“ทำได้สิ พวกมนุษย์กล่าวขานพวกข้าอยู่หลายสิ่ง ตัวแทนแห่งการบำเพ็ญเพียร ตัวแทนแห่งความพยายาม ตัวแทนแห่งพลังอำนาจ และ... ตัวแทนแห่งตัณหาราคะ” จงใจจดจ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่งาม แล้วค่อยๆ โน้มหน้าไปใกล้ๆ จนปลายจมูกสัมผัสกัน “ตัวข้านั้นเป็นทั้งหมด ที่เหล่ามนุษย์ขนานนาม”
“ตะ แต่แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน[1]นะเจ้าคะ”
“ไม่ลองแล้วจะรู้หรือ ไม่แน่แตงดิบๆ อาจจะถูกปากกว่าที่คิดก็ได้”
...ท่านช่าง... เจ้าเล่ห์สมกับเป็นจิ้งจอกจริงๆ...
“หึ!” จินหมิงเยว่หัวเราะเสียงเบาก็จะละออกจากร่างบอบบาง “แต่อย่างไรแตงหวานๆ ก็อร่อย เช่นนั้นข้าจะรอให้แตงหวานก่อนก็ได้”
ฟางเหนียงรีบหยัดกายลุกขึ้นจ้องมองบุรุษด้วยความไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงหยุด นางคิดว่าบุรุษจะขืนใจนางแม้นางไม่ยินยอมเป็นแน่...
“ทว่าลูกแก้วที่อยู่กับเจ้านั้นสำคัญกับข้า อย่างน้อยทุกเจ็ดวันก็มาให้ข้าได้เติมพลังจากลูกแก้วเสียหน่อย”
“เติมพลังหรือเจ้าคะ?”
“อืม...” เป็นอีกครั้งที่จินหมิงเยว่ยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้กับนางจนเกือบชิด “ด้วยจูบของเจ้า”
และแล้วฟางเหนียงก็หาคำตอบให้ตนเองได้แล้ว เมื่อครู่ที่ถูกจูบคล้ายกับถูกสูบพลังชีวิตออกไป แท้จริงแล้วเป็นพลังของลูกแก้วจิ้งจอกที่ถูกบุรุษดึงกลับไป หรืออาจจะเป็นตัวลูกแก้วเองที่อยากกลับไปหาต้นกำเนิดพลังของตนเอง
อันที่จริงฟางเหนียงก็อยากเอาคืนจินหมิงเยว่อยู่หรอก หากแต่ถ้าคืนลูกแก้วไป นางคงได้แต่โอดครวญอยู่บนเตียงเป็นแน่ ข้อเท้าที่ผิดรูปถูกรักษาจนอยู่ในสภาพเดิมแล้ว แต่รอยช้ำนั้นเป็นสีม่วงเข้มจนน่ากลัว ฟางเหนียงไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าหากเธอมิได้ลูกแก้วจิ้งจอกของจินหมิงเยว่นั้น นางจะต้องเจ็บปวดทรมานมากเพียงใด
เช่นนั้นแค่จูบเพื่อส่งต่อพลังไม่เกินกำลังนางหรอก
“ได้เจ้าค่ะ!”
ในค่ำคืนนั้นเอง เมื่อเห็นว่าสตรีข้างกายเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว บุรุษจึงหยัดกายลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังห้องหนังสือ ใช้พลังตรวจสอบดูก็พบคลื่นพลังที่แตกต่าง มิใช่พลังปีศาจหรือพลังมนตร์ดำ แต่เป็นคลื่นพลังที่บริสุทธิ์
มีคนนอกบุกรุกเข้ามาจริงๆ แถมยังเข้ามาจนถึงตำหักพันปี เกิดขึ้นได้อย่างไร?
จินหมิงเยว่ตวัดแขนรอบหนึ่ง ตะเกียงภายในห้องหนังสือก็ส่องสว่างไม่ต่างจากตอนกลางวัน กวาดสายตามองไปรอบด้านและเดินสำรวจด้วยตนเองทุกสัดส่วน แต่กลับไม่พบสิ่งใดผิดแปลกไปจากเดิม ผู้บุกรุกคือใครกัน เหตุใดจึงลักลอบเข้ามาได้อย่างง่ายดาย และหายไปพร้อมกับกลบร่องรอยได้อย่างแนบเนียนเช่นนี้?
บุรุษเดินมาจนถึงใจกลางของห้อง ซึ่งมีโต๊ะหนังสือและเก้าอี้อยู่หนึ่งตัว เป็นโต๊ะที่บุรุษใช้ในการคัดลอกอักษรตั้งแต่แรกเริ่ม จึงมีรอยหมึกหยดเลอะบ้างประปราย อีกทั้งสภาพของมันก็ค่อนข้างเก่า...
ดวงหน้าหวานผุดขึ้นมาภายในหัวของบุรุษ รอยยิ้มหวานละมุน แววตาหวาดหวั่น ท่าทางระมัดระวัง และบางครั้งก็เข้าหาเขาอย่างร่าเริง... ทุกสิ่งอย่างของนางถูกบันทึกเอาไว้ในความทรงจำของบุรุษ
ฝ่ามือหยาบสัมผัสที่ขอบของโต๊ะ ก่อนจะเลื่อนผ่านรอบโต๊ะ พื้นผิวที่ถูกฝ่ามือหยาบเลื่อนผ่านนั้นแปรเปลี่ยนเป็นโต๊ะสีขาวสะอาดตาแทนโต๊ะสีน้ำตาลเข้ม อีกทั้งยังคลุมด้วยผ้าปูโต๊ะปักลวดลายของบุปผาพันปี เก้าอี้เองก็ถูกเปลี่ยนเป็นสีเดียวกันพร้อมกับหมอนรองนั่งนุ่มสบาย
...หากนางชอบก็คงดี...
หลังจากวันนั้น ฟางเหนียงก็ยังคงไปยังห้องหนังสือทุกวัน เนื่องจากนอกจากห้องหนังสือแล้วก็ไม่มีที่ใดที่น่าสนใจสำหรับนางเลย สวนบุปผาพันปีก็ไปดูจนเบื่อเสียแล้ว มีแต่การอ่านหนังสือเท่านั้น ที่ทำให้นางเพลิดเพลินจนลืมเวลาไปได้ อีกทั้งที่นี่ลมยังพัดเย็นสบาย โต๊ะที่ถูกเปลี่ยนใหม่และหมอนรองนั่งแสนนุ่มนิ่มก็ทำให้นางเอาแต่เก็บตัวอยู่ภายในห้องหนังสือตั้งแต่เช้าจรดเย็น
“ฮ้าว” ฟางเหนียงยกมือขึ้นปิดปากแล้วหาววอดๆ
ดวงตาคู่งามกะพริบปริบๆ แขนข้างหนึ่งที่เท้าคางค่อยๆ เอนลงจนกลายเป็นแนบกับพื้นโต๊ะ จากนั้นดวงหน้าหวานก็แนบซบลงบนแขนของตนเอง พร้อมกับดวงตาปิดสนิท
“ฮู่ว! กว่าจะเรียกเจ้ามาได้”
เสียงหนึ่งดังขึ้นอยู่เหนือหัว เสียงอันไม่คุ้นเคยแต่เป็นสียงที่นางเคยได้ยิน ทว่านึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเป็นเสียงของผู้ใด ดวงตาคู่งามเปิดออกอย่างเชื่องช้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง ทว่า...
“ทะ ท่าน!!”
บุรุษรูปงามปรากฎแก่สายตาของนาง เป็นบุรุษคนเดียวกับที่ปรากฏตัวที่ห้องหนังสือในวันนั้น
สตรีตัวน้อยหันซ้ายหันขวา กลับพบว่าร่างของนางมิได้อยู่ภายในห้องหนังสืออีกแล้ว แต่กลับอยู่... บนปุบเมฆเสียได้
นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่!!
“ข้าไปหาเจ้ามิได้ เพราะสามีของเจ้า ข้าจึงเรียกเจ้ามาที่นี่”
“ท่านพี่หรือ?”
“ใช่ สามีของเจ้าเป็นห่วงเป็นใยเจ้าเหลือเกิน ทุกถ้อยคำที่เจ้าเอ่ยล้วนจำได้ เพียงแต่จะเผยออกไปหรือไม่นั่นก็อีกเรื่อง”
“แล้วท่านเรียกข้ามาทำไม ไม่สิ” สตรีตัวน้อยส่ายหน้า นางมีคำถามมากมายที่อยากจะถามบุรุษตรงหน้า ทว่าต้องเรียงลำดับความสำคัญ ต้องรู้ว่าบุรุษผู้นี้คือใครก่อน ดูแล้วไม่น่าใช่คนธรรมดา แล้วต้องการสิ่งใดกับนางก็อีกเรื่อง “ท่านเป็นใครกันแน่?”
“อีกไม่นานเจ้าจะรู้คำตอบ ข้าบอกตอนนี้มิได้ แต่ข้าอยู่ข้างพวกเจ้า”
“ท่านเรียกข้ามาได้อย่างไร?” ฟางเหนียงถามอีกคำถามทันทีด้วยความสงสัย เนื่องจากจินหมิงเยว่ไม่รู้จักบุรุษ ทว่ากลับเข้าไปที่นั่นได้ แล้วไหนจะเรื่องที่จินหมิงเยว่ทำให้เขาไม่สามารถไปหานางได้อีก
“จากความฝันของเจ้า ข้าทำให้เจ้าหลับแล้วดึงดวงจิตของเจ้าบางส่วนมาที่นี่”
แต่บุรุษรูปงามก็ตอบคำถามของนางอย่างใจเย็น ด้วยรู้ดีว่าเป็นธรรมดาที่มนุษย์จะระแวดระวังตน
“แล้วท่านเรียกข้ามาเพื่อสิ่งใด?”
...คงมิใช่ว่าต้องการลูกแก้วจิ้งจอกหรอกกระมัง ก็ในเมื่อข้ารู้สึกได้ถึงพลังบริสุทธิ์จากตัวของเขา จะต้องเป็นผู้ที่มีวิชาอยู่บ้าง ทว่าตามตำนานเล่าขานที่ข้าเคยได้ยิน ลูกแก้วจิ้งจอกนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ว่าปีศาจหรือทวยเทพก็ต้องการมันนี่...
“ช่วยเปิดตา เปิดใจของเจ้า”
“เปิดตาเปิดใจข้าหรือ?”
“ใช่ แม้สามีของเจ้าจะเป็นจิ้งจอกเก้าหาง มีข่าวลือว่าแสนโหดร้าย โหดเหี้ยม หากทว่านั่นก็เป็นบทบาทหน้าที่ของประมุขจิ้งจอก หากไม่เด็ดขาดก็คงโดนเด็ดหัวแทน เจ้าอย่าได้หวาดกลัวเขาไปเลย และก็ล้มเลิกแผนการนั้นเสียเถิด”
ฟางเหนียงสะดุ้งเล็กน้อย เนื่องจากเขารู้ถึง ‘แผนการ’ ของนางที่กำลังวางแผนเพียงคนเดียวอย่างเงียบๆ แผนการออกไปใช้ชีวิตอย่างอิสระ!!
“จิ้งจอกเก้าหางตนนั้นปักใจรักแต่เจ้าเพียงผู้เดียว เป็นความรักลึกซึ้งยากเข้าถึงได้ เมื่อเจ้าหนีไปก็คงถูกจับกลับมาโดยทันที หลังจากนั้นจะถูกริดรอนอิสระ จากที่สามารถไปที่ใดก็ได้ตามพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต ก็คงจะจำกัดพื้นที่มากขึ้น เพื่อให้เจ้าอยู่ในสายตาและไร้หนทางหนี เจ้าต้องการเช่นนั้นหรือ?”
บุรุษผู้นี้คล้ายกับรู้ความในใจของนาง แม้จะตั้งใจปรนนิบัติบุรุษ หากแต่ก็หาทางหนีทีไล่ไว้ตลอด เผื่อว่าวันหนึ่งบุรุษผันใจไปจากนาง หรือว่าสักวันหนึ่งหัวใจของนางเรียกร้องหาอิสระอย่างแรงกล้า นางจะได้มีหนทางเลืก แม้จะต้องเสี่ยงก็ตาม
“เรื่องของข้า ข้าตัดสินใจเองได้...”
“เฮ้อ เจ้านี่ช่าง... ดื้อดึงเสียเหลือเกิน ข้าอุตส่าห์แนะนำด้วยความหวังดี แต่เจ้ากลับไม่ฟัง!”
“ชีวิตของข้า หนทางของข้า ข้าเลือกเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้บุรุษแปลกหน้าเช่นท่านคอยแนะนำให้หรอกกระมัง แม้แต่ตัวตนยังไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด...”
“เฮ้อ เรื่องตัวตนของข้าน่ะ มันเป็นกฎ การที่ข้ามาหาเจ้าเช่นนี้ก็หลบเสี่ยงดวงตาสวรรค์มากแล้ว”
“ดวงตาสวรรค์หรือ ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
วาบ!!
ร่างบอบบางเรืองแสงสว่างวาบ สตรีตัวน้อยยกฝ่ามือของตนเองขึ้นมาดู รวมทั้งตรวจดูทั้งแขน ขา ลำตัว ไม่ต่างไปจากดวงวิญญาร
“อย่าได้ตกใจ ดูเหมือนว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่นานเกินไป ตอนนี้ได้เวลากลับแล้ว”
“เดี๋ยวก่อน...”
“ไว้พบกันใหม่”
ดวงตาคู่งามเบิกกว้างสู้กับแสงสว่างที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา นางหยัดกายนั่งตัวตรงแล้วสำรวจมองไปรอบด้านก็พบว่าตนเองนั้นกลับมายังห้องหนังสือแล้ว สตรีตัวน้อยครุ่นคิดถึงตัวตนของบุรุษผู้นั้น
สามารถเข้ามายังตำหนักพันปีได้โดยที่ไม่มีใครพบเห็น แม้แต่เจ้าของตำหนักเองยังไม่รู้
ดึงดวงติตของนางไปยังเบื้องบนได้ และยังหลบเลี่ยงดวงตาของสวรรค์เพื่อมาหานาง และ…
พลังบริสุทธิ์และท่าทางดูภูมิฐาน ถึงแม้แววตาจะเจ้าเล่ห์ไม่ต่างจากจิ้งจอกก็ตาม
ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่นางรวบรวมได้โดยมิได้ตั้งใจนั้น…
…เทพหรือเซียน?...
มีเพียงสองสิ่งที่สามารถอธิบายตัวตนของบุรุษปริศนาผู้นั้นได้ บางทีที่นี่อาจจะมีข้อมูลบางอย่าง…
คิดได้เช่นนั้นฟางเหนียงก็หยัดกายขึ้นค้นหาทั่วห้องหนังสือเกี่ยวกับเรื่องของเทพเจ้าและเทพเซียน ทว่าโดยส่วนใหญ่นั้นเป็นเรื่องราวของเผ่าปีศาจ และเผ่ามนุษย์ เรื่องเล่า นิทานต่างๆ
หลายวันผ่านไปฟางเหนียงก็ยังคงหาอยู่เช่นเดิม และแล้วในที่สุดนางก็เจอ!! นางนำหนังสือเล่มที่เกี่ยวกับเทพเจ้าและเซียนขึ้นมาอ่าน และแล้วนางก็รู้ถึงตัวตนของบุรุษผู้นั้น!
แต่น่าแปลกที่บุรุษสูงศักดิ์ยืนเหนือปวงมนุษย์เช่นนั้น เหตุใดจึงหลบเลี่ยงดวงตาของสวรรค์ลงมายุ่งเกี่ยวกับมนุษย์กัน?
“คิดอะไรอยู่หรือ”
“ว้าย!!”
เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นที่ข้างหู พร้อมกับลมหายใจอุ่นๆ รินรดแผ่วเบา หนังสือที่อยู่ในมือร่วงหล่นลง โชคดีที่เจ้าของเสียงนุ่มทุ้มคว้าหนังสือเล่มนั้นเอาไว้ ราวกับรู้อยู่ก่อนแล้ว ในณะที่ดวงตาเรียวคมจ้องมองดวงตาคู่งามนิ่งไม่ยอมละสายตา
[1] แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน = การที่ฝืนบังคับให้คนอื่นทำสิ่งใดที่ไม่อยากทำ ย่อมไม่เกิดผลดี
บทที่ 12เติมพลังเสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นที่ข้างหู พร้อมกับลมหายใจอุ่นๆ รินรดแผ่วเบา หนังสือที่อยู่ในมือร่วงหล่นลง โชคดีที่เจ้าของเสียงนุ่มทุ้มคว้าหนังสือเล่มนั้นเอาไว้ ราวกับรู้อยู่ก่อนแล้ว ในณะที่ดวงตาเรียวคมจ้องมองดวงตาคู่งามนิ่งไม่ยอมละสายตา“ทะ ท่านพี่ ข้าตกใจหมด”“ตกใจเรื่องอะไร เว้นเสียแต่ว่าเจ้ากระทำความผิด”“เหนียยงเอ๋อร์กำลังอ่านหนังสือเพลินๆ ท่านพี่เข้ามามิให้สุ้มมิให้เสียงก็ต้องตกใจสิเจ้าคะ”“หากเจ้ามาหาข้าแล้วแกล้งกระโดดกอดคอข้า สาบานเลยว่าข้าไม่มีทางตกใจ” บุรุษว่าพลางยกยิ้มมุมปากด้วยความเจ้าเล่ห์สตรีตัวน้อยถอนหายใจแล้วยื่นมือออกไปคว้าหนังสือที่อยู่ในมือของบุรุษ แต่อีกฝ่ายกลับขยับหนี ฟางเหนียงเหลือบสายตามองบุรุษอีกหน แล้วส่งสายตาดุๆ ใส่ก่อนจะยื่นมือออกไปคว้าหนังสือ ทว่าจินหมิงเยว่ก็ยังกระทำแบบเดิม“ท่านพี่!”คราวนี้จินหมิงเยว่เหลือบสายตาอ่านชื่อหนังสือบนหน้าปก ซึ่งล้วนแล้วแต่
บทที่ 13ข้าปรารถนาเจ้าอย่างสุดหัวใจ“เจ้าค่ะ” นางตอบรับด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เดิมทีฟางเหนียงก็ไม่คิดปฏิเสธอยู่แล้ว เพราะรู้สึกผิดที่ครอบครองลูกแก้วจิ้งจอกเอาไว้ ทั้งๆ ที่มันควรจะอยู่กับเจ้าของหากทว่าข้อเท้าของนางยังเป็นรอยช้ำสีเข้มอยู่เลย นางขอโลภมากและเห็นแก่ตัว ครอบครองมันนานอีกคงไม่เป็นอะไร อย่างไรเสียเจ้าตัวก็อนุญาตนางแล้วรอบนี้จูบที่เคยหวานปานมธุรสกลับถูกบดขยี้ลงมาอย่างเร่าร้อน ฟางเหนียงรู้สึกตกใจจนสะดุ้ง หากถอยหลังหนีได้นางคงถอยไปแล้ว แต่ร่างของนางกลับถูกดันชิดกับชั้นหนังสือน่ะสิ จึงไม่มีโอกาสให้นางได้ถอยห่างเลยแม้แต่น้อย ยิ่งบุรุษกดริมฝีปากลงมา ก็ยิ่งเป็นการเปิดปากของนางให้อ้าออก เพื่อที่จินหมิงเยว่จะได้รุกรานเข้ามาได้อย่างลึกซึ้งมากกว่าเดิม“อื้อ” แม้รสจูบนั้นจะมิได้หวานซาบซ่าอย่างที่นางชื่นชอบ แต่รสจูบเช่นนี้กลับเร่งเร้าให้หัวใจของนางเต้นระรัวได้ดี ฟางเหนียงเผลอไผลไปกับสัมผัสของบุรษ ฝ่ามือหนาเริ่มซุกซน เฟ้นฟ้อนไปทั่วทั้งเรือนร่างของนางกระทั่งถ
บทที่ 14ทั้งโง่เขลาและดื้อรั้น“ช้าก่อนเจ้าค่ะ ช้าก่อน!”ทันทีที่สารถีเห็นคนงามก็หยุดรถม้าลงแล้วมองนางด้วยความฉงนใจ สภาพของนางดูสะอาดสะอ้านเกินกว่าคนที่หลงทาง อีกทั้งยังดูมีเรี่ยวมีแรงราวกับเพิ่งกินอิ่ม…ใบหน้านี้คุ้นเคยอย่างไรบอกไม่ถูก?...“ข้าขอติดรถท่านไปลงที่หมู่บ้านได้หรือไม่เจ้าคะ?”“เจ้าหลงป่าหรือ?”“เจ้าค่ะ ข้าออกมาตามหากระต่ายป่าที่ข้าเลี้ยงเอาไว้ แต่คลาดกับมัน มารู้ตัวอีกทีก็อยู่กลางป่าเสียแล้ว”“ขึ้นมาสิ ข้าจะพาไปส่งที่หมู่บ้าน”“ขอบคุณเจ้าค่ะ!!” ฟางเหนียงเอ่ยพลางยิ้มกว้าง กำลังจะเดินขึ้นรถม้าทว่าสารถีผู้นั้นก็เอ่ยเรียกนางเอาไว้เสียก่อน“ช้าก่อน เจ้า… ฟางเหนียง!?”“เจ้าคะ? ท่านรู้จักข้าด้วยหรือเจ้าคะ?”พลันโทสะก็ครอบงำบุรุษผู้นี้แล้วกระโดดเข้าจู่โจมฟางเหนียง!!
บทที่ 15ยินยอม“กลับกับข้าเถิด”สตรีตัวน้อยพยักหน้า ถึงอย่างไรนางก็ต้องกลับกับเขาอยู่แล้ว ไม่มีทางปล่อยให้ผู้ที่บาดเจ็บเพราะความดื้อรั้นของตัวเองกลับไปเพียงคนเดียวเป็นแน่“เดินไหวหรือไม่เจ้าคะ?”“เจ้าประคองข้าหน่อยได้หรือไม่?” บุรุษใช้โอกาสออดอ้อนนางอย่างเจ้าเล่ห์ หากไม่ถือโอกาสนี้ก็ไม่รู้แล้วว่าจะมีโอกาสออดอ้อนนางอีกเมื่อใดแม้บาดแผลจะลึก แต่ตนเป็นปีศาจจิ้งจอก บาดแผลจากสิ่งของมนุษย์อีกทั้งยังไร้พิษ ตราบใดที่มีลูกแก้วจิ้งจอกอยู่ข้างกาย ร่างกายก็สามารถฟื้นคืนสภาพได้อย่างรวดเร็ว“เจ้าค่ะ”เมื่อกลับมายังตำหนักพันปี ฟางเหนียงก็เตรียมที่จะออกไปหาฮวาอิน สำหรับนางแล้วปีศาจด้วยกันย่อมรู้ว่าควรทำอย่างไรกับบาดแผล อีกอย่างนางมาอยู่ที่นี่ก็ได้รับแต่การปรนนิบัติ จึงไม่รู้ว่าข้าวของเครื่องใช้นั้นอยู่ที่ใดบ้าง แต่กลับถูกจินหมิงเยว่คว้าท่อนแขนเอาไว้เสียก่อน“เจ้าจะไปที่ใด?
บทที่ 16อยากลองจับมันหรือไม่ใบหน้าคมคายเลื่อนลงมาที่ลำคอระหง ไม่รีรอที่จะฝากฝังรอยรักสีเข้มไว้บนเนื้อขาวๆ ของนาง เป็นหลักฐานว่าฟางเหนียงได้เต็มใจร่วมค่ำคืนนี้กับเขาแล้ว ทั้งดูดและเลียอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังตราตรึงสัมผัสนี้เข้าไปในกายของนาง“อื้อ ท่านพี่...”“ชอบหรือไม่”“อึก อื้อ” นางไม่ยอมตอบ และถึงแม้จะอยากตอบสิ่งใดออกไปก็ทำได้ยากเย็นเหลือเกิน เมื่อจินหมิงเยว่รุกรานนางอย่างหนักหน่วง แม้แต่การหายใจยังยากแล้ว อารมณ์วาบหวามทำให้นางมิอาจควบคุมตนเองได้“เปล่งเสียงออกมาเถิด ข้าชอบเสียงของเจ้า” บุรุษเอ่ย ขณะที่ฝ่ามือหยาบปลดอาภรณ์ของนางผิวขาวนวลเนียนที่อยู่ด้านใน กระตุกปมของเอี๊ยมสีขาวออกเผยทรวงอกอวบอิ่มที่เคยสัมผัสเมื่อคืนวันวสันต์ และบัดนี้ความงดงามปรากฏแกสายตาอีกครั้งฝ่ามือหยาบกอบกุมความอวบอิ่มทั้งสองเต้า ฟ้อนเฟ้นด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะปาดป่ายหยอกล้อเล่นกับยอดอกสีหวาน ฟางเหนียงเกร็งไปทั่วทั้งร่างกับสัมผัสวาบหวามนี้ น
บทที่ 17ลูกแก้วจิ้งจอกไม่รู้กี่โมงกี่ยามแล้ว แต่เจ้าของดวงตากลมก็ค่อยๆ เปิดออกอย่างเชื่องช้า เมื่อแสงแดดด้านนอกส่องเข้ามาจนนางรู้สึกแสบตา พลันบางสิ่งก็บดบังแสงนั้นให้นาง เมื่อฟางเหนียงลืมตาขึ้นด้วยความสงสัย ก็เห็นว่าหางนุ่มนิ่มของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นั่นเองที่โผล่ออกมาเพื่อบังแสงแดดให้กับนางมือเล็กๆ ยื่นออกไปสัมผัสความนุ่มนิ่มของมันเล่นอย่างเอาแต่ใจ หางสีขาวขยับเข้ามาหานางแล้วลูบไล้ตามร่างกายจนนางรู้สึกจั๊กจี้“คิกคิก อย่าแกล้งข้าสิเจ้าคะ”“หึหึ” จินหมิงเยว่หัวเราะก่อนจะตวัดร่างของตนเองไปอีกฝั่งของเตียง เพื่อใช้ร่างกายของตนเองบดบังแสงแดดให้นาง “ตื่นแล้วหรือ? หิวหรือไม่?”ไม่เอ่ยอย่างเดียว กลับโน้มใบหน้าลงไปประทับริมฝีปาก ฝากฝังรอยจูบลงบนหน้าผากเนียนของนางอย่างรักใคร่“กี่ยามแล้วเจ้าคะ?”“ยามเชิน[1]แล้ว”“เจ้าคะ!?” ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง ก่อนจะค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้น หากแต่ความปวดร
บทที่ 18มิอาจยอมให้นางเสียหายลิ้นสากหลีกหนีเรียวลิ้นของนาง ลิ้นของนางก็ยังตามติดไม่ออก กลายเป็นจูบที่แสนดูดดื่มจนเกิดเสียงน่าอาย เมื่อยามที่ฟางเหนียงยอมแพ้คิดจะถอนริมฝีปากออก จินหมิงเยว่ก็เป็นฝ่ายคว้าท้ายทอยของนางแล้วกดให้แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็เป็นฝ่ายรุกรานโพรงปากอุ่น ตักตวงความหอมหวานอย่างเร่าร้อน ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เอาแต่หลีกหนีปฏิเสธนางแท้ๆ...จิ้งจอกเจ้าเล่ห์!!...อดมิได้ที่จะต่อว่าบุรุษในใจที่คิดหลอกนาง แต่ก็ยอมให้บุรุษรุกรานแต่โดยดี เพราะจูบหวานๆ ที่ถูกส่งมอบมามันพาให้ร่างของนางอ่อนระทวย เคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบซึ่งราวกับเอาอกเอาใจนาง นางจะยอมให้อภัยจินหมิงเยว่ก็แล้วกันเนิ่นนานกว่าทั้งสองจะถอนริมฝีปากออกจากัน ดวงตาสบประสานกันของหวานซึ้ง คล้ายกับกำลังแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่มีให้กันและกัน“เอาลูกแก้วคืนไปหรือยังเจ้าคะ?”“ยัง”“อ้าว?”“ข้าฝากไว้กับเจ้า หากข้าบาดเจ็บเจ้าจะได้จู
บทที่ 19จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ดวงตาคู่งามเปิดอย่างเชื่องช้า คราวนี้ฟางเหนียงไม่ตกใจอีกแล้วว่านางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร สถานที่ที่ไม่ต่างไปจากสรวงสวรรค์ นางคงถูกเทพองค์นั้นเรียกตัวมาอีกเป็นแน่นางเตรียมที่จะมองหาตัวของผู้ที่เรียกนางมา แต่ไม่ทันที่จะได้หยัดกายลุกขึ้นเสียด้วยซ้ำ เสียงทุ้มน่าฟังก็ดังขึ้นเหนือหัว“เดี๋ยวนี้เจ้าไม่ตกใจแล้วหรือ?”ฟางเหนียงหยัดกายลุกขึ้น ก่อนจะหันไปยอบกายคำนับตามมารยาท“คำนับ ท่านเทพเจ้าค่ะ”“อ่า เจ้ารู้แล้วสินะ… รู้ได้อย่างไร หมิงเยว่บอกเจ้าหรือ?”“ท่านพี่ของข้ารู้จักกับท่านเป็นการส่วนตัวด้วยหรือเจ้าคะ?”“อ่า มิใช่สินะ”ใบหน้าคมคายหม่นลงเล็กน้อย ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับฟางเหนียงดูเหมือนว่าทั้งสองจะรู้จักกันสินะ แต่รู้จักกันด้วยดีหรือร้ายมิอานคาดเดาได้“ท่านเทพ… จุดประสงค์ของท่านคือสิ่งใดกันแน่?”สตรีตัวน้อยรู้สึกหวาดหวั่นเหลือเกิน หวาดกลัวว
บทที่ 26ห้วงคำนึงถึงนางหลายฤดูผ่านไปจินหมิงอันเติบใหญ่เป็นจิ้งจอกหนุ่ม มีอิทธิฤทธิ์มากล้นเดินตามรอยของผู้เป็นบิดา ฟางเหนียงภาคภูมิใจเหลือคณานับที่บุตรชายสง่างามเช่นนี้ อีกทั้งยังรวบรวมพลังสร้างลูกแก้วจิ้งจอกของตนเองได้แล้ว แม้ว่าลูกแก้วจิ้งจอกนั้นจะยังแข็งแกร่งไม่เท่าลูกแก้วจิ้งจอกที่อยู่ในตัวของนางก็ตามยามนั้นเองสายลมพัดผ่านพาเอาความเย็นสบายโอบรอบร่าง ทว่ามีบางสิ่งลอยมากับสายลมด้วย กลิ่นที่คุ้นเคยพาให้หัวใจดวงน้อยเต้นแรงขึ้นมาฟางเหนียงหยัดกายขึ้นแล้วพุ่งตัวออกไปตามกลิ่นนั่น แหวกผ่านพงไพร เป็นหนึ่งเดียวกับสายลม กระทั่งมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง นางเดินตามหาไม่นานก็มาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง“ยินดีด้วยเจ้าค่ะ ท่านเจ้าตระกูลได้บุตรชายเจ้าค่ะ!”เสียงเด็กร้องไห้โยเยดังลอดออกมาให้ได้ยิน พร้อมกับเสียงแสดงความยินดีให้กับบิดาและมารดา นางยืนฟังเสียงร้องไห้นั้นอยู่นาน กระทั่งมีคนผู้หนึ่งทักนางเข้า“มาหาผู้ใดหรือเจ้าคะ?”
บทที่ 25สูญเสียไปตลอดกาลดวงตาคู่งามลืมตาขึ้นท่ามกลางพงไพรอันคุ้นเคย ด้านข้างของนางคือร่างของจิ้งจอกหนุ่ม คนรักของนาง… ร่างของบุรุษที่รักนอนแน่นิ่งจนน่าหวาดหวั่นความอบอุ่นที่อยู่กลางอกบ่งบอกให้นางรับรู้ได้ถึงพลังชีวิตอันมหาศาล รวมถึงอิทธิฤทธิ์ของปีศาจจิ้งจอก มันคือลูกแก้วจิ้งจอกไม่ผิดแน่ใช่แล้ว ลูกแก้วจิ้งจอกอยู่กับนางมาตลอด ลูกแก้วจิ้งจอกที่เปรียบเสมือนพลังชีวิตของจินหมิงเยว่ บุรุษเคยบอกกับนางเช่นนั้น นั่นหมายความว่าไม่มีทางที่จินหมิงเยว่จะตาย เขาก็แค่หมดเรี่ยวแรงจึงหลับไปเท่านั้นนางเอ่ยปลอบตนเองแล้วหันไปหาบุรุษ หากทว่าเมื่อมือเล็กๆ แตะที่ร่างของบุรุษ ความเย็นยะเยือกก็แล่นผ่านเข้ามาในร่างของนาง สตรีตัวน้อยตัวแข็งทื่อ พลันน้ำตาก็ไหลอาบสู่สองข้างแก้ม“ไม่จริง ท่านพี่บอกว่า หากมีข้า มีลูกแก้วจิ้งจอก อย่างไรก็ไม่มีทางตายนี่”ฝ่ามือเล็กคว้าท่อนแขนของบุรุษแล้วออกแรงเขย่าแรงๆ เพื่อหวังให้บุรุษฟื้นตื่นขึ้นมา แม้ว่าบุรุษจะเจ็บ หากฟื้นขึ้นมานางจะยินยอมน
บทที่ 24เดิมทีนางควรจะตายไปตั้งนานแล้วยามนั้นเองบางสิ่งร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า เส้นแสงสีขาวหลายสายล้อมรอบพวกเขาเอาไว้“...!”จินหมิงเยว่และหลี่ตงหยางตวัดแขนขึ้นไปด้านหน้า ล้อมฟางเหนียงเอาไว้เพื่อปกป้องนางสตรีตัวน้อยสะดุ้งตกใจ โอบกอดจินหมิงเยว่เอาไว้ด้วยความหวาดกลัว...คนพวกนี้เป็นใครกัน?...“ส่งตัวนางมา หากต่อต้านจะถือว่าปรปักษ์ต่อสรวงสวรรค์”...สรวงสวรรค์หรือ!?...ดวงตาคู่งามเบิกกว้างด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน นางสับสนว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่!?“หากอยากได้ตัวนางนัก ก็เข้ามา!!” เป็นจินหมิงเยว่ที่เอ่ยออกไปอย่างไม่เกรงกลัว แม้จะเป็นผู้ใดหากมาพรากฟางเหนียงไปจากเขา บุรุษไม่ยินยอม!!เกิดการต่อสู้กันระหว่างปีศาจจิ้งจอก เทพหนุ่มตกสวรรค์และองครักษ์สวรรค์ โดยที่ฟางเหนียงอยู่ในการปกป้องของจินหมิงเยว่ตลอดการต่อสู้“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ เหตุใ
บทที่ 23เช่นนั้นข้าปรนนิบัติเจ้าแทนฟางเหนียงลงมือทำอาหารหลายอย่าง รวมถึงของหวานด้วย นางคีบทั้งผักทั้งปลาใส่ในถ้วยของบุรุษ ส่วนจินหมิงเยว่ก็คีบแต่พวกเนื้อสัตว์ใส่ถ้วยให้นางเช่นเดิม“เมื่อใดเจ้าจะอ้วนเสียที หืม?”“ข้าไม่อยากอ้วนเจ้าค่ะ”“เหตุใดจึงไม่อยากอ้วน?”“ข้าเป็นสตรี ก็ต้องรักสวยรักงามเป็นธรรมดา หากอ้วนเมื่อสวมใส่อาภรณ์ใดๆ ก็ไร้ความมั่นใจนี่เจ้าค่ะ”“เจ้าเคยอ้วนหรือ?”“ไม่เคยเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าหากอ้วนแล้วจะไม่งดงาม”“เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเคยมาก่อนที่เจ้าค่ะ! อีกอย่างข้าไม่เคยบอกว่าไม่อ้วนแล้วจะไม่งดงาม ข้าก็แค่คิดว่าคงไม่มีความมั่นใจ”“อ้วนให้ข้าหน่อยเถิด”“เอ๊ะ! ท่านพี่นี่อย่างไร หากอยากได้สตรีอ้วนๆ ก็ไปหาที่อื่น ไม่ต้องมาหาที่ข้า!”&l
บทที่ 22สัญชาตญาณที่ต้องปลดปล่อยฟางเหนียงขยับกายไปนั่งลงบนตักของบุรุษ จากนั้นก็ใช้สะโพกกดลงบนความแข็งแกร่ง ครอบครองแก่นกายบุรุษเพศเข้าไปในตัวของตนเอง“อ่า...” ทั้งฟางเหนียงและจินหมิงเยว่ครางด้วยความสุขสมสตรีตัวน้อยโอบกอดบุรุษแนบอกแล้วเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะจะเริ่มขยับสะโพกของตนเองด้วยท่าทางที่ดูเก้ๆ กังๆ ในช่วงแรก ทว่าไม่นานความวาบหวาม รัญจวนใจ ร่างกายก็ได้นำพาให้นางสามารถขับเคลื่อนร่างกาย มอบความเสียวซ่านให้กับบุรุษได้เป็นอย่างดีนางเอนกายไปข้างหลัง ใช้มือเกาะบ่าของบุรุษเอาไว้ก่อนจะเด้งสะโพกระรัว รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของแก่นกายได้อย่างชัดเจน“อ๊า ท่านพี่ อื้ม!” ทรวงอกของนางถูกดูดดื่มอย่างหื่นกระหาย แม้มันจะเจ็บเล็กน้อยเพราะมีรอยแผลจากการกระทำของบุรุษเมื่อครั้นก่อนหน้า หากแต่ความวาบหวามนั้นมีมากกว่า นางจึงยิ่งแอ่นอกให้ปากหยักดูดดื่มและกลืนกินตามต้องการฟางเหนียงเชิดหน้าขึ้นแล้วร้องครางเสียงหวานอย่างลืมอาย สูญสิ้นสติในการยับยั้งชั่งใจ กลีบกา
บทที่ 21รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปวันเวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ฟางเหนียงในวัยสิบหกปีครั้นมาที่ดินแดนจิ้งจอกแห่งนี้เป็นครั้งแรก บัดนี้นางอายุสิบแปดหนาวเสียแล้วความงดงามของนางนั้นเพิ่มมากขึ้นเสียจนจินหมิงเยว่แทบจะกกกอดนางเอาไว้ภายในห้องตลอดทั้งวันทั้งคืน ถึงแม้ว่ารอบตำหนักพันปีจะไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามาได้ หากมิได้รับอนุญาตก็ตาม“ท่านพี่เจ้าคะ!” เสียงเจื้อยแจ้วของฟางเหนียงดังขึ้น พร้อมการปรากฏกายของนาง ในขณะที่จินหมิงเยว่กำลังฝึกพละกำลังและอาคมบุรุษตวัดฝ่ามือครั้งหนึ่งพาร่างบอบบางลอยละล่องมานั่งบนตักของตนเอง แล้วฉวยโอกาสหอมแก้มนางไปหนึ่งที“ว้าย! ท่านพี่! ฮวาอินก็อยู่นะเจ้าคะ”“เฮ้อ ฮวาอินออกจะชอบที่ข้ากับเจ้าพลอดรักกัน”“ท่านพี่!!”เพี๊ยะ!!ว่าแล้วก็ตีท่อนแขนแกร่งไปหนึ่งทีด้วยความเขินอาย จินหมิงเยว่หัวเราะเสียงดัง ยิ่งได้เห็นพวงแก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อก็ยิ่งอยากแกล้
บทที่ 20งอน“ลองขย่มข้าสิ”“ตะ แต่ข้าไม่รู้”“ทำแบบนี้”“อ๊ะ!?”ฝ่ามือหยาบยกสะโพกกลมขึ้นแล้วกดลงให้ครอบครองความแข็งแกร่งของตนเอง ความเสียวซ่านแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่างบอบบางฟางเหนียงขยับตามการนำพาของบุรุษ กระทั่งหาจังหวะของตนเองเจอ จินหมิงเยว่ก็เปลี่ยนเป็นบีบเคล้นสะโพกกลมกลึงด้วยความมันเขี้วแทนท่วงท่าของนางสร้างความรัญจวนในเหลือเกิน มันเชื่องช้าและละมุนละไม ราวกับจงใจทรมานจินหมิงเยว่ให้ต้องอดทนกับกามารมณ์ เกร็งทั่วทั้งร่างจนเห็นก้อนกล้ามเนื้อชัดเจน อีกทั้งเส้นเลือดยังปูดโปนออกมา“อ่า เหนียงเอ๋อร์ เจ้าช่าง...” บุรุษมิอาจเอื้อนเอ่ยได้อีก เมื่อนางเริ่มขยับถี่ขึ้นเรื่อยๆ มิได้เข้าสุดออกสุดเหมือนอย่างในครั้งแรก แต่เป็นการกดสะโพกระรัว“อืม” นางครางเสียงหวานแล้วแหงนหน้าขึ้นตามอารมณ์ จินหมิงเยว่ก้ามหน้าลงดูดดื่มกับยอดอกสีหวานเข้าปากอย่างกระหายความรู้สึกวาบหวา
บทที่ 19จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ดวงตาคู่งามเปิดอย่างเชื่องช้า คราวนี้ฟางเหนียงไม่ตกใจอีกแล้วว่านางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร สถานที่ที่ไม่ต่างไปจากสรวงสวรรค์ นางคงถูกเทพองค์นั้นเรียกตัวมาอีกเป็นแน่นางเตรียมที่จะมองหาตัวของผู้ที่เรียกนางมา แต่ไม่ทันที่จะได้หยัดกายลุกขึ้นเสียด้วยซ้ำ เสียงทุ้มน่าฟังก็ดังขึ้นเหนือหัว“เดี๋ยวนี้เจ้าไม่ตกใจแล้วหรือ?”ฟางเหนียงหยัดกายลุกขึ้น ก่อนจะหันไปยอบกายคำนับตามมารยาท“คำนับ ท่านเทพเจ้าค่ะ”“อ่า เจ้ารู้แล้วสินะ… รู้ได้อย่างไร หมิงเยว่บอกเจ้าหรือ?”“ท่านพี่ของข้ารู้จักกับท่านเป็นการส่วนตัวด้วยหรือเจ้าคะ?”“อ่า มิใช่สินะ”ใบหน้าคมคายหม่นลงเล็กน้อย ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับฟางเหนียงดูเหมือนว่าทั้งสองจะรู้จักกันสินะ แต่รู้จักกันด้วยดีหรือร้ายมิอานคาดเดาได้“ท่านเทพ… จุดประสงค์ของท่านคือสิ่งใดกันแน่?”สตรีตัวน้อยรู้สึกหวาดหวั่นเหลือเกิน หวาดกลัวว
บทที่ 18มิอาจยอมให้นางเสียหายลิ้นสากหลีกหนีเรียวลิ้นของนาง ลิ้นของนางก็ยังตามติดไม่ออก กลายเป็นจูบที่แสนดูดดื่มจนเกิดเสียงน่าอาย เมื่อยามที่ฟางเหนียงยอมแพ้คิดจะถอนริมฝีปากออก จินหมิงเยว่ก็เป็นฝ่ายคว้าท้ายทอยของนางแล้วกดให้แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็เป็นฝ่ายรุกรานโพรงปากอุ่น ตักตวงความหอมหวานอย่างเร่าร้อน ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เอาแต่หลีกหนีปฏิเสธนางแท้ๆ...จิ้งจอกเจ้าเล่ห์!!...อดมิได้ที่จะต่อว่าบุรุษในใจที่คิดหลอกนาง แต่ก็ยอมให้บุรุษรุกรานแต่โดยดี เพราะจูบหวานๆ ที่ถูกส่งมอบมามันพาให้ร่างของนางอ่อนระทวย เคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบซึ่งราวกับเอาอกเอาใจนาง นางจะยอมให้อภัยจินหมิงเยว่ก็แล้วกันเนิ่นนานกว่าทั้งสองจะถอนริมฝีปากออกจากัน ดวงตาสบประสานกันของหวานซึ้ง คล้ายกับกำลังแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่มีให้กันและกัน“เอาลูกแก้วคืนไปหรือยังเจ้าคะ?”“ยัง”“อ้าว?”“ข้าฝากไว้กับเจ้า หากข้าบาดเจ็บเจ้าจะได้จู