“ช้าก่อนเจ้าค่ะ ช้าก่อน!”
ทันทีที่สารถีเห็นคนงามก็หยุดรถม้าลงแล้วมองนางด้วยความฉงนใจ สภาพของนางดูสะอาดสะอ้านเกินกว่าคนที่หลงทาง อีกทั้งยังดูมีเรี่ยวมีแรงราวกับเพิ่งกินอิ่ม
…ใบหน้านี้คุ้นเคยอย่างไรบอกไม่ถูก?...
“ข้าขอติดรถท่านไปลงที่หมู่บ้านได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“เจ้าหลงป่าหรือ?”
“เจ้าค่ะ ข้าออกมาตามหากระต่ายป่าที่ข้าเลี้ยงเอาไว้ แต่คลาดกับมัน มารู้ตัวอีกทีก็อยู่กลางป่าเสียแล้ว”
“ขึ้นมาสิ ข้าจะพาไปส่งที่หมู่บ้าน”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ!!” ฟางเหนียงเอ่ยพลางยิ้มกว้าง กำลังจะเดินขึ้นรถม้าทว่าสารถีผู้นั้นก็เอ่ยเรียกนางเอาไว้เสียก่อน
“ช้าก่อน เจ้า… ฟางเหนียง!?”
“เจ้าคะ? ท่านรู้จักข้าด้วยหรือเจ้าคะ?”
พลันโทสะก็ครอบงำบุรุษผู้นี้แล้วกระโดดเข้าจู่โจมฟางเหนียง!!
“กรี๊ด!!”
ฟางเหนียงร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ เมื่ออยู่ดีๆ ก็ถูกบุรุษซึ่งไม่รู้จักโจมตี แววตาและท่าทางฉายชัดถึงความโหดเหี้ยม ต้องการให้นางถึงตาย!
นางหลบหลีกด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด เมื่ออยู่ดีๆ ก็ถูกบุรุษแปลกหน้าโจมตี
“ทำอะไรของท่าน!!”
“เจ้าฆ่าน้องชายของข้า ข้าก็จะฆ่าเจ้า!!”
“กรี๊ด!!”
บุรุษผู้นั้นยังคงจู่โจมนางอย่างต่อเนื่อง ฟางเหนียงล้มลุกคลุกคลานหลบหลีกการโจมตี นางไร้วรยุทธและยังไม่รู้จักวิธีป้องกันตนเอง ได้เพียงแต่หลบหลีกตามสัญชาตญาณเท่านั้น
“ฉันเอ่ยถึงเรื่องใด ข้าไม่รู้เรื่อง!!”
“อย่ามาทำไขสือ! เมื่อเดือนก่อนเจ้าล่อลวงน้องชายของข้าให้หลงหัวปักหัวปำ จากนั้นก็สังหารในวันแต่งงาน เจ้ามันสตรีชั่ว!!”
ฟางเหนียงไม่เข้าใจในสิ่งที่บุรุษผู้นี้เอ่ยเลยแม้แต่ส่วนเดียว ถ้าเอ่ยถึงเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ก็เป็นช่วงที่นางถูกส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการแต่จิ้งจอก ฟางเหนียงจำได้ดีว่าในช่วงนั้นจินหมิงเยว่น่ากลัวเพียงใด และยังไม่รู้ว่าบุรุษมีใจเอ็นดูในตัวนาง ไม่มีทางที่จะแอบหนีออกมาข้างนอกแล้วไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ซึ่งต่างจากในยามนี้
สตรีตัวน้อยหยัดกายลุกขึ้นจากพื้น แล้ววิ่งหนีหัวซุกหัวซุน แต่ก็วิ่งหนีไปได้ไม่นาน ผมยาวสลวยของนางก็ถูกคว้าจากด้านหลัง ก่อนจะถูกกระชากอย่างแรง
“กรี๊ด!!”
ทว่าก่อนที่นางจะถูกทำร้ายไปมากกว่านั้น มือหนาที่จับกระชากเรือนผมนุ่มสลวยของสตรีตัวน้อยก็คลายออก
“อ๊าก!!” เสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดดังระงมไปทั่วทั้งป่า ดังเสียยิ่งกว่าเสียงของฟางเหนียงเมื่อครู่นี้เสียอีก
สตรีตัวน้อยหันไปมองด้วยความประหลาดใจ และแล้วนางก็ได้พบกับคำตอบ
…ท่านพี่ ท่าน…มาได้อย่างไร!?...
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้สักเล็กน้อย หลังจากที่ฟางเหนียงออกจากห้องทำงานของจินหมิงเยว่ไป กลิ่นของนางก็ห่างไกลออกไปจากตำหนักแห่งนี้ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความสงนใจ บุรุษและจากงานตรงหน้าแล้วหยัดกายขึ้นพร้อมทั้งเดินตรงไปยังทิศทางที่ได้กลิ่นหอมๆ ของนาง
แล้วก็ได้เจอกับฮวาอินที่รีบร้อนมาทางนี้เช่นกัน ฮวาอินยอบกายลงเพื่อน้อมรับความผิดของตนเอง
“ข้าน้อยน้อมรับความผิดเจ้าค่ะ”
“อธิบายมา” ดวงตาอันเฉยชาและน้ำเสียงดุดัน กดดันให้โดยตัวน้อยเกิดความหวาดกลัว ถึงอย่างไรผู้ที่ตรงหน้าของนางก็คือประมุขแห่งดินแดนจิ้งจอก
ผู้สรรสร้างดินแดนที่มีแต่จิ้งจอกปีศาจขึ้นมา ทำเพื่อปกป้องจิ้งจอกปีศาจไร้กำลัง ปกป้องจากผู้ที่คิดจะทำร้าย และเพื่อป้องกันมิให้จิ้งจอกปีศาจภายใต้อำนาจของตนเองไปสร้างความเดือดร้อนให้กับเผ่าพันธุ์อื่น
ฮวาอินได้รับการยกเว้นให้เข้ามาภายในตำหนักพันปีแห่งนี้ ก็เพื่อปกป้องและคอยดูแลฟางเหนียง ทว่ายามนี้กลับปล่อยให้นางหนีออกไปได้ ย่อมเป็นความผิดของนาง
“ครั้งก่อนหน้านี้ข้าน้อยได้หลุดปากถึงเส้นทางลับออกไปเจ้าค่ะ”
“… ช่างเถิด ถึงเจ้าไม่บอก อย่างไรเหนียงเอ๋อร์ก็ต้องหาทางจนเจอเอง ทว่าหากเป็นผู้อื่นมิใช่เหนียงเอ๋อร์เจ้าคงรู้ดีใช่หรือไม่ว่าโทษฐานเอ่ยความลับของตำหนักพันปีคือสิ่งใด” เสียงที่เคยนุ่มทุ้มเมื่ออยู่ต่อหน้าของฟางเหนียง บัดนี้กลับแข็งกระด้างและเหี้ยมโหดเหลือเกิน
“เจ้าค่ะ”
“ปล่อยนางไป เจ้ารออยู่ที่นี่”
“ปล่อยฮูหยินประมุขไปจะดีหรือเจ้าคะ นางไร้วรยุทธ…” ฮวาอินเกิดความรู้สึกเป็นห่วงในตัวของฟางเหนียงขึ้นมา
ตลอดเวลาที่ดูแลรับใช้ฟางเหนียง ก็เห็นว่าเดิมทีแล้วเนื้อแท้ของนางคือสตรีแสนอ่อนโยน และมีเมตตา แอบดื้อรั้นอยู่เล็กน้อย เกิดความผูกพันขึ้นมาในระหว่างนั้น
“แล้วผู้ใดว่าจะปล่อยนางไปคนเดียวเล่า ข้าจะไปตามนางด้วยตนเอง” เอ่ยจบบุรุษก็เดินหน้าเข้าไปในเส้นทางลับนั้น
ทว่าขณะที่เดินอย่างใจเย็นตามเส้นทางนั้นไป บุรุษก็ได้กลิ่นคาวเลือด ซึ่งจินหมิงเยว่จดจำกลิ่นเลือดของฟางเหนียงได้ดี!!
พลันบุรุษใช้อิทธิฤทธิ์ของตนเองเคลื่อนกายอย่างรวดเร็ว เพื่อออกไปจากเส้นทางลับแห่งนี้ มาทันได้เห็นบุรุษผู้หนึ่งฉุดกระชากเรือนผมนุ่มสลวยที่เขาเคยดอมดมเมื่อยามนางหลับใหล ทะนุถนอมมันราวกับของล้ำค่า
กรอด!!!
โทสะครองงำจินหมิงเยว่! บังเกิดหางทั้งเก้าออกมาเพื่อข่มขวัญศัตรู! คว้าข้อมือของบุรุษผู้นั้นเอาไว้จนมันคลายออกจากเรือนผมของนาง ออกแรงบีบจนเกิดเสียงกระดูกหักดังลั่น
“อ๊าก!!!”
…บังอาจแตะต้องนาง เจ้าไม่ตายดีแน่!!...
ภาพที่นางเห็นตรงหน้าสยดสยองเสียจริง บุรุษรูปงามหากแต่มีหางของจิ้งจอกทั้งเก้าโผล่ออกมา อีกทั้งยังข้อมือของบุรุษผู้ที่คิดจะทำร้ายนางเมื่อคู่ยังหักงอและมีเลือดไหลออกมา
...นะ น่ากลัว…
คล้ายกับเกิดเหตุการณ์ซ้ำซ้อนขึ้น พลันความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา ครั้งก่อนหน้าที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เป็นเพราะบุรุษมีใจช่วยนาง และในครั้งนี้บุรุษก็มาปรากฏกายก่อนที่นางจะได้รับอันตรายไปมากกว่านี้
จินหมิงเยว่ทำไปเพื่อช่วยนาง!
“ทะ ท่านพี่…!” ฟางเหนียงตัดสินใจเอ่ยเรียกบุรุษด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น และเสียงหวานๆ แอบสั่นของนางก็เรียกคืนสติของปีศาจจิ้งจอกตนนี้
ฝ่ามือที่บีบรอบข้อมือของสารถีชั่วช้าคลายลง ปล่อยให้บุรุษผู้นั้นทรุดกายลงพื้นกุมข้อมือตนเองด้วยความเจ็บปวด
จินหมิงเยว่หันเสี้ยวหน้าไปหาฟางเหนียง สายตาที่จ้องมองนางนั้นเศร้าสร้อย คล้ายกับกำลังเสียใจกับสิ่งที่ทำ มิใช่ว่าเสียใจที่ได้ทำร้ายมนุษย์ เพราะถึงย้อนเวลากลับไปได้บุรุษก็คิดที่จะทำแบบเดิม หากแต่ที่เสียใจก็เพราะได้เผยด้านที่โหดเหี้ยมให้กับนางได้เห็นอีกแล้ว
“ท่านพี่…”
“เจ้าฝ่าฝืนกฎ…”
“เหนียงเอ๋อร์น้อมรับความผิด ขออภัยเจ้าค่ะ” นางก้มหน้านิ่ง ทว่าแทนที่จินหมิงเยว่จะดุด่าว่านาง บุรุษกลับเดินมาหานางยื่นมือออกไปหมายจะโอบร่างของนาง ที่ยามนี้คงจะหวาดกลัวจนไม่มีแรงจะลุกขึ้นแล้ว
ทว่าก็ต้องสะดุดสายตากับคราบเลือดที่มือของตนเอง จึงยื่นมืออีกข้างมาตรงหน้าของนางแทน
“กลับเถิด หากเจ้าเบื่อถึงเพียงนั้น ข้าสัญญาว่าจะพาเจ้าออกไปเที่ยวเล่นบ้าง แต่ต้องไปกับข้าเท่านั้น เข้าใจหรือไม่?”
ฟางเหนียงเหลือบสายตามองฝ่ามือที่ทั้งใหญ่และหนา อีกทั้งยังให้ความอบอุ่น และ… เอ็นดูนางมากเหลือเกิน แม้ว่านางจะดื้อรั้นถึงเพียงนี้
นางช้อนดวงตาขึ้นมองบุรุษ พร้อมกับยื่นมือออกไปวางบนฝ่ามือใหญ่ข้างนั้น ทว่า…
ฉึก!!
“…!!”
ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่ออยู่ดีๆ ตรงช่วงท้องของบุรุษก็ถูกดาบแทงทะลุผ่านมาเกือบจะถึงดวงหน้าของนาง!!
สารถีผู้นั้นหลังถูกปล่อยให้เป็นอิสระก็รีบวิ่งกลับไปที่รถม้าของตนเอง แต่แทนที่จะใช้โอกาสนั้นหนีไปกลับคว้าเอาดาบเล่มยาวออกมาแล้ววิ่งกลับมาทำร้ายจินหมิงเยว่!!
สตรีตัวน้อยตกใจจนพูดไม่ออก ดวงตาคู่งามเอ่อคลอน้ำตาจนมันล้นออกมา
นางเสียใจ… เสียใจที่จินหมิงเยว่ได้รับบาดเจ็บก็เพราะนาง!!
ฉึก!!
ดาบถูกดึงออกไปพร้อมกับเลือดไหลทะลึก สาดกระเซ็นโดนดวงหน้าหวาน ร่างบอบบางสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่น จินหมิงเยว่คว้าฝ่ามือเล็กๆ กอบกุมเอาไว้ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม ซึ่งมีเพียงนางผู้เดียวที่จะได้รับน้ำเสียงเช่นนี้
“ไม่เป็นไร อย่าได้กังวล ข้าไม่สังหารมนุษย์ผู้นั้นหรอก”
สารถีผู้นั้นหลังจากดึงดาบออกไปได้ก็รีบวิ่งหนีไป หากฟางเหนียงมิได้อยู่ตรงหน้าของจินหมิงเยว่ บุรุษผู้นั้นคงไม่มีโอกาสได้ก้าวขาเพื่อหนีออกไปเสียด้วยซ้ำ
จินหมิงเยว่ยอมรับว่าตนเองนั้นโง่เขลาไม่ต่างจากมนุษย์เมื่อมีความรัก ก็อยากเผยด้านที่ดีให้กับผู้เป็นที่รักได้เห็น และเขารู้ว่านางหวาดกลัวในยามที่ตนเองเข่นฆ่าสิ่งใดก็ตาม เช่นนั้นในยามนี้จินหมิงเยว่ไม่คิดจะสังหารผู้ใด แต่จดจำใบหน้าของมนุษย์ผู้นั้นเอาไว้ได้แล้ว
โทษฐานที่บังอาจมาแตะต้องสตรีของเขา และโทษฐานที่ทำให้ตัวเขาเองต้องบาดเจ็บ หากสลายวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นได้ก็คงไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เรื่องของสารถีผู้นั้นเอาไว้ทีหลังก่อน ถึงอย่างไรก็ไม่คิดที่จะปล่อยให้มีชีวิตต่อไปได้นาน ยามนี้มีสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นนั่นคือพาฟางเหนียงกลับไปยังตำหนักพันปี และรักษาร่างกายของตนเองให้หายดีก่อน
“ข้ามิได้กังวลเรื่องนั้นเสียหน่อย ข้ากังวลเรื่องของท่านมากกว่า ร่างกายของท่านเป็นเช่นนี้…”
“อย่าได้ห่วง ขอแค่มีลูกแก้วจิ้งจอก…”
“จะไม่ให้ห่วงได้อย่างไร ถึงท่านจะเป็นจิ้งจอกปีศาจแต่ก็มีกายหยาบ เมื่อได้รับบาดแผลก็ต้องเจ็บปวด!”
…เจ้า… เป็นห่วงข้าหรือ ไม่ว่าชาติภพใดเจ้าก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย…
“เจ้าจะโกรธไปใย ข้าไม่ตายหรอก” ฝ่ามือหนายื่นออกไปเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้กับนางอย่างทะนุถนอม
“แต่เจ็บนี่เจ้าคะ ฮึก”
ฟางเหนียงไม่คิดปิดบังความรู้สึกเป็นห่วงที่มีต่อบุรุษเลยแม้แต่น้อย ความจริงคือนางเป็นต้นเหตุที่ทำให้บุรุษได้รับบาดเจ็บ ด้วยท่าทางของนางที่เผยออกมาอย่างชัดเจน ทำให้จินหมิงเยว่รู้สึกอยากบาดเจ็บหนักกว่านี้เหลือเกิน นึกขอบคุณมนุษย์โง่เขลาผู้นั้นที่ย้อนกลับมาใช้ดาบแทงเขา มิเช่นนั้นก็คงมิได้รับความเป็นห่วงเป็นใยจากนาง
…ให้ข้าบาดเจ็บอีกสักกี่รอบ ข้าก็ยินดี…
บทที่ 15ยินยอม“กลับกับข้าเถิด”สตรีตัวน้อยพยักหน้า ถึงอย่างไรนางก็ต้องกลับกับเขาอยู่แล้ว ไม่มีทางปล่อยให้ผู้ที่บาดเจ็บเพราะความดื้อรั้นของตัวเองกลับไปเพียงคนเดียวเป็นแน่“เดินไหวหรือไม่เจ้าคะ?”“เจ้าประคองข้าหน่อยได้หรือไม่?” บุรุษใช้โอกาสออดอ้อนนางอย่างเจ้าเล่ห์ หากไม่ถือโอกาสนี้ก็ไม่รู้แล้วว่าจะมีโอกาสออดอ้อนนางอีกเมื่อใดแม้บาดแผลจะลึก แต่ตนเป็นปีศาจจิ้งจอก บาดแผลจากสิ่งของมนุษย์อีกทั้งยังไร้พิษ ตราบใดที่มีลูกแก้วจิ้งจอกอยู่ข้างกาย ร่างกายก็สามารถฟื้นคืนสภาพได้อย่างรวดเร็ว“เจ้าค่ะ”เมื่อกลับมายังตำหนักพันปี ฟางเหนียงก็เตรียมที่จะออกไปหาฮวาอิน สำหรับนางแล้วปีศาจด้วยกันย่อมรู้ว่าควรทำอย่างไรกับบาดแผล อีกอย่างนางมาอยู่ที่นี่ก็ได้รับแต่การปรนนิบัติ จึงไม่รู้ว่าข้าวของเครื่องใช้นั้นอยู่ที่ใดบ้าง แต่กลับถูกจินหมิงเยว่คว้าท่อนแขนเอาไว้เสียก่อน“เจ้าจะไปที่ใด?
บทที่ 16อยากลองจับมันหรือไม่ใบหน้าคมคายเลื่อนลงมาที่ลำคอระหง ไม่รีรอที่จะฝากฝังรอยรักสีเข้มไว้บนเนื้อขาวๆ ของนาง เป็นหลักฐานว่าฟางเหนียงได้เต็มใจร่วมค่ำคืนนี้กับเขาแล้ว ทั้งดูดและเลียอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังตราตรึงสัมผัสนี้เข้าไปในกายของนาง“อื้อ ท่านพี่...”“ชอบหรือไม่”“อึก อื้อ” นางไม่ยอมตอบ และถึงแม้จะอยากตอบสิ่งใดออกไปก็ทำได้ยากเย็นเหลือเกิน เมื่อจินหมิงเยว่รุกรานนางอย่างหนักหน่วง แม้แต่การหายใจยังยากแล้ว อารมณ์วาบหวามทำให้นางมิอาจควบคุมตนเองได้“เปล่งเสียงออกมาเถิด ข้าชอบเสียงของเจ้า” บุรุษเอ่ย ขณะที่ฝ่ามือหยาบปลดอาภรณ์ของนางผิวขาวนวลเนียนที่อยู่ด้านใน กระตุกปมของเอี๊ยมสีขาวออกเผยทรวงอกอวบอิ่มที่เคยสัมผัสเมื่อคืนวันวสันต์ และบัดนี้ความงดงามปรากฏแกสายตาอีกครั้งฝ่ามือหยาบกอบกุมความอวบอิ่มทั้งสองเต้า ฟ้อนเฟ้นด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะปาดป่ายหยอกล้อเล่นกับยอดอกสีหวาน ฟางเหนียงเกร็งไปทั่วทั้งร่างกับสัมผัสวาบหวามนี้ น
บทที่ 17ลูกแก้วจิ้งจอกไม่รู้กี่โมงกี่ยามแล้ว แต่เจ้าของดวงตากลมก็ค่อยๆ เปิดออกอย่างเชื่องช้า เมื่อแสงแดดด้านนอกส่องเข้ามาจนนางรู้สึกแสบตา พลันบางสิ่งก็บดบังแสงนั้นให้นาง เมื่อฟางเหนียงลืมตาขึ้นด้วยความสงสัย ก็เห็นว่าหางนุ่มนิ่มของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นั่นเองที่โผล่ออกมาเพื่อบังแสงแดดให้กับนางมือเล็กๆ ยื่นออกไปสัมผัสความนุ่มนิ่มของมันเล่นอย่างเอาแต่ใจ หางสีขาวขยับเข้ามาหานางแล้วลูบไล้ตามร่างกายจนนางรู้สึกจั๊กจี้“คิกคิก อย่าแกล้งข้าสิเจ้าคะ”“หึหึ” จินหมิงเยว่หัวเราะก่อนจะตวัดร่างของตนเองไปอีกฝั่งของเตียง เพื่อใช้ร่างกายของตนเองบดบังแสงแดดให้นาง “ตื่นแล้วหรือ? หิวหรือไม่?”ไม่เอ่ยอย่างเดียว กลับโน้มใบหน้าลงไปประทับริมฝีปาก ฝากฝังรอยจูบลงบนหน้าผากเนียนของนางอย่างรักใคร่“กี่ยามแล้วเจ้าคะ?”“ยามเชิน[1]แล้ว”“เจ้าคะ!?” ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง ก่อนจะค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้น หากแต่ความปวดร
บทที่ 18มิอาจยอมให้นางเสียหายลิ้นสากหลีกหนีเรียวลิ้นของนาง ลิ้นของนางก็ยังตามติดไม่ออก กลายเป็นจูบที่แสนดูดดื่มจนเกิดเสียงน่าอาย เมื่อยามที่ฟางเหนียงยอมแพ้คิดจะถอนริมฝีปากออก จินหมิงเยว่ก็เป็นฝ่ายคว้าท้ายทอยของนางแล้วกดให้แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็เป็นฝ่ายรุกรานโพรงปากอุ่น ตักตวงความหอมหวานอย่างเร่าร้อน ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เอาแต่หลีกหนีปฏิเสธนางแท้ๆ...จิ้งจอกเจ้าเล่ห์!!...อดมิได้ที่จะต่อว่าบุรุษในใจที่คิดหลอกนาง แต่ก็ยอมให้บุรุษรุกรานแต่โดยดี เพราะจูบหวานๆ ที่ถูกส่งมอบมามันพาให้ร่างของนางอ่อนระทวย เคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบซึ่งราวกับเอาอกเอาใจนาง นางจะยอมให้อภัยจินหมิงเยว่ก็แล้วกันเนิ่นนานกว่าทั้งสองจะถอนริมฝีปากออกจากัน ดวงตาสบประสานกันของหวานซึ้ง คล้ายกับกำลังแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่มีให้กันและกัน“เอาลูกแก้วคืนไปหรือยังเจ้าคะ?”“ยัง”“อ้าว?”“ข้าฝากไว้กับเจ้า หากข้าบาดเจ็บเจ้าจะได้จู
บทที่ 19จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ดวงตาคู่งามเปิดอย่างเชื่องช้า คราวนี้ฟางเหนียงไม่ตกใจอีกแล้วว่านางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร สถานที่ที่ไม่ต่างไปจากสรวงสวรรค์ นางคงถูกเทพองค์นั้นเรียกตัวมาอีกเป็นแน่นางเตรียมที่จะมองหาตัวของผู้ที่เรียกนางมา แต่ไม่ทันที่จะได้หยัดกายลุกขึ้นเสียด้วยซ้ำ เสียงทุ้มน่าฟังก็ดังขึ้นเหนือหัว“เดี๋ยวนี้เจ้าไม่ตกใจแล้วหรือ?”ฟางเหนียงหยัดกายลุกขึ้น ก่อนจะหันไปยอบกายคำนับตามมารยาท“คำนับ ท่านเทพเจ้าค่ะ”“อ่า เจ้ารู้แล้วสินะ… รู้ได้อย่างไร หมิงเยว่บอกเจ้าหรือ?”“ท่านพี่ของข้ารู้จักกับท่านเป็นการส่วนตัวด้วยหรือเจ้าคะ?”“อ่า มิใช่สินะ”ใบหน้าคมคายหม่นลงเล็กน้อย ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับฟางเหนียงดูเหมือนว่าทั้งสองจะรู้จักกันสินะ แต่รู้จักกันด้วยดีหรือร้ายมิอานคาดเดาได้“ท่านเทพ… จุดประสงค์ของท่านคือสิ่งใดกันแน่?”สตรีตัวน้อยรู้สึกหวาดหวั่นเหลือเกิน หวาดกลัวว
บทที่ 20งอน“ลองขย่มข้าสิ”“ตะ แต่ข้าไม่รู้”“ทำแบบนี้”“อ๊ะ!?”ฝ่ามือหยาบยกสะโพกกลมขึ้นแล้วกดลงให้ครอบครองความแข็งแกร่งของตนเอง ความเสียวซ่านแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่างบอบบางฟางเหนียงขยับตามการนำพาของบุรุษ กระทั่งหาจังหวะของตนเองเจอ จินหมิงเยว่ก็เปลี่ยนเป็นบีบเคล้นสะโพกกลมกลึงด้วยความมันเขี้วแทนท่วงท่าของนางสร้างความรัญจวนในเหลือเกิน มันเชื่องช้าและละมุนละไม ราวกับจงใจทรมานจินหมิงเยว่ให้ต้องอดทนกับกามารมณ์ เกร็งทั่วทั้งร่างจนเห็นก้อนกล้ามเนื้อชัดเจน อีกทั้งเส้นเลือดยังปูดโปนออกมา“อ่า เหนียงเอ๋อร์ เจ้าช่าง...” บุรุษมิอาจเอื้อนเอ่ยได้อีก เมื่อนางเริ่มขยับถี่ขึ้นเรื่อยๆ มิได้เข้าสุดออกสุดเหมือนอย่างในครั้งแรก แต่เป็นการกดสะโพกระรัว“อืม” นางครางเสียงหวานแล้วแหงนหน้าขึ้นตามอารมณ์ จินหมิงเยว่ก้ามหน้าลงดูดดื่มกับยอดอกสีหวานเข้าปากอย่างกระหายความรู้สึกวาบหวา
บทที่ 21รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปวันเวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ฟางเหนียงในวัยสิบหกปีครั้นมาที่ดินแดนจิ้งจอกแห่งนี้เป็นครั้งแรก บัดนี้นางอายุสิบแปดหนาวเสียแล้วความงดงามของนางนั้นเพิ่มมากขึ้นเสียจนจินหมิงเยว่แทบจะกกกอดนางเอาไว้ภายในห้องตลอดทั้งวันทั้งคืน ถึงแม้ว่ารอบตำหนักพันปีจะไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามาได้ หากมิได้รับอนุญาตก็ตาม“ท่านพี่เจ้าคะ!” เสียงเจื้อยแจ้วของฟางเหนียงดังขึ้น พร้อมการปรากฏกายของนาง ในขณะที่จินหมิงเยว่กำลังฝึกพละกำลังและอาคมบุรุษตวัดฝ่ามือครั้งหนึ่งพาร่างบอบบางลอยละล่องมานั่งบนตักของตนเอง แล้วฉวยโอกาสหอมแก้มนางไปหนึ่งที“ว้าย! ท่านพี่! ฮวาอินก็อยู่นะเจ้าคะ”“เฮ้อ ฮวาอินออกจะชอบที่ข้ากับเจ้าพลอดรักกัน”“ท่านพี่!!”เพี๊ยะ!!ว่าแล้วก็ตีท่อนแขนแกร่งไปหนึ่งทีด้วยความเขินอาย จินหมิงเยว่หัวเราะเสียงดัง ยิ่งได้เห็นพวงแก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อก็ยิ่งอยากแกล้
บทที่ 22สัญชาตญาณที่ต้องปลดปล่อยฟางเหนียงขยับกายไปนั่งลงบนตักของบุรุษ จากนั้นก็ใช้สะโพกกดลงบนความแข็งแกร่ง ครอบครองแก่นกายบุรุษเพศเข้าไปในตัวของตนเอง“อ่า...” ทั้งฟางเหนียงและจินหมิงเยว่ครางด้วยความสุขสมสตรีตัวน้อยโอบกอดบุรุษแนบอกแล้วเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะจะเริ่มขยับสะโพกของตนเองด้วยท่าทางที่ดูเก้ๆ กังๆ ในช่วงแรก ทว่าไม่นานความวาบหวาม รัญจวนใจ ร่างกายก็ได้นำพาให้นางสามารถขับเคลื่อนร่างกาย มอบความเสียวซ่านให้กับบุรุษได้เป็นอย่างดีนางเอนกายไปข้างหลัง ใช้มือเกาะบ่าของบุรุษเอาไว้ก่อนจะเด้งสะโพกระรัว รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของแก่นกายได้อย่างชัดเจน“อ๊า ท่านพี่ อื้ม!” ทรวงอกของนางถูกดูดดื่มอย่างหื่นกระหาย แม้มันจะเจ็บเล็กน้อยเพราะมีรอยแผลจากการกระทำของบุรุษเมื่อครั้นก่อนหน้า หากแต่ความวาบหวามนั้นมีมากกว่า นางจึงยิ่งแอ่นอกให้ปากหยักดูดดื่มและกลืนกินตามต้องการฟางเหนียงเชิดหน้าขึ้นแล้วร้องครางเสียงหวานอย่างลืมอาย สูญสิ้นสติในการยับยั้งชั่งใจ กลีบกา
บทที่ 26ห้วงคำนึงถึงนางหลายฤดูผ่านไปจินหมิงอันเติบใหญ่เป็นจิ้งจอกหนุ่ม มีอิทธิฤทธิ์มากล้นเดินตามรอยของผู้เป็นบิดา ฟางเหนียงภาคภูมิใจเหลือคณานับที่บุตรชายสง่างามเช่นนี้ อีกทั้งยังรวบรวมพลังสร้างลูกแก้วจิ้งจอกของตนเองได้แล้ว แม้ว่าลูกแก้วจิ้งจอกนั้นจะยังแข็งแกร่งไม่เท่าลูกแก้วจิ้งจอกที่อยู่ในตัวของนางก็ตามยามนั้นเองสายลมพัดผ่านพาเอาความเย็นสบายโอบรอบร่าง ทว่ามีบางสิ่งลอยมากับสายลมด้วย กลิ่นที่คุ้นเคยพาให้หัวใจดวงน้อยเต้นแรงขึ้นมาฟางเหนียงหยัดกายขึ้นแล้วพุ่งตัวออกไปตามกลิ่นนั่น แหวกผ่านพงไพร เป็นหนึ่งเดียวกับสายลม กระทั่งมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง นางเดินตามหาไม่นานก็มาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง“ยินดีด้วยเจ้าค่ะ ท่านเจ้าตระกูลได้บุตรชายเจ้าค่ะ!”เสียงเด็กร้องไห้โยเยดังลอดออกมาให้ได้ยิน พร้อมกับเสียงแสดงความยินดีให้กับบิดาและมารดา นางยืนฟังเสียงร้องไห้นั้นอยู่นาน กระทั่งมีคนผู้หนึ่งทักนางเข้า“มาหาผู้ใดหรือเจ้าคะ?”
บทที่ 25สูญเสียไปตลอดกาลดวงตาคู่งามลืมตาขึ้นท่ามกลางพงไพรอันคุ้นเคย ด้านข้างของนางคือร่างของจิ้งจอกหนุ่ม คนรักของนาง… ร่างของบุรุษที่รักนอนแน่นิ่งจนน่าหวาดหวั่นความอบอุ่นที่อยู่กลางอกบ่งบอกให้นางรับรู้ได้ถึงพลังชีวิตอันมหาศาล รวมถึงอิทธิฤทธิ์ของปีศาจจิ้งจอก มันคือลูกแก้วจิ้งจอกไม่ผิดแน่ใช่แล้ว ลูกแก้วจิ้งจอกอยู่กับนางมาตลอด ลูกแก้วจิ้งจอกที่เปรียบเสมือนพลังชีวิตของจินหมิงเยว่ บุรุษเคยบอกกับนางเช่นนั้น นั่นหมายความว่าไม่มีทางที่จินหมิงเยว่จะตาย เขาก็แค่หมดเรี่ยวแรงจึงหลับไปเท่านั้นนางเอ่ยปลอบตนเองแล้วหันไปหาบุรุษ หากทว่าเมื่อมือเล็กๆ แตะที่ร่างของบุรุษ ความเย็นยะเยือกก็แล่นผ่านเข้ามาในร่างของนาง สตรีตัวน้อยตัวแข็งทื่อ พลันน้ำตาก็ไหลอาบสู่สองข้างแก้ม“ไม่จริง ท่านพี่บอกว่า หากมีข้า มีลูกแก้วจิ้งจอก อย่างไรก็ไม่มีทางตายนี่”ฝ่ามือเล็กคว้าท่อนแขนของบุรุษแล้วออกแรงเขย่าแรงๆ เพื่อหวังให้บุรุษฟื้นตื่นขึ้นมา แม้ว่าบุรุษจะเจ็บ หากฟื้นขึ้นมานางจะยินยอมน
บทที่ 24เดิมทีนางควรจะตายไปตั้งนานแล้วยามนั้นเองบางสิ่งร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า เส้นแสงสีขาวหลายสายล้อมรอบพวกเขาเอาไว้“...!”จินหมิงเยว่และหลี่ตงหยางตวัดแขนขึ้นไปด้านหน้า ล้อมฟางเหนียงเอาไว้เพื่อปกป้องนางสตรีตัวน้อยสะดุ้งตกใจ โอบกอดจินหมิงเยว่เอาไว้ด้วยความหวาดกลัว...คนพวกนี้เป็นใครกัน?...“ส่งตัวนางมา หากต่อต้านจะถือว่าปรปักษ์ต่อสรวงสวรรค์”...สรวงสวรรค์หรือ!?...ดวงตาคู่งามเบิกกว้างด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน นางสับสนว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่!?“หากอยากได้ตัวนางนัก ก็เข้ามา!!” เป็นจินหมิงเยว่ที่เอ่ยออกไปอย่างไม่เกรงกลัว แม้จะเป็นผู้ใดหากมาพรากฟางเหนียงไปจากเขา บุรุษไม่ยินยอม!!เกิดการต่อสู้กันระหว่างปีศาจจิ้งจอก เทพหนุ่มตกสวรรค์และองครักษ์สวรรค์ โดยที่ฟางเหนียงอยู่ในการปกป้องของจินหมิงเยว่ตลอดการต่อสู้“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ เหตุใ
บทที่ 23เช่นนั้นข้าปรนนิบัติเจ้าแทนฟางเหนียงลงมือทำอาหารหลายอย่าง รวมถึงของหวานด้วย นางคีบทั้งผักทั้งปลาใส่ในถ้วยของบุรุษ ส่วนจินหมิงเยว่ก็คีบแต่พวกเนื้อสัตว์ใส่ถ้วยให้นางเช่นเดิม“เมื่อใดเจ้าจะอ้วนเสียที หืม?”“ข้าไม่อยากอ้วนเจ้าค่ะ”“เหตุใดจึงไม่อยากอ้วน?”“ข้าเป็นสตรี ก็ต้องรักสวยรักงามเป็นธรรมดา หากอ้วนเมื่อสวมใส่อาภรณ์ใดๆ ก็ไร้ความมั่นใจนี่เจ้าค่ะ”“เจ้าเคยอ้วนหรือ?”“ไม่เคยเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าหากอ้วนแล้วจะไม่งดงาม”“เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเคยมาก่อนที่เจ้าค่ะ! อีกอย่างข้าไม่เคยบอกว่าไม่อ้วนแล้วจะไม่งดงาม ข้าก็แค่คิดว่าคงไม่มีความมั่นใจ”“อ้วนให้ข้าหน่อยเถิด”“เอ๊ะ! ท่านพี่นี่อย่างไร หากอยากได้สตรีอ้วนๆ ก็ไปหาที่อื่น ไม่ต้องมาหาที่ข้า!”&l
บทที่ 22สัญชาตญาณที่ต้องปลดปล่อยฟางเหนียงขยับกายไปนั่งลงบนตักของบุรุษ จากนั้นก็ใช้สะโพกกดลงบนความแข็งแกร่ง ครอบครองแก่นกายบุรุษเพศเข้าไปในตัวของตนเอง“อ่า...” ทั้งฟางเหนียงและจินหมิงเยว่ครางด้วยความสุขสมสตรีตัวน้อยโอบกอดบุรุษแนบอกแล้วเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะจะเริ่มขยับสะโพกของตนเองด้วยท่าทางที่ดูเก้ๆ กังๆ ในช่วงแรก ทว่าไม่นานความวาบหวาม รัญจวนใจ ร่างกายก็ได้นำพาให้นางสามารถขับเคลื่อนร่างกาย มอบความเสียวซ่านให้กับบุรุษได้เป็นอย่างดีนางเอนกายไปข้างหลัง ใช้มือเกาะบ่าของบุรุษเอาไว้ก่อนจะเด้งสะโพกระรัว รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของแก่นกายได้อย่างชัดเจน“อ๊า ท่านพี่ อื้ม!” ทรวงอกของนางถูกดูดดื่มอย่างหื่นกระหาย แม้มันจะเจ็บเล็กน้อยเพราะมีรอยแผลจากการกระทำของบุรุษเมื่อครั้นก่อนหน้า หากแต่ความวาบหวามนั้นมีมากกว่า นางจึงยิ่งแอ่นอกให้ปากหยักดูดดื่มและกลืนกินตามต้องการฟางเหนียงเชิดหน้าขึ้นแล้วร้องครางเสียงหวานอย่างลืมอาย สูญสิ้นสติในการยับยั้งชั่งใจ กลีบกา
บทที่ 21รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปวันเวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ฟางเหนียงในวัยสิบหกปีครั้นมาที่ดินแดนจิ้งจอกแห่งนี้เป็นครั้งแรก บัดนี้นางอายุสิบแปดหนาวเสียแล้วความงดงามของนางนั้นเพิ่มมากขึ้นเสียจนจินหมิงเยว่แทบจะกกกอดนางเอาไว้ภายในห้องตลอดทั้งวันทั้งคืน ถึงแม้ว่ารอบตำหนักพันปีจะไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามาได้ หากมิได้รับอนุญาตก็ตาม“ท่านพี่เจ้าคะ!” เสียงเจื้อยแจ้วของฟางเหนียงดังขึ้น พร้อมการปรากฏกายของนาง ในขณะที่จินหมิงเยว่กำลังฝึกพละกำลังและอาคมบุรุษตวัดฝ่ามือครั้งหนึ่งพาร่างบอบบางลอยละล่องมานั่งบนตักของตนเอง แล้วฉวยโอกาสหอมแก้มนางไปหนึ่งที“ว้าย! ท่านพี่! ฮวาอินก็อยู่นะเจ้าคะ”“เฮ้อ ฮวาอินออกจะชอบที่ข้ากับเจ้าพลอดรักกัน”“ท่านพี่!!”เพี๊ยะ!!ว่าแล้วก็ตีท่อนแขนแกร่งไปหนึ่งทีด้วยความเขินอาย จินหมิงเยว่หัวเราะเสียงดัง ยิ่งได้เห็นพวงแก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อก็ยิ่งอยากแกล้
บทที่ 20งอน“ลองขย่มข้าสิ”“ตะ แต่ข้าไม่รู้”“ทำแบบนี้”“อ๊ะ!?”ฝ่ามือหยาบยกสะโพกกลมขึ้นแล้วกดลงให้ครอบครองความแข็งแกร่งของตนเอง ความเสียวซ่านแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่างบอบบางฟางเหนียงขยับตามการนำพาของบุรุษ กระทั่งหาจังหวะของตนเองเจอ จินหมิงเยว่ก็เปลี่ยนเป็นบีบเคล้นสะโพกกลมกลึงด้วยความมันเขี้วแทนท่วงท่าของนางสร้างความรัญจวนในเหลือเกิน มันเชื่องช้าและละมุนละไม ราวกับจงใจทรมานจินหมิงเยว่ให้ต้องอดทนกับกามารมณ์ เกร็งทั่วทั้งร่างจนเห็นก้อนกล้ามเนื้อชัดเจน อีกทั้งเส้นเลือดยังปูดโปนออกมา“อ่า เหนียงเอ๋อร์ เจ้าช่าง...” บุรุษมิอาจเอื้อนเอ่ยได้อีก เมื่อนางเริ่มขยับถี่ขึ้นเรื่อยๆ มิได้เข้าสุดออกสุดเหมือนอย่างในครั้งแรก แต่เป็นการกดสะโพกระรัว“อืม” นางครางเสียงหวานแล้วแหงนหน้าขึ้นตามอารมณ์ จินหมิงเยว่ก้ามหน้าลงดูดดื่มกับยอดอกสีหวานเข้าปากอย่างกระหายความรู้สึกวาบหวา
บทที่ 19จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ดวงตาคู่งามเปิดอย่างเชื่องช้า คราวนี้ฟางเหนียงไม่ตกใจอีกแล้วว่านางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร สถานที่ที่ไม่ต่างไปจากสรวงสวรรค์ นางคงถูกเทพองค์นั้นเรียกตัวมาอีกเป็นแน่นางเตรียมที่จะมองหาตัวของผู้ที่เรียกนางมา แต่ไม่ทันที่จะได้หยัดกายลุกขึ้นเสียด้วยซ้ำ เสียงทุ้มน่าฟังก็ดังขึ้นเหนือหัว“เดี๋ยวนี้เจ้าไม่ตกใจแล้วหรือ?”ฟางเหนียงหยัดกายลุกขึ้น ก่อนจะหันไปยอบกายคำนับตามมารยาท“คำนับ ท่านเทพเจ้าค่ะ”“อ่า เจ้ารู้แล้วสินะ… รู้ได้อย่างไร หมิงเยว่บอกเจ้าหรือ?”“ท่านพี่ของข้ารู้จักกับท่านเป็นการส่วนตัวด้วยหรือเจ้าคะ?”“อ่า มิใช่สินะ”ใบหน้าคมคายหม่นลงเล็กน้อย ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับฟางเหนียงดูเหมือนว่าทั้งสองจะรู้จักกันสินะ แต่รู้จักกันด้วยดีหรือร้ายมิอานคาดเดาได้“ท่านเทพ… จุดประสงค์ของท่านคือสิ่งใดกันแน่?”สตรีตัวน้อยรู้สึกหวาดหวั่นเหลือเกิน หวาดกลัวว
บทที่ 18มิอาจยอมให้นางเสียหายลิ้นสากหลีกหนีเรียวลิ้นของนาง ลิ้นของนางก็ยังตามติดไม่ออก กลายเป็นจูบที่แสนดูดดื่มจนเกิดเสียงน่าอาย เมื่อยามที่ฟางเหนียงยอมแพ้คิดจะถอนริมฝีปากออก จินหมิงเยว่ก็เป็นฝ่ายคว้าท้ายทอยของนางแล้วกดให้แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็เป็นฝ่ายรุกรานโพรงปากอุ่น ตักตวงความหอมหวานอย่างเร่าร้อน ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เอาแต่หลีกหนีปฏิเสธนางแท้ๆ...จิ้งจอกเจ้าเล่ห์!!...อดมิได้ที่จะต่อว่าบุรุษในใจที่คิดหลอกนาง แต่ก็ยอมให้บุรุษรุกรานแต่โดยดี เพราะจูบหวานๆ ที่ถูกส่งมอบมามันพาให้ร่างของนางอ่อนระทวย เคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบซึ่งราวกับเอาอกเอาใจนาง นางจะยอมให้อภัยจินหมิงเยว่ก็แล้วกันเนิ่นนานกว่าทั้งสองจะถอนริมฝีปากออกจากัน ดวงตาสบประสานกันของหวานซึ้ง คล้ายกับกำลังแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่มีให้กันและกัน“เอาลูกแก้วคืนไปหรือยังเจ้าคะ?”“ยัง”“อ้าว?”“ข้าฝากไว้กับเจ้า หากข้าบาดเจ็บเจ้าจะได้จู