“ทะ ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ”
“เจ้าไม่รู้ หรือแกล้งไม่รู้ หืม?” บุรุษไม่เอ่ยเพียงอย่างเดียว ยังแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตนเองอย่างจงใจ
“ขะ ข้าไม่แน่ใจ...”
“เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“ข้า ข้าคิดว่าท่านจะทำให้ข้าเป็นภรรยาของท่าน”
“เจ้าเข้าใจถูก”
“แล้วเหตุใดจึงต้องให้ข้าอ้าขาเช่นนี้เจ้าคะ”
“หึหึ เรื่องนี้เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ?”
บุรุษหยั่งเชิงสตรีตัวน้อย แม้นางจะเพิ่งอายุสิบหกปีในวันนี้ หากแต่สงสัยเสียจริงว่าในเรื่องธรรมชาติของการสืบพันธ์ นางไม่รู้จริงๆ หรือ?
“ไม่รู้เจ้าค่ะ” ทว่าคำตอบกลับเป็นเสียงหวานสั่นเครือเล็กน้อย และนัยน์ตากลมแสนใสซื่อ
“อ่า เจ้านี่ช่าง... ไร้เดียงสาเสียจริง เช่นนั้นคืนนี้ข้าคงต้อง ‘ทำให้เจ้ารู้’ หลายอย่างเลยล่ะ”
“ข้ายินดีรับการสั่งสอนจากท่าน ทว่าโปรดท่านช่วยปล่อยข้า...!”
“มิได้ สิ่งนี้ต้องทำ เจ้าถึงจะรู้” จบถ้อยคำนั้น เรียวลิ้นสากก็ลากเลียตั้งแต่ด้านล่างขึ้นด้านบน ทำเอาสตรีตัวน้อยร้องเสียงหลงกับสัมผัสไม่คุ้นชิน จนก่อให้เกิดอารมณ์วาบหวามที่มิอาจควบคุมได้ง่าย
...อึก ตะ ตรงนั้นมัน...
ฟางเหนียงไม่รู้มาก่อนเลยว่าที่ตรงนั้นมันทำให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้ได้ด้วย เรียวลิ้นที่ปาดเลียตามรอยแยกกลีบกายของนางแล้วบดขยี้จุดอ่อนไหว ทำเอาฟางเหนียงเผลอกลั้นหายใจไปหลายรอบ
เรียวลิ้นสากช่างร้ายกาจเหลือเกิน มันไม่เพียงแต่สัมผัสที่ภายนอกเท่านั้น แต่กลับรุกล้ำเข้าไปด้านในสร้างความรัญจวนใจเหลือเกิน ความอุ่นร้อนของกายสตรีโอบรักเรียวลิ้นของบุรุษเอาไว้แน่น
...อ่า หวาน น้ำหวานๆ นี่ข้าดูดเลียทั้งวันทั้งคืนก็ยังได้...
สตรีตัวน้อยสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่าง ยิ่งนางถดถอยสะโพกหนีลิ้นร้ายกาจ มันก็ยิ่งตามติดนางไม่ต่างไปจากเงา เรียวขาที่พยายามหุบเข้าหากันถูกจับอ้าออกกว้างอย่างง่ายดาย สิ่งที่จินหมิงเยว่อนุญาตให้นางทำได้มีเพียงสิ่งเดียว นั่นก็คือการร้องครวญคราง
แต่ฟางเหนียงกลับเขินอายและมีสติเกินกว่าที่จะส่งเสียงน่าอายเช่นนั้น นางอดทนอดกลั้นเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ยอมเปล่งเสียงออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว บางครั้งก็เผลอกลั้นหายใจจนหน้าแดงก่ำ มารู้ตัวอีกทีก็ต้องรีบโกยอากาศเข้าปอด
ลิ้นสากจ้วงแทงเข้าไปด้านในซ้ำ แม้จะเป็นครั้งแรกของนางแต่จินหมิงเยว่กลับไม่อ่อนโยนสักเท่าใดนัก นั่นก็เพราะว่าบุรุษเองก็แทบจะคลั่งแล้วเช่นกัน!
สัญชาตญาณดิบเถื่อนของบุรุษถูกเผยออกมาทีละนิด!!
จนในที่สุดฟางเหนียงก็สุขสม แต่นางก็ยังคงเม้มริมฝีปากแน่นจนเลือดซึมออกมา ปลดปล่อยน้ำสีใสไหลเต็มปากบุรุษ เขาดูดเลียอย่างหื่นกระหายจนได้ยินเสียงน่าอาย
“เจ้านี่ช่างดื้อดึงเสียจริง อย่าได้อดกลั้น มิเช่นนั้นเจ้าอาจจะกัดลิ้นตนเองได้” บุรุษเอ่ยเสียงดุ ก่อนจะถอนใบหน้าคมคายออกจากกายสตรี แลบลิ้นเลียน้ำกามที่ติดริมฝีปากก่อนจะปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระ
ฟางเหนียงตะเกียดตะกายลุกขึ้นจากเตียง แต่ก็ไม่ทันบุรุษร่างกำยำที่ตามไปคว้าเอวบางแล้วลากให้มาอยู่ใต้อาณัติตามเดิม
“อย่าทำให้ข้าโกรธ เหนียงเอ๋อร์”
“ข้ากลัว ฮึก ข้ากลัวแล้ว”
แม้ในยามแรกนางจะยินยอมพร้อมเป็นของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตนนี้ หากแต่นางยังเยาว์วัยอีกทั้งยังไม่ประสีประสา จะเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาโดยฉับพลันมิใช่เรื่องแปลก
“ชู่ว” จินหมิงเยว่โน้มกายทาบทับบนร่างของนาง ก่อนจะพรมจูบทั่วดวงหน้าหวานเพื่อปลอบประโลมคนขวัญอ่อน “ข้ามิได้จะสังหารเจ้า ข้าปรารถนาเจ้ามาตลอดจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หืม”
สตรีตัวน้อยร่ำไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าเวทนา บุรุษพรมจูบซับน้ำตาให้นาง ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ข้าบอกเจ้าแล้วไง หากเจ้ายินยอมแต่โดยดี ข้าผู้นี้จะอ่อนโยนกับเจ้า...”
แล้วก็เป็นอีกครั้งที่จินหมิงเยว่มอบจูบหวานๆ ให้กับนางเพื่อปลอบขวัญ หว่านล้อมให้นางโอนอ่อนยอมตกเป็นของตนเอง อารมณ์วาบหวามที่บุรุษมอบให้ทำให้ฟางเหนียงมิอาจคุมสติได้อยู่ นางพยายามควบคุมมันแล้วแต่ช่างยากเย็น จินหมิงเยว่มีชั้นเชิงในการหว่านล้อมให้ร่างกายของนางตกเป็นทาสกามของเขาเหลือเกิน
กว่าจะรู้ตัวอาภรณ์ของบุรุษก็ถูกจับโยนไปปลายเตียง แล้วจ่อแก่นกายอยู่หน้าปากทางช่องรักนุ่มนิ่มของนาง ดวงหน้าหวานฉายแววหวาดกลัวอย่างชัดเจน ในขณะเดียวกันนั้นจินหมิงเยว่ก็กดแก่นกายของตนเองเข้าไปด้านใน
กึด!
“อ่า” บุรุษถึงกับหลุดครางเสียงกระเส่า ด้วยความต่างของร่างกาย รวมถึงรู้ว่านางยังครองพรหมจรรย์ บุรุษก็รู้แล้วว่าภายในของนางต้องรัดแน่นมากเพียงใด ทว่าความคิดนั้นเทียบมิได้เลยกับความจริงที่กำลังเผชิญอยู่ มันช่าง...
...อ่า แน่นเหลือเกิน...
“ฮึก ท่าน ไม่ อึก มะ เมตตาข้า ได้โปรด!”
“ชู่ว! เจ้าอย่าเกร็ง”
จินหมิงเยว่ถอนแก่นกายออกอย่างเชื่องช้า มันทำให้ฟางเหนียงคิดเข้าข้างตนเองว่าบุรุษคงจะใจอ่อนยอมให้นางแล้ว แต่ยามต่อมากลับต้องร้องเสียงหลง เมื่อสะโพกแกร่งกดกระแทกความแข็งแกร่งเข้ามาด้านในอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ค่อนข้างหนักหน่วงกว่าเดิม
“อ๊า เจ็บ ฮึก!”
“เหนียงเอ๋อร์ ผ่อนคลายเสีย…!!”
บุรุษเอ่ยเสียงต่ำ หางที่เก็บเอาไว้ถูกปล่อยออกมาเนื่องจากมิอาจวบคุมพลังได้ จิ้งจอกที่กำลังลุ่มหลงมัวเมาในกายของสตรีผู้นี้
สองแขนสอดเข้าใต้แผ่นหลังเล็ก แล้วโอบกอดนางแนบลำตัว รับรู้ได้ถึงหัวใจเต้นระรัวและร่างกายที่สั่นระริกของนาง
...ข้าอยากตอกกระแทกเข้าไปในกายเจ้าแรงๆ เหลือเกิน!...
ทุกสิ่งอย่างที่ฟางเหนียงกระตุ้นกำหนัดของบุรุษได้ดีเกินไป ทั้งกลิ่นเลือดที่ริมฝีปากของนาง กลิ่นกายหอมๆ กลิ่นเหงื่อของนางมันช่างรัญจวนใจ เสียงหวานที่ร้องออกมาเมื่อครู่ด้วยความเจ็บปวดเองก็ช่างน่าฟังเหลือเกิน
“อะ เอาออก ฮึก เอาออกไป!” สองมือเล็กๆ ทุบตีหัวไหล่หนาเต็มแรง มันไม่สร้างความเจ็บให้กับบุรุษเท่าใดนัก มีเพียงความรำคาญเท่านั้น
กึด!
“อื้อ!” ฟางเหนียงหลั่งน้ำตาเป็นสาย นางรู้สึกเจ็บกลางลำตัวราวกับร่างกายจะฉีกออกจากกัน สิ่งแปลกปลอมที่รุกล้ำเข้ามาภายในกายของนางนั้นมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน นางอยากเอามันออกไปเดี๋ยวนี้!
“ปล่อยข้า ฮึก เอาออกไป!”
“เมียของข้า ช่างขี้โวยวายยิ่งนัก”
กึด!
“อื้อ!”
จินหมิงเยว่ไม่คิดที่จะถอย พยายามกดแก่นกายลงไปแต่ก็เข้าไปได้แค่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น กลิ่นคาวเลือดจากใจกลางลำตัวของนางทำเอาเลือดภายในกายบุรุษสูบฉีดพล่าน
การทำให้นางเลือดออกก็มิใช่เรื่องแย่ ทว่ายิ่งยืดเยื้อนางจะยิ่งทรมานเสียเปล่า เช่นนั้นแล้ว...
กึด!!
“กรี๊ด!”
บุรุษกดความแข็งแกร่งของตนเองเข้าไปในกายสตรีรวดเร็ว ความอุ่นร้อนภายในครอบครองแก่นกายของเขา ตอดหนึบเสียจนจินหมิงเยว่แทบคลั่ง กระนั้นช่องรักนุ่มนิ่มของนางก็ยังครอบครองแก่นกายของบุรุษได้ไม่สุดลำเสียที
มือเล็กจิกลงบนแผ่นหลังกว้าง ขูดจนเกิดเป็นรอยเล็บชัดเจน นางมิได้ตั้งใจทำร้ายบุรุษ หากแต่ความเจ็บปวดทำให้นางเผลอจิกเล็บลงไป แล้วโอบกอดบุรุษแนบแน่น
“เด็กดี”
“ฮึก ฮือ”
“ชู่ว ไม่ร้อง เจ็บแค่ชั่วครู่ ข้าจะอ่อนโยนกับเจ้า” ริมฝีปากหยักพรมจูบดวงหน้าหวานแล้วปลอบโยนนาง แม้ว่าสตรีตัวน้อยจะส่ายหน้าไปมาแล้วร่ำไห้ก็ตาม หากแต่จินหมิงเยว่กลับเผยรอยยิ้ม
ไม่ว่านางจะกระทำสิ่งใด เหตุใดบุรุษจึงรู้สึกเอ็นดูถึงเพียงนี้ ไม่แน่ว่าจิ้งจอกตนนี้อาจจะวิกลจริตไปเสียแล้ว
จินหมิงเยว่เก็บหางทั้งเก้าของตนเองก่อนจะขับเคลื่อนแก่นกายเข้าออกอย่างเชื่องช้า ถือว่ายังมีเมตตากับนางอยู่บ้าง ฟางเหนียงร้องเสียงหลงแล้วโอบกอดบุรุษแน่น ความเจ็บปวดกลางลำตัวยากเกินจะรับไหว ใบหน้าคมคายก้มลงบดจูบอย่างอ่อนหวานราวกับปลอบประโลมนาง ดูดดื่มเรียวลิ้นเล็กเข้าไปในปากของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ถอนริมฝีปากออกเล็กน้อย แล้วดูดกลีบปากอวบอิ่มติดปาก ออกแรงขบเบาๆ ตามอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน จินหมิงเยว่อยากที่จะกลืนกินนางไปทั้งตัวเสียเดี๋ยวนี้จริงๆ ยิ่งดวงตาคู่งามจ้องมองบุรุษอย่างหวาดหวั่น เลือดในกายบุรุษสูบฉีดพล่านไปทั่วทั้งร่าง
ในที่สุดก็ได้ครอบครองนาง!!
สตรีตัวน้อยรับรู้ได้ถึงสิ่งแปลกปลอมอันแข็งแกร่งที่พยายามสอดแทรกเข้ามาในร่างกายของนาง มันช่างใหญ่โตยิ่งนัก ราวกับจะทะลุทะลวงช่องท้องของนาง ฟางเหนียงเกร็งไปทั่วทั้งร่าง ยิ่งส่งผลให้ช่องรักของนางตอดลำแก่นของบุรุษแนบแน่น
“อ๊า!” เสียงหวานหลุดร้องเสียงน่าอาย เมื่ออยู่ดีๆ จินหมิงเยว่ก็ปล่อยริมฝีปากของนางให้เป็นอิสระ ซุกเข้าที่ลำคอขาวระหง ทั่งดอมดมและฝากฝังรอยรักเป็นจ้ำๆ ราวกับกลีบของดอกเหมยกุ้ย[1]
แรงขับเคลื่อนของร่างกายบุรุษช่างหนักหน่วงเหลือเกิน คล้ายกับจะกระแทกให้ร่างของนางแหลกสลาย จากความเจ็บปวดมลายหายไปกลายเป็นความรู้สึกอันน่าสับสน ภายในช่วงท้องของนางก่อเกิดอารมณ์บางอย่างวูบวาบขึ้นมา คล้ายกับจะทรมาน หากแต่กลับรู้สึกดีอย่างน่าประหลาดใจ
ฟางเหนียงไม่รู้มาก่อนเลยว่าการร่วมรักจะให้ความรู้สึกเช่นนี้ นางนั้นต่ำต้อยไร้การศึกษา สตรีขุนนางหลายคนจะได้รับการศึกษาในเรื่องของค่ำคืนวสันต์ การปรนนิบัติสามีบนเตียง หากแต่ฟางเหนียงนางไม่แม้แต่จะได้แตะต้องตำราปกขาว ตื่นเช้ามาในวันคล้ายวันเกิด ที่ไม่ต่างจากวันธรรมดา ก็ถูกจับแต่งงานในอาภรณ์แสนล้ำค่าเสียแล้ว
เรียวลิ้นสากแลบลิ้นเลียติ่งหูแล้วลากเลียไปทั่วทั้งใบหู ขณะตอกกระแทกความกำยำเข้าไป แก่นกายบุรุษผงาดขึ้นใกล้สุขสมเต็มทน ทว่าร่างบอบบางกระตุกสุขสมไปก่อนหน้า สองแขนโอบกอดร่างบุรุษแนบแน่น ในขณะเดียวกันนั้นจินหมิงเยว่ยิ่งโหมกระหน่ำแก่นกายของตนเองอย่างรุนแรงและสุขสมตามนางมาติดๆ
“แฮ่ก แฮ่ก!” ฟางเหนียงหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ร่างบอบบางยังคงสั่นระริกจากการฝืนกำลัง
เม็ดเหงื่อผุดขึ้นแพรวพราวทั่วเรือนร่าง ในสายตาของจิ้งจอกตัวร้ายมันช่างน่าดูชม ราวกับน้ำทิพย์จากสรวงสวรรค์หยดลงบนร่าง เชิญชวนให้บุรุษได้เชยชิม หรืออาจจะราวกับอัญมณีประกายแสงบริสุทธิ์อันหาที่ใดเปรียบมิได้
“เด็กดี” พรมจูบดวงหน้าหวานไม่นึกรังเกียจเหงื่อของสตรี ก่อนจะดึงแก่นกายออก
ฟางเหนียงจึงดีใจที่บุรุษเมตตานาง หากแต่ต่อมาก็แทบกัดลิ้นตนเองเมื่อบุรุษจับขาของนางพาดบ่าข้างหนึ่ง แล้วเริ่มเด้งสะโพกโถมใส่ร่างของนางอีกครั้ง
ริมฝีปากพรมจูบทั่วเท้าของนางอย่างไม่นึกรังเกียจ แล้วอ้าปากกัดจนเลือดซึมออกมา ก่อนจะดูดเลือดของนางราวกับสัตว์ร้าย สตรีตัวน้อยคิดต่อต้านแต่มิอาจทัดทานบุรุษได้เลย
ทรวงอกกระเพื่อมไปตามแรงกระแทกอันดุเดือด สองมือยื่นออกไปกอบกุมมันอย่างย่ามใจ ก่อนจะโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วเหยียดขาตรง ตอกกระแทกแก่นกายอย่างรุนแรง
“อ๊า อ๊า!!” สตรีแสนไร้เดียงสา บัดนี้ทำได้เพียงร้องครางเสียงหวาน แม้นางจะพยายามเม้มปากอดกลั้นเสียงนั้น แต่สัมผัสของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวนี้กระตุ้นกำหนัดของนางเหลือเกิน
จินหมิงเยว่ไม่ปล่อยค่ำคืนนั้นให้ผ่านล่วงเลยไปอย่างเสียเปล่าแม้แต่หนึ่งจิบน้ำชาเดียว ทั้งค่ำคืนนั้นจับร่างบอบบางพลิกคว่ำพลิกหงาย เคี่ยวกรำนางตลอดทั้งคืน
[1] เหมยกุ้ย = ดอกกุหลาบ
บทที่ 28ตัวตนที่แท้จริงของนางจินหมิงอันนางไม่เป็นห่วงเท่าใดนัก เพราะรู้จากไห่ไท่หยางว่าบุตรชายของตนนั้นอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ ศูนย์รวมพลังของดินแดนจิ้งจอกแห่งนี้ อีกทั้งภายในตัวของบุตรชายนั้นมีลูกแก้วจิ้งจอกอันสมบูรณ์ ไม่นานก็คงฟื้นตัวได้แต่กับตนเองนั้นแม้จะมีลูกแก้วจิ้งจอกซึ่งมีพลังมากมายมหาศาล หากแต่มิใช่ลูกแก้วจิ้งจอกซึ่งเป็นพลังต้นกำเนิดของนาง ไม่ต่างไปจากจิตวิญญาณที่อาศัยร่างของนาง การมีลูกแก้วจิ้งจอกทำให้นางทนความเจ็บปวดได้ ขนาดนางมีลูกแก้วจิ้งจอกยังเจ็บปวดถึงเพียงนี้ ไม่อยากจะนึกภาพเลยว่าถ้าหากนางไม่มีมันจะเจ็บปวดเจียนตายที่ขนาดไหนหากเป็นบาดแผลธรรมดาลูกแก้วจิ้งจอกก็สามารถรักษาให้นางหายได้ในชั่วพริบตา หากแต่มันเป็นแผลที่เกิดจากปีศาจ อีกทั้งร่างกายของนางแต่เดิมทีแล้วนั้นเป็นเพียงมนุษย์ มันจึงค่อนข้างใช้เวลาในการรักษาและฟื้นฟูฟางเหนียงบอกทางบุรุษมายังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ตลอดมานางเคยหลีกเลี่ยงสถานที่แห่งนี้ มันเต็มไปด้วยความทรงจำยากลืมเลือน นางเคยแช่อยู่ที่นี่พร้อมกับร่
บทที่ 5ริมฝีปากงดงามค่ำคืนวสันต์อันเร่าร้อนผ่านพ้นไป เสียงนกขับขานเป็นบทเพลงแรกในยามเช้า ปลุกให้บุรุษและสตรีในห้องหอนอนตื่นจากห้วงแห่งนิทรา ทว่ามีเพียงจินหมิงเยว่ที่ลืมตาตื่นขึ้นอย่างสดชื่น เอียงใบหน้าพินิจสตรีในอ้อมแขนที่สลบระหว่างบทรักเมื่อคืนนี้ ก้มหน้าลงจุมพิตหน้าผากเนียนแนบแน่นทว่าร่างกายร้อนผ่าวทำเอาจินหมิงเยว่สะดุ้งเล็กน้อย…เหตุใดร่างกายของนางจึงร้อนเป็นไฟเช่นนี้?...“เหนียงเอ๋อร์?” มือหนาตบลงบนหัวไหล่เล็กเบาๆ เพื่อปลุกให้นางตื่น หากแต่สตรีตัวน้อยยังคงหลับตาพริ้มเมื่อคืนนางก็สลบคาเตียง เช้าวันนี้นางตัวร้อนผ่าว มันคืออาการอะไรกันแน่? เหตุใดมนุษย์จึงมีร่างกายที่ซับซ้อนเช่นนี้?จินหมิงเยว่คือปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง ซึ่งบำเพ็ญเพียรมานานถึงพันปี ตลอดพันปีไม่เคยป่วยไข้เฉกเช่นมนุษย์ ถึงแม้ว่าในเผ่าพันธุ์เดียวกันจะมีอาการเจ็บป่วย หากแต่บุรุษซึ่งปลีกวิเวกฝึกฝนตนหลงลืมมันไปนานเหลือเกิน จึงมิอาจรับรู้เลยว่าอาการนี้คืออาการป่วยไข้ร
บทที่ 6ตำหนักพันปี…ละ เลือดของข้าหรือ? จะ จากตรงนั้น!?...“เฮือก!!”“เป็นอะไรหรือเจ้าคะ?”“ละ เลือดข้า!”…ระ รอบเดือนหรือ!? ช่างน่าอายยิ่งนัก!...สตรีตัวน้อยรีบวิ่งเข้าไปดึงผ้าปูออกมาด้วยความอับอาย“ตายจริง ให้ข้าน้อยทำเอาเถิดเจ้าค่ะ”“มิได้ๆ นี่เป็นเลือดของข้า”“มิได้เจ้าค่ะ นี่เป็นงานของข้าน้อย”“ตะ แต่นี่ ระ รอบเดือนของข้านะ”“หืม?” ฮวาอินเอียงคอมองฟางเหนียงซึ่งหน้าแดงก่ำราวกับผลอิงเถา “ข้าน้อยคิดว่าอาจจะเป็นเลือดอย่างอื่นนะเจ้าคะ”“…”“เช่น… เลือดพรหมจรรย์ของท่าน”“…!?”“มาเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะเอาไปซัก ระหว่างนั้นฮูหยินประมุขก็ลองตรวจสอบดูนะเจ้าคะ หากเป็นเลือดรอบเดือนจ
บทที่ 7จิ้งจอกใจร้ายหากแต่ก่อนหน้านั้นก็ถูกมือของฮวาอินทะลวงกลางอกจนทะลุไปอีกด้านเสียก่อน“เฮือก!!” ฟางเหนียงเห็นช่วงเวลานั้นพอดิบพอดี ราวกับทรวงสวรรค์กลั่นแกล้งให้นางหวาดกลัวสถานที่แห่งนี้มากกว่าเดิม!!สองขาอ่อนเรี่ยวแรง มองภาพฮวาอินจัดการกับศพของพวกเดียวกันไม่วางตา นางมิได้อยากมองหากแต่มิอาจบังคับสายตาได้พรึ่บ!ผ้าคลุมผืนหนึ่งถูกตวัดโอบคลุมรอบกายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ก่อนที่ร่างบอบบางจะถูกโอบอุ้มขึ้นมาจากพื้น ฮวาอินคำนับประมุขสูงสุดของเผ่าจิ้งจอก บุรุษปรายตามองร่างไร้วิญญาณของปีศาจจิ้งจอกซึ่งมีไอดำลอยออกมาจากกาย เขาใช้ปลายนิ้วชี้ไปที่ร่างนั้นก่อนที่ไอดำจะสลายหายไป ส่งสายตาโหดเหี้ยมแทนคำสั่งแล้วพานางกลับไปยังตำหนักพันปีเมื่อเข้ามาในห้อง บุรุษก็ดึงผ้าคลุมออกสบสายตากับสตรีตัวน้อยซึ่งนั่งตัวสั่นระริกอยู่บนเตียง“ท่าน… ประมุข” เสียงที่เคยหวานกลับถูกเอ่ยออกมาอย่างแหบแห้ง“ท่านประมุขหรือ? ค่ำคืนวสันต์ไม่อยู่ใน
บทที่ 8ความรักทำให้ข้าดูโง่เขลาหมับ!“ว้าย! ทะ ท่านพี่ ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ!?”บุรุษย่อกายลงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของนาง เรียวขาของนางถูกยกขึ้นสูง ก่อนที่บุรุษจะก้มหน้าลงไปแล้วใช้เรียวลิ้นปาดเลียบาดแผลจากงูพิษ“อึก!” ความเจ็บปวดบริเวณนั้นทำเอาสตรีตัวน้อยสะดุ้ง นางพยายามจะดึงขาหนีหากแต่มิอาจทำได้ดั่งใจ ยิ่งถูกเรียวลิ้นนั่นสัมผัสนางยิ่งเจ็บปวดเหตุใดบุรุษจึงต้องทรมานนางด้วย!!ทว่าไม่นานบุรุษก็ดึงใบหน้าออก ช่างน่าแปลกนักที่บริเวณนั้นกลับไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกเลย ทั้งที่ครั้นก่อนหน้านางรู้สึกปวดหนึบแปลกๆ เมื่อกดสายตามองดูก็เห็นว่าบาดแผลที่ตรงนั้นหายไปแล้ว นางจำได้ว่าเคยมีแผลอยู่ตรงนี้นี่!“ท่านพี่… รักษาให้ข้าหรือเจ้าคะ?”“ถือว่าความหวาดกลัวยังไม่ยึดครองสมองน้อยๆ ของเจ้า”“…?”“มา ข้าจะช่วยแต่งตัว”“ข้าทำเองได้เจ้าค่ะ” นางกอดตน
บทที่ 9นางเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง“ขออภัยฮูหยินประมุข แต่ข้าน้อยขอบังอาจถาม... ฮูหยินประมุขมาที่นี่ทำไมหรือเจ้าคะ?”“ข้าอยากทำอาหาร”“หากอยากกินอะไรบอกข้าน้อยได้ ข้าน้อยจะนำมาบอกกับคนครัว ฮูหยินประมุขไม่เห็นต้องมาเองเลยเจ้าค่ะ”การมาถึงห้องครัวด้วยตนเองของผู้เป็นนาย สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับคนครัว เนื่องจากห้องครัวเป็นสถานที่ไร้ซึ่งความสนใจ หากทำอาหารออกมาดีก็ดีไป แต่หากทำอาหารออกมาไม่ดีนอกจากจะโดนตำหนิแล้ว บางคนอาจจะบุกมาถึงห้องครัวเฉกเช่นฟางเหนียง ซึ่งเรื่องนี้ฟางเหนียงรู้ดีอยู่แล้วจึงได้เอ่ยออกไปว่า“ข้าอยากทำอาหารด้วยตนเอง ข้าอยากปรนนิบัติท่านประมุขของพวกเจ้า” สตรีตัวน้อยเอ่ยออกไปเช่นนั้น ฮวาอินถึงกับสะดุ้งแม่นางผู้นี้คล้ายกับเฉลียวฉลาด รู้วิธีการเอาตัวรอด หากแต่ในเรื่องเช่นนี้กลับโง่เขลายิ่งนัก แน่นอนว่าเรื่องที่ฟางเหนียงเอ่ยเรียกจินหมิงเยว่ต่อหน้าธารกำนัลว่าท่านประมุขอย่างห่างเหินเช่นนี้ จะต้องถึงหูของบุรุษเป
บทที่ 10อยากจับกิน“เขาน่ากลัว” นางพึมพำเสียงเบา ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก ในเมื่อจินหมิงเยว่อนุญาตให้นางไปที่ใดก็ได้ตามที่ต้องการ เช่นนั้นนางก็ขอสำรวจรอบตำหนักเสียหน่อยเถิดเพื่อหาทางหนีทีไล่เอาไว้ด้วย เผื่อสักวันหนึ่งจินหมิงเยว่เลิกสนใจในตัวนาง นางจะได้หนีออกไปมีชีวิตเป็นของตนเอง ในยามนั้นคิดว่าจินหมิงเยว่คงไม่ไล่ตามนางแล้ว ทว่ายามนี้ต้องคอยเอาอกเอาใจบุรุษไปก่อน เพราะถึงหนีไปตอนนี้ก็ถูกจับกลับมาอยู่ดี“เจ้าแนะนำตำหนักให้ข้าหน่อยสิ”“ตำหนักพันปีข้าน้อยพอรู้คร่าวๆ มิได้รู้ลึกเจ้าค่ะ เนื่องจากที่นี่แม้แต่ปีศาจจิ้งจอกด้วยกันยังเข้ามายาก มีเพียงผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นเจ้าค่ะ”“ไม่เป็นไร ข้าแค่อยากรู้คร่าวๆ ว่าตรงไหนอยู่ตรงไหนเท่านั้น อ้อ ว่าแต่ ที่นี่มีห้อวหนังสือหรือไม่?”“มีเจ้าค่ะ ท่านประมุขค่อนข้างชื่นชอบหนังสือ อีกทั้งยังเป็นผู้คัดลอกอักษรเหล่านั้นด้วยตนเอง ว่ากันว่าห้องหนังสือภายในตำหนักพันปี
บทที่ 11ตัวตนของบุรุษปริศนา“ทำได้สิ พวกมนุษย์กล่าวขานพวกข้าอยู่หลายสิ่ง ตัวแทนแห่งการบำเพ็ญเพียร ตัวแทนแห่งความพยายาม ตัวแทนแห่งพลังอำนาจ และ... ตัวแทนแห่งตัณหาราคะ” จงใจจดจ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่งาม แล้วค่อยๆ โน้มหน้าไปใกล้ๆ จนปลายจมูกสัมผัสกัน “ตัวข้านั้นเป็นทั้งหมด ที่เหล่ามนุษย์ขนานนาม”“ตะ แต่แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน[1]นะเจ้าคะ”“ไม่ลองแล้วจะรู้หรือ ไม่แน่แตงดิบๆ อาจจะถูกปากกว่าที่คิดก็ได้”...ท่านช่าง... เจ้าเล่ห์สมกับเป็นจิ้งจอกจริงๆ...“หึ!” จินหมิงเยว่หัวเราะเสียงเบาก็จะละออกจากร่างบอบบาง “แต่อย่างไรแตงหวานๆ ก็อร่อย เช่นนั้นข้าจะรอให้แตงหวานก่อนก็ได้”ฟางเหนียงรีบหยัดกายลุกขึ้นจ้องมองบุรุษด้วยความไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงหยุด นางคิดว่าบุรุษจะขืนใจนางแม้นางไม่ยินยอมเป็นแน่...“ทว่าลูกแก้วที่อยู่กับเจ้านั้นสำคัญกับข้า อย่างน้อยทุกเจ็ดวันก็มาให้ข้าได้เติมพลังจาก
บทที่ 26ห้วงคำนึงถึงนางหลายฤดูผ่านไปจินหมิงอันเติบใหญ่เป็นจิ้งจอกหนุ่ม มีอิทธิฤทธิ์มากล้นเดินตามรอยของผู้เป็นบิดา ฟางเหนียงภาคภูมิใจเหลือคณานับที่บุตรชายสง่างามเช่นนี้ อีกทั้งยังรวบรวมพลังสร้างลูกแก้วจิ้งจอกของตนเองได้แล้ว แม้ว่าลูกแก้วจิ้งจอกนั้นจะยังแข็งแกร่งไม่เท่าลูกแก้วจิ้งจอกที่อยู่ในตัวของนางก็ตามยามนั้นเองสายลมพัดผ่านพาเอาความเย็นสบายโอบรอบร่าง ทว่ามีบางสิ่งลอยมากับสายลมด้วย กลิ่นที่คุ้นเคยพาให้หัวใจดวงน้อยเต้นแรงขึ้นมาฟางเหนียงหยัดกายขึ้นแล้วพุ่งตัวออกไปตามกลิ่นนั่น แหวกผ่านพงไพร เป็นหนึ่งเดียวกับสายลม กระทั่งมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง นางเดินตามหาไม่นานก็มาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง“ยินดีด้วยเจ้าค่ะ ท่านเจ้าตระกูลได้บุตรชายเจ้าค่ะ!”เสียงเด็กร้องไห้โยเยดังลอดออกมาให้ได้ยิน พร้อมกับเสียงแสดงความยินดีให้กับบิดาและมารดา นางยืนฟังเสียงร้องไห้นั้นอยู่นาน กระทั่งมีคนผู้หนึ่งทักนางเข้า“มาหาผู้ใดหรือเจ้าคะ?”
บทที่ 25สูญเสียไปตลอดกาลดวงตาคู่งามลืมตาขึ้นท่ามกลางพงไพรอันคุ้นเคย ด้านข้างของนางคือร่างของจิ้งจอกหนุ่ม คนรักของนาง… ร่างของบุรุษที่รักนอนแน่นิ่งจนน่าหวาดหวั่นความอบอุ่นที่อยู่กลางอกบ่งบอกให้นางรับรู้ได้ถึงพลังชีวิตอันมหาศาล รวมถึงอิทธิฤทธิ์ของปีศาจจิ้งจอก มันคือลูกแก้วจิ้งจอกไม่ผิดแน่ใช่แล้ว ลูกแก้วจิ้งจอกอยู่กับนางมาตลอด ลูกแก้วจิ้งจอกที่เปรียบเสมือนพลังชีวิตของจินหมิงเยว่ บุรุษเคยบอกกับนางเช่นนั้น นั่นหมายความว่าไม่มีทางที่จินหมิงเยว่จะตาย เขาก็แค่หมดเรี่ยวแรงจึงหลับไปเท่านั้นนางเอ่ยปลอบตนเองแล้วหันไปหาบุรุษ หากทว่าเมื่อมือเล็กๆ แตะที่ร่างของบุรุษ ความเย็นยะเยือกก็แล่นผ่านเข้ามาในร่างของนาง สตรีตัวน้อยตัวแข็งทื่อ พลันน้ำตาก็ไหลอาบสู่สองข้างแก้ม“ไม่จริง ท่านพี่บอกว่า หากมีข้า มีลูกแก้วจิ้งจอก อย่างไรก็ไม่มีทางตายนี่”ฝ่ามือเล็กคว้าท่อนแขนของบุรุษแล้วออกแรงเขย่าแรงๆ เพื่อหวังให้บุรุษฟื้นตื่นขึ้นมา แม้ว่าบุรุษจะเจ็บ หากฟื้นขึ้นมานางจะยินยอมน
บทที่ 24เดิมทีนางควรจะตายไปตั้งนานแล้วยามนั้นเองบางสิ่งร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า เส้นแสงสีขาวหลายสายล้อมรอบพวกเขาเอาไว้“...!”จินหมิงเยว่และหลี่ตงหยางตวัดแขนขึ้นไปด้านหน้า ล้อมฟางเหนียงเอาไว้เพื่อปกป้องนางสตรีตัวน้อยสะดุ้งตกใจ โอบกอดจินหมิงเยว่เอาไว้ด้วยความหวาดกลัว...คนพวกนี้เป็นใครกัน?...“ส่งตัวนางมา หากต่อต้านจะถือว่าปรปักษ์ต่อสรวงสวรรค์”...สรวงสวรรค์หรือ!?...ดวงตาคู่งามเบิกกว้างด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน นางสับสนว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่!?“หากอยากได้ตัวนางนัก ก็เข้ามา!!” เป็นจินหมิงเยว่ที่เอ่ยออกไปอย่างไม่เกรงกลัว แม้จะเป็นผู้ใดหากมาพรากฟางเหนียงไปจากเขา บุรุษไม่ยินยอม!!เกิดการต่อสู้กันระหว่างปีศาจจิ้งจอก เทพหนุ่มตกสวรรค์และองครักษ์สวรรค์ โดยที่ฟางเหนียงอยู่ในการปกป้องของจินหมิงเยว่ตลอดการต่อสู้“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ เหตุใ
บทที่ 23เช่นนั้นข้าปรนนิบัติเจ้าแทนฟางเหนียงลงมือทำอาหารหลายอย่าง รวมถึงของหวานด้วย นางคีบทั้งผักทั้งปลาใส่ในถ้วยของบุรุษ ส่วนจินหมิงเยว่ก็คีบแต่พวกเนื้อสัตว์ใส่ถ้วยให้นางเช่นเดิม“เมื่อใดเจ้าจะอ้วนเสียที หืม?”“ข้าไม่อยากอ้วนเจ้าค่ะ”“เหตุใดจึงไม่อยากอ้วน?”“ข้าเป็นสตรี ก็ต้องรักสวยรักงามเป็นธรรมดา หากอ้วนเมื่อสวมใส่อาภรณ์ใดๆ ก็ไร้ความมั่นใจนี่เจ้าค่ะ”“เจ้าเคยอ้วนหรือ?”“ไม่เคยเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าหากอ้วนแล้วจะไม่งดงาม”“เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเคยมาก่อนที่เจ้าค่ะ! อีกอย่างข้าไม่เคยบอกว่าไม่อ้วนแล้วจะไม่งดงาม ข้าก็แค่คิดว่าคงไม่มีความมั่นใจ”“อ้วนให้ข้าหน่อยเถิด”“เอ๊ะ! ท่านพี่นี่อย่างไร หากอยากได้สตรีอ้วนๆ ก็ไปหาที่อื่น ไม่ต้องมาหาที่ข้า!”&l
บทที่ 22สัญชาตญาณที่ต้องปลดปล่อยฟางเหนียงขยับกายไปนั่งลงบนตักของบุรุษ จากนั้นก็ใช้สะโพกกดลงบนความแข็งแกร่ง ครอบครองแก่นกายบุรุษเพศเข้าไปในตัวของตนเอง“อ่า...” ทั้งฟางเหนียงและจินหมิงเยว่ครางด้วยความสุขสมสตรีตัวน้อยโอบกอดบุรุษแนบอกแล้วเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะจะเริ่มขยับสะโพกของตนเองด้วยท่าทางที่ดูเก้ๆ กังๆ ในช่วงแรก ทว่าไม่นานความวาบหวาม รัญจวนใจ ร่างกายก็ได้นำพาให้นางสามารถขับเคลื่อนร่างกาย มอบความเสียวซ่านให้กับบุรุษได้เป็นอย่างดีนางเอนกายไปข้างหลัง ใช้มือเกาะบ่าของบุรุษเอาไว้ก่อนจะเด้งสะโพกระรัว รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของแก่นกายได้อย่างชัดเจน“อ๊า ท่านพี่ อื้ม!” ทรวงอกของนางถูกดูดดื่มอย่างหื่นกระหาย แม้มันจะเจ็บเล็กน้อยเพราะมีรอยแผลจากการกระทำของบุรุษเมื่อครั้นก่อนหน้า หากแต่ความวาบหวามนั้นมีมากกว่า นางจึงยิ่งแอ่นอกให้ปากหยักดูดดื่มและกลืนกินตามต้องการฟางเหนียงเชิดหน้าขึ้นแล้วร้องครางเสียงหวานอย่างลืมอาย สูญสิ้นสติในการยับยั้งชั่งใจ กลีบกา
บทที่ 21รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปวันเวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ฟางเหนียงในวัยสิบหกปีครั้นมาที่ดินแดนจิ้งจอกแห่งนี้เป็นครั้งแรก บัดนี้นางอายุสิบแปดหนาวเสียแล้วความงดงามของนางนั้นเพิ่มมากขึ้นเสียจนจินหมิงเยว่แทบจะกกกอดนางเอาไว้ภายในห้องตลอดทั้งวันทั้งคืน ถึงแม้ว่ารอบตำหนักพันปีจะไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามาได้ หากมิได้รับอนุญาตก็ตาม“ท่านพี่เจ้าคะ!” เสียงเจื้อยแจ้วของฟางเหนียงดังขึ้น พร้อมการปรากฏกายของนาง ในขณะที่จินหมิงเยว่กำลังฝึกพละกำลังและอาคมบุรุษตวัดฝ่ามือครั้งหนึ่งพาร่างบอบบางลอยละล่องมานั่งบนตักของตนเอง แล้วฉวยโอกาสหอมแก้มนางไปหนึ่งที“ว้าย! ท่านพี่! ฮวาอินก็อยู่นะเจ้าคะ”“เฮ้อ ฮวาอินออกจะชอบที่ข้ากับเจ้าพลอดรักกัน”“ท่านพี่!!”เพี๊ยะ!!ว่าแล้วก็ตีท่อนแขนแกร่งไปหนึ่งทีด้วยความเขินอาย จินหมิงเยว่หัวเราะเสียงดัง ยิ่งได้เห็นพวงแก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อก็ยิ่งอยากแกล้
บทที่ 20งอน“ลองขย่มข้าสิ”“ตะ แต่ข้าไม่รู้”“ทำแบบนี้”“อ๊ะ!?”ฝ่ามือหยาบยกสะโพกกลมขึ้นแล้วกดลงให้ครอบครองความแข็งแกร่งของตนเอง ความเสียวซ่านแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่างบอบบางฟางเหนียงขยับตามการนำพาของบุรุษ กระทั่งหาจังหวะของตนเองเจอ จินหมิงเยว่ก็เปลี่ยนเป็นบีบเคล้นสะโพกกลมกลึงด้วยความมันเขี้วแทนท่วงท่าของนางสร้างความรัญจวนในเหลือเกิน มันเชื่องช้าและละมุนละไม ราวกับจงใจทรมานจินหมิงเยว่ให้ต้องอดทนกับกามารมณ์ เกร็งทั่วทั้งร่างจนเห็นก้อนกล้ามเนื้อชัดเจน อีกทั้งเส้นเลือดยังปูดโปนออกมา“อ่า เหนียงเอ๋อร์ เจ้าช่าง...” บุรุษมิอาจเอื้อนเอ่ยได้อีก เมื่อนางเริ่มขยับถี่ขึ้นเรื่อยๆ มิได้เข้าสุดออกสุดเหมือนอย่างในครั้งแรก แต่เป็นการกดสะโพกระรัว“อืม” นางครางเสียงหวานแล้วแหงนหน้าขึ้นตามอารมณ์ จินหมิงเยว่ก้ามหน้าลงดูดดื่มกับยอดอกสีหวานเข้าปากอย่างกระหายความรู้สึกวาบหวา
บทที่ 19จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ดวงตาคู่งามเปิดอย่างเชื่องช้า คราวนี้ฟางเหนียงไม่ตกใจอีกแล้วว่านางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร สถานที่ที่ไม่ต่างไปจากสรวงสวรรค์ นางคงถูกเทพองค์นั้นเรียกตัวมาอีกเป็นแน่นางเตรียมที่จะมองหาตัวของผู้ที่เรียกนางมา แต่ไม่ทันที่จะได้หยัดกายลุกขึ้นเสียด้วยซ้ำ เสียงทุ้มน่าฟังก็ดังขึ้นเหนือหัว“เดี๋ยวนี้เจ้าไม่ตกใจแล้วหรือ?”ฟางเหนียงหยัดกายลุกขึ้น ก่อนจะหันไปยอบกายคำนับตามมารยาท“คำนับ ท่านเทพเจ้าค่ะ”“อ่า เจ้ารู้แล้วสินะ… รู้ได้อย่างไร หมิงเยว่บอกเจ้าหรือ?”“ท่านพี่ของข้ารู้จักกับท่านเป็นการส่วนตัวด้วยหรือเจ้าคะ?”“อ่า มิใช่สินะ”ใบหน้าคมคายหม่นลงเล็กน้อย ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับฟางเหนียงดูเหมือนว่าทั้งสองจะรู้จักกันสินะ แต่รู้จักกันด้วยดีหรือร้ายมิอานคาดเดาได้“ท่านเทพ… จุดประสงค์ของท่านคือสิ่งใดกันแน่?”สตรีตัวน้อยรู้สึกหวาดหวั่นเหลือเกิน หวาดกลัวว
บทที่ 18มิอาจยอมให้นางเสียหายลิ้นสากหลีกหนีเรียวลิ้นของนาง ลิ้นของนางก็ยังตามติดไม่ออก กลายเป็นจูบที่แสนดูดดื่มจนเกิดเสียงน่าอาย เมื่อยามที่ฟางเหนียงยอมแพ้คิดจะถอนริมฝีปากออก จินหมิงเยว่ก็เป็นฝ่ายคว้าท้ายทอยของนางแล้วกดให้แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็เป็นฝ่ายรุกรานโพรงปากอุ่น ตักตวงความหอมหวานอย่างเร่าร้อน ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เอาแต่หลีกหนีปฏิเสธนางแท้ๆ...จิ้งจอกเจ้าเล่ห์!!...อดมิได้ที่จะต่อว่าบุรุษในใจที่คิดหลอกนาง แต่ก็ยอมให้บุรุษรุกรานแต่โดยดี เพราะจูบหวานๆ ที่ถูกส่งมอบมามันพาให้ร่างของนางอ่อนระทวย เคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบซึ่งราวกับเอาอกเอาใจนาง นางจะยอมให้อภัยจินหมิงเยว่ก็แล้วกันเนิ่นนานกว่าทั้งสองจะถอนริมฝีปากออกจากัน ดวงตาสบประสานกันของหวานซึ้ง คล้ายกับกำลังแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่มีให้กันและกัน“เอาลูกแก้วคืนไปหรือยังเจ้าคะ?”“ยัง”“อ้าว?”“ข้าฝากไว้กับเจ้า หากข้าบาดเจ็บเจ้าจะได้จู