ลิ้นสากหลีกหนีเรียวลิ้นของนาง ลิ้นของนางก็ยังตามติดไม่ออก กลายเป็นจูบที่แสนดูดดื่มจนเกิดเสียงน่าอาย เมื่อยามที่ฟางเหนียงยอมแพ้คิดจะถอนริมฝีปากออก จินหมิงเยว่ก็เป็นฝ่ายคว้าท้ายทอยของนางแล้วกดให้แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็เป็นฝ่ายรุกรานโพรงปากอุ่น ตักตวงความหอมหวานอย่างเร่าร้อน ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เอาแต่หลีกหนีปฏิเสธนางแท้ๆ
...จิ้งจอกเจ้าเล่ห์!!...
อดมิได้ที่จะต่อว่าบุรุษในใจที่คิดหลอกนาง แต่ก็ยอมให้บุรุษรุกรานแต่โดยดี เพราะจูบหวานๆ ที่ถูกส่งมอบมามันพาให้ร่างของนางอ่อนระทวย เคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบซึ่งราวกับเอาอกเอาใจนาง นางจะยอมให้อภัยจินหมิงเยว่ก็แล้วกัน
เนิ่นนานกว่าทั้งสองจะถอนริมฝีปากออกจากัน ดวงตาสบประสานกันของหวานซึ้ง คล้ายกับกำลังแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่มีให้กันและกัน
“เอาลูกแก้วคืนไปหรือยังเจ้าคะ?”
“ยัง”
“อ้าว?”
“ข้าฝากไว้กับเจ้า หากข้าบาดเจ็บเจ้าจะได้จูบรักษาให้ข้า”
“มันสำคัญถึงเพียงนั้นเหตุใดท่านพี่จึง...”
“เหนียงเอ๋อร์ มีสิ่งที่สำคัญเสียยิ่งกว่าลูกแก้วจิ้งจอกอีกนะ สำหรับข้าน่ะ”
“...?” ดวงตาคู่งามฉายแววความประหลาดใจชัดเจน ทว่านัยน์ตาดำทมิฬก็ส่งมอบคำตอบนั้นให้กับนาง
สิ่งที่สำคัญที่สุด กระทั่งยอมให้ลูกแก้วจิ้งจอก ซึ่งไม่ต่างสิ่งใดจากพลังชีวิตของจิ้งจอก...
ก็คือตัวนางเอง!!
“ท่านช่างโง่เขลา... ข้าเป็นเพียงมนุษย์ไร้ค่า”
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นสิ่งใด เจ้าก็มีค่า... สิ่งใดจะมีค่ามากน้อยเพียงใด อยู่ที่สายตาที่มอง ซึ่งสำหรับข้าแล้วเจ้ามีค่ามากมายเหลือคณานับ จงให้ความสำคัญกับตนเองมากกว่านี้ เหนียงเอ๋อร์”
ฟางเหนียงไม่กล้าเงยหน้า ไม่กล้าสบตา ไม่กล้าเอื้อนเอ่ยสิ่งใด เมื่อได้ฟังถ้อยคำหวานจากจิ้งจอกเก้าหางมากอิทธิฤทธิ์ผู้นี้...
จากนั้นฮวาอินก็นำสำรับมาให้ทั้งสอง พวกเขากินอาหารร่วมกันเงียบๆ ต่างคนต่างครุ่นคิดในเรื่องที่แตกต่างออกไป คล้ายกับไม่สนใจกันและกัน ทว่าฟางเหนียงกลับคีบปลาใส่ถ้วยข้าวของบุรุษ ปลาที่นางเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสิ่งที่บุรุษชื่นชอบ จินหมิงเยว่เองก็ไม่คิดบอกนาง จากที่ไม่ชอบก็ดูเหมือนจะมิได้เกลียดมากถึงเพียงนั้น
ส่วนจินหมิงเยว่ก็ตักเนื้อหมู เนื้อไก่ และเนื้อวัวส่วนที่อร่อยที่สุดให้กับนางมากกว่าผักเสียอีก เพราะอยากขุนให้นางอวบอ้วนมากกว่านี้เสียหน่อย
ในค่ำคืนนั้นเอง ฟางเหนียงนอนไม่หลับ เนื่องจากในตอนกลางวันนางหลับมามาก เมื่อตกกลางคืนดวงตาจึงโตไม่ต่างไปจากสัตว์ที่หากินในตอนกลางคืนเลย นางนั่งเหม่อมมองดูท้องฟ้ายามราตรี ความมืดมิดและสายลมพัดมาอย่างแผ่วเบา ความเงียบสงบที่หาได้ยากในเมืองหลวง
“ดูดาวหรือ?” อ้อมแขนแกร่งโอบกระชับเอวบอบบาง พร้อมกับเสียงนุ่มทุ้ทดังขึ้นที่ข้างหู เนื่องจากบุรุษวางคางเกยอยู่บนหัวไหล่ของนาง
“เจ้าค่ะ งดงามว่าไหมเจ้าคะ?”
“มาเถิด ข้าจะพาไปดูที่ที่วิวงดงามกว่านี้” บุรุษว่าพลางช้อนสตรีร่างบางขึ้นสู่อ้อมกอด ก่อนจะกระโดดใช้เคล็ดวิชาตัวเบาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
“กรี๊ด!!”
...ข้ายังมิได้ตอบตกลงเลยนะเจ้าค้า!!...
นางกรีดร้องเสียงดัง หากแต่เป็นการกรีดร้องภายในใจเท่านั้น เพราะหลังจากที่นางกรีดร้องสุดเสียงด้วยความตกใจเมื่อครู่นี้ ก็คล้ายกับว่าเสียงของนางหายนไปเสียแล้ว นางซบดวงหน้าลงบนแผงอกกว้าง สองแขนโอบรอบลำคอแกร่งแนบแน่น สายลมที่ปะทะดวงหน้าหวานพาเอาหัวใจดวงน้อยรู้สึกหวิวๆ อย่างไรชอบกล
“ลิมตาสิ”
ฟางเหนียงทำตามอย่างว่าง่าย หากแต่สองแขนยังคงโอบรอบลำคอแกร่งเอาไว้แน่น
ทว่าเมื่อดวงตาได้มองเห็นสิ่งงดงามที่อยู่ตรงหน้า นางก็ปล่อยมือจากลำคอแกร่งแล้วตั้งหน้าตั้งตาชื่นชมความงดงาม
“ว้าว งดงามเหลือเกินเจ้าค่ะ”
“อืม... งดงาม”
ดวงตาของบุรุษซึ่งเอ่ยถ้อยคำหวานนั้นมิได้มองดวงดาราบนท้องนภาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับกดดวงตาลงมองดวงหน้าหวาน และดวงตาคู่งามพลางเอ่ยถ้อยคำหวานซึ้งนั้นออกไป สิ่งที่บุรุษว่างดงาม คือนางหาใช่สิ่งอื่นใดไม่
แม้ว่ามันจะดูเก่าไปสักนิดสำหรับถ้อยคำหวานจีบสตรี หากแต่จินหมิงเยว่มิได้เปิดเผยออกไปเสียหน่อย อีกอย่างบุรุษมีอายุอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว กลวิธีจีบสาวจะเก่าไปหน่อยจะเป็นไรไป
จินหมิงเยว่ถอดชุดคลุมของตนเองออก แล้ววางลงบนพื้นเพื่อทำเป็นที่นั่งให้กับนาง
“มานั่งนี่สิ”
ฟางเหนียงกระโดดโลดเต้นมานั่งตรงที่ที่บุรุษจัดเตรียมเอาไว้ให้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าไม่วางตา
“วิวในห้องกับวิวบนหลังคาตำหนักนี่แตกต่างกันเหลือเกินนะเจ้าคะ”
“หากเจ้าชอบ ข้าจะพาเจ้าขึ้นมาบ่อยๆ ดีหรือไม่?”
“เจ้าค่ะ” สตรีตัวน้อยหันมายิ้มหวานจนตาหยีให้กับบุรุษ ก่อนจะยื่นดวงหน้าเข้าไปใกล้แล้วมอบรางวัลซึ่งมิอาจหาได้ที่ใดในโลก...
จุ๊บ!
ริมฝีปากอวบอิ่มจรดลงบนแก้มสากอย่างกะทันหัน ก่อนจะถอนออกอย่างรวดเร็ว สองข้างแก้มขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย นางครุ่นคิดมาทั้งวันแล้วว่าการเปิดใจให้กับจินหมิงเยว่ก็มิใช่เรื่องแย่
จะมีผู้ใดมอบความจริงใจให้นางได้มากถึงเพียงนี้อีก?
ฟางเหนียงนั่งมองดวงดาวบนท้องฟ้า มันแข่งกันเปล่งสว่างเพื่อที่จะเป็นดวงดาราที่งดงามที่สุด ไม่ต่างไปจากมนุษย์เลย ไม่สิ ไม่ต่างไปจากสิ่งมีชีวิตเลยสักนิด ไม่ว่าเผ่าพันธุ์ใดก็มีการแก่งแย่งชิงอำนาจกัน แม้กระทั่งขายบุตรสาวเพื่ออยู่รอด...
ทั้งสองอยู่ดูดวงดาวอีกหลายชั่วยาม พูดคุยกันบ้าง ต่างคนต่างครุ่นคิดบ้าง กระทั่งดึกดื่นเงียบสงัดเสียยิ่งกว่าเดิม ฟางเหนียงก็เริ่มง่วงนอนเสียแล้ว นางพยายามฝืนตนเองเพราะยังอยากคิดอะไรอีกสักหน่อย เรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ ‘หลี่ตงหยาง’ เอ่ยบอกกับนางในความฝันเมื่อช่วงกลางวัน
พรึ่บ!
มิอาจทัดทานความง่วงได้จนร่างบอบบางเอนไปด้านหน้า จินหมิงเยว่ยื่นมือออกไปรับ ก่อนจะโอบอุ้มร่างบอบบางขึ้นสู่อ้อมกอด แล้วพากลับไปยังห้องนอนเพื่อส่งนาง จากนั้นก็ออกไปจัดการบางสิ่งบางอย่าง
จินหมิงเยว่เดินทางมายังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ภายในโรงเหล้ามีบุรุษฉกรรจ์กำลังดื่มเหล้ากันราวกับน้ำเปล่า พร้อมทั้งเอ่ยเล่าเรื่องราวที่พบเจอแลกเปลี่ยนกันและกัน หนึ่งในนั้นมีบุรุษผู้หนึ่งซึ่งข้อมือหักจากการโดนจิ้งจอกเก้าหางหักข้อมือ โทษฐานแตะต้องสตรีของเขา
ใช่แล้วมนุษย์ผู้นั้นคือสารถีที่รอดความตายมาได้แบบฉิวเฉียด หากทว่าบุรุษผู้นั้นมิอาจรับรู้ได้เลยว่า ความตายที่ถูกเลื่อนออกไปเมื่อวันก่อนนั้น กำลังจะตามมาทวงคืนในไม่ช้า!
จินหมิงเยว่มิอาจสังหารผู้ใดต่อหน้านางได้ แต่ลับหลังขอจัดการให้สิ้นซาก
ผู้ใดที่แตะต้องร่างกายของนาง กระทำให้บาดเจ็บ มันผู้นั้นจะต้องไม่ตายดี!!
จิ้งจอกเก้าหางและโฉมสะคราญในเรื่องเล่าของสารถีผู้นี้ คือตนเองกำลังช่วยโฉมสะคราญจากปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง และสามารถจัดการมันได้โดยแลกกับข้อมือหนึ่งข้างของตน ถูกสหายในวงเหล้ายกให้เป็นวีรบุรุษที่จัดการกับจิ้งจอกในตำนานได้
ส่วนเรื่องราวของฟางเหนียง บุรุษกลับได้รับรู้ว่ามีสตรีที่หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับฟางเหนียง ล่อลวงบุรุษ แล้วถูกสังหาร เมื่อตรวจสอบดูแล้วภายในไม่มีตับ ราวกับเลือกกินแค่เพียงตับเท่านั้น
เรื่องนี้ช่างน่าประหลาดเสียจริงราวกับมิใช่ฝีมือมนุษย์!
จินหมิงเยว่แอบฟังและครุ่นคิดอยู่หลายชั่วยาม กระทั่งได้ยินสารถีผู้นั้นว่าร้ายให้กับฟางเหนียง!!
“นางงดงามก็จริง หากแต่ง่ายไปหน่อย ถึงได้เกือบถูกจิ้งจอกล่อลวง”
“เจ้าช่วยนางมา แล้วได้เสียกับนางหรือ?”
“ใช่ นางยินยอมมอบร่างกายให้ข้าเพื่อตอบแทน แม้นางจะงดงามแต่ฐานะยากจน ข้าจึงรับไว้เพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจนาง”
“ดูเหมือนเจ้าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้วสินะ จึงมาพล่ามเรื่องไร้สาระเช่นนี้” เสียงทุ้มดังขึ้นเหนือหัวของบุรุษฉกรรจ์ พร้อมกับแรงกดดันมหาศาลที่ถูกแผ่ออกไปรอบด้าน
“เจ้าเป็นใคร!?” สหายของสารถีผู้นั้นเอ่ยถามอย่างคิดที่จะเอาเรื่อง ในขณะที่บุรุษผู้ที่เล่าเรื่องอย่างสนุกสนานเมื่อครู่นี้กลับนั่งตัวสั่นระริก
“ลองถามเพื่อนของเจ้าดูสิ ว่าข้านั้นคือผู้ใด?”
“เฮ้ย เจ้ารู้จักมันหรือ?”
กึก กึก กึก
สารถีผู้นั้นสั่นจนฟันกระทบกัน ช่างดูน่าเวทนาเสียจริง
“อ๊าก!!” แล้วบุรุษผู้นั้นก็วิ่งออกไป
จินหมิงเยว่ยกยิ้มเยาะเย้ยในความขี้ขลาดตาขาว ก่อนจะใช้อาคมลบความทรงจำเมื่อครู่ออกไป ซึ่งเป็นอาคมต้องห้ามและใช้พลังเยอะ อีกทั้งยังส่งผลเสียให้กับร่างกาย หากแต่จินหมิงเยว่ใช้มันอย่างไม่ออมมือเลยสักนิด เพื่อมิให้ผู้ใดเอาเรื่องของฟางเหนียงออกไปเอ่ยให้ร้ายผิดๆ
บุรุษพุ่งทะยานราวกับเป็นส่วนหนึ่งของสายลม ไล่ต้อนสารถีผู้นั้นกระทั่งจนมุม
“อ๊าก! ขออภัย ขออภัย ยกโทษให้ข้าด้วย!!”
“ขออภัยหรือ?” สองเท้าย่างกรายเข้าหาบุรุษซึ่งจนตรอกอย่างเชื่องช้า เสียงฝีเท้าดังตอก ตอก ในความเงียบสงัดนี้ ยิ่งให้ความรู้สึกน่าหวาดหวั่น “เจ้าขออภัยเรื่องใด?”
“ทะ ที่ข้าทำร้ายท่าน...”
“หึ เรื่องนั้นข้าไม่ถือโทษโกรธเจ้าหรอก”
“จริงหรือ ขอบพระคุณ ขอบพระคุณท่านจิ้งจอกผู้มีเมตตา”
“ทว่าสิ่งที่เจ้าเอาไปพูดพล่อยๆ ด้วยปากของเจ้า เกี่ยวกับสตรีที่ข้าหวงแหนนั้นมิอาจยอมได้!”
“เฮือก ข้าจะไปยอมรับผิด ข้าจะบอกว่าข้าโกหก!”
บุรุษผู้น่าเวทนาก้มหัวลงแทบเท้าของจินหมิงเยว่ โขลกศีรษะราวกับโขลกกระเทียมเพื่อร้องขอความเมตตา จนหน้าผากแตกทว่าความเจ็บปวดใดๆ ล้วนไม่สำคัญเทียบเท่าชีวิต
“วันนั้นเหตุใดเจ้าต้องทำร้ายนาง?”
“นะ นางเคยล่อลวงน้องชายของข้า จากนั้นก็สังหาร!”
“...?”
“ข้าพูดจริงๆ นะ ไม่อย่างนั้นข้าจะไล่ตามเพื่อสังหารนางทำไม?”
“...เล่ามา”
สารถีผู้นั้นกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอด้วยความหวาดหวั่น แต่ก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับจินหมิงเยว่
สตรีผู้มีรูปลักษณ์เหมือนฟางเหนียงล่อลวงบุรุษในหมู่บ้านหลายคน แต่งงานแล้วไม่นานก็ตาย ในตอนแรกก็คิดว่าบังเอิญ หากทว่าเมื่อตรวจสอบสภาพศพภายในก็พบว่าตับหายไป ในกรณีของน้องชายสารถีผู้นี้ก็ตายในคืนวสันต์ ยังมิทันได้เชยชมสิ่งใดเลยด้วยซ้ำ
ได้ยินเช่นนั้นจินหมิงเยว่ก็ครุ่นคิดหนักกว่าเดิม ไม่มีทางที่จะเป็นฟางเหนียง หากมีรูปลักษณ์คล้ายกับนางแล้ว เป็นไปได้ว่าจะเป็นจิ้งจอกปีศาจที่มีอิทธิฤทธิ์แปลงกาย และต้องเป็นคนที่เคยเห็นนางมาก่อน!
“ข้าเล่าไปหมดแล้ว เช่นนั้นท่านช่วยปล่อยข้า อ่อก!!”
บุรุษจัดการหักคอสารถีเจ้าเล่ห์เสียยิ่งกว่าจิ้งจอกตายคาที่ ก่อนจะเดินทางกลับตำหนัก ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว เรื่องที่เหลือค่อยมาจัดการทีหลังก็ยังไม่สาย อย่างไรเสียก็ไม่น่ามีผู้ใดเอาเรื่องของฟางเหนียงออกไปพูดเสียๆ หายๆ ได้แล้ว
บทที่ 19จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ดวงตาคู่งามเปิดอย่างเชื่องช้า คราวนี้ฟางเหนียงไม่ตกใจอีกแล้วว่านางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร สถานที่ที่ไม่ต่างไปจากสรวงสวรรค์ นางคงถูกเทพองค์นั้นเรียกตัวมาอีกเป็นแน่นางเตรียมที่จะมองหาตัวของผู้ที่เรียกนางมา แต่ไม่ทันที่จะได้หยัดกายลุกขึ้นเสียด้วยซ้ำ เสียงทุ้มน่าฟังก็ดังขึ้นเหนือหัว“เดี๋ยวนี้เจ้าไม่ตกใจแล้วหรือ?”ฟางเหนียงหยัดกายลุกขึ้น ก่อนจะหันไปยอบกายคำนับตามมารยาท“คำนับ ท่านเทพเจ้าค่ะ”“อ่า เจ้ารู้แล้วสินะ… รู้ได้อย่างไร หมิงเยว่บอกเจ้าหรือ?”“ท่านพี่ของข้ารู้จักกับท่านเป็นการส่วนตัวด้วยหรือเจ้าคะ?”“อ่า มิใช่สินะ”ใบหน้าคมคายหม่นลงเล็กน้อย ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับฟางเหนียงดูเหมือนว่าทั้งสองจะรู้จักกันสินะ แต่รู้จักกันด้วยดีหรือร้ายมิอานคาดเดาได้“ท่านเทพ… จุดประสงค์ของท่านคือสิ่งใดกันแน่?”สตรีตัวน้อยรู้สึกหวาดหวั่นเหลือเกิน หวาดกลัวว
บทที่ 20งอน“ลองขย่มข้าสิ”“ตะ แต่ข้าไม่รู้”“ทำแบบนี้”“อ๊ะ!?”ฝ่ามือหยาบยกสะโพกกลมขึ้นแล้วกดลงให้ครอบครองความแข็งแกร่งของตนเอง ความเสียวซ่านแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่างบอบบางฟางเหนียงขยับตามการนำพาของบุรุษ กระทั่งหาจังหวะของตนเองเจอ จินหมิงเยว่ก็เปลี่ยนเป็นบีบเคล้นสะโพกกลมกลึงด้วยความมันเขี้วแทนท่วงท่าของนางสร้างความรัญจวนในเหลือเกิน มันเชื่องช้าและละมุนละไม ราวกับจงใจทรมานจินหมิงเยว่ให้ต้องอดทนกับกามารมณ์ เกร็งทั่วทั้งร่างจนเห็นก้อนกล้ามเนื้อชัดเจน อีกทั้งเส้นเลือดยังปูดโปนออกมา“อ่า เหนียงเอ๋อร์ เจ้าช่าง...” บุรุษมิอาจเอื้อนเอ่ยได้อีก เมื่อนางเริ่มขยับถี่ขึ้นเรื่อยๆ มิได้เข้าสุดออกสุดเหมือนอย่างในครั้งแรก แต่เป็นการกดสะโพกระรัว“อืม” นางครางเสียงหวานแล้วแหงนหน้าขึ้นตามอารมณ์ จินหมิงเยว่ก้ามหน้าลงดูดดื่มกับยอดอกสีหวานเข้าปากอย่างกระหายความรู้สึกวาบหวา
บทที่ 21รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปวันเวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ฟางเหนียงในวัยสิบหกปีครั้นมาที่ดินแดนจิ้งจอกแห่งนี้เป็นครั้งแรก บัดนี้นางอายุสิบแปดหนาวเสียแล้วความงดงามของนางนั้นเพิ่มมากขึ้นเสียจนจินหมิงเยว่แทบจะกกกอดนางเอาไว้ภายในห้องตลอดทั้งวันทั้งคืน ถึงแม้ว่ารอบตำหนักพันปีจะไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามาได้ หากมิได้รับอนุญาตก็ตาม“ท่านพี่เจ้าคะ!” เสียงเจื้อยแจ้วของฟางเหนียงดังขึ้น พร้อมการปรากฏกายของนาง ในขณะที่จินหมิงเยว่กำลังฝึกพละกำลังและอาคมบุรุษตวัดฝ่ามือครั้งหนึ่งพาร่างบอบบางลอยละล่องมานั่งบนตักของตนเอง แล้วฉวยโอกาสหอมแก้มนางไปหนึ่งที“ว้าย! ท่านพี่! ฮวาอินก็อยู่นะเจ้าคะ”“เฮ้อ ฮวาอินออกจะชอบที่ข้ากับเจ้าพลอดรักกัน”“ท่านพี่!!”เพี๊ยะ!!ว่าแล้วก็ตีท่อนแขนแกร่งไปหนึ่งทีด้วยความเขินอาย จินหมิงเยว่หัวเราะเสียงดัง ยิ่งได้เห็นพวงแก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อก็ยิ่งอยากแกล้
บทที่ 22สัญชาตญาณที่ต้องปลดปล่อยฟางเหนียงขยับกายไปนั่งลงบนตักของบุรุษ จากนั้นก็ใช้สะโพกกดลงบนความแข็งแกร่ง ครอบครองแก่นกายบุรุษเพศเข้าไปในตัวของตนเอง“อ่า...” ทั้งฟางเหนียงและจินหมิงเยว่ครางด้วยความสุขสมสตรีตัวน้อยโอบกอดบุรุษแนบอกแล้วเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะจะเริ่มขยับสะโพกของตนเองด้วยท่าทางที่ดูเก้ๆ กังๆ ในช่วงแรก ทว่าไม่นานความวาบหวาม รัญจวนใจ ร่างกายก็ได้นำพาให้นางสามารถขับเคลื่อนร่างกาย มอบความเสียวซ่านให้กับบุรุษได้เป็นอย่างดีนางเอนกายไปข้างหลัง ใช้มือเกาะบ่าของบุรุษเอาไว้ก่อนจะเด้งสะโพกระรัว รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของแก่นกายได้อย่างชัดเจน“อ๊า ท่านพี่ อื้ม!” ทรวงอกของนางถูกดูดดื่มอย่างหื่นกระหาย แม้มันจะเจ็บเล็กน้อยเพราะมีรอยแผลจากการกระทำของบุรุษเมื่อครั้นก่อนหน้า หากแต่ความวาบหวามนั้นมีมากกว่า นางจึงยิ่งแอ่นอกให้ปากหยักดูดดื่มและกลืนกินตามต้องการฟางเหนียงเชิดหน้าขึ้นแล้วร้องครางเสียงหวานอย่างลืมอาย สูญสิ้นสติในการยับยั้งชั่งใจ กลีบกา
บทที่ 23เช่นนั้นข้าปรนนิบัติเจ้าแทนฟางเหนียงลงมือทำอาหารหลายอย่าง รวมถึงของหวานด้วย นางคีบทั้งผักทั้งปลาใส่ในถ้วยของบุรุษ ส่วนจินหมิงเยว่ก็คีบแต่พวกเนื้อสัตว์ใส่ถ้วยให้นางเช่นเดิม“เมื่อใดเจ้าจะอ้วนเสียที หืม?”“ข้าไม่อยากอ้วนเจ้าค่ะ”“เหตุใดจึงไม่อยากอ้วน?”“ข้าเป็นสตรี ก็ต้องรักสวยรักงามเป็นธรรมดา หากอ้วนเมื่อสวมใส่อาภรณ์ใดๆ ก็ไร้ความมั่นใจนี่เจ้าค่ะ”“เจ้าเคยอ้วนหรือ?”“ไม่เคยเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าหากอ้วนแล้วจะไม่งดงาม”“เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเคยมาก่อนที่เจ้าค่ะ! อีกอย่างข้าไม่เคยบอกว่าไม่อ้วนแล้วจะไม่งดงาม ข้าก็แค่คิดว่าคงไม่มีความมั่นใจ”“อ้วนให้ข้าหน่อยเถิด”“เอ๊ะ! ท่านพี่นี่อย่างไร หากอยากได้สตรีอ้วนๆ ก็ไปหาที่อื่น ไม่ต้องมาหาที่ข้า!”&l
บทที่ 24เดิมทีนางควรจะตายไปตั้งนานแล้วยามนั้นเองบางสิ่งร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า เส้นแสงสีขาวหลายสายล้อมรอบพวกเขาเอาไว้“...!”จินหมิงเยว่และหลี่ตงหยางตวัดแขนขึ้นไปด้านหน้า ล้อมฟางเหนียงเอาไว้เพื่อปกป้องนางสตรีตัวน้อยสะดุ้งตกใจ โอบกอดจินหมิงเยว่เอาไว้ด้วยความหวาดกลัว...คนพวกนี้เป็นใครกัน?...“ส่งตัวนางมา หากต่อต้านจะถือว่าปรปักษ์ต่อสรวงสวรรค์”...สรวงสวรรค์หรือ!?...ดวงตาคู่งามเบิกกว้างด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน นางสับสนว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่!?“หากอยากได้ตัวนางนัก ก็เข้ามา!!” เป็นจินหมิงเยว่ที่เอ่ยออกไปอย่างไม่เกรงกลัว แม้จะเป็นผู้ใดหากมาพรากฟางเหนียงไปจากเขา บุรุษไม่ยินยอม!!เกิดการต่อสู้กันระหว่างปีศาจจิ้งจอก เทพหนุ่มตกสวรรค์และองครักษ์สวรรค์ โดยที่ฟางเหนียงอยู่ในการปกป้องของจินหมิงเยว่ตลอดการต่อสู้“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ เหตุใ
บทที่ 25สูญเสียไปตลอดกาลดวงตาคู่งามลืมตาขึ้นท่ามกลางพงไพรอันคุ้นเคย ด้านข้างของนางคือร่างของจิ้งจอกหนุ่ม คนรักของนาง… ร่างของบุรุษที่รักนอนแน่นิ่งจนน่าหวาดหวั่นความอบอุ่นที่อยู่กลางอกบ่งบอกให้นางรับรู้ได้ถึงพลังชีวิตอันมหาศาล รวมถึงอิทธิฤทธิ์ของปีศาจจิ้งจอก มันคือลูกแก้วจิ้งจอกไม่ผิดแน่ใช่แล้ว ลูกแก้วจิ้งจอกอยู่กับนางมาตลอด ลูกแก้วจิ้งจอกที่เปรียบเสมือนพลังชีวิตของจินหมิงเยว่ บุรุษเคยบอกกับนางเช่นนั้น นั่นหมายความว่าไม่มีทางที่จินหมิงเยว่จะตาย เขาก็แค่หมดเรี่ยวแรงจึงหลับไปเท่านั้นนางเอ่ยปลอบตนเองแล้วหันไปหาบุรุษ หากทว่าเมื่อมือเล็กๆ แตะที่ร่างของบุรุษ ความเย็นยะเยือกก็แล่นผ่านเข้ามาในร่างของนาง สตรีตัวน้อยตัวแข็งทื่อ พลันน้ำตาก็ไหลอาบสู่สองข้างแก้ม“ไม่จริง ท่านพี่บอกว่า หากมีข้า มีลูกแก้วจิ้งจอก อย่างไรก็ไม่มีทางตายนี่”ฝ่ามือเล็กคว้าท่อนแขนของบุรุษแล้วออกแรงเขย่าแรงๆ เพื่อหวังให้บุรุษฟื้นตื่นขึ้นมา แม้ว่าบุรุษจะเจ็บ หากฟื้นขึ้นมานางจะยินยอมน
บทที่ 26ห้วงคำนึงถึงนางหลายฤดูผ่านไปจินหมิงอันเติบใหญ่เป็นจิ้งจอกหนุ่ม มีอิทธิฤทธิ์มากล้นเดินตามรอยของผู้เป็นบิดา ฟางเหนียงภาคภูมิใจเหลือคณานับที่บุตรชายสง่างามเช่นนี้ อีกทั้งยังรวบรวมพลังสร้างลูกแก้วจิ้งจอกของตนเองได้แล้ว แม้ว่าลูกแก้วจิ้งจอกนั้นจะยังแข็งแกร่งไม่เท่าลูกแก้วจิ้งจอกที่อยู่ในตัวของนางก็ตามยามนั้นเองสายลมพัดผ่านพาเอาความเย็นสบายโอบรอบร่าง ทว่ามีบางสิ่งลอยมากับสายลมด้วย กลิ่นที่คุ้นเคยพาให้หัวใจดวงน้อยเต้นแรงขึ้นมาฟางเหนียงหยัดกายขึ้นแล้วพุ่งตัวออกไปตามกลิ่นนั่น แหวกผ่านพงไพร เป็นหนึ่งเดียวกับสายลม กระทั่งมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง นางเดินตามหาไม่นานก็มาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง“ยินดีด้วยเจ้าค่ะ ท่านเจ้าตระกูลได้บุตรชายเจ้าค่ะ!”เสียงเด็กร้องไห้โยเยดังลอดออกมาให้ได้ยิน พร้อมกับเสียงแสดงความยินดีให้กับบิดาและมารดา นางยืนฟังเสียงร้องไห้นั้นอยู่นาน กระทั่งมีคนผู้หนึ่งทักนางเข้า“มาหาผู้ใดหรือเจ้าคะ?”
บทที่ 26ห้วงคำนึงถึงนางหลายฤดูผ่านไปจินหมิงอันเติบใหญ่เป็นจิ้งจอกหนุ่ม มีอิทธิฤทธิ์มากล้นเดินตามรอยของผู้เป็นบิดา ฟางเหนียงภาคภูมิใจเหลือคณานับที่บุตรชายสง่างามเช่นนี้ อีกทั้งยังรวบรวมพลังสร้างลูกแก้วจิ้งจอกของตนเองได้แล้ว แม้ว่าลูกแก้วจิ้งจอกนั้นจะยังแข็งแกร่งไม่เท่าลูกแก้วจิ้งจอกที่อยู่ในตัวของนางก็ตามยามนั้นเองสายลมพัดผ่านพาเอาความเย็นสบายโอบรอบร่าง ทว่ามีบางสิ่งลอยมากับสายลมด้วย กลิ่นที่คุ้นเคยพาให้หัวใจดวงน้อยเต้นแรงขึ้นมาฟางเหนียงหยัดกายขึ้นแล้วพุ่งตัวออกไปตามกลิ่นนั่น แหวกผ่านพงไพร เป็นหนึ่งเดียวกับสายลม กระทั่งมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง นางเดินตามหาไม่นานก็มาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง“ยินดีด้วยเจ้าค่ะ ท่านเจ้าตระกูลได้บุตรชายเจ้าค่ะ!”เสียงเด็กร้องไห้โยเยดังลอดออกมาให้ได้ยิน พร้อมกับเสียงแสดงความยินดีให้กับบิดาและมารดา นางยืนฟังเสียงร้องไห้นั้นอยู่นาน กระทั่งมีคนผู้หนึ่งทักนางเข้า“มาหาผู้ใดหรือเจ้าคะ?”
บทที่ 25สูญเสียไปตลอดกาลดวงตาคู่งามลืมตาขึ้นท่ามกลางพงไพรอันคุ้นเคย ด้านข้างของนางคือร่างของจิ้งจอกหนุ่ม คนรักของนาง… ร่างของบุรุษที่รักนอนแน่นิ่งจนน่าหวาดหวั่นความอบอุ่นที่อยู่กลางอกบ่งบอกให้นางรับรู้ได้ถึงพลังชีวิตอันมหาศาล รวมถึงอิทธิฤทธิ์ของปีศาจจิ้งจอก มันคือลูกแก้วจิ้งจอกไม่ผิดแน่ใช่แล้ว ลูกแก้วจิ้งจอกอยู่กับนางมาตลอด ลูกแก้วจิ้งจอกที่เปรียบเสมือนพลังชีวิตของจินหมิงเยว่ บุรุษเคยบอกกับนางเช่นนั้น นั่นหมายความว่าไม่มีทางที่จินหมิงเยว่จะตาย เขาก็แค่หมดเรี่ยวแรงจึงหลับไปเท่านั้นนางเอ่ยปลอบตนเองแล้วหันไปหาบุรุษ หากทว่าเมื่อมือเล็กๆ แตะที่ร่างของบุรุษ ความเย็นยะเยือกก็แล่นผ่านเข้ามาในร่างของนาง สตรีตัวน้อยตัวแข็งทื่อ พลันน้ำตาก็ไหลอาบสู่สองข้างแก้ม“ไม่จริง ท่านพี่บอกว่า หากมีข้า มีลูกแก้วจิ้งจอก อย่างไรก็ไม่มีทางตายนี่”ฝ่ามือเล็กคว้าท่อนแขนของบุรุษแล้วออกแรงเขย่าแรงๆ เพื่อหวังให้บุรุษฟื้นตื่นขึ้นมา แม้ว่าบุรุษจะเจ็บ หากฟื้นขึ้นมานางจะยินยอมน
บทที่ 24เดิมทีนางควรจะตายไปตั้งนานแล้วยามนั้นเองบางสิ่งร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า เส้นแสงสีขาวหลายสายล้อมรอบพวกเขาเอาไว้“...!”จินหมิงเยว่และหลี่ตงหยางตวัดแขนขึ้นไปด้านหน้า ล้อมฟางเหนียงเอาไว้เพื่อปกป้องนางสตรีตัวน้อยสะดุ้งตกใจ โอบกอดจินหมิงเยว่เอาไว้ด้วยความหวาดกลัว...คนพวกนี้เป็นใครกัน?...“ส่งตัวนางมา หากต่อต้านจะถือว่าปรปักษ์ต่อสรวงสวรรค์”...สรวงสวรรค์หรือ!?...ดวงตาคู่งามเบิกกว้างด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน นางสับสนว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่!?“หากอยากได้ตัวนางนัก ก็เข้ามา!!” เป็นจินหมิงเยว่ที่เอ่ยออกไปอย่างไม่เกรงกลัว แม้จะเป็นผู้ใดหากมาพรากฟางเหนียงไปจากเขา บุรุษไม่ยินยอม!!เกิดการต่อสู้กันระหว่างปีศาจจิ้งจอก เทพหนุ่มตกสวรรค์และองครักษ์สวรรค์ โดยที่ฟางเหนียงอยู่ในการปกป้องของจินหมิงเยว่ตลอดการต่อสู้“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ เหตุใ
บทที่ 23เช่นนั้นข้าปรนนิบัติเจ้าแทนฟางเหนียงลงมือทำอาหารหลายอย่าง รวมถึงของหวานด้วย นางคีบทั้งผักทั้งปลาใส่ในถ้วยของบุรุษ ส่วนจินหมิงเยว่ก็คีบแต่พวกเนื้อสัตว์ใส่ถ้วยให้นางเช่นเดิม“เมื่อใดเจ้าจะอ้วนเสียที หืม?”“ข้าไม่อยากอ้วนเจ้าค่ะ”“เหตุใดจึงไม่อยากอ้วน?”“ข้าเป็นสตรี ก็ต้องรักสวยรักงามเป็นธรรมดา หากอ้วนเมื่อสวมใส่อาภรณ์ใดๆ ก็ไร้ความมั่นใจนี่เจ้าค่ะ”“เจ้าเคยอ้วนหรือ?”“ไม่เคยเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าหากอ้วนแล้วจะไม่งดงาม”“เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเคยมาก่อนที่เจ้าค่ะ! อีกอย่างข้าไม่เคยบอกว่าไม่อ้วนแล้วจะไม่งดงาม ข้าก็แค่คิดว่าคงไม่มีความมั่นใจ”“อ้วนให้ข้าหน่อยเถิด”“เอ๊ะ! ท่านพี่นี่อย่างไร หากอยากได้สตรีอ้วนๆ ก็ไปหาที่อื่น ไม่ต้องมาหาที่ข้า!”&l
บทที่ 22สัญชาตญาณที่ต้องปลดปล่อยฟางเหนียงขยับกายไปนั่งลงบนตักของบุรุษ จากนั้นก็ใช้สะโพกกดลงบนความแข็งแกร่ง ครอบครองแก่นกายบุรุษเพศเข้าไปในตัวของตนเอง“อ่า...” ทั้งฟางเหนียงและจินหมิงเยว่ครางด้วยความสุขสมสตรีตัวน้อยโอบกอดบุรุษแนบอกแล้วเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะจะเริ่มขยับสะโพกของตนเองด้วยท่าทางที่ดูเก้ๆ กังๆ ในช่วงแรก ทว่าไม่นานความวาบหวาม รัญจวนใจ ร่างกายก็ได้นำพาให้นางสามารถขับเคลื่อนร่างกาย มอบความเสียวซ่านให้กับบุรุษได้เป็นอย่างดีนางเอนกายไปข้างหลัง ใช้มือเกาะบ่าของบุรุษเอาไว้ก่อนจะเด้งสะโพกระรัว รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของแก่นกายได้อย่างชัดเจน“อ๊า ท่านพี่ อื้ม!” ทรวงอกของนางถูกดูดดื่มอย่างหื่นกระหาย แม้มันจะเจ็บเล็กน้อยเพราะมีรอยแผลจากการกระทำของบุรุษเมื่อครั้นก่อนหน้า หากแต่ความวาบหวามนั้นมีมากกว่า นางจึงยิ่งแอ่นอกให้ปากหยักดูดดื่มและกลืนกินตามต้องการฟางเหนียงเชิดหน้าขึ้นแล้วร้องครางเสียงหวานอย่างลืมอาย สูญสิ้นสติในการยับยั้งชั่งใจ กลีบกา
บทที่ 21รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปวันเวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ฟางเหนียงในวัยสิบหกปีครั้นมาที่ดินแดนจิ้งจอกแห่งนี้เป็นครั้งแรก บัดนี้นางอายุสิบแปดหนาวเสียแล้วความงดงามของนางนั้นเพิ่มมากขึ้นเสียจนจินหมิงเยว่แทบจะกกกอดนางเอาไว้ภายในห้องตลอดทั้งวันทั้งคืน ถึงแม้ว่ารอบตำหนักพันปีจะไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามาได้ หากมิได้รับอนุญาตก็ตาม“ท่านพี่เจ้าคะ!” เสียงเจื้อยแจ้วของฟางเหนียงดังขึ้น พร้อมการปรากฏกายของนาง ในขณะที่จินหมิงเยว่กำลังฝึกพละกำลังและอาคมบุรุษตวัดฝ่ามือครั้งหนึ่งพาร่างบอบบางลอยละล่องมานั่งบนตักของตนเอง แล้วฉวยโอกาสหอมแก้มนางไปหนึ่งที“ว้าย! ท่านพี่! ฮวาอินก็อยู่นะเจ้าคะ”“เฮ้อ ฮวาอินออกจะชอบที่ข้ากับเจ้าพลอดรักกัน”“ท่านพี่!!”เพี๊ยะ!!ว่าแล้วก็ตีท่อนแขนแกร่งไปหนึ่งทีด้วยความเขินอาย จินหมิงเยว่หัวเราะเสียงดัง ยิ่งได้เห็นพวงแก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อก็ยิ่งอยากแกล้
บทที่ 20งอน“ลองขย่มข้าสิ”“ตะ แต่ข้าไม่รู้”“ทำแบบนี้”“อ๊ะ!?”ฝ่ามือหยาบยกสะโพกกลมขึ้นแล้วกดลงให้ครอบครองความแข็งแกร่งของตนเอง ความเสียวซ่านแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่างบอบบางฟางเหนียงขยับตามการนำพาของบุรุษ กระทั่งหาจังหวะของตนเองเจอ จินหมิงเยว่ก็เปลี่ยนเป็นบีบเคล้นสะโพกกลมกลึงด้วยความมันเขี้วแทนท่วงท่าของนางสร้างความรัญจวนในเหลือเกิน มันเชื่องช้าและละมุนละไม ราวกับจงใจทรมานจินหมิงเยว่ให้ต้องอดทนกับกามารมณ์ เกร็งทั่วทั้งร่างจนเห็นก้อนกล้ามเนื้อชัดเจน อีกทั้งเส้นเลือดยังปูดโปนออกมา“อ่า เหนียงเอ๋อร์ เจ้าช่าง...” บุรุษมิอาจเอื้อนเอ่ยได้อีก เมื่อนางเริ่มขยับถี่ขึ้นเรื่อยๆ มิได้เข้าสุดออกสุดเหมือนอย่างในครั้งแรก แต่เป็นการกดสะโพกระรัว“อืม” นางครางเสียงหวานแล้วแหงนหน้าขึ้นตามอารมณ์ จินหมิงเยว่ก้ามหน้าลงดูดดื่มกับยอดอกสีหวานเข้าปากอย่างกระหายความรู้สึกวาบหวา
บทที่ 19จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ดวงตาคู่งามเปิดอย่างเชื่องช้า คราวนี้ฟางเหนียงไม่ตกใจอีกแล้วว่านางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร สถานที่ที่ไม่ต่างไปจากสรวงสวรรค์ นางคงถูกเทพองค์นั้นเรียกตัวมาอีกเป็นแน่นางเตรียมที่จะมองหาตัวของผู้ที่เรียกนางมา แต่ไม่ทันที่จะได้หยัดกายลุกขึ้นเสียด้วยซ้ำ เสียงทุ้มน่าฟังก็ดังขึ้นเหนือหัว“เดี๋ยวนี้เจ้าไม่ตกใจแล้วหรือ?”ฟางเหนียงหยัดกายลุกขึ้น ก่อนจะหันไปยอบกายคำนับตามมารยาท“คำนับ ท่านเทพเจ้าค่ะ”“อ่า เจ้ารู้แล้วสินะ… รู้ได้อย่างไร หมิงเยว่บอกเจ้าหรือ?”“ท่านพี่ของข้ารู้จักกับท่านเป็นการส่วนตัวด้วยหรือเจ้าคะ?”“อ่า มิใช่สินะ”ใบหน้าคมคายหม่นลงเล็กน้อย ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับฟางเหนียงดูเหมือนว่าทั้งสองจะรู้จักกันสินะ แต่รู้จักกันด้วยดีหรือร้ายมิอานคาดเดาได้“ท่านเทพ… จุดประสงค์ของท่านคือสิ่งใดกันแน่?”สตรีตัวน้อยรู้สึกหวาดหวั่นเหลือเกิน หวาดกลัวว
บทที่ 18มิอาจยอมให้นางเสียหายลิ้นสากหลีกหนีเรียวลิ้นของนาง ลิ้นของนางก็ยังตามติดไม่ออก กลายเป็นจูบที่แสนดูดดื่มจนเกิดเสียงน่าอาย เมื่อยามที่ฟางเหนียงยอมแพ้คิดจะถอนริมฝีปากออก จินหมิงเยว่ก็เป็นฝ่ายคว้าท้ายทอยของนางแล้วกดให้แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็เป็นฝ่ายรุกรานโพรงปากอุ่น ตักตวงความหอมหวานอย่างเร่าร้อน ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เอาแต่หลีกหนีปฏิเสธนางแท้ๆ...จิ้งจอกเจ้าเล่ห์!!...อดมิได้ที่จะต่อว่าบุรุษในใจที่คิดหลอกนาง แต่ก็ยอมให้บุรุษรุกรานแต่โดยดี เพราะจูบหวานๆ ที่ถูกส่งมอบมามันพาให้ร่างของนางอ่อนระทวย เคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบซึ่งราวกับเอาอกเอาใจนาง นางจะยอมให้อภัยจินหมิงเยว่ก็แล้วกันเนิ่นนานกว่าทั้งสองจะถอนริมฝีปากออกจากัน ดวงตาสบประสานกันของหวานซึ้ง คล้ายกับกำลังแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่มีให้กันและกัน“เอาลูกแก้วคืนไปหรือยังเจ้าคะ?”“ยัง”“อ้าว?”“ข้าฝากไว้กับเจ้า หากข้าบาดเจ็บเจ้าจะได้จู