“เขาน่ากลัว” นางพึมพำเสียงเบา ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก ในเมื่อจินหมิงเยว่อนุญาตให้นางไปที่ใดก็ได้ตามที่ต้องการ เช่นนั้นนางก็ขอสำรวจรอบตำหนักเสียหน่อยเถิด
เพื่อหาทางหนีทีไล่เอาไว้ด้วย เผื่อสักวันหนึ่งจินหมิงเยว่เลิกสนใจในตัวนาง นางจะได้หนีออกไปมีชีวิตเป็นของตนเอง ในยามนั้นคิดว่าจินหมิงเยว่คงไม่ไล่ตามนางแล้ว ทว่ายามนี้ต้องคอยเอาอกเอาใจบุรุษไปก่อน เพราะถึงหนีไปตอนนี้ก็ถูกจับกลับมาอยู่ดี
“เจ้าแนะนำตำหนักให้ข้าหน่อยสิ”
“ตำหนักพันปีข้าน้อยพอรู้คร่าวๆ มิได้รู้ลึกเจ้าค่ะ เนื่องจากที่นี่แม้แต่ปีศาจจิ้งจอกด้วยกันยังเข้ามายาก มีเพียงผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร ข้าแค่อยากรู้คร่าวๆ ว่าตรงไหนอยู่ตรงไหนเท่านั้น อ้อ ว่าแต่ ที่นี่มีห้อวหนังสือหรือไม่?”
“มีเจ้าค่ะ ท่านประมุขค่อนข้างชื่นชอบหนังสือ อีกทั้งยังเป็นผู้คัดลอกอักษรเหล่านั้นด้วยตนเอง ว่ากันว่าห้องหนังสือภายในตำหนักพันปีนั้นอุดมไปด้วยความรู้รอบทิศเลยเจ้าค่ะ”
“ข้าไปได้หรือไม่?”
“ได้เจ้าค่ะ!”
ไม่มีที่ใดที่นางจะไปมิได้ เว้นเสียแต่ออกไปข้างนอก หรือออกไปนอกอาณาเขตของตำหนักพันปีแห่งนี้
ฮวาอินนำทางนางมายังห้องหนังสือ ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปฟางเหนียงก็ได้แต่เบิกตากว้าง อ้าปากค้าง นี่มันห้องหนังสือหรือห้องโถงงานเลี้ยงกันแน่ เหตุใดจึงใหญ่โตมโหฬารเช่นนี้!?
หากเปรียบเทียบแล้ว ดูเหมือนว่าห้องหนังสือจะมีขนาดใหญ่ที่สุดภายในตำหนักแห่งนี้เลยก็ว่าได้
ดวงตาคู่งามเป็นประกาย เดินเข้าไปในห้องแล้วเดินเรียบเคียงชั้นหนังสือที่ใกล้ที่สุด ดวงตาคู่งามมองสันหนังสือที่สลักอักษรแต่ละเรื่องราวเอาไว้ ปลายนิ้วเรียวสัมผัสมันอย่างทะนุถนอม ก่อนจะใล้ปลายนิ้วเกี่ยวหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้น
…เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์หรือ?...
นางพินิจมันด้วยความฉงนใจ ยิ่งเปิดอ่านเนื้อหาด้านในก็ยิ่งประหลาดใจเข้าไปอีก ด้านในเขียนถึงร่างกายของมนุษย์ทุกสัดส่วน
…เหตุใดจึงมีหนังสือเช่นนี้?...
นำหนังสือเล่มนั้นกลับเข้าที่ ก่อนจะกวาดสายตามองหมวดหนังสือด้านบน มันเขียนเอาไว้ว่า ‘เกี่ยวกับมนุษย์’ นางจึงกดสายตามองหนังสือทั้งหมดอีกครั้ง
โรคของมนุษย์
อาการของมนุษย์
ร่างกายส่วนที่อ่อนไหวที่สุดของมนุษย์
รายชื่อหนังสือพวกนี้มัน…
“ข้าน้อยจะไปนำน้ำชามาให้นะเจ้าคะ”
“อะ อืม…”
ฮวาอินยอบกายคำนับลา ก่อนจะเดินออกไป ฟางเหนียงหยิบหนังสือออกมาดูเนื้อหาก็เห็นว่ามันเกี่ยวกับมนุษย์ทั้งสิ้น… หรือว่าจินหมิงเยว่กำลังศึกษาร่างกายของมนุษย์? สตรีที่ถูกนำมาสังเวยอาจจะถูกชำแหละเพื่อการศึกษาก็เป็นได้!
สตรีตัวน้อยส่ายหน้าไล่ความคิดชั่วร้ายในหัว นางถอยออกห่างจากหนังสือพวกนั้น พยายามควบคุมหัวใจตนเองมิให้หวาดหวั่น ทว่าขณะที่เดินถอยหลังนั้น แผ่นหลังของนางกลับชนเข้ากับใครคนหนึ่ง
“ว้าย!”
“ชู่ว! ใจเย็นๆ แม่นางน้อย”
ฟางเหนียงหันขวับไปมองด้วยความตกใจ บุรุษที่อยู่ตรงหน้าของนางนั้นดูสง่างาม มีรัศมีบริสุทธิ์แผ่ออกมารอบทิศ หากจินหมิงเยว่ที่งดงามราวเทพจุตินั้นเป็นปีศาจ บุรุษที่อยู่ตรงหน้าของนางบัดนี้ก็คงเป็น… ทวยเทพกระมัง! พลังบริสุทธิ์ที่แม้แต่นางยังสัมผัสได้
“ท่านเป็นใคร!?” สตรีตัวน้อยถอยหางด้วยท่าทีระมัดระวัง
“ข้าหรือ? พวกเจ้าเรียกข้าว่า… พ่อรูปงาม”
…ข้าขอถอนคำพูดที่เอ่ยชมเมื่อครู่ได้หรือไม่ ความจริงแล้วบุรุษผู้นี้อาจจะเป็นคนวิกลจริตก็ได้…
“อุ๊บ! ดูหน้าเจ้าสิ ฮ่าๆๆ”
ช่วงจังหวะนั้นนางรีบวิ่งไปที่ประตู ทว่ากลับชนเข้ากับบางสิ่งจนหงายหลังล้มลงพื้นไป เมื่อเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งก็พบว่าเป็นบุรุษผู้นั้น!
ได้อย่างไร แค่เพียงชั่วพริบตาก็เคลื่อนที่มาดักทางนางได้อย่างไร!?
“ท่าน… มิใช่มนุษย์…!”
“เจ้ายังคงชาญฉลาดเฉกเช่นเดิม ดินแดนแห่งนี้ไม่มีทางที่มนุษย์จะเข้า หรืออาจจะเข้ามาแต่ก็คงไม่รอดมาจนถึงที่นี่ เว้นเสียแต่เจ้า” ปลายนิ้วชี้มาตรงหน้าของนางพลางเผยรอยยิ้มกว้าง หากแต่มีถ้อยคำหนึ่งติดอยู่ในใจนาง
…เฉกเช่นเดิมหรือ? คล้ายกับ...
“ท่านเคยเจอกับข้าหรือ” ใช่… คล้ายกับบุรุษผู้นี้เคยพบเจอนางมาก่อน ทว่าหากเป็นเช่นนั้นจริง บุรุษสง่างามเช่นนี้ไม่มีทางที่นางจะจำมิได้ เว้นเสียแต่อีกฝ่ายจะแปลงกายเป็นสิ่งอื่น
“อืม เมื่อนานมาแล้ว…”
“ท่านเป็น… จิ้งจอกหรือ?”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
“มิใช่”
“อ่า เจ้าฉลาดจริงๆ” บุรุษว่าพลางยิ้มกว้างอีกครั้ง ก่อนจะย่อกายลงตรงหน้าของนาง “วันนี้ข้าแค่มาทักทาย ไว้คราวหลังข้าจะเล่านิทานให้ฟัง”
วาบ!!
แสงสว่างบังเกิดขึ้น มันสว่างจ้าแสบตาจนนางต้องหลับตาแน่นแล้วยกมือขึ้นปิดหน้าเอาไว้
พรึ่บ!!
“เฮือก!!” ดวงตากลมเบิกกว้างพร้อมกับเสียงหอบหายใจ สิ่งแรกที่นางเห็นคือเพดานห้องอันคุ้นเคย และ…
“เหนียงเอ๋อร์! เจ้าฟื้นแล้ว!”
ใบหน้าคมคายของจินหมิงเยว่และ… ไออุ่นของเขา
ฝ่ามือหนากอบกุมมือของนางจนขื้นเหงื่อ ใบหน้าของบุรุษฉายชัดถึงความวิตกกังวล มืออีกข้างยื่นออกมาลูบข้างแก้มของนาง ดวงตาคู่นั้นไม่ปิดบังความห่วงใยเลยแม้แต่น้อย
ความรู้สึกประหลาดก่อเกิดขึ้นภายในหัวใจ…
“รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
“เอ่อ ข้า…ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” นางหลบเลี่ยงสายตาซึ่งพาเอาหัวใจสั่นไหว
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว อยู่ดีๆ เจ้าก็เป็นลมในห้องหนังสือ อาจจะเป็นเพราะห้องนั้นขาดการดูแล เดี๋ยวข้าจะให้คนไปทำความสะอาด”
…เป็นลมในห้องหนังสือหรือ ข้าเนี่ยนะ?...
นึกย้อนความทรงจำของตนเอง สิ่งสุดท้ายที่นางจำได้มีเพียง… บุรุษผู้นั้น
“ท่านพี่ ที่แห่งนี้มีเพียงจิ้งจอกใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“อืม เว้นเจ้าไว้คนหนึ่ง”
“หมายความว่ามีเพียงจิ้งจอกเท่านั้นที่สามารถเข้ามาที่นี่ได้?”
“ถ้าหมายถึงในตำหนักพันปีนี่ล่ะก็ มิใช่… ผู้ที่เข้ามาจะเป็นผู้ใดก็ได้ที่ข้าอนุญาต”
“เช่นนั้นบุรุษผมดำ แต่งกายคล้ายคลึงกับท่านพี่ แต่เป็นโทนสีสว่าง ก็เป็นแขกของท่านพี่หรือเจ้าคะ?”
“เจ้าว่าอะไรนะ?” คิ้วเรียวงามขมวดเข้าหากัน เมื่อสตรีตัวน้อยเอ่ยถึงบุรุษผู้อื่น ซึ่งไม่มีทางที่จะมีบุคคลซึ่งแต่งตัวคล้ายคลึงกับตนปรากฏตัวอยู่ที่แห่งนี้
…อ่า ข้าเดาว่ามิใช่…
“ว่าอย่างไร เจ้าว่าเจ้าเจอใคร?” ในตาดำจ้องมองฟางเหนียงอย่างเค้นความ ยิ่งได้เห็นสายตาดุดันเช่นนี้ นางก็ยิ่งไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด
“เอ่อ เหมือนข้าจะฝันกระมังเจ้าคะ”
“ฝันถึงผู้ใด?”
“เหนียงเอ๋อร์เองก็ไม่รู้จัก”
“คนมิใช่… คนที่เจ้ามีใจให้…?”
“มิใช่เจ้าค่ะ มิใช่! เอ่อ แต่ข้าก็ไม่รู้ จะเอาสิ่งใดจากความฝันกันเจ้าคะ” นางพยายามบ่ายเบี่ยง ด้วยความกลัวว่าจะทำให้บุรุษไม่พอใจเข้า
มือหนายื่นออกไปคว้าคางเล็กแล้วออกแรงให้นางเงยหน้าขึ้นมองตนเอง
“อย่าได้เอ่ยถึงบุรุษอื่นต่อหน้าข้า เพราะข้าค่อนข้างที่จะ…หวงแหนของๆ ตนเอง”
ใบหน้าคมคายขยับเข้าใกล้จนเกือบชิด ฟางเหนียงรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ รินรดที่ใบหน้า พาเอาดวงหน้าหวานเห่อร้อน
“ทะ ท่านพี่… ใกล้ไปกระมังเจ้าคะ”
“แนบสนิทกว่านี้ก็เคยมาแล้วเจ้าจะอายสิ่งใด?”
“นะ นั่นมันแค่พิธีการนี่เจ้าค่ะ เหนียงเอ๋อร์ถูกส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการแก่ท่านพี่ ในค่ำคืนนั้นก็เพียงแค่ทำไปตามพิธีการเท่านั้น ว้าย!” ไม่ทันที่นางจะเอ่ยจบ แขนแกร่งก็โอบรอบเอวคอดแล้วดึงเข้าหาตัว สองขาเรียวเล็กลอยขึ้นจากพื้น และไม่มีทีท่าว่าบุรุษจะยอมปล่อยนางให้เป็นอิสระง่ายๆ
“เช่นนั้นมาทำพิธีการกันอีกครั้งเถิด”
“อื้อ!”
ทันทีที่แนบริมฝีปากเรียวลิ้นสากสอดแทรกเข้ามาในโพรงปากหวานชื้นอย่างจาบจ้วง เกี่ยวรัดรึงเรียวลิ้นของนางจนแทบหายใจไม่ออก เรียวลิ้นนั้นชอกชอนสัมผัสที่ส่วนภายในโพรงปากของนาง คล้ายกับกำลังทำความรู้จักอย่างสนิทสนม สตรีตัวน้อยเมื่อตั้งสติได้ก็ดันแผงอกกว้างออกจากตัว หากแต่อกแกร่งดั่งหินผาไม่ว่านางจะขยับเท่าใดมันก็ไม่ขยับเลย
ขณะเดียวกันนั้นคล้ายกับบางอย่างถูกดูดดออกไปจากตัวของนาง จากใจกลางของหัวใจ!
“อื้อ!” นางส่งเสียงร้องประท้วง แต่บุรุษกลับจ้องมองนางด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ แล้วระดมบดเคล้าริมฝีปากอย่างดูดดื่มยิ่งขึ้น คล้ายกับจงใจกลั่นแกล้งนาง
ทว่ายิ่งได้สัมผัสเลือดภายในกายของบุรุษก็ยิ่งสูบฉีดพล่านไปทั่วทั้งร่าง
...อยากจะจับกินเสียจริง!...
“ฮ้า!!”
เมื่อริมฝีปากถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ฟางเหนียงก็รีบสูดอากาศเข้าปอดเพื่อเอาชีวิตรอดทันที พร้อมทั้งหันหน้าหนีด้วยกลัวว่าจินหมิงเยว่จะบดเคล้าริมฝีปากลงมาอีกหน หารู้ไม่ว่าเมื่อนางหันหน้าหนี แต่ลำคอขาวเนียนกลับปรากฎแก่สายตาของบุรุษ ลำคอระหงควรค่าแก่การประทับรอยจูบ ตีตราว่านางมีเจ้าของเป็นอย่างยิ่ง
งับ!
“ว้าย! ทะ ท่านพี่! อย่าทำรอยนะเจ้าคะ!” นางร้องโวยวาย ความรู้สึกวาบหวามแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่างกาย
ครั้นก่อนหน้าบุรุษฝากฝังร่องรอยไว้แทบทุกส่วนของร่างกายนาง ฮวาอินผู้คอยปรนนิบัติรับใช้นางก็ชอบมองด้วยสายตาที่ทำเอานางหน้าเห่อร้อนไปหมด
จินหมิงเยว่ตวัดร่างคนงามลงบนเตียงอีกครั้ง จับตรึงข้อมือทั้งสองข้างกดลงที่เหนือหัว รวบตรึงด้วยฝ่ามือข้างเดียว แล้วซุกจมูกคมคายลงบนลำคอ ขบเข้ม และดูดดื่มจนเกิดรอบรักสีเข้ม
...จิ้งจอกเจ้าเล่ห์!!...
“ภรรยาก็ต้องปรนนิบัติสามีถูกหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นในยามนี้...” ฝ่ามือหนากระดุกสายรัดอาภรณ์ของนางแค่เพียงครั้งเดียว สายที่รัดอยู่ก็หลุดออกจากกันอย่างเป็นใจ “เจ้าเต็มใจปรนนิบัติข้าหรือไม่”
เมื่อครู่นี้ยังทำท่าคล้ายกับจะข่มเหงนางอยู่เลย บัดนี้กลับมาขอความร่วมมือจากนางเสียอย่างนั้น อีกทั้งร่างกายของนางถูกตรึงเอาไว้เช่นนี้ ถึงแม้ว่านางปฏิเสธแล้วจินหมิงเยว่จะยอมหรือ?
“หากข้าไม่ยินยอมล่ะเจ้าคะ?”
“ข้าก็จะข่มเหงเจ้าทั้งวันทั้งคืน จนกว่าเจ้าจะยอมปรนนิบัติข้า” สิ่งที่เอื้อนเอ่ยออกมานั้นมิใช่การข่มขู่ แต่มันเป็นเรื่องจริง
นัยน์ตาเรียมคมฉายชัดจนความเจ้าเล่ห์ และพร้อมที่จะข่มเหงนางทั้งวันทั้งคืนตามที่ปากเอื้อนเอ่ยออกมาจริงๆ
“ตะ แต่เหนียงเอ๋อร์เป็นลมเพิ่งฟื้น ท่านพี่จะข่มเหงเหนียงเอ๋อร์ได้ลงคอหรือเจ้าคะ” ไม่เอ่ยเปล่ายังใช้ดวงตามองบุรุษอย่างออดอ้อน
“ทำได้สิ”
บทที่ 11ตัวตนของบุรุษปริศนา“ทำได้สิ พวกมนุษย์กล่าวขานพวกข้าอยู่หลายสิ่ง ตัวแทนแห่งการบำเพ็ญเพียร ตัวแทนแห่งความพยายาม ตัวแทนแห่งพลังอำนาจ และ... ตัวแทนแห่งตัณหาราคะ” จงใจจดจ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่งาม แล้วค่อยๆ โน้มหน้าไปใกล้ๆ จนปลายจมูกสัมผัสกัน “ตัวข้านั้นเป็นทั้งหมด ที่เหล่ามนุษย์ขนานนาม”“ตะ แต่แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน[1]นะเจ้าคะ”“ไม่ลองแล้วจะรู้หรือ ไม่แน่แตงดิบๆ อาจจะถูกปากกว่าที่คิดก็ได้”...ท่านช่าง... เจ้าเล่ห์สมกับเป็นจิ้งจอกจริงๆ...“หึ!” จินหมิงเยว่หัวเราะเสียงเบาก็จะละออกจากร่างบอบบาง “แต่อย่างไรแตงหวานๆ ก็อร่อย เช่นนั้นข้าจะรอให้แตงหวานก่อนก็ได้”ฟางเหนียงรีบหยัดกายลุกขึ้นจ้องมองบุรุษด้วยความไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงหยุด นางคิดว่าบุรุษจะขืนใจนางแม้นางไม่ยินยอมเป็นแน่...“ทว่าลูกแก้วที่อยู่กับเจ้านั้นสำคัญกับข้า อย่างน้อยทุกเจ็ดวันก็มาให้ข้าได้เติมพลังจาก
บทที่ 12เติมพลังเสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นที่ข้างหู พร้อมกับลมหายใจอุ่นๆ รินรดแผ่วเบา หนังสือที่อยู่ในมือร่วงหล่นลง โชคดีที่เจ้าของเสียงนุ่มทุ้มคว้าหนังสือเล่มนั้นเอาไว้ ราวกับรู้อยู่ก่อนแล้ว ในณะที่ดวงตาเรียวคมจ้องมองดวงตาคู่งามนิ่งไม่ยอมละสายตา“ทะ ท่านพี่ ข้าตกใจหมด”“ตกใจเรื่องอะไร เว้นเสียแต่ว่าเจ้ากระทำความผิด”“เหนียยงเอ๋อร์กำลังอ่านหนังสือเพลินๆ ท่านพี่เข้ามามิให้สุ้มมิให้เสียงก็ต้องตกใจสิเจ้าคะ”“หากเจ้ามาหาข้าแล้วแกล้งกระโดดกอดคอข้า สาบานเลยว่าข้าไม่มีทางตกใจ” บุรุษว่าพลางยกยิ้มมุมปากด้วยความเจ้าเล่ห์สตรีตัวน้อยถอนหายใจแล้วยื่นมือออกไปคว้าหนังสือที่อยู่ในมือของบุรุษ แต่อีกฝ่ายกลับขยับหนี ฟางเหนียงเหลือบสายตามองบุรุษอีกหน แล้วส่งสายตาดุๆ ใส่ก่อนจะยื่นมือออกไปคว้าหนังสือ ทว่าจินหมิงเยว่ก็ยังกระทำแบบเดิม“ท่านพี่!”คราวนี้จินหมิงเยว่เหลือบสายตาอ่านชื่อหนังสือบนหน้าปก ซึ่งล้วนแล้วแต่
บทที่ 13ข้าปรารถนาเจ้าอย่างสุดหัวใจ“เจ้าค่ะ” นางตอบรับด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เดิมทีฟางเหนียงก็ไม่คิดปฏิเสธอยู่แล้ว เพราะรู้สึกผิดที่ครอบครองลูกแก้วจิ้งจอกเอาไว้ ทั้งๆ ที่มันควรจะอยู่กับเจ้าของหากทว่าข้อเท้าของนางยังเป็นรอยช้ำสีเข้มอยู่เลย นางขอโลภมากและเห็นแก่ตัว ครอบครองมันนานอีกคงไม่เป็นอะไร อย่างไรเสียเจ้าตัวก็อนุญาตนางแล้วรอบนี้จูบที่เคยหวานปานมธุรสกลับถูกบดขยี้ลงมาอย่างเร่าร้อน ฟางเหนียงรู้สึกตกใจจนสะดุ้ง หากถอยหลังหนีได้นางคงถอยไปแล้ว แต่ร่างของนางกลับถูกดันชิดกับชั้นหนังสือน่ะสิ จึงไม่มีโอกาสให้นางได้ถอยห่างเลยแม้แต่น้อย ยิ่งบุรุษกดริมฝีปากลงมา ก็ยิ่งเป็นการเปิดปากของนางให้อ้าออก เพื่อที่จินหมิงเยว่จะได้รุกรานเข้ามาได้อย่างลึกซึ้งมากกว่าเดิม“อื้อ” แม้รสจูบนั้นจะมิได้หวานซาบซ่าอย่างที่นางชื่นชอบ แต่รสจูบเช่นนี้กลับเร่งเร้าให้หัวใจของนางเต้นระรัวได้ดี ฟางเหนียงเผลอไผลไปกับสัมผัสของบุรษ ฝ่ามือหนาเริ่มซุกซน เฟ้นฟ้อนไปทั่วทั้งเรือนร่างของนางกระทั่งถ
บทที่ 14ทั้งโง่เขลาและดื้อรั้น“ช้าก่อนเจ้าค่ะ ช้าก่อน!”ทันทีที่สารถีเห็นคนงามก็หยุดรถม้าลงแล้วมองนางด้วยความฉงนใจ สภาพของนางดูสะอาดสะอ้านเกินกว่าคนที่หลงทาง อีกทั้งยังดูมีเรี่ยวมีแรงราวกับเพิ่งกินอิ่ม…ใบหน้านี้คุ้นเคยอย่างไรบอกไม่ถูก?...“ข้าขอติดรถท่านไปลงที่หมู่บ้านได้หรือไม่เจ้าคะ?”“เจ้าหลงป่าหรือ?”“เจ้าค่ะ ข้าออกมาตามหากระต่ายป่าที่ข้าเลี้ยงเอาไว้ แต่คลาดกับมัน มารู้ตัวอีกทีก็อยู่กลางป่าเสียแล้ว”“ขึ้นมาสิ ข้าจะพาไปส่งที่หมู่บ้าน”“ขอบคุณเจ้าค่ะ!!” ฟางเหนียงเอ่ยพลางยิ้มกว้าง กำลังจะเดินขึ้นรถม้าทว่าสารถีผู้นั้นก็เอ่ยเรียกนางเอาไว้เสียก่อน“ช้าก่อน เจ้า… ฟางเหนียง!?”“เจ้าคะ? ท่านรู้จักข้าด้วยหรือเจ้าคะ?”พลันโทสะก็ครอบงำบุรุษผู้นี้แล้วกระโดดเข้าจู่โจมฟางเหนียง!!
บทที่ 15ยินยอม“กลับกับข้าเถิด”สตรีตัวน้อยพยักหน้า ถึงอย่างไรนางก็ต้องกลับกับเขาอยู่แล้ว ไม่มีทางปล่อยให้ผู้ที่บาดเจ็บเพราะความดื้อรั้นของตัวเองกลับไปเพียงคนเดียวเป็นแน่“เดินไหวหรือไม่เจ้าคะ?”“เจ้าประคองข้าหน่อยได้หรือไม่?” บุรุษใช้โอกาสออดอ้อนนางอย่างเจ้าเล่ห์ หากไม่ถือโอกาสนี้ก็ไม่รู้แล้วว่าจะมีโอกาสออดอ้อนนางอีกเมื่อใดแม้บาดแผลจะลึก แต่ตนเป็นปีศาจจิ้งจอก บาดแผลจากสิ่งของมนุษย์อีกทั้งยังไร้พิษ ตราบใดที่มีลูกแก้วจิ้งจอกอยู่ข้างกาย ร่างกายก็สามารถฟื้นคืนสภาพได้อย่างรวดเร็ว“เจ้าค่ะ”เมื่อกลับมายังตำหนักพันปี ฟางเหนียงก็เตรียมที่จะออกไปหาฮวาอิน สำหรับนางแล้วปีศาจด้วยกันย่อมรู้ว่าควรทำอย่างไรกับบาดแผล อีกอย่างนางมาอยู่ที่นี่ก็ได้รับแต่การปรนนิบัติ จึงไม่รู้ว่าข้าวของเครื่องใช้นั้นอยู่ที่ใดบ้าง แต่กลับถูกจินหมิงเยว่คว้าท่อนแขนเอาไว้เสียก่อน“เจ้าจะไปที่ใด?
บทที่ 16อยากลองจับมันหรือไม่ใบหน้าคมคายเลื่อนลงมาที่ลำคอระหง ไม่รีรอที่จะฝากฝังรอยรักสีเข้มไว้บนเนื้อขาวๆ ของนาง เป็นหลักฐานว่าฟางเหนียงได้เต็มใจร่วมค่ำคืนนี้กับเขาแล้ว ทั้งดูดและเลียอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังตราตรึงสัมผัสนี้เข้าไปในกายของนาง“อื้อ ท่านพี่...”“ชอบหรือไม่”“อึก อื้อ” นางไม่ยอมตอบ และถึงแม้จะอยากตอบสิ่งใดออกไปก็ทำได้ยากเย็นเหลือเกิน เมื่อจินหมิงเยว่รุกรานนางอย่างหนักหน่วง แม้แต่การหายใจยังยากแล้ว อารมณ์วาบหวามทำให้นางมิอาจควบคุมตนเองได้“เปล่งเสียงออกมาเถิด ข้าชอบเสียงของเจ้า” บุรุษเอ่ย ขณะที่ฝ่ามือหยาบปลดอาภรณ์ของนางผิวขาวนวลเนียนที่อยู่ด้านใน กระตุกปมของเอี๊ยมสีขาวออกเผยทรวงอกอวบอิ่มที่เคยสัมผัสเมื่อคืนวันวสันต์ และบัดนี้ความงดงามปรากฏแกสายตาอีกครั้งฝ่ามือหยาบกอบกุมความอวบอิ่มทั้งสองเต้า ฟ้อนเฟ้นด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะปาดป่ายหยอกล้อเล่นกับยอดอกสีหวาน ฟางเหนียงเกร็งไปทั่วทั้งร่างกับสัมผัสวาบหวามนี้ น
บทที่ 17ลูกแก้วจิ้งจอกไม่รู้กี่โมงกี่ยามแล้ว แต่เจ้าของดวงตากลมก็ค่อยๆ เปิดออกอย่างเชื่องช้า เมื่อแสงแดดด้านนอกส่องเข้ามาจนนางรู้สึกแสบตา พลันบางสิ่งก็บดบังแสงนั้นให้นาง เมื่อฟางเหนียงลืมตาขึ้นด้วยความสงสัย ก็เห็นว่าหางนุ่มนิ่มของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นั่นเองที่โผล่ออกมาเพื่อบังแสงแดดให้กับนางมือเล็กๆ ยื่นออกไปสัมผัสความนุ่มนิ่มของมันเล่นอย่างเอาแต่ใจ หางสีขาวขยับเข้ามาหานางแล้วลูบไล้ตามร่างกายจนนางรู้สึกจั๊กจี้“คิกคิก อย่าแกล้งข้าสิเจ้าคะ”“หึหึ” จินหมิงเยว่หัวเราะก่อนจะตวัดร่างของตนเองไปอีกฝั่งของเตียง เพื่อใช้ร่างกายของตนเองบดบังแสงแดดให้นาง “ตื่นแล้วหรือ? หิวหรือไม่?”ไม่เอ่ยอย่างเดียว กลับโน้มใบหน้าลงไปประทับริมฝีปาก ฝากฝังรอยจูบลงบนหน้าผากเนียนของนางอย่างรักใคร่“กี่ยามแล้วเจ้าคะ?”“ยามเชิน[1]แล้ว”“เจ้าคะ!?” ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง ก่อนจะค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้น หากแต่ความปวดร
บทที่ 18มิอาจยอมให้นางเสียหายลิ้นสากหลีกหนีเรียวลิ้นของนาง ลิ้นของนางก็ยังตามติดไม่ออก กลายเป็นจูบที่แสนดูดดื่มจนเกิดเสียงน่าอาย เมื่อยามที่ฟางเหนียงยอมแพ้คิดจะถอนริมฝีปากออก จินหมิงเยว่ก็เป็นฝ่ายคว้าท้ายทอยของนางแล้วกดให้แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็เป็นฝ่ายรุกรานโพรงปากอุ่น ตักตวงความหอมหวานอย่างเร่าร้อน ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เอาแต่หลีกหนีปฏิเสธนางแท้ๆ...จิ้งจอกเจ้าเล่ห์!!...อดมิได้ที่จะต่อว่าบุรุษในใจที่คิดหลอกนาง แต่ก็ยอมให้บุรุษรุกรานแต่โดยดี เพราะจูบหวานๆ ที่ถูกส่งมอบมามันพาให้ร่างของนางอ่อนระทวย เคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบซึ่งราวกับเอาอกเอาใจนาง นางจะยอมให้อภัยจินหมิงเยว่ก็แล้วกันเนิ่นนานกว่าทั้งสองจะถอนริมฝีปากออกจากัน ดวงตาสบประสานกันของหวานซึ้ง คล้ายกับกำลังแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่มีให้กันและกัน“เอาลูกแก้วคืนไปหรือยังเจ้าคะ?”“ยัง”“อ้าว?”“ข้าฝากไว้กับเจ้า หากข้าบาดเจ็บเจ้าจะได้จู
บทที่ 26ห้วงคำนึงถึงนางหลายฤดูผ่านไปจินหมิงอันเติบใหญ่เป็นจิ้งจอกหนุ่ม มีอิทธิฤทธิ์มากล้นเดินตามรอยของผู้เป็นบิดา ฟางเหนียงภาคภูมิใจเหลือคณานับที่บุตรชายสง่างามเช่นนี้ อีกทั้งยังรวบรวมพลังสร้างลูกแก้วจิ้งจอกของตนเองได้แล้ว แม้ว่าลูกแก้วจิ้งจอกนั้นจะยังแข็งแกร่งไม่เท่าลูกแก้วจิ้งจอกที่อยู่ในตัวของนางก็ตามยามนั้นเองสายลมพัดผ่านพาเอาความเย็นสบายโอบรอบร่าง ทว่ามีบางสิ่งลอยมากับสายลมด้วย กลิ่นที่คุ้นเคยพาให้หัวใจดวงน้อยเต้นแรงขึ้นมาฟางเหนียงหยัดกายขึ้นแล้วพุ่งตัวออกไปตามกลิ่นนั่น แหวกผ่านพงไพร เป็นหนึ่งเดียวกับสายลม กระทั่งมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง นางเดินตามหาไม่นานก็มาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง“ยินดีด้วยเจ้าค่ะ ท่านเจ้าตระกูลได้บุตรชายเจ้าค่ะ!”เสียงเด็กร้องไห้โยเยดังลอดออกมาให้ได้ยิน พร้อมกับเสียงแสดงความยินดีให้กับบิดาและมารดา นางยืนฟังเสียงร้องไห้นั้นอยู่นาน กระทั่งมีคนผู้หนึ่งทักนางเข้า“มาหาผู้ใดหรือเจ้าคะ?”
บทที่ 25สูญเสียไปตลอดกาลดวงตาคู่งามลืมตาขึ้นท่ามกลางพงไพรอันคุ้นเคย ด้านข้างของนางคือร่างของจิ้งจอกหนุ่ม คนรักของนาง… ร่างของบุรุษที่รักนอนแน่นิ่งจนน่าหวาดหวั่นความอบอุ่นที่อยู่กลางอกบ่งบอกให้นางรับรู้ได้ถึงพลังชีวิตอันมหาศาล รวมถึงอิทธิฤทธิ์ของปีศาจจิ้งจอก มันคือลูกแก้วจิ้งจอกไม่ผิดแน่ใช่แล้ว ลูกแก้วจิ้งจอกอยู่กับนางมาตลอด ลูกแก้วจิ้งจอกที่เปรียบเสมือนพลังชีวิตของจินหมิงเยว่ บุรุษเคยบอกกับนางเช่นนั้น นั่นหมายความว่าไม่มีทางที่จินหมิงเยว่จะตาย เขาก็แค่หมดเรี่ยวแรงจึงหลับไปเท่านั้นนางเอ่ยปลอบตนเองแล้วหันไปหาบุรุษ หากทว่าเมื่อมือเล็กๆ แตะที่ร่างของบุรุษ ความเย็นยะเยือกก็แล่นผ่านเข้ามาในร่างของนาง สตรีตัวน้อยตัวแข็งทื่อ พลันน้ำตาก็ไหลอาบสู่สองข้างแก้ม“ไม่จริง ท่านพี่บอกว่า หากมีข้า มีลูกแก้วจิ้งจอก อย่างไรก็ไม่มีทางตายนี่”ฝ่ามือเล็กคว้าท่อนแขนของบุรุษแล้วออกแรงเขย่าแรงๆ เพื่อหวังให้บุรุษฟื้นตื่นขึ้นมา แม้ว่าบุรุษจะเจ็บ หากฟื้นขึ้นมานางจะยินยอมน
บทที่ 24เดิมทีนางควรจะตายไปตั้งนานแล้วยามนั้นเองบางสิ่งร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า เส้นแสงสีขาวหลายสายล้อมรอบพวกเขาเอาไว้“...!”จินหมิงเยว่และหลี่ตงหยางตวัดแขนขึ้นไปด้านหน้า ล้อมฟางเหนียงเอาไว้เพื่อปกป้องนางสตรีตัวน้อยสะดุ้งตกใจ โอบกอดจินหมิงเยว่เอาไว้ด้วยความหวาดกลัว...คนพวกนี้เป็นใครกัน?...“ส่งตัวนางมา หากต่อต้านจะถือว่าปรปักษ์ต่อสรวงสวรรค์”...สรวงสวรรค์หรือ!?...ดวงตาคู่งามเบิกกว้างด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน นางสับสนว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่!?“หากอยากได้ตัวนางนัก ก็เข้ามา!!” เป็นจินหมิงเยว่ที่เอ่ยออกไปอย่างไม่เกรงกลัว แม้จะเป็นผู้ใดหากมาพรากฟางเหนียงไปจากเขา บุรุษไม่ยินยอม!!เกิดการต่อสู้กันระหว่างปีศาจจิ้งจอก เทพหนุ่มตกสวรรค์และองครักษ์สวรรค์ โดยที่ฟางเหนียงอยู่ในการปกป้องของจินหมิงเยว่ตลอดการต่อสู้“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ เหตุใ
บทที่ 23เช่นนั้นข้าปรนนิบัติเจ้าแทนฟางเหนียงลงมือทำอาหารหลายอย่าง รวมถึงของหวานด้วย นางคีบทั้งผักทั้งปลาใส่ในถ้วยของบุรุษ ส่วนจินหมิงเยว่ก็คีบแต่พวกเนื้อสัตว์ใส่ถ้วยให้นางเช่นเดิม“เมื่อใดเจ้าจะอ้วนเสียที หืม?”“ข้าไม่อยากอ้วนเจ้าค่ะ”“เหตุใดจึงไม่อยากอ้วน?”“ข้าเป็นสตรี ก็ต้องรักสวยรักงามเป็นธรรมดา หากอ้วนเมื่อสวมใส่อาภรณ์ใดๆ ก็ไร้ความมั่นใจนี่เจ้าค่ะ”“เจ้าเคยอ้วนหรือ?”“ไม่เคยเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าหากอ้วนแล้วจะไม่งดงาม”“เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเคยมาก่อนที่เจ้าค่ะ! อีกอย่างข้าไม่เคยบอกว่าไม่อ้วนแล้วจะไม่งดงาม ข้าก็แค่คิดว่าคงไม่มีความมั่นใจ”“อ้วนให้ข้าหน่อยเถิด”“เอ๊ะ! ท่านพี่นี่อย่างไร หากอยากได้สตรีอ้วนๆ ก็ไปหาที่อื่น ไม่ต้องมาหาที่ข้า!”&l
บทที่ 22สัญชาตญาณที่ต้องปลดปล่อยฟางเหนียงขยับกายไปนั่งลงบนตักของบุรุษ จากนั้นก็ใช้สะโพกกดลงบนความแข็งแกร่ง ครอบครองแก่นกายบุรุษเพศเข้าไปในตัวของตนเอง“อ่า...” ทั้งฟางเหนียงและจินหมิงเยว่ครางด้วยความสุขสมสตรีตัวน้อยโอบกอดบุรุษแนบอกแล้วเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะจะเริ่มขยับสะโพกของตนเองด้วยท่าทางที่ดูเก้ๆ กังๆ ในช่วงแรก ทว่าไม่นานความวาบหวาม รัญจวนใจ ร่างกายก็ได้นำพาให้นางสามารถขับเคลื่อนร่างกาย มอบความเสียวซ่านให้กับบุรุษได้เป็นอย่างดีนางเอนกายไปข้างหลัง ใช้มือเกาะบ่าของบุรุษเอาไว้ก่อนจะเด้งสะโพกระรัว รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของแก่นกายได้อย่างชัดเจน“อ๊า ท่านพี่ อื้ม!” ทรวงอกของนางถูกดูดดื่มอย่างหื่นกระหาย แม้มันจะเจ็บเล็กน้อยเพราะมีรอยแผลจากการกระทำของบุรุษเมื่อครั้นก่อนหน้า หากแต่ความวาบหวามนั้นมีมากกว่า นางจึงยิ่งแอ่นอกให้ปากหยักดูดดื่มและกลืนกินตามต้องการฟางเหนียงเชิดหน้าขึ้นแล้วร้องครางเสียงหวานอย่างลืมอาย สูญสิ้นสติในการยับยั้งชั่งใจ กลีบกา
บทที่ 21รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปวันเวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ฟางเหนียงในวัยสิบหกปีครั้นมาที่ดินแดนจิ้งจอกแห่งนี้เป็นครั้งแรก บัดนี้นางอายุสิบแปดหนาวเสียแล้วความงดงามของนางนั้นเพิ่มมากขึ้นเสียจนจินหมิงเยว่แทบจะกกกอดนางเอาไว้ภายในห้องตลอดทั้งวันทั้งคืน ถึงแม้ว่ารอบตำหนักพันปีจะไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามาได้ หากมิได้รับอนุญาตก็ตาม“ท่านพี่เจ้าคะ!” เสียงเจื้อยแจ้วของฟางเหนียงดังขึ้น พร้อมการปรากฏกายของนาง ในขณะที่จินหมิงเยว่กำลังฝึกพละกำลังและอาคมบุรุษตวัดฝ่ามือครั้งหนึ่งพาร่างบอบบางลอยละล่องมานั่งบนตักของตนเอง แล้วฉวยโอกาสหอมแก้มนางไปหนึ่งที“ว้าย! ท่านพี่! ฮวาอินก็อยู่นะเจ้าคะ”“เฮ้อ ฮวาอินออกจะชอบที่ข้ากับเจ้าพลอดรักกัน”“ท่านพี่!!”เพี๊ยะ!!ว่าแล้วก็ตีท่อนแขนแกร่งไปหนึ่งทีด้วยความเขินอาย จินหมิงเยว่หัวเราะเสียงดัง ยิ่งได้เห็นพวงแก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อก็ยิ่งอยากแกล้
บทที่ 20งอน“ลองขย่มข้าสิ”“ตะ แต่ข้าไม่รู้”“ทำแบบนี้”“อ๊ะ!?”ฝ่ามือหยาบยกสะโพกกลมขึ้นแล้วกดลงให้ครอบครองความแข็งแกร่งของตนเอง ความเสียวซ่านแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่างบอบบางฟางเหนียงขยับตามการนำพาของบุรุษ กระทั่งหาจังหวะของตนเองเจอ จินหมิงเยว่ก็เปลี่ยนเป็นบีบเคล้นสะโพกกลมกลึงด้วยความมันเขี้วแทนท่วงท่าของนางสร้างความรัญจวนในเหลือเกิน มันเชื่องช้าและละมุนละไม ราวกับจงใจทรมานจินหมิงเยว่ให้ต้องอดทนกับกามารมณ์ เกร็งทั่วทั้งร่างจนเห็นก้อนกล้ามเนื้อชัดเจน อีกทั้งเส้นเลือดยังปูดโปนออกมา“อ่า เหนียงเอ๋อร์ เจ้าช่าง...” บุรุษมิอาจเอื้อนเอ่ยได้อีก เมื่อนางเริ่มขยับถี่ขึ้นเรื่อยๆ มิได้เข้าสุดออกสุดเหมือนอย่างในครั้งแรก แต่เป็นการกดสะโพกระรัว“อืม” นางครางเสียงหวานแล้วแหงนหน้าขึ้นตามอารมณ์ จินหมิงเยว่ก้ามหน้าลงดูดดื่มกับยอดอกสีหวานเข้าปากอย่างกระหายความรู้สึกวาบหวา
บทที่ 19จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ดวงตาคู่งามเปิดอย่างเชื่องช้า คราวนี้ฟางเหนียงไม่ตกใจอีกแล้วว่านางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร สถานที่ที่ไม่ต่างไปจากสรวงสวรรค์ นางคงถูกเทพองค์นั้นเรียกตัวมาอีกเป็นแน่นางเตรียมที่จะมองหาตัวของผู้ที่เรียกนางมา แต่ไม่ทันที่จะได้หยัดกายลุกขึ้นเสียด้วยซ้ำ เสียงทุ้มน่าฟังก็ดังขึ้นเหนือหัว“เดี๋ยวนี้เจ้าไม่ตกใจแล้วหรือ?”ฟางเหนียงหยัดกายลุกขึ้น ก่อนจะหันไปยอบกายคำนับตามมารยาท“คำนับ ท่านเทพเจ้าค่ะ”“อ่า เจ้ารู้แล้วสินะ… รู้ได้อย่างไร หมิงเยว่บอกเจ้าหรือ?”“ท่านพี่ของข้ารู้จักกับท่านเป็นการส่วนตัวด้วยหรือเจ้าคะ?”“อ่า มิใช่สินะ”ใบหน้าคมคายหม่นลงเล็กน้อย ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับฟางเหนียงดูเหมือนว่าทั้งสองจะรู้จักกันสินะ แต่รู้จักกันด้วยดีหรือร้ายมิอานคาดเดาได้“ท่านเทพ… จุดประสงค์ของท่านคือสิ่งใดกันแน่?”สตรีตัวน้อยรู้สึกหวาดหวั่นเหลือเกิน หวาดกลัวว
บทที่ 18มิอาจยอมให้นางเสียหายลิ้นสากหลีกหนีเรียวลิ้นของนาง ลิ้นของนางก็ยังตามติดไม่ออก กลายเป็นจูบที่แสนดูดดื่มจนเกิดเสียงน่าอาย เมื่อยามที่ฟางเหนียงยอมแพ้คิดจะถอนริมฝีปากออก จินหมิงเยว่ก็เป็นฝ่ายคว้าท้ายทอยของนางแล้วกดให้แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็เป็นฝ่ายรุกรานโพรงปากอุ่น ตักตวงความหอมหวานอย่างเร่าร้อน ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เอาแต่หลีกหนีปฏิเสธนางแท้ๆ...จิ้งจอกเจ้าเล่ห์!!...อดมิได้ที่จะต่อว่าบุรุษในใจที่คิดหลอกนาง แต่ก็ยอมให้บุรุษรุกรานแต่โดยดี เพราะจูบหวานๆ ที่ถูกส่งมอบมามันพาให้ร่างของนางอ่อนระทวย เคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบซึ่งราวกับเอาอกเอาใจนาง นางจะยอมให้อภัยจินหมิงเยว่ก็แล้วกันเนิ่นนานกว่าทั้งสองจะถอนริมฝีปากออกจากัน ดวงตาสบประสานกันของหวานซึ้ง คล้ายกับกำลังแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่มีให้กันและกัน“เอาลูกแก้วคืนไปหรือยังเจ้าคะ?”“ยัง”“อ้าว?”“ข้าฝากไว้กับเจ้า หากข้าบาดเจ็บเจ้าจะได้จู