เมื่อทายาทบริษัทบอดี้การ์ดชั้นนำระดับประเทศต้องมาอยู่ในร่างสตรีโบราณที่ทั้งโง่เขลาและขี้ขลาด ปกป้องผู้ใดไม่ได้แม้แต่ตนเอง ไหน ๆ นางก็มาแล้วมันจะต้องเปลี่ยน!! และเด็กน้อยที่น่าสงสารผู้นั้น "ท่านแม่~"
View Moreตอนพิเศษ[2]ไปงานวันเกิดที่เผ่านอกด่าน ใบหน้าหล่อเหลาที่แฝงไปด้วยความดุดันของบุรุษวัยยี่สิบหนาวช่างทำให้คนเคลิบเคลิ้มและหวาดหวั่นได้ในคราเดียว เดินตามหลังกันมานั้นแม้จะอายุเพียงสิบสองหนาวแต่ก็เห็นเค้าของความหล่อเหลาล่มเมืองแล้วเพราะเป็นความผสมผสานระหว่างเซวียหลิงจ้านและลู่หรงซิน ใช่แล้วทั้งสองก็คือเซวียจินหลิงและเซวียจินหลง บุตรชายที่เซวียหลิงจ้านและลู่หรงซินภาคภูมิใจ เนื่องจากเมื่อหลายเดือนที่แล้ว เซวียจินหลิงได้รับจดหมายจากพ่อแม่ที่แท้จริงว่าจะมีการจัดงานวันเกิดให้กับมารดา หรือราชินีของเผ่านอกด่าน จึงอยากให้เขามาเข้าร่วมสักครั้ง เนื่องจากหลังจากที่เขาจำเรื่องราวได้ทั้งหมด เขาก็ยังไม่เคยเข้าร่วมงานนี้สักครั้ง แต่หากว่ามาเที่ยวเล่นเขาพาหลงเออร์มาหลายครั้งแล้ว แต่ปีนี้เข้าเห็นว่าคนทั้งคู่เฝ้ารอเขามาเนิ่นนาน เขาจึงคิดว่าตนเองก็ไม่ควรจะใจดำถึงเพียงนั้น ทั้งท่านแม่ท่านแม่ก็สนับสนุน ท่านแม่อยากจะตามมาด้วยซ้ำ หากไม่ติดว่าต้องดูแลน้องเล็ก เซวียจินหราน ในวัยเจ็ดหนาวที่อ้อนแต่จะไปสนามฝึกทุกวัน น้องเล็กเหมือนท่านแม่มาก กลับไปคงต้องหาของฝากดี ๆ ไปฝากนางเสียแล้ว “หลิงเออร์มาแล้วหรือ
ตอนพิเศษ[1]สำเร็จโทษ เติ้งหลงฮ่องเต้นั้นเอ็นดูหลานชายบุญธรรมทั้งสองอย่างเซวียจินหลิงและเซวียจินหลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนามจินหลง ก็เป็นพระองค์ที่ทรงตั้งให้ จากเดิมที่เซวียหลิงจ้านได้หยุดพักหนึ่งปีพระองค์ก็ให้เขามาประจำการอยู่เมืองหลวงชั่วคราวจนกว่าบุตรชายคนเล็กจะเติบใหญ่ แต่ทว่านางนั้นรอไม่ไหวแล้ว เมื่อบุตรชายอายุได้สามหนาวจึงได้ให้สามีไปขอพระราชทานฝ่าบาทขอกลับไปประจำการอยู่ที่เมืองสวี่เฉิง คราแรกฝ่าบาทไม่เห็นด้วย แต่เมื่อบอกว่าเป็นความต้องการของภรรยา พระองค์จึงต้องอนุญาตโดยไม่เต็มใจ หากลู่หรงซินต้องการเขาหรือจะไม่อนุญาต ภาพวันนั้นเมื่อสามปีที่แล้วเขาไม่ลืม คิดแล้วก็ลูบคอตนเองไปพลาง ๆ จากนั้นตระกูลเซวียจึงได้ย้ายกันไปอยู่ที่เมืองสวี่เฉิงนับจากนั้น ทุกคนตามไปหมดทั้งแม่นมฉิงและถิงถิง รวมถึงฉีอ้าย แต่จะฉีอันพี่ชายของนางแม้จะอยากตามไป แต่เขาต้องบุกเบิกหนทางให้ตนเอง จะต้องสอบเป็นขุนนางของวังหลวงได้ รวมถึงเขาได้ตกลงกับกลุ่มศัตรูพ่ายว่าจะพัฒนาตรอกจูชางให้เจริญยิ่งขึ้น ฉีอ้ายจึงได้แต่ส่งกำลังใจให้พี่ชายให้ทำให้สำเร็จ ด้านจวนตระกูลเซวียนั้นไม่น่าเป็นห่วงเพราะได้หาคนที่ไว้ใจได้และฝีม
ตอนที่[17]เสี่ยวหลิงอยากมีน้อง“ท่านแม่ ท่านแม่ฟังเสี่ยวหลิงอยู่หรือไม่ ท่านแม่ต้องมีน้องให้เสี่ยวหลิงนะขอรับ” เมื่อเห็นมารดาคล้ายเหม่อลอยจึงได้รีบสำทับอีกครั้ง เด็กน้อยเร่งเร้าอีกครั้งจึงทำให้สติของนางกลับมา “อ้อ อืม เสี่ยวหลิง แม่จะเก็บไปคิดอีกที แม่ขอกลับเรือนก่อนนะ เจ้าอย่าคิดมาก” ว่าแล้วก็จ้ำอ้าวออกจากเรือนบุตรชายเพื่อสงบสติอารมณ์ตนเอง คล้อยหลังลู่หรงซิน ร่างสูงที่แอบฟังเรื่องราวอยู่ไม่ไกลก็ได้เข้ามาในห้องของบุตรชาย “เสี่ยวหลิง พ่อจะเอาน้องมาให้เจ้า พ่อสัญญา” ในวันต่อมาทั้งคู่จึงได้จับเข่าคุยกัน แต่ไป ๆ มา ๆ เซวียหลิงจ้านก็ทนไม่ไหว เขาจึงเอ่ยความในใจออกไปตามตรง “ซินเออร์ เจ้าย้ายมาอยู่เรือนเดียวกับพี่เถิด พี่ว่าเราควรเรียนรู้กันให้มากกว่านี้”และไม่น่าเชื่อว่าการเจรจาอันแสนแปลกจะสำเร็จผล! นางตัดสินใจย้ายมาอยู่เรือนเดียวกับเขา และคืนนี้จะเป็นวันที่นางและเขาจะได้ร่วมนอนเตียงด้วยกันเป็นครั้งแรก…..และคงหลีกเลี่ยงเรื่องนั้นไม่ได้สินะ ในห้องนอนที่ประดับประดาด้วยของตกแต่งสีแดง บนโต๊ะมีสุรามงคลและขนม คล้ายกับวันเข้าหอของคู่บ่าวสาวก็ไม่ปาน นี่ต้องเป็นฝีมือของแม่นมฉิงเป็นแน่ “ซ
ตอนที่[17]เสี่ยวหลิงอยากมีน้องชาติกำเนิดที่แท้จริงของเสี่ยวหลิง ที่แท้เสี่ยวหลิงคือบุตรชายคนเล็กของราชาของเผ่านอกด่านทั้งสี่ที่ถูกบ่าวชายหญิงที่คิดคดทรยศลักพาตัวบุตรชายของเขาออกมาและสร้อยที่เสี่ยวหลิงแขวนอยู่กับตัวอยู่ตลอดนั่นคือคำตอบ น่าแปลกที่เสี่ยวหลิงในยามนั้นอายุห้าหนาวแล้ว แต่กลับจำอันใดไม่ได้ ซึ่งนางมองว่ามันผิดปกติ จึงได้ใช้ยาของนางในการรักษาเขา สุดท้ายจึงพบว่าเขาได้ถูกวางยาทำให้ความจำก่อนหน้านั้นหายไปและแน่นอนว่า R-01 ก็ช่วยเหลือได้อีกแล้ว เด็กน้อยจำพ่อแม่ที่แท้จริงได้ แต่เขากล่าวว่าจะอยู่กับนางและเซวียหลิงจ้าน แต่หากเติบใหญ่เขาเปลี่ยนไปหรืออย่างไร นางย่อมให้เขาได้ทำตามที่ใจปรารถนา เมื่อเป็นเช่นนี้ แคว้นเติ้งและเผ่านอกด่านจึงลงนามสัญญาว่าจะไม่ระรานกัน ไม่โจมตีกัน ด้วยทางนั้นก็รู้สึกผิดและอยากขอบคุณที่แม่ทัพใหญ่แคว้นเติ้งที่รับเลี้ยงและดูแลบุตรชายของพวกเขาเป็นอย่างดี ทั้งเมื่อทำเจรจาสงบศึกแล้ว พวกเขาก็สามารถมาเยี่ยมเยียนบุตรชายได้ด้วย นอกจากนั้นยังมีสัญญาการค้าที่จะเปิดโอกาสให้ได้ทำการค้าร่วมกันอีก นี่มีแต่ดีกับดีทั้งนั้น จะรบกันต่อเพื่อสิ่งใด เรื่องราวทั้งหมดจึงจบ
ตอนที่[17]เสี่ยวหลิงอยากมีน้อง ตั้งแต่วันที่นางบอกว่าจะให้โอกาสเขา นางก็รู้สึกว่าเขาชักจะทำตัวแปลก ๆ ขึ้นทุกวัน เช่นวันนี้ เขาพานางมาถือตะกร้าเก็บดอกไม้ในสวนดอกไม้ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งเมื่อดูแล้ว มันไม่เหมาะสำหรับนางและเขาเอาเสียเลย สุดท้ายเมื่อไม่อาจฝืนความเป็นตนเอง จึงได้แต่มองหน้ากันและหัวเราะออกมาเบา ๆ “ไปที่ที่เหมาะกับพวกเรากัน” เซวียหลิงจ้านเสนอขึ้นเหล่าทหารต่างตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ฮูหยินที่มากฝีมือที่พวกเขาจำได้ไม่ลืมในวันที่เกือบจะเป็นวันสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของแคว้นเติ้ง แต่เป็นเพราะฮูหยินของพวกเขาผู้นี้จึงทำให้ผ่านวิกฤตนั้นมาได้ เมื่อนางมาพวกเขาก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ สองสามีภรรยามาที่ค่ายด้วยความอารมณ์ดีไม่น้อย แต่อารมณ์ดีอย่างไรถึงได้สู้กันเช่นนั้น“นี่…. เป็นวิธีแสดงความรักต่อกันฉบับท่านแม่ทัพและฮูหยินหรือ” ทหารผู้หนึ่งกล่าวขึ้น ทั้งคู่ต่อสู้กันจนเหงื่อโชก แน่นอนว่าที่ผู้เป็นภรรยาเป็นฝ่ายเอาชนะได้เกือบทั้งหมดทุกรอบ แต่มีรอบสุดท้ายที่เขากล่าวขึ้น “ฮูหยินหากพี่ชนะพี่จะขอให้เจ้าทำบางอย่างได้หรือไม่” เมื่อกล่าวจบสายตาแห่งความสงสัยก็เกิดขึ้น “อันใดหรือเจ้าคะ
ตอนที่[16]ขอโอกาสจู่ ๆ เขาก็ถือวิสาสะมาจับมือนางเอาไว้ “……”“ฮูหยิน ข้าอาจจะรู้เรื่องและเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของสตรีน้อยนักเพราะตั้งแต่เด็กก็เอาแต่ตามท่านพ่อไปที่ค่าย เจ้าอาจจะรู้สึกไม่พอใจในเรื่องนี้ แต่ข้าจะพยายามทำให้ดีกว่าเดิม ไม่สิ ข้าต้องทำได้แน่” “……”“เจ้าเป็นภรรยาคนแรก และข้าสัญญาว่าจะเป็นภรรยาคนเดียวและคนสุดท้ายของข้า” “……”“ดังนั้น ฮูหยินข้าขอโอกาสเป็นสามีที่ดีของเจ้าได้หรือไม่” แม้ว่ายามนี้จะเป็นเวลากลางคืน แต่นางก็เห็นใบหน้าที่กำลังเว้าวอนของเขาได้อย่างชัดเจนช่วงเวลาที่รอคอยคำตอบช่างเป็นเวลาที่หัวใจของเซวียหลิงจ้านรู้สึกบีบรัดเหลือเกิน จนกระทั่ง…“ก่อนที่ข้าจะตอบ ข้าอยากจะกล่าวอะไรเสียหน่อย” “ได้สิ ฮูหยินว่ามาเลย” เขายืดตัวขึ้นเพื่อรอฟังนางด้วยความตั้งใจ “ข้า…ก็ไม่ใช่สตรีเฉกเช่นสตรีทั่วไป หากท่านเคยรู้เรื่องราวของลู่หรงซินว่าเป็นมาเช่นไร ยามนี้ข้ามิใช่เช่นนั้น ข้ามิได้อ่อนหวาน อ่อนโยน มิได้เก่งเรื่องของสตรีอย่างที่ควรจะเป็น ข้าชอบต่อสู้และออกจะ…. ดุดัน ท่านอาจจะไม่ชอบเช่นกัน ท่านลองคิดดูอีกทีดีหรือไม่”เขารู้ว่านางแตกต่างจากที่เขาได้ยินมาโดยสิ้นเชิง แต่สตรีที่ทำ
ตอนที่[16]ขอโอกาส กว่าทั้งสี่คนจะกลับมาถึงจวนก็เป็นเวลาอาหารเย็น เมื่อเดินมาถึงเรือนใหญ่ก็พบว่าแม่นมฉิงให้คนเตรียมอาหารไว้มากมาย มื้อนี้ของตระกูลเซวียจึงดูคึกคักเป็นพิเศษ น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีบรรยากาศเช่นนี้ เซวียหลิงจ้านให้ หลินเนี่ยนเจิน เจียงฉิน แม่นมฉิง ถิงถิงและฉีอ้ายร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน เสี่ยวหลิงตั้งแต่ที่เห็นว่ามารดายังไม่จากไปไหนก็ได้ทำตัวตามติดราวกับหางน้อย ๆ ก็ไม่ปาน “ท่านแม่ เสี่ยวหลิงคีบอาหารให้ขอรับ” แม้อายุจะเพียงเจ็ดหนาวแต่ใช้ตะเกียบได้คล่องนัก มือเล็กเอาแต่คีบนั่นนี่ให้มารดาไม่หยุด “คีบให้แต่ท่านแม่ แล้วพ่อเล่า” จู่ ๆ เซวียหลิงจ้านก็เอ่ยขึ้น ใบหน้างองุ้มราวกับน้อยใจเต็มประดา แต่ทุกคนรู้ว่าชายหนุ่มกำลังเย้าบุตรชายก็เท่านั้น “ท่านพ่อไม่ต้องน้อยใจนะขอรับ ถึงท่านพ่อจะเป็นที่สองสำหรับเสี่ยวหลิง แต่เสี่ยวหลิงก็ยังรักท่านพ่ออยู่นะ” ว่าแล้วก็คีบหมูเปรี้ยวหวานใส่ชามข้าวของบิดาด้วยความรวดเร็ว ส่วนคนอื่นที่อยู่บนโต๊ะอาหารได้แต่กลั้นหัวเราะหน้าดำหน้าแดง เมื่อได้ยินเด็กน้อยบอกว่าบิดาของตนคือที่สอง แม้แต่ลู่หรงซินยังยกยิ้มขึ้น “เป็นที่สองก็ได้ ให้ท่านแม่เป็
ตอนที่[15]ฮูหยินตราตั้งเรือนนอกเมืองหลังหนึ่ง เสียงแห่งความรัญจวนดังออกมาจากเรือนเป็นระยะ ๆ ส่วนผู้ที่อยู่ด้านในก็กำลังสุขสมอย่างเต็มที่ แต่ทว่าในจังหวะที่เขากำลังจะมีความสุขขั้นสุดเขาก็รับรู้ได้ว่ามีเงาสายหนึ่งทาบมาที่ด้านหลัง ก่อนที่ผมของเขาจะถูกกระชากไปด้านหลังอย่างรุนแรง “ว้าย” จี้เหมยกรีดร้องขึ้นเพราะมีผู้เข้ามาในยามที่ตนกำลังเปลือยเปล่าทั้งอยู่ในช่วงกำลังดำดิ่งในห้วงลึก ลู่หรงซินกำผมของฉู่หวังหมิ่นไว้แน่นในขณะใบหน้ายังคงเรียบนิ่ง ในอีกด้านหนึ่งยามนี้เซวียหลิงจ้านและทหารคนสนิทอีกสองคนได้แต่ทำสีหน้าไม่ถูก แต่หากสังเกตจะเห็นได้ว่าหูของพวกเขาทั้งสามกำลังแดงก่ำ ยามได้เห็นว่าผู้ที่อยู่ในเรือนกำลังทำอันใดกัน ตั้งแต่เด็กพวกเขาก็สนใจแค่เรื่องการทหาร ไหนเลยจะมีประสบการณ์เรื่องนี้ ส่วนเซวียหลิงจ้านแม้จะมีฮูหยินแล้ว แต่ก็ไม่ทันได้เข้าหอเสียด้วยซ้ำ คิดแล้วก็อยากจะปิดตานางเอาไว้นัก ยามนี้ฉู่หวังหมิ่นไร้อาภรณ์ปิดกาย ส่วนนั้นก็เด่นหราอยู่อย่างชัดเจน นางไม่ควรจะต้องเห็นของบุรุษผู้อื่นมิใช่หรือ นอกจาก…เขา คิดแล้วความแดงจากใบหูก็ลามเลียมาที่ใบหน้า “ท่านไม่สบายหรือ” นางสังเกตเห็นว่าเ
ตอนที่[15]ฮูหยินตราตั้ง“เสี่ยวหลิงนี่มันเรื่องอันใดกัน” ใบหน้างามเบนกลับมาหาบุตรชายตัวน้อยที่คุกเข่าก้มหน้าอยู่อีกครั้ง “ท่านแม่ เสี่ยวหลิงได้ยิน…. ที่ท่านพ่อคุยกับท่านแม่ ว่าท่านแม่กำลังจะจากพวกเรา เสี่ยวหลิงเสียใจ จึงได้ไปบอกทุกคนให้มาช่วยกัน ห้ามท่านแม่ขอรับ ฮึก” ที่แท้ก็เรื่องนี้นางจึงปรับสีหน้าให้อ่อนโยนยิ่งขึ้น ก่อนจะก้มลงไปหาเด็กน้อย พลางเกลี่ยน้ำตาให้เขาอย่างอ่อนโยน“เสี่ยวหลิง ข้าไม่ได้จะจากไปที่ใด”“จะ…. จริงหรือขอรับ” ดวงตาแห่งความหวังเงยสบตากับมารดาทันทีหลังอีกฝ่ายกล่าวจบ“อื้ม” “ท่านแม่” เด็กน้อยโผเข้ากอดมารดาทันที เขาใจแทบสลาย ทั้งทำตัวไม่ถูกว่าจะต้องทำอย่างไร เขาไม่อยากให้ท่านแม่จากไป“ทุกคนลุกขึ้นเถิด” จากนั้นนางจึงบอกให้ทุกคนลุกขึ้น “ในยามนี้ข้ายังไม่ได้คิดจะจากไป ขอวันนี้ทุกคนกลับไปทำหน้าที่ของตนก่อนเถิด” “ส่วนท่านแม่ทัพ เรามีเรื่องต้องคุยกัน” “ฮูหยินมีอันใดหรือ” เขาเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่เดินเข้ามาที่โถงของเรือนใหญ่ จะเห็นได้ว่าเซวียหลิงจ้านยามนี้ราวกับปลากระดี่ได้น้ำก็ไม่ปาน นางกล่าวว่านางจะไม่ไปแล้ว นั่นหมายความว่าเขาและนางอาจจะได้มีโอกาสเรียนรู้กันมากขึ้
ตอนที่[1]สตรีโง่งม ลำคอเรียวเล็กถูกเชือกที่ห้อยลงมาจากขื่อคานรัดแน่นจนยามนี้ไม่อาจทำอันใดได้อีก ใบหน้าเริ่มเขียวคล้ำ มือก็ปัดป่ายไปมาในขณะที่ขาก็เตะสะบัดอย่างไร้ทิศทางเพราะไร้ที่ยึดเกาะ สตรีขี้ขลาดมักหวาดกลัวต่อทุกสิ่ง เมื่อเจ็บปวดจากความรักกลับใจกล้าที่จะลงมือ กว่าครู่ใหญ่ความทรมานที่นางเลือกก็สิ้นสุดลง แต่ก่อนที่สติจะดับวูบไปตลอดกาล กระนั้นนางก็ยังนึกถึงเขาผู้นั้น ‘หากท่านรู้ว่าข้าตายไปแล้ว ท่านจะเสียใจหรือไม่ ฉู่หวังหมิ่น’ในช่วงเวลาขณะเดียวกันแต่ต่างมิติออกไปนั้น ณ ชายป่าประเทศซี“พี่โรส นี่คือภารกิจของฉัน ปล่อยให้ฉันไปทำเถอะ” “ไม่ได้ ถ้าเธอไปหลานของฉันอาจจะเป็นอันตราย”“แต่…...” “ไม่ต้องแต่ ฉันเป็นหัวหน้าเธอมากี่ปี สถิติที่มีในภารกิจที่เสี่ยงแบบนี้ฉันทำพลาดกี่ครั้ง” “มะ…ไม่เคย” “เพราะแบบนั้น ถ้าฉันไปฉันคิดว่ามีโอกาสสำเร็จกว่าเธอแน่”ใช่แล้ว“แล้วหลังจากนั้นเธอค่อยเลี้ยงหม้อไฟฉันคืนแล้วกัน”คงไม่มีโอกาสนั้นแล้ว เพราะฉันจะไม่ได้กลับมาอีก“เอาล่ะ ไม่มีเวลาแล้ว อลิซตั้งสติแล้วทำตามแผนที่วางไว้ ดูแลหลานฉันให้ดี มีครอบครัวที่อบอุ่น…. นะ” ช่วงท้ายของประโยคสะดุดไปเล็กน้อย อลิซ...
Comments