“กลับกับข้าเถิด”
สตรีตัวน้อยพยักหน้า ถึงอย่างไรนางก็ต้องกลับกับเขาอยู่แล้ว ไม่มีทางปล่อยให้ผู้ที่บาดเจ็บเพราะความดื้อรั้นของตัวเองกลับไปเพียงคนเดียวเป็นแน่
“เดินไหวหรือไม่เจ้าคะ?”
“เจ้าประคองข้าหน่อยได้หรือไม่?” บุรุษใช้โอกาสออดอ้อนนางอย่างเจ้าเล่ห์ หากไม่ถือโอกาสนี้ก็ไม่รู้แล้วว่าจะมีโอกาสออดอ้อนนางอีกเมื่อใด
แม้บาดแผลจะลึก แต่ตนเป็นปีศาจจิ้งจอก บาดแผลจากสิ่งของมนุษย์อีกทั้งยังไร้พิษ ตราบใดที่มีลูกแก้วจิ้งจอกอยู่ข้างกาย ร่างกายก็สามารถฟื้นคืนสภาพได้อย่างรวดเร็ว
“เจ้าค่ะ”
เมื่อกลับมายังตำหนักพันปี ฟางเหนียงก็เตรียมที่จะออกไปหาฮวาอิน สำหรับนางแล้วปีศาจด้วยกันย่อมรู้ว่าควรทำอย่างไรกับบาดแผล อีกอย่างนางมาอยู่ที่นี่ก็ได้รับแต่การปรนนิบัติ จึงไม่รู้ว่าข้าวของเครื่องใช้นั้นอยู่ที่ใดบ้าง แต่กลับถูกจินหมิงเยว่คว้าท่อนแขนเอาไว้เสียก่อน
“เจ้าจะไปที่ใด?”
“ไปเรียกฮวาอินเจ้าค่ะ”
“เจ้าจะทิ้งข้าหรือ?”
“ข้าแค่จะไปเรียกฮวาอิน ปีศาจด้วยกันย่อมรู้ว่าควรทำอย่างไร ข้าเป็นเพียงมนุษย์…”
“ลูกแก้วจิ้งจอกของข้าอยู่ที่เจ้า ขอแค่เพียงมีเจ้าข้าไม่มีทางตายได้ง่ายๆ ไปหากเจ้าไปจากข้าในยามนี้ ข้าก็คงรอดยากแล้ว”
“ชะ เช่นนั้น ข้าจะอยู่ข้างๆ ท่าน นะ แต่ว่าบาดแผลของท่าน… ทำอย่างไรดี แผล ฮึก บาดแผลของท่าน…!” ดวงตาคู่งามเอ่อคลอน้ำตาขึ้นอีกครั้ง
ภาพบุรุษถูกดาบเล่มยาวแทงจนทะลุออกมายังคงชัดเจนอยู่ภายในหัวของนาง เหตุการณ์ในครั้งนี้กลายเป็นแผลฝังใจนางไปเสียแล้ว เลือดที่ช่วงท้องของบุรุษเริ่มซึมเป็นวงกว้างเรื่อยๆ
“ถะ ถอดเสื้อนะเจ้าคะ ให้ข้าดูแผล”
จินหมิงเยว่ไม่รอช้าที่จะเผยร่างกายเปลือยเปล่าต่อหน้านาง ยิ่งได้เห็นบาดแผลของบุรุษชัดเจนนางก็ยิ่งหน้าซีดเผือก
“อย่าได้กังวล ขอเพียงข้ามีลูกแก้ว”
“เช่นนั้นท่านพี่เอาคืนไปเถิดเจ้าค่ะ ยามนี้เหนียงเอ๋อร์ดีขึ้นแล้ว ท่านพี่เอาคืนไปนะเจ้าคะ!”
“จูบข้าสิ วิธีที่จะเอามันกลับมา คือเจ้าต้องจูบจ้า”
กึก
สตรีตัวน้อยชะงัก เสี้ยวหนึ่งแววตาของจินหมิงเยว่หม่นแสงลง
เหตุใดนางจึงไม่ยอมเปิดใจให้บุรุษเสียที…
จินหมิงเยว่ดูออกว่านางมิได้เกลียดตน หากแต่หวาดกลัว และรู้ดีว่ายามนี้ตนเองได้รับความโปรดปรานจึงดื้อดึงฝืนกฎออกไปด้านนอก เพราะถึงอย่างไรจินหมิงเยว่ก็ไม่คิดเอานางถึงตายหากต้องลงโทษ นางฉลาด นางรู้หมดทุกอย่าง โง่เขลาเพียงอย่างเดียว คือไม่ยอมรับรู้เสียทีว่าจินหมิงเยว่มีใจรักลึกซึ้งต่อนางมากเพียงใด
ทว่านั่นมิใช่ความผิดของนาง นางเกิดใหม่ย่อมไม่มีความทรงจำพวกนั้น ไม่มีทางรับรู้ได้เลย นางจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อระลึกชาติเท่านั้น หลายร้อยปีจนถึงพันปีที่วาสนาบรรจบกัน ก็มีแต่จินหมิงเยว่ที่จำได้และหลงรักผู้มีพระคุณของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ต่างจากมนุษย์ซึ่งโง่งมในความรัก
กว่าที่จินหมิงเยว่จะมันได้ตั้งตัว ฟางเหนียงก็ทาบทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากหนักอย่างนุ่มนวล นางหลับตาแน่นค้างไว้เช่นนั้นเนิ่นนาน ราวกับเวลาของบุรุษหยุดอยู่กับที่ ดวงตาเรียวจ้องมองดวงหน้าหวานที่อยู่ใกล้ ก่อนที่นางจะถอนริมฝีปากออก
“ลูกแก้ว ออกไปหรือยังเจ้าคะ?”
…อ่า นางตั้งใจจะคืนให้ข้าจริงๆ เพื่อช่วยข้า เพราะเป็นห่วงข้าหรือ เจ้าช่างน่าเอ็นดูเหลือเกิน เช่นนี้แล้วข้าจะผันใจจากเจ้าได้อย่างไร ข้าเองก็ไม่ต่างจากมนุษย์ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำที่โง่งมในความรักมาหลายร้อยปี กับเพียงคนคนเดียวที่เวียนว่ายตายเกิด…
“ยัง เจ้าต้องจูบ มิใช่จุ๊บ”
“มะ มันต่างกันหรือเจ้าคะ?”
“ต่างสิ เมื่อครู่นี้คือจุ๊บ หากจูบเจ้าต้องอ้าปาก แล้วใช้ลิ้นร่วมด้วย”
“อ่า” นางร้องอุทานเสียงแผ่วเบา ก่อนจะพยักหน้าแล้วประคองใบหน้าคมคายเอาไว้ด้วยสองมือ
“นั่งบนตักข้าสิ แล้วจะง่ายขึ้น”
ฟางเหนียงพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนนั่งบนตักของบุรุษ แต่ก็ถูกจินหมิงเยว่จับให้แหวกขาออก นั่งหันหน้าเข้าหาตนเอง
“ว้าย!”
“แบบนี้จะถนัดกว่า”
กลายเป็นว่าขาทั้งสองข้างของนางถูกจับอ้าออก แล้วนางก็นั่งอยู่บนตักของบุรุษ ส่วนสูงของนางทำให้ยามนี้ใบหน้าของทั้งสองอยู่ในระดับเดียวกัน
ดวงตาสบประสานดวงตาอย่างหวานซึ้ง คาดหวังจูบจากนาง
“หลับตาได้หรือไม่เจ้าคะ เหนียงเอ๋อร์ค่อนข้างประหม่า…”
สตรีตัวน้อยเอ่ยออกไปตามตรง เรียกความน่าเอ็นดูจากจินหมิงเยว่ได้หลายส่วน
“อืม”
เมื่อจินหมิงเยว่หลับตาลง ฟางเหนียงก็สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปใกล้ จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ นางหยุดค้างไปชั่วครู่ด้วยความประหม่า จากนั้นจึงหลับตาลงเพื่อหวังให้ตนเองผ่อนคลาย ก่อนจะดันตนเองพุ่งเข้าหาริมฝีปากของบุรุษ
ยามนี้ก็แค่ประกบริมฝีปาก ต่อมานางก็ถอนออกเล็กน้อยแล้วอ้าปาก จินหมิงเยว่เผยอปากรอนางอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นฟางเหนียงก็ส่งลิ้นของตนเองเข้าไปในโพรงปากของบุรุษ สัมผัสเรียวลิ้นของบุรุษอย่างเชื่องช้า นี่เป็นครั้งแรกของนางที่เป็นฝ่ายรุกรานบุรุษ จึงรู้สึกประหม่าไม่กล้าขยับ แต่จินหมิงเยว่ก็ขยับริมฝีปากกว้างเพื่อเปิดทางให้นางรุกรานเรื่อยๆ
เมื่อพอจับทางได้แล้ว ลิ้นอ่อนนุ่มก็สัมผัสเกี่ยวเรียวลิ้นของบุรุษนำพาความวาบหวามไปทั่วทั้งร่าง พลันนางก็รู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างกำลังเคลื่อนย้ายจากกลางอกของนางขึ้นมาจนถึงลำคอ ผ่านมาถึงปากและออกจากปากของนางสู่ปากของบุรุษ สตรีตัวน้อยถอนริมฝีปากออก เห็นลูกแก้วจิ้งจอกสีขาวบริสุทธิ์กำลังเข้าไปในปากของบุรุษ
ดวงตาคู่งามสบประสานดวงตาเรียวคมอย่างหวานซึ้ง หัวใจของนางไร้การป้องกัน ถูกความรู้สึกของบุรุษสอดแทรกเข้ามาอย่างง่ายดาย สายตาที่มองนางอย่างล้ำค่า
“ข้า… ปรารถนาเจ้า…”
“…ท่านบาดเจ็บ…”
“ข้ามีลูกแก้วแล้ว ไม่นานแผลจะสมาน”
“อื้อ!!”
ริมฝีปากอวบอิ่มถูกครอบครองโดยฉับพลัน เคยเอ่ยว่าจะไม่ขืนใจนาง เคยปณิธานเอาไว้ว่าจะยอมให้นางพร้อม ทว่าบัดนี้หากมัวแต่รอ แล้วนางหาทางหลบหนีไปจากตนเองได้ เมื่อนั้นจินหมิงเยว่คงโกรธจัด เผลอทำร้ายจิตใจนางเป็นแน่
ยามนี้หัวใจของนางถูกแง้มออกทีละนิด จินหมิงเยว่จึงขอยัดเยียดตนเองให้กับนาง บังคับให้ประตูหัวใจเปิดออกเลยก็แล้วกัน!
ฟางเหนียงมิอาจต่อต้านได้เลย นางอยู่ในอาการสับสน อีกทั้งลมหายใจยังขาดห้วง ปากของนางถูกดูดอย่างรุนแรงคล้ายกับจะกลืนกินปากของนางลงท้องไป
เมื่อผละริมฝีปากออกเพื่อให้นางได้หายใจเข้าปอด ยามต่อมาก็ถูกครอบครองใหม่อีกครา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่จินหมิงเยว่กลับไม่รู้สึกอิ่มท้องเลย บุรุษมีความปรารถนาอันร้อนรุ่มเพิ่มขึ้นสูงจนน่าประหลาดใจ
“ช้าก่อนเจ้าค่ะ ทานพี่ ท่านบาดเจ็บอยู่”
นางดันใบหน้าคมคายของบุรุษออก แต่ฝ่ามือของนางก็ถูกบุรุษทั้งจูบทั้งเลียอย่างจงใจ นัยน์ตาคมกล้าเป็นประกายวาววับด้วยความปรารถนาอันเร่าร้อน
“ข้าหายแล้ว”
“เจ้าคะ?” ฟางเหนียงอุทานด้วยความตกใจ บาดแผลฉกรรจ์เช่นนั้นจะหายได้อย่างรวดเร็วได้อย่างไร แม้จะเป็นปีศาจก็เถอะ อีกทั้งเมื่อครู่บุรุษยังขอให้นางประคองกลับมาตำหนักพันปีเลย
กระนั้นฟางเหนียงจึงก้มหน้าลงเมื่อมองดูบาดแผลของบุรุษ แล้วก็พบว่ามีเพียงคราบเลือดเป็นหลักฐานยืนยันเท่านั้น ว่าจินหมิงเยว่ได้รับบาดเจ็บ ส่วนบาดแผลจากคมดาบนั้นหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน
เป็นไปได้อย่างไร?
ดวงตาคู่งามเบิกกว้างจ้องมองเนื้อผิวบริเวณที่เคยมีบาดแผลของบุรุษอย่างประหลาดใจ ก่อนจะยื่นมือออกไปลูบมันเบาๆ สัมผัสได้ถึงความเหนียวหนืดของเลือด
สัมผัสของนางทำเอาบุรุษร้อนลุ่มไปทั้งตัว นางสัมผัส ลูบไล้ก้อนกล้ามเนื้อเป็นลอนของบุรุษอย่างไม่คิดสิ่งใด หารู้ไม่ว่าเจ้าของเรือนร่างที่นางกำลังสัมผัสนั้นแทบคลั่งตายอยู่แล้ว
หมับ!
“ว้าย!” ร่างบอบบางถูกตวัดลงบนเตียง พร้อมกับริมฝีปากหยักทาบทับลงบนกลีบปากอวบอิ่มของนางแนบแน่นก่อนจะถอนออก
“ข้าบอกแล้วว่าขอแค่เพียงมีเจ้า ข้าก็ไม่ตายง่ายๆ หรอก”
“เป็นเพราะลูกแก้วต่างหากเจ้าค่ะ”
“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ?”
“แล้วมิใช่หรือเจ้าคะ มนุษย์เช่นข้าจะมีอิทธิฤทธิ์ทำให้ท่านพี่หายสนิทราวกับไม่เคยมมีแผลมาก่อนเช่นนี้ได้ล่ะเจ้าคะ?”
“ร่างกายของข้าไม่ตายหากมีลูกแก้ว แต่หัวใจของข้าตายแน่ๆ หากไม่มีเจ้า” บุรุษเอ่ยถ้อยคำหวาน โดยจ้องมองเข้าไปในดวงตากลมของนางเนิ่นนาน หวังให้ถ้อยคำของตนเองตราตรึงเข้าไปในหัวใจดวงน้อยๆ ของนาง
“ท่านชอบข้าตรงที่ใดหรือเจ้าคะ? ข้าไม่เข้าใจเลย...”
“เพราะเจ้าเป็นเจ้า อย่างที่เคยเป็นมาตลอด” เอ่ยจบบุรุษโน้มใบหน้าลงไปประกบริมฝีปากจูบอย่างดูดดื่ม จงใจปิดปากมิให้นางถามคำถามใดออกมาอีก ยามนี้บุรุษร้อนรุ่มเกินกว่าที่จะอดทนไหวเสียแล้ว
ฟางเหนียงเองก็มิได้ปฏิเสธ แม้จะตกใจกับการจู่โจมแบบไม่ทันให้ตั้งตัวก็ตาม สองมือที่เคยดันแผงอกกว้างเอาไว้ ค่อยๆ เลื่อนไปคล้องรอบลำคอแกร่ง เผยอริมฝีปากปล่อยให้บุรุษรุกรานตามอำเภอใจ เมื่อเห็นว่าสตรีตัวน้อยยินยอมพร้อมใจมีค่ำคืนร่วมกัน จินหมิงเยว่ก็ยิ่งได้ใจ รุกรานนางหนักหน่วงเสียจนสตรีตัวน้อยแทบหายใจไม่ออก
“อื้อ!” นางร้องประท้วงเสียงอื้ออึงในลำคอ บุรุษจึงถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง
“แฮ่ก แฮ่ก ช้าๆ นะเจ้าคะ”
“เจ้าน่ากินถึงเพียงนี้ ข้าจะอดใจได้อย่างไรไหว”
“อื้อ!”
ริมฝีปากอวบอิ่มถูกครอบครองซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระนั้นก็พยายามอ่อนโยนกับนาง ไม่เร่งรีบมากจนเกินไป ฟางเหนียงครางเสียงหวานอย่างพึงพอใจ ก่อนจะสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดรัดรึงกับลิ้นสากของบุรุษ สร้างความวาบหวามให้กันและกัน
ฟางเหนียงครุ่นคิดอยู่ภายในใจว่าตนเองช่างง่ายดายเหลือเกิน ครั้นก่อนหน้ายังหวาดกลัวและไม่ยินยอมแก่บุรุษ หากทว่าผ่านไปเพียงไม่กี่วันนางก็ถูกหว่านล้อมจนยอมร่วมค่ำคืนกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตนนี้เสียแล้ว
บทที่ 16อยากลองจับมันหรือไม่ใบหน้าคมคายเลื่อนลงมาที่ลำคอระหง ไม่รีรอที่จะฝากฝังรอยรักสีเข้มไว้บนเนื้อขาวๆ ของนาง เป็นหลักฐานว่าฟางเหนียงได้เต็มใจร่วมค่ำคืนนี้กับเขาแล้ว ทั้งดูดและเลียอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังตราตรึงสัมผัสนี้เข้าไปในกายของนาง“อื้อ ท่านพี่...”“ชอบหรือไม่”“อึก อื้อ” นางไม่ยอมตอบ และถึงแม้จะอยากตอบสิ่งใดออกไปก็ทำได้ยากเย็นเหลือเกิน เมื่อจินหมิงเยว่รุกรานนางอย่างหนักหน่วง แม้แต่การหายใจยังยากแล้ว อารมณ์วาบหวามทำให้นางมิอาจควบคุมตนเองได้“เปล่งเสียงออกมาเถิด ข้าชอบเสียงของเจ้า” บุรุษเอ่ย ขณะที่ฝ่ามือหยาบปลดอาภรณ์ของนางผิวขาวนวลเนียนที่อยู่ด้านใน กระตุกปมของเอี๊ยมสีขาวออกเผยทรวงอกอวบอิ่มที่เคยสัมผัสเมื่อคืนวันวสันต์ และบัดนี้ความงดงามปรากฏแกสายตาอีกครั้งฝ่ามือหยาบกอบกุมความอวบอิ่มทั้งสองเต้า ฟ้อนเฟ้นด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะปาดป่ายหยอกล้อเล่นกับยอดอกสีหวาน ฟางเหนียงเกร็งไปทั่วทั้งร่างกับสัมผัสวาบหวามนี้ น
บทที่ 17ลูกแก้วจิ้งจอกไม่รู้กี่โมงกี่ยามแล้ว แต่เจ้าของดวงตากลมก็ค่อยๆ เปิดออกอย่างเชื่องช้า เมื่อแสงแดดด้านนอกส่องเข้ามาจนนางรู้สึกแสบตา พลันบางสิ่งก็บดบังแสงนั้นให้นาง เมื่อฟางเหนียงลืมตาขึ้นด้วยความสงสัย ก็เห็นว่าหางนุ่มนิ่มของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นั่นเองที่โผล่ออกมาเพื่อบังแสงแดดให้กับนางมือเล็กๆ ยื่นออกไปสัมผัสความนุ่มนิ่มของมันเล่นอย่างเอาแต่ใจ หางสีขาวขยับเข้ามาหานางแล้วลูบไล้ตามร่างกายจนนางรู้สึกจั๊กจี้“คิกคิก อย่าแกล้งข้าสิเจ้าคะ”“หึหึ” จินหมิงเยว่หัวเราะก่อนจะตวัดร่างของตนเองไปอีกฝั่งของเตียง เพื่อใช้ร่างกายของตนเองบดบังแสงแดดให้นาง “ตื่นแล้วหรือ? หิวหรือไม่?”ไม่เอ่ยอย่างเดียว กลับโน้มใบหน้าลงไปประทับริมฝีปาก ฝากฝังรอยจูบลงบนหน้าผากเนียนของนางอย่างรักใคร่“กี่ยามแล้วเจ้าคะ?”“ยามเชิน[1]แล้ว”“เจ้าคะ!?” ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง ก่อนจะค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้น หากแต่ความปวดร
บทที่ 18มิอาจยอมให้นางเสียหายลิ้นสากหลีกหนีเรียวลิ้นของนาง ลิ้นของนางก็ยังตามติดไม่ออก กลายเป็นจูบที่แสนดูดดื่มจนเกิดเสียงน่าอาย เมื่อยามที่ฟางเหนียงยอมแพ้คิดจะถอนริมฝีปากออก จินหมิงเยว่ก็เป็นฝ่ายคว้าท้ายทอยของนางแล้วกดให้แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็เป็นฝ่ายรุกรานโพรงปากอุ่น ตักตวงความหอมหวานอย่างเร่าร้อน ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เอาแต่หลีกหนีปฏิเสธนางแท้ๆ...จิ้งจอกเจ้าเล่ห์!!...อดมิได้ที่จะต่อว่าบุรุษในใจที่คิดหลอกนาง แต่ก็ยอมให้บุรุษรุกรานแต่โดยดี เพราะจูบหวานๆ ที่ถูกส่งมอบมามันพาให้ร่างของนางอ่อนระทวย เคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบซึ่งราวกับเอาอกเอาใจนาง นางจะยอมให้อภัยจินหมิงเยว่ก็แล้วกันเนิ่นนานกว่าทั้งสองจะถอนริมฝีปากออกจากัน ดวงตาสบประสานกันของหวานซึ้ง คล้ายกับกำลังแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่มีให้กันและกัน“เอาลูกแก้วคืนไปหรือยังเจ้าคะ?”“ยัง”“อ้าว?”“ข้าฝากไว้กับเจ้า หากข้าบาดเจ็บเจ้าจะได้จู
บทที่ 19จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ดวงตาคู่งามเปิดอย่างเชื่องช้า คราวนี้ฟางเหนียงไม่ตกใจอีกแล้วว่านางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร สถานที่ที่ไม่ต่างไปจากสรวงสวรรค์ นางคงถูกเทพองค์นั้นเรียกตัวมาอีกเป็นแน่นางเตรียมที่จะมองหาตัวของผู้ที่เรียกนางมา แต่ไม่ทันที่จะได้หยัดกายลุกขึ้นเสียด้วยซ้ำ เสียงทุ้มน่าฟังก็ดังขึ้นเหนือหัว“เดี๋ยวนี้เจ้าไม่ตกใจแล้วหรือ?”ฟางเหนียงหยัดกายลุกขึ้น ก่อนจะหันไปยอบกายคำนับตามมารยาท“คำนับ ท่านเทพเจ้าค่ะ”“อ่า เจ้ารู้แล้วสินะ… รู้ได้อย่างไร หมิงเยว่บอกเจ้าหรือ?”“ท่านพี่ของข้ารู้จักกับท่านเป็นการส่วนตัวด้วยหรือเจ้าคะ?”“อ่า มิใช่สินะ”ใบหน้าคมคายหม่นลงเล็กน้อย ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับฟางเหนียงดูเหมือนว่าทั้งสองจะรู้จักกันสินะ แต่รู้จักกันด้วยดีหรือร้ายมิอานคาดเดาได้“ท่านเทพ… จุดประสงค์ของท่านคือสิ่งใดกันแน่?”สตรีตัวน้อยรู้สึกหวาดหวั่นเหลือเกิน หวาดกลัวว
บทที่ 20งอน“ลองขย่มข้าสิ”“ตะ แต่ข้าไม่รู้”“ทำแบบนี้”“อ๊ะ!?”ฝ่ามือหยาบยกสะโพกกลมขึ้นแล้วกดลงให้ครอบครองความแข็งแกร่งของตนเอง ความเสียวซ่านแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่างบอบบางฟางเหนียงขยับตามการนำพาของบุรุษ กระทั่งหาจังหวะของตนเองเจอ จินหมิงเยว่ก็เปลี่ยนเป็นบีบเคล้นสะโพกกลมกลึงด้วยความมันเขี้วแทนท่วงท่าของนางสร้างความรัญจวนในเหลือเกิน มันเชื่องช้าและละมุนละไม ราวกับจงใจทรมานจินหมิงเยว่ให้ต้องอดทนกับกามารมณ์ เกร็งทั่วทั้งร่างจนเห็นก้อนกล้ามเนื้อชัดเจน อีกทั้งเส้นเลือดยังปูดโปนออกมา“อ่า เหนียงเอ๋อร์ เจ้าช่าง...” บุรุษมิอาจเอื้อนเอ่ยได้อีก เมื่อนางเริ่มขยับถี่ขึ้นเรื่อยๆ มิได้เข้าสุดออกสุดเหมือนอย่างในครั้งแรก แต่เป็นการกดสะโพกระรัว“อืม” นางครางเสียงหวานแล้วแหงนหน้าขึ้นตามอารมณ์ จินหมิงเยว่ก้ามหน้าลงดูดดื่มกับยอดอกสีหวานเข้าปากอย่างกระหายความรู้สึกวาบหวา
บทที่ 21รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปวันเวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ฟางเหนียงในวัยสิบหกปีครั้นมาที่ดินแดนจิ้งจอกแห่งนี้เป็นครั้งแรก บัดนี้นางอายุสิบแปดหนาวเสียแล้วความงดงามของนางนั้นเพิ่มมากขึ้นเสียจนจินหมิงเยว่แทบจะกกกอดนางเอาไว้ภายในห้องตลอดทั้งวันทั้งคืน ถึงแม้ว่ารอบตำหนักพันปีจะไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามาได้ หากมิได้รับอนุญาตก็ตาม“ท่านพี่เจ้าคะ!” เสียงเจื้อยแจ้วของฟางเหนียงดังขึ้น พร้อมการปรากฏกายของนาง ในขณะที่จินหมิงเยว่กำลังฝึกพละกำลังและอาคมบุรุษตวัดฝ่ามือครั้งหนึ่งพาร่างบอบบางลอยละล่องมานั่งบนตักของตนเอง แล้วฉวยโอกาสหอมแก้มนางไปหนึ่งที“ว้าย! ท่านพี่! ฮวาอินก็อยู่นะเจ้าคะ”“เฮ้อ ฮวาอินออกจะชอบที่ข้ากับเจ้าพลอดรักกัน”“ท่านพี่!!”เพี๊ยะ!!ว่าแล้วก็ตีท่อนแขนแกร่งไปหนึ่งทีด้วยความเขินอาย จินหมิงเยว่หัวเราะเสียงดัง ยิ่งได้เห็นพวงแก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อก็ยิ่งอยากแกล้
บทที่ 22สัญชาตญาณที่ต้องปลดปล่อยฟางเหนียงขยับกายไปนั่งลงบนตักของบุรุษ จากนั้นก็ใช้สะโพกกดลงบนความแข็งแกร่ง ครอบครองแก่นกายบุรุษเพศเข้าไปในตัวของตนเอง“อ่า...” ทั้งฟางเหนียงและจินหมิงเยว่ครางด้วยความสุขสมสตรีตัวน้อยโอบกอดบุรุษแนบอกแล้วเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะจะเริ่มขยับสะโพกของตนเองด้วยท่าทางที่ดูเก้ๆ กังๆ ในช่วงแรก ทว่าไม่นานความวาบหวาม รัญจวนใจ ร่างกายก็ได้นำพาให้นางสามารถขับเคลื่อนร่างกาย มอบความเสียวซ่านให้กับบุรุษได้เป็นอย่างดีนางเอนกายไปข้างหลัง ใช้มือเกาะบ่าของบุรุษเอาไว้ก่อนจะเด้งสะโพกระรัว รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของแก่นกายได้อย่างชัดเจน“อ๊า ท่านพี่ อื้ม!” ทรวงอกของนางถูกดูดดื่มอย่างหื่นกระหาย แม้มันจะเจ็บเล็กน้อยเพราะมีรอยแผลจากการกระทำของบุรุษเมื่อครั้นก่อนหน้า หากแต่ความวาบหวามนั้นมีมากกว่า นางจึงยิ่งแอ่นอกให้ปากหยักดูดดื่มและกลืนกินตามต้องการฟางเหนียงเชิดหน้าขึ้นแล้วร้องครางเสียงหวานอย่างลืมอาย สูญสิ้นสติในการยับยั้งชั่งใจ กลีบกา
บทที่ 23เช่นนั้นข้าปรนนิบัติเจ้าแทนฟางเหนียงลงมือทำอาหารหลายอย่าง รวมถึงของหวานด้วย นางคีบทั้งผักทั้งปลาใส่ในถ้วยของบุรุษ ส่วนจินหมิงเยว่ก็คีบแต่พวกเนื้อสัตว์ใส่ถ้วยให้นางเช่นเดิม“เมื่อใดเจ้าจะอ้วนเสียที หืม?”“ข้าไม่อยากอ้วนเจ้าค่ะ”“เหตุใดจึงไม่อยากอ้วน?”“ข้าเป็นสตรี ก็ต้องรักสวยรักงามเป็นธรรมดา หากอ้วนเมื่อสวมใส่อาภรณ์ใดๆ ก็ไร้ความมั่นใจนี่เจ้าค่ะ”“เจ้าเคยอ้วนหรือ?”“ไม่เคยเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าหากอ้วนแล้วจะไม่งดงาม”“เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเคยมาก่อนที่เจ้าค่ะ! อีกอย่างข้าไม่เคยบอกว่าไม่อ้วนแล้วจะไม่งดงาม ข้าก็แค่คิดว่าคงไม่มีความมั่นใจ”“อ้วนให้ข้าหน่อยเถิด”“เอ๊ะ! ท่านพี่นี่อย่างไร หากอยากได้สตรีอ้วนๆ ก็ไปหาที่อื่น ไม่ต้องมาหาที่ข้า!”&l
บทที่ 26ห้วงคำนึงถึงนางหลายฤดูผ่านไปจินหมิงอันเติบใหญ่เป็นจิ้งจอกหนุ่ม มีอิทธิฤทธิ์มากล้นเดินตามรอยของผู้เป็นบิดา ฟางเหนียงภาคภูมิใจเหลือคณานับที่บุตรชายสง่างามเช่นนี้ อีกทั้งยังรวบรวมพลังสร้างลูกแก้วจิ้งจอกของตนเองได้แล้ว แม้ว่าลูกแก้วจิ้งจอกนั้นจะยังแข็งแกร่งไม่เท่าลูกแก้วจิ้งจอกที่อยู่ในตัวของนางก็ตามยามนั้นเองสายลมพัดผ่านพาเอาความเย็นสบายโอบรอบร่าง ทว่ามีบางสิ่งลอยมากับสายลมด้วย กลิ่นที่คุ้นเคยพาให้หัวใจดวงน้อยเต้นแรงขึ้นมาฟางเหนียงหยัดกายขึ้นแล้วพุ่งตัวออกไปตามกลิ่นนั่น แหวกผ่านพงไพร เป็นหนึ่งเดียวกับสายลม กระทั่งมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง นางเดินตามหาไม่นานก็มาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง“ยินดีด้วยเจ้าค่ะ ท่านเจ้าตระกูลได้บุตรชายเจ้าค่ะ!”เสียงเด็กร้องไห้โยเยดังลอดออกมาให้ได้ยิน พร้อมกับเสียงแสดงความยินดีให้กับบิดาและมารดา นางยืนฟังเสียงร้องไห้นั้นอยู่นาน กระทั่งมีคนผู้หนึ่งทักนางเข้า“มาหาผู้ใดหรือเจ้าคะ?”
บทที่ 25สูญเสียไปตลอดกาลดวงตาคู่งามลืมตาขึ้นท่ามกลางพงไพรอันคุ้นเคย ด้านข้างของนางคือร่างของจิ้งจอกหนุ่ม คนรักของนาง… ร่างของบุรุษที่รักนอนแน่นิ่งจนน่าหวาดหวั่นความอบอุ่นที่อยู่กลางอกบ่งบอกให้นางรับรู้ได้ถึงพลังชีวิตอันมหาศาล รวมถึงอิทธิฤทธิ์ของปีศาจจิ้งจอก มันคือลูกแก้วจิ้งจอกไม่ผิดแน่ใช่แล้ว ลูกแก้วจิ้งจอกอยู่กับนางมาตลอด ลูกแก้วจิ้งจอกที่เปรียบเสมือนพลังชีวิตของจินหมิงเยว่ บุรุษเคยบอกกับนางเช่นนั้น นั่นหมายความว่าไม่มีทางที่จินหมิงเยว่จะตาย เขาก็แค่หมดเรี่ยวแรงจึงหลับไปเท่านั้นนางเอ่ยปลอบตนเองแล้วหันไปหาบุรุษ หากทว่าเมื่อมือเล็กๆ แตะที่ร่างของบุรุษ ความเย็นยะเยือกก็แล่นผ่านเข้ามาในร่างของนาง สตรีตัวน้อยตัวแข็งทื่อ พลันน้ำตาก็ไหลอาบสู่สองข้างแก้ม“ไม่จริง ท่านพี่บอกว่า หากมีข้า มีลูกแก้วจิ้งจอก อย่างไรก็ไม่มีทางตายนี่”ฝ่ามือเล็กคว้าท่อนแขนของบุรุษแล้วออกแรงเขย่าแรงๆ เพื่อหวังให้บุรุษฟื้นตื่นขึ้นมา แม้ว่าบุรุษจะเจ็บ หากฟื้นขึ้นมานางจะยินยอมน
บทที่ 24เดิมทีนางควรจะตายไปตั้งนานแล้วยามนั้นเองบางสิ่งร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า เส้นแสงสีขาวหลายสายล้อมรอบพวกเขาเอาไว้“...!”จินหมิงเยว่และหลี่ตงหยางตวัดแขนขึ้นไปด้านหน้า ล้อมฟางเหนียงเอาไว้เพื่อปกป้องนางสตรีตัวน้อยสะดุ้งตกใจ โอบกอดจินหมิงเยว่เอาไว้ด้วยความหวาดกลัว...คนพวกนี้เป็นใครกัน?...“ส่งตัวนางมา หากต่อต้านจะถือว่าปรปักษ์ต่อสรวงสวรรค์”...สรวงสวรรค์หรือ!?...ดวงตาคู่งามเบิกกว้างด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน นางสับสนว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่!?“หากอยากได้ตัวนางนัก ก็เข้ามา!!” เป็นจินหมิงเยว่ที่เอ่ยออกไปอย่างไม่เกรงกลัว แม้จะเป็นผู้ใดหากมาพรากฟางเหนียงไปจากเขา บุรุษไม่ยินยอม!!เกิดการต่อสู้กันระหว่างปีศาจจิ้งจอก เทพหนุ่มตกสวรรค์และองครักษ์สวรรค์ โดยที่ฟางเหนียงอยู่ในการปกป้องของจินหมิงเยว่ตลอดการต่อสู้“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ เหตุใ
บทที่ 23เช่นนั้นข้าปรนนิบัติเจ้าแทนฟางเหนียงลงมือทำอาหารหลายอย่าง รวมถึงของหวานด้วย นางคีบทั้งผักทั้งปลาใส่ในถ้วยของบุรุษ ส่วนจินหมิงเยว่ก็คีบแต่พวกเนื้อสัตว์ใส่ถ้วยให้นางเช่นเดิม“เมื่อใดเจ้าจะอ้วนเสียที หืม?”“ข้าไม่อยากอ้วนเจ้าค่ะ”“เหตุใดจึงไม่อยากอ้วน?”“ข้าเป็นสตรี ก็ต้องรักสวยรักงามเป็นธรรมดา หากอ้วนเมื่อสวมใส่อาภรณ์ใดๆ ก็ไร้ความมั่นใจนี่เจ้าค่ะ”“เจ้าเคยอ้วนหรือ?”“ไม่เคยเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าหากอ้วนแล้วจะไม่งดงาม”“เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเคยมาก่อนที่เจ้าค่ะ! อีกอย่างข้าไม่เคยบอกว่าไม่อ้วนแล้วจะไม่งดงาม ข้าก็แค่คิดว่าคงไม่มีความมั่นใจ”“อ้วนให้ข้าหน่อยเถิด”“เอ๊ะ! ท่านพี่นี่อย่างไร หากอยากได้สตรีอ้วนๆ ก็ไปหาที่อื่น ไม่ต้องมาหาที่ข้า!”&l
บทที่ 22สัญชาตญาณที่ต้องปลดปล่อยฟางเหนียงขยับกายไปนั่งลงบนตักของบุรุษ จากนั้นก็ใช้สะโพกกดลงบนความแข็งแกร่ง ครอบครองแก่นกายบุรุษเพศเข้าไปในตัวของตนเอง“อ่า...” ทั้งฟางเหนียงและจินหมิงเยว่ครางด้วยความสุขสมสตรีตัวน้อยโอบกอดบุรุษแนบอกแล้วเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะจะเริ่มขยับสะโพกของตนเองด้วยท่าทางที่ดูเก้ๆ กังๆ ในช่วงแรก ทว่าไม่นานความวาบหวาม รัญจวนใจ ร่างกายก็ได้นำพาให้นางสามารถขับเคลื่อนร่างกาย มอบความเสียวซ่านให้กับบุรุษได้เป็นอย่างดีนางเอนกายไปข้างหลัง ใช้มือเกาะบ่าของบุรุษเอาไว้ก่อนจะเด้งสะโพกระรัว รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของแก่นกายได้อย่างชัดเจน“อ๊า ท่านพี่ อื้ม!” ทรวงอกของนางถูกดูดดื่มอย่างหื่นกระหาย แม้มันจะเจ็บเล็กน้อยเพราะมีรอยแผลจากการกระทำของบุรุษเมื่อครั้นก่อนหน้า หากแต่ความวาบหวามนั้นมีมากกว่า นางจึงยิ่งแอ่นอกให้ปากหยักดูดดื่มและกลืนกินตามต้องการฟางเหนียงเชิดหน้าขึ้นแล้วร้องครางเสียงหวานอย่างลืมอาย สูญสิ้นสติในการยับยั้งชั่งใจ กลีบกา
บทที่ 21รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปวันเวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ฟางเหนียงในวัยสิบหกปีครั้นมาที่ดินแดนจิ้งจอกแห่งนี้เป็นครั้งแรก บัดนี้นางอายุสิบแปดหนาวเสียแล้วความงดงามของนางนั้นเพิ่มมากขึ้นเสียจนจินหมิงเยว่แทบจะกกกอดนางเอาไว้ภายในห้องตลอดทั้งวันทั้งคืน ถึงแม้ว่ารอบตำหนักพันปีจะไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามาได้ หากมิได้รับอนุญาตก็ตาม“ท่านพี่เจ้าคะ!” เสียงเจื้อยแจ้วของฟางเหนียงดังขึ้น พร้อมการปรากฏกายของนาง ในขณะที่จินหมิงเยว่กำลังฝึกพละกำลังและอาคมบุรุษตวัดฝ่ามือครั้งหนึ่งพาร่างบอบบางลอยละล่องมานั่งบนตักของตนเอง แล้วฉวยโอกาสหอมแก้มนางไปหนึ่งที“ว้าย! ท่านพี่! ฮวาอินก็อยู่นะเจ้าคะ”“เฮ้อ ฮวาอินออกจะชอบที่ข้ากับเจ้าพลอดรักกัน”“ท่านพี่!!”เพี๊ยะ!!ว่าแล้วก็ตีท่อนแขนแกร่งไปหนึ่งทีด้วยความเขินอาย จินหมิงเยว่หัวเราะเสียงดัง ยิ่งได้เห็นพวงแก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อก็ยิ่งอยากแกล้
บทที่ 20งอน“ลองขย่มข้าสิ”“ตะ แต่ข้าไม่รู้”“ทำแบบนี้”“อ๊ะ!?”ฝ่ามือหยาบยกสะโพกกลมขึ้นแล้วกดลงให้ครอบครองความแข็งแกร่งของตนเอง ความเสียวซ่านแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่างบอบบางฟางเหนียงขยับตามการนำพาของบุรุษ กระทั่งหาจังหวะของตนเองเจอ จินหมิงเยว่ก็เปลี่ยนเป็นบีบเคล้นสะโพกกลมกลึงด้วยความมันเขี้วแทนท่วงท่าของนางสร้างความรัญจวนในเหลือเกิน มันเชื่องช้าและละมุนละไม ราวกับจงใจทรมานจินหมิงเยว่ให้ต้องอดทนกับกามารมณ์ เกร็งทั่วทั้งร่างจนเห็นก้อนกล้ามเนื้อชัดเจน อีกทั้งเส้นเลือดยังปูดโปนออกมา“อ่า เหนียงเอ๋อร์ เจ้าช่าง...” บุรุษมิอาจเอื้อนเอ่ยได้อีก เมื่อนางเริ่มขยับถี่ขึ้นเรื่อยๆ มิได้เข้าสุดออกสุดเหมือนอย่างในครั้งแรก แต่เป็นการกดสะโพกระรัว“อืม” นางครางเสียงหวานแล้วแหงนหน้าขึ้นตามอารมณ์ จินหมิงเยว่ก้ามหน้าลงดูดดื่มกับยอดอกสีหวานเข้าปากอย่างกระหายความรู้สึกวาบหวา
บทที่ 19จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ดวงตาคู่งามเปิดอย่างเชื่องช้า คราวนี้ฟางเหนียงไม่ตกใจอีกแล้วว่านางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร สถานที่ที่ไม่ต่างไปจากสรวงสวรรค์ นางคงถูกเทพองค์นั้นเรียกตัวมาอีกเป็นแน่นางเตรียมที่จะมองหาตัวของผู้ที่เรียกนางมา แต่ไม่ทันที่จะได้หยัดกายลุกขึ้นเสียด้วยซ้ำ เสียงทุ้มน่าฟังก็ดังขึ้นเหนือหัว“เดี๋ยวนี้เจ้าไม่ตกใจแล้วหรือ?”ฟางเหนียงหยัดกายลุกขึ้น ก่อนจะหันไปยอบกายคำนับตามมารยาท“คำนับ ท่านเทพเจ้าค่ะ”“อ่า เจ้ารู้แล้วสินะ… รู้ได้อย่างไร หมิงเยว่บอกเจ้าหรือ?”“ท่านพี่ของข้ารู้จักกับท่านเป็นการส่วนตัวด้วยหรือเจ้าคะ?”“อ่า มิใช่สินะ”ใบหน้าคมคายหม่นลงเล็กน้อย ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับฟางเหนียงดูเหมือนว่าทั้งสองจะรู้จักกันสินะ แต่รู้จักกันด้วยดีหรือร้ายมิอานคาดเดาได้“ท่านเทพ… จุดประสงค์ของท่านคือสิ่งใดกันแน่?”สตรีตัวน้อยรู้สึกหวาดหวั่นเหลือเกิน หวาดกลัวว
บทที่ 18มิอาจยอมให้นางเสียหายลิ้นสากหลีกหนีเรียวลิ้นของนาง ลิ้นของนางก็ยังตามติดไม่ออก กลายเป็นจูบที่แสนดูดดื่มจนเกิดเสียงน่าอาย เมื่อยามที่ฟางเหนียงยอมแพ้คิดจะถอนริมฝีปากออก จินหมิงเยว่ก็เป็นฝ่ายคว้าท้ายทอยของนางแล้วกดให้แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็เป็นฝ่ายรุกรานโพรงปากอุ่น ตักตวงความหอมหวานอย่างเร่าร้อน ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เอาแต่หลีกหนีปฏิเสธนางแท้ๆ...จิ้งจอกเจ้าเล่ห์!!...อดมิได้ที่จะต่อว่าบุรุษในใจที่คิดหลอกนาง แต่ก็ยอมให้บุรุษรุกรานแต่โดยดี เพราะจูบหวานๆ ที่ถูกส่งมอบมามันพาให้ร่างของนางอ่อนระทวย เคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบซึ่งราวกับเอาอกเอาใจนาง นางจะยอมให้อภัยจินหมิงเยว่ก็แล้วกันเนิ่นนานกว่าทั้งสองจะถอนริมฝีปากออกจากัน ดวงตาสบประสานกันของหวานซึ้ง คล้ายกับกำลังแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่มีให้กันและกัน“เอาลูกแก้วคืนไปหรือยังเจ้าคะ?”“ยัง”“อ้าว?”“ข้าฝากไว้กับเจ้า หากข้าบาดเจ็บเจ้าจะได้จู