ไม่ลองแล้วจะรู้หรือ ไม่แน่แตงดิบๆ อาจจะถูกปากกว่าที่คิดก็ได้”...ท่านช่าง... เจ้าเล่ห์สมกับเป็นจิ้งจอกจริงๆ...“หึ!” จินหมิงเยว่หัวเราะเสียงเบาก็จะละออกจากร่างบอบบาง “แต่อย่างไรแตงหวานๆ ก็อร่อย เช่นนั้นข้าจะรอให้แตงหวานก่อนก็ได้”ฟางเหนียงรีบหยัดกายลุกขึ้นจ้องมองบุรุษด้วยความไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงหยุด นางคิดว่าบุรุษจะขืนใจนางแม้นางไม่ยินยอมเป็นแน่...“ทว่าลูกแก้วที่อยู่กับเจ้านั้นสำคัญกับข้า อย่างน้อยทุกเจ็ดวันก็มาให้ข้าได้เติมพลังจาก
บทที่ 12เติมพลังเสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นที่ข้างหู พร้อมกับลมหายใจอุ่นๆ รินรดแผ่วเบา หนังสือที่อยู่ในมือร่วงหล่นลง โชคดีที่เจ้าของเสียงนุ่มทุ้มคว้าหนังสือเล่มนั้นเอาไว้ ราวกับรู้อยู่ก่อนแล้ว ในณะที่ดวงตาเรียวคมจ้องมองดวงตาคู่งามนิ่งไม่ยอมละสายตา“ทะ ท่านพี่ ข้าตกใจหมด”“ตกใจเรื่องอะไร เว้นเสียแต่ว่าเจ้ากระทำความผิด”“เหนียยงเอ๋อร์กำลังอ่านหนังสือเพลินๆ ท่านพี่เข้ามามิให้สุ้มมิให้เสียงก็ต้องตกใจสิเจ้าคะ”“หากเจ้ามาหาข้าแล้วแกล้งกระโดดกอดคอข้า สาบานเลยว่าข้าไม่มีทางตกใจ” บุรุษว่าพลางยกยิ้มมุมปากด้วยความเจ้าเล่ห์สตรีตัวน้อยถอนหายใจแล้วยื่นมือออกไปคว้าหนังสือที่อยู่ในมือของบุรุษ แต่อีกฝ่ายกลับขยับหนี ฟางเหนียงเหลือบสายตามองบุรุษอีกหน แล้วส่งสายตาดุๆ ใส่ก่อนจะยื่นมือออกไปคว้าหนังสือ ทว่าจินหมิงเยว่ก็ยังกระทำแบบเดิม“ท่านพี่!”คราวนี้จินหมิงเยว่เหลือบสายตาอ่านชื่อหนังสือบนหน้าปก ซึ่งล้วนแล้วแต่
บทที่ 26ห้วงคำนึงถึงนางหลายฤดูผ่านไปจินหมิงอันเติบใหญ่เป็นจิ้งจอกหนุ่ม มีอิทธิฤทธิ์มากล้นเดินตามรอยของผู้เป็นบิดา ฟางเหนียงภาคภูมิใจเหลือคณานับที่บุตรชายสง่างามเช่นนี้ อีกทั้งยังรวบรวมพลังสร้างลูกแก้วจิ้งจอกของตนเองได้แล้ว แม้ว่าลูกแก้วจิ้งจอกนั้นจะยังแข็งแกร่งไม่เท่าลูกแก้วจิ้งจอกที่อยู่ในตัวของนางก็ตามยามนั้นเองสายลมพัดผ่านพาเอาความเย็นสบายโอบรอบร่าง ทว่ามีบางสิ่งลอยมากับสายลมด้วย กลิ่นที่คุ้นเคยพาให้หัวใจดวงน้อยเต้นแรงขึ้นมาฟางเหนียงหยัดกายขึ้นแล้วพุ่งตัวออกไปตามกลิ่นนั่น แหวกผ่านพงไพร เป็นหนึ่งเดียวกับสายลม กระทั่งมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง นางเดินตามหาไม่นานก็มาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง“ยินดีด้วยเจ้าค่ะ ท่านเจ้าตระกูลได้บุตรชายเจ้าค่ะ!”เสียงเด็กร้องไห้โยเยดังลอดออกมาให้ได้ยิน พร้อมกับเสียงแสดงความยินดีให้กับบิดาและมารดา นางยืนฟังเสียงร้องไห้นั้นอยู่นาน กระทั่งมีคนผู้หนึ่งทักนางเข้า“มาหาผู้ใดหรือเจ้าคะ?”
บทที่ 25สูญเสียไปตลอดกาลดวงตาคู่งามลืมตาขึ้นท่ามกลางพงไพรอันคุ้นเคย ด้านข้างของนางคือร่างของจิ้งจอกหนุ่ม คนรักของนาง… ร่างของบุรุษที่รักนอนแน่นิ่งจนน่าหวาดหวั่นความอบอุ่นที่อยู่กลางอกบ่งบอกให้นางรับรู้ได้ถึงพลังชีวิตอันมหาศาล รวมถึงอิทธิฤทธิ์ของปีศาจจิ้งจอก มันคือลูกแก้วจิ้งจอกไม่ผิดแน่ใช่แล้ว ลูกแก้วจิ้งจอกอยู่กับนางมาตลอด ลูกแก้วจิ้งจอกที่เปรียบเสมือนพลังชีวิตของจินหมิงเยว่ บุรุษเคยบอกกับนางเช่นนั้น นั่นหมายความว่าไม่มีทางที่จินหมิงเยว่จะตาย เขาก็แค่หมดเรี่ยวแรงจึงหลับไปเท่านั้นนางเอ่ยปลอบตนเองแล้วหันไปหาบุรุษ หากทว่าเมื่อมือเล็กๆ แตะที่ร่างของบุรุษ ความเย็นยะเยือกก็แล่นผ่านเข้ามาในร่างของนาง สตรีตัวน้อยตัวแข็งทื่อ พลันน้ำตาก็ไหลอาบสู่สองข้างแก้ม“ไม่จริง ท่านพี่บอกว่า หากมีข้า มีลูกแก้วจิ้งจอก อย่างไรก็ไม่มีทางตายนี่”ฝ่ามือเล็กคว้าท่อนแขนของบุรุษแล้วออกแรงเขย่าแรงๆ เพื่อหวังให้บุรุษฟื้นตื่นขึ้นมา แม้ว่าบุรุษจะเจ็บ หากฟื้นขึ้นมานางจะยินยอมน
บทที่ 24เดิมทีนางควรจะตายไปตั้งนานแล้วยามนั้นเองบางสิ่งร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า เส้นแสงสีขาวหลายสายล้อมรอบพวกเขาเอาไว้“...!”จินหมิงเยว่และหลี่ตงหยางตวัดแขนขึ้นไปด้านหน้า ล้อมฟางเหนียงเอาไว้เพื่อปกป้องนางสตรีตัวน้อยสะดุ้งตกใจ โอบกอดจินหมิงเยว่เอาไว้ด้วยความหวาดกลัว...คนพวกนี้เป็นใครกัน?...“ส่งตัวนางมา หากต่อต้านจะถือว่าปรปักษ์ต่อสรวงสวรรค์”...สรวงสวรรค์หรือ!?...ดวงตาคู่งามเบิกกว้างด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน นางสับสนว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่!?“หากอยากได้ตัวนางนัก ก็เข้ามา!!” เป็นจินหมิงเยว่ที่เอ่ยออกไปอย่างไม่เกรงกลัว แม้จะเป็นผู้ใดหากมาพรากฟางเหนียงไปจากเขา บุรุษไม่ยินยอม!!เกิดการต่อสู้กันระหว่างปีศาจจิ้งจอก เทพหนุ่มตกสวรรค์และองครักษ์สวรรค์ โดยที่ฟางเหนียงอยู่ในการปกป้องของจินหมิงเยว่ตลอดการต่อสู้“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ เหตุใ
บทที่ 23เช่นนั้นข้าปรนนิบัติเจ้าแทนฟางเหนียงลงมือทำอาหารหลายอย่าง รวมถึงของหวานด้วย นางคีบทั้งผักทั้งปลาใส่ในถ้วยของบุรุษ ส่วนจินหมิงเยว่ก็คีบแต่พวกเนื้อสัตว์ใส่ถ้วยให้นางเช่นเดิม“เมื่อใดเจ้าจะอ้วนเสียที หืม?”“ข้าไม่อยากอ้วนเจ้าค่ะ”“เหตุใดจึงไม่อยากอ้วน?”“ข้าเป็นสตรี ก็ต้องรักสวยรักงามเป็นธรรมดา หากอ้วนเมื่อสวมใส่อาภรณ์ใดๆ ก็ไร้ความมั่นใจนี่เจ้าค่ะ”“เจ้าเคยอ้วนหรือ?”“ไม่เคยเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าหากอ้วนแล้วจะไม่งดงาม”“เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเคยมาก่อนที่เจ้าค่ะ! อีกอย่างข้าไม่เคยบอกว่าไม่อ้วนแล้วจะไม่งดงาม ข้าก็แค่คิดว่าคงไม่มีความมั่นใจ”“อ้วนให้ข้าหน่อยเถิด”“เอ๊ะ! ท่านพี่นี่อย่างไร หากอยากได้สตรีอ้วนๆ ก็ไปหาที่อื่น ไม่ต้องมาหาที่ข้า!”&l
บทที่ 22สัญชาตญาณที่ต้องปลดปล่อยฟางเหนียงขยับกายไปนั่งลงบนตักของบุรุษ จากนั้นก็ใช้สะโพกกดลงบนความแข็งแกร่ง ครอบครองแก่นกายบุรุษเพศเข้าไปในตัวของตนเอง“อ่า...” ทั้งฟางเหนียงและจินหมิงเยว่ครางด้วยความสุขสมสตรีตัวน้อยโอบกอดบุรุษแนบอกแล้วเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะจะเริ่มขยับสะโพกของตนเองด้วยท่าทางที่ดูเก้ๆ กังๆ ในช่วงแรก ทว่าไม่นานความวาบหวาม รัญจวนใจ ร่างกายก็ได้นำพาให้นางสามารถขับเคลื่อนร่างกาย มอบความเสียวซ่านให้กับบุรุษได้เป็นอย่างดีนางเอนกายไปข้างหลัง ใช้มือเกาะบ่าของบุรุษเอาไว้ก่อนจะเด้งสะโพกระรัว รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของแก่นกายได้อย่างชัดเจน“อ๊า ท่านพี่ อื้ม!” ทรวงอกของนางถูกดูดดื่มอย่างหื่นกระหาย แม้มันจะเจ็บเล็กน้อยเพราะมีรอยแผลจากการกระทำของบุรุษเมื่อครั้นก่อนหน้า หากแต่ความวาบหวามนั้นมีมากกว่า นางจึงยิ่งแอ่นอกให้ปากหยักดูดดื่มและกลืนกินตามต้องการฟางเหนียงเชิดหน้าขึ้นแล้วร้องครางเสียงหวานอย่างลืมอาย สูญสิ้นสติในการยับยั้งชั่งใจ กลีบกา
บทที่ 21รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปวันเวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ฟางเหนียงในวัยสิบหกปีครั้นมาที่ดินแดนจิ้งจอกแห่งนี้เป็นครั้งแรก บัดนี้นางอายุสิบแปดหนาวเสียแล้วความงดงามของนางนั้นเพิ่มมากขึ้นเสียจนจินหมิงเยว่แทบจะกกกอดนางเอาไว้ภายในห้องตลอดทั้งวันทั้งคืน ถึงแม้ว่ารอบตำหนักพันปีจะไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามาได้ หากมิได้รับอนุญาตก็ตาม“ท่านพี่เจ้าคะ!” เสียงเจื้อยแจ้วของฟางเหนียงดังขึ้น พร้อมการปรากฏกายของนาง ในขณะที่จินหมิงเยว่กำลังฝึกพละกำลังและอาคมบุรุษตวัดฝ่ามือครั้งหนึ่งพาร่างบอบบางลอยละล่องมานั่งบนตักของตนเอง แล้วฉวยโอกาสหอมแก้มนางไปหนึ่งที“ว้าย! ท่านพี่! ฮวาอินก็อยู่นะเจ้าคะ”“เฮ้อ ฮวาอินออกจะชอบที่ข้ากับเจ้าพลอดรักกัน”“ท่านพี่!!”เพี๊ยะ!!ว่าแล้วก็ตีท่อนแขนแกร่งไปหนึ่งทีด้วยความเขินอาย จินหมิงเยว่หัวเราะเสียงดัง ยิ่งได้เห็นพวงแก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อก็ยิ่งอยากแกล้
บทที่ 20งอน“ลองขย่มข้าสิ”“ตะ แต่ข้าไม่รู้”“ทำแบบนี้”“อ๊ะ!?”ฝ่ามือหยาบยกสะโพกกลมขึ้นแล้วกดลงให้ครอบครองความแข็งแกร่งของตนเอง ความเสียวซ่านแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่างบอบบางฟางเหนียงขยับตามการนำพาของบุรุษ กระทั่งหาจังหวะของตนเองเจอ จินหมิงเยว่ก็เปลี่ยนเป็นบีบเคล้นสะโพกกลมกลึงด้วยความมันเขี้วแทนท่วงท่าของนางสร้างความรัญจวนในเหลือเกิน มันเชื่องช้าและละมุนละไม ราวกับจงใจทรมานจินหมิงเยว่ให้ต้องอดทนกับกามารมณ์ เกร็งทั่วทั้งร่างจนเห็นก้อนกล้ามเนื้อชัดเจน อีกทั้งเส้นเลือดยังปูดโปนออกมา“อ่า เหนียงเอ๋อร์ เจ้าช่าง...” บุรุษมิอาจเอื้อนเอ่ยได้อีก เมื่อนางเริ่มขยับถี่ขึ้นเรื่อยๆ มิได้เข้าสุดออกสุดเหมือนอย่างในครั้งแรก แต่เป็นการกดสะโพกระรัว“อืม” นางครางเสียงหวานแล้วแหงนหน้าขึ้นตามอารมณ์ จินหมิงเยว่ก้ามหน้าลงดูดดื่มกับยอดอกสีหวานเข้าปากอย่างกระหายความรู้สึกวาบหวา
บทที่ 19จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ดวงตาคู่งามเปิดอย่างเชื่องช้า คราวนี้ฟางเหนียงไม่ตกใจอีกแล้วว่านางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร สถานที่ที่ไม่ต่างไปจากสรวงสวรรค์ นางคงถูกเทพองค์นั้นเรียกตัวมาอีกเป็นแน่นางเตรียมที่จะมองหาตัวของผู้ที่เรียกนางมา แต่ไม่ทันที่จะได้หยัดกายลุกขึ้นเสียด้วยซ้ำ เสียงทุ้มน่าฟังก็ดังขึ้นเหนือหัว“เดี๋ยวนี้เจ้าไม่ตกใจแล้วหรือ?”ฟางเหนียงหยัดกายลุกขึ้น ก่อนจะหันไปยอบกายคำนับตามมารยาท“คำนับ ท่านเทพเจ้าค่ะ”“อ่า เจ้ารู้แล้วสินะ… รู้ได้อย่างไร หมิงเยว่บอกเจ้าหรือ?”“ท่านพี่ของข้ารู้จักกับท่านเป็นการส่วนตัวด้วยหรือเจ้าคะ?”“อ่า มิใช่สินะ”ใบหน้าคมคายหม่นลงเล็กน้อย ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับฟางเหนียงดูเหมือนว่าทั้งสองจะรู้จักกันสินะ แต่รู้จักกันด้วยดีหรือร้ายมิอานคาดเดาได้“ท่านเทพ… จุดประสงค์ของท่านคือสิ่งใดกันแน่?”สตรีตัวน้อยรู้สึกหวาดหวั่นเหลือเกิน หวาดกลัวว
บทที่ 18มิอาจยอมให้นางเสียหายลิ้นสากหลีกหนีเรียวลิ้นของนาง ลิ้นของนางก็ยังตามติดไม่ออก กลายเป็นจูบที่แสนดูดดื่มจนเกิดเสียงน่าอาย เมื่อยามที่ฟางเหนียงยอมแพ้คิดจะถอนริมฝีปากออก จินหมิงเยว่ก็เป็นฝ่ายคว้าท้ายทอยของนางแล้วกดให้แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็เป็นฝ่ายรุกรานโพรงปากอุ่น ตักตวงความหอมหวานอย่างเร่าร้อน ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เอาแต่หลีกหนีปฏิเสธนางแท้ๆ...จิ้งจอกเจ้าเล่ห์!!...อดมิได้ที่จะต่อว่าบุรุษในใจที่คิดหลอกนาง แต่ก็ยอมให้บุรุษรุกรานแต่โดยดี เพราะจูบหวานๆ ที่ถูกส่งมอบมามันพาให้ร่างของนางอ่อนระทวย เคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบซึ่งราวกับเอาอกเอาใจนาง นางจะยอมให้อภัยจินหมิงเยว่ก็แล้วกันเนิ่นนานกว่าทั้งสองจะถอนริมฝีปากออกจากัน ดวงตาสบประสานกันของหวานซึ้ง คล้ายกับกำลังแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่มีให้กันและกัน“เอาลูกแก้วคืนไปหรือยังเจ้าคะ?”“ยัง”“อ้าว?”“ข้าฝากไว้กับเจ้า หากข้าบาดเจ็บเจ้าจะได้จู