ตอนที่
[2] ไม่เป็นอย่างที่คิด ฉีฉีสาวรับใช้ประจำเรือนปีกซ้ายของฮูหยินคนใหม่ของจวน เดินหันกลับมาด้วยความหงุดหงิดที่ตนต้องมารับใช้สตรีที่ไม่สามารถส่งเสริมอันใดตนได้ เดิมทีคิดว่าเป็นบุตรสาวมาจากตระกูลใหญ่ คงทำให้ตนที่มีหน้าที่รับใช้มั่งคั่งขึ้นได้ แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่านอกจากจะไม่ดีขึ้น ยังถูกคนเรือนอื่นหัวเราะเยาะว่าต้องมารับใช้ฮูหยินตาขาวผู้นี้อีก แต่ยังดีที่ได้รับคำสั่งจากคนในเรือนใหญ่ ว่าสามารถระบายความไม่ชอบใจนี้กับฮูหยินผู้นั้นได้ และความคิดหลายอย่างก็ได้รับถ่ายทอดมารวมถึงตัวนางเองคิดเองด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงหงุดหงิดอยู่ดี เมื่อไรจะได้ไปดูแลเรือนอื่น ยิ่งเรือนใหญ่อย่างท่านแม่ทัพตนยิ่งอยากไป แม้จะรู้ว่ามีเจ้าถิ่นอยู่ที่นั่นก็ตาม ฉีฉีคิดไปโดยที่ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าด้านหลังของตนแม้แต่น้อย จนกระทั่ง “เจ้าน่ะ” กึก! คราแรกสงสัยแต่เมื่อหันไปแล้วพบว่าเป็นฮูหยินไร้ประโยชน์ผู้นั้นจึงได้หันกลับมาแล้วเดินหน้าต่อ แววตาของโรสหรือลู่หรงซินมืดครึ้มลง ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ฟังกันและนางก็คร้านจะพูดให้มากความ จึงได้เร่งฝีเท้าให้ตามอีกฝ่ายไปและ….. ผลั่วะ! “โอ๊ย” ถีบลงไป…. ฉีฉีที่ไม่ทันตั้งตัวถูกถีบจนใบหน้าคว่ำลงกับทางเดินหินและไม่ทันจะหันไปดูว่าเป็นผู้ใดที่กล้าทำเช่นนี้ด้วยไม่คิดว่าจะเป็นฮูหยินผู้นั้นก็พบว่ามีของเหลวบางอย่างเคล้าอยู่ปาก และเมื่อถ่มมันออกมาก็พบว่าเป็นเลือดนอกจากนั้นยังมี….. ฟัน!! ฉีฉีเมื่อรู้แล้วว่าตนเพิ่งสูญเสียฟันหนึ่งซี่ไปก็กรีดร้องออกมา “กรี๊ดดดดดด ไหน ผู้ใดมันทำข้า” ว่าแล้วก็หันไปดูก็พบวเพียงลู่หรงซินกำลังยืดกอดอกสีหน้าเรียบนิ่งอยู่ “เป็นเจ้าหรือ! ที่แท้เป็นเจ้า สตรีไร้ประโยชน์ คอยดูเถอะข้าจะไปฟ้องพี่ลี่ฉุนกับท่านแม่บ้านใหญ่!!” ยิ่งพูดเลือดยิ่งไหลออกมาและเมื่อกล่าวจบแล้วก็ส่งสายตาเคียดแค้นแล้วก็รีบพาตนเองลุกขึ้นวิ่งไปทันที ลู่หรงซินมองภาพตรงหน้าแล้วแค่นยิ้มออกมาครู่หนึ่งก่อนจะเดินตามไป จะไปฟ้องผู้ใดก็มาดูกัน ระหว่างทางที่เดินไป หูนางก็ได้ยินคนจับกลุ่มพูดเรื่องนี้ เป็นสตรีอายุน้อยสามคน ดูท่าคงเป็นบ่าวในจวน “เอาแต่ข้าวบูดให้กินเช่นนั้นก็ช่างทนได้หลายวันนะ” สตรีหนึ่งกล่าว “นางคงไม่ได้คิดอันใด ขี้ขลาดตาขาวถึงเพียงนั้น วัน ๆ หากไม่อยู่ในจวนก็ออกไปข้างนอกทำตัวไร้แก่นสาร นี่น่ะหรือฮูหยินของพวกเรา” สตรีอีกผู้หนึ่งกล่าวแล้วกลอกตาอย่างไม่พอใจ “ข้าล่ะ รอให้ท่านแม่ทัพหาเรื่องหย่ากับนางได้” สตรีสามกล่าวสมทบ “สมรสพระราชทานเช่นนี้จะหย่าได้หรือ” “แม้จะยากแต่ก็หย่าได้หากนางไม่มีคุณสมบัติมากพอ…...” “เช่นนั้นพวกเราก็ช่วยฉีฉีอีกแรงนึงดีหรือไม่ ให้นางขาดคุณสมบัติ อีกทั้งอาจจะได้รางวัลจากพี่ลี่ฉุนด้วย” กล่าวจบทั้งสามก็มองหน้ากันอย่างมีความนัย “แต่เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงฉีฉีร้องเสียงดัง มิใช่ว่าโดนฮูหยินผู้นั้นรังแกหรอกนะ” "สตรีอ่อนแอและขี้กลัวเช่นนั้น จะกล้าทำอันใดดะ...." กร็อบ! "โอ๊ยยย!!" สตรีอายุน้อยยังกล่าวไม่จบก็พบว่านิ้วข้างหนึ่งของตนเองถูกหักจนผิดรูปไปแล้ว “ข้าหักนิ้วได้ หักคอก็ได้เช่นกัน อยากลองดูหรือไม่เล่า” สิ้นเสียงทุกคนก็หันไปมองลู่หรงซินราวกับถูกผีหลอก ไม่นานความวุ่นวายก็เกิดขึ้น ฉีฉีวิ่งไปที่เรือนใหญ่พร้อมน้ำตาทั้งเลือดที่หลั่งไหลออกมาจากปากมากมายราวกับมีเหตุร้ายก็ไม่ปาน ไม่นานเรื่องราวเมื่อครู่ก็ถูกถ่ายทอดออกมาให้กับ ลี่ฉุนหรืออู๋ลี่ฉุน บุตรสาวของฟ่านหงกับอู๋จ้ง แม่บ้านใหญ่และพ่อบ้านใหญ่ของจวนแม่ทัพเซวีย สามคนที่มีอำนาจรองลงมาต่อจากผู้เป็นเจ้าของจวน นั่นก็เพราะในอดีตฟ่านหงเคยเป็นมือซ้ายที่ตามติดฮูหยินผู้เฒ่าก่อนที่จะจากไป เมื่อคนสำคัญจากไปคนที่เหลืออยู่จึงได้รับหน้าที่ให้ดูแลจวน ไม่นานก็สามารถควบคุมดูแลทั้งหมดแทนเซวียหลิงจ้านอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะอู๋ลี่ฉุน ที่ทำราวกับตนเป็นฮูหยินของจวนก็ไม่ปาน คอยสั่งการดูแลทุกอย่าง ด้วยในใจก็อยากจะเป็นฮูหยินของเซวียหลิงจ้านด้วยนั่นเอง ยิ่งเจ้าของจวนน้อยครั้งที่อยู่จวน อำนาจเบ็ดเสร็จจึงตกเป็นของสามพ่อแม่ลูกโดยทันที ในจวนบ่าวคนใดที่แข็งข้อไม่มีจุดจบดีสักคน หากอยากอยู่รอดต้องทำตัวสงบเสงี่ยมและไร้ตัวตนเข้าไว้ หรือไม่ก็หากประจบประแจงทั้งสามได้ดีก็อาจจะมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ตามหลังฉีฉีมาก็เป็นบ่าวอีกสองคนที่รีบวิ่งมาบอกเรื่องที่เกิดขึ้น ด้านผู้ที่โดนหักนิ้วนั้นให้บ่าวคนอื่นรีบพาไปหาหมอแล้ว ด้านลี่ฉุนเมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ด้วยอคติเป็นทุนเดิมที่ลู่หรงซินมาแย่งตำแหน่งของตนไป จึงได้คิดจะไปจัดการสตรีผู้นั้นให้ไม่กล้ามาแสดงอำนาจในพื้นที่ของตน แต่ไม่ทันจะได้ไปที่ใดก็พบกับลู่ซินหรงที่ยืนรออยู่หน้าเรือนอยู่แล้ว “ฮูหยิน เดี๋ยวนี้ไม่ขังตนเองไว้ในเรือนแล้วหรือ จึงได้มีเวลามาทำร้ายผู้อื่นเช่นนี้” แม้ว่าจะยังไม่เชื่อว่าลู่หรงซินจะกล้าทำ เพราะรู้ ๆ กันอยู่ว่าอีกฝ่ายเป็นเช่นไร แต่วันนี้เป็นโอกาสที่จะได้ระบายความไม่พอใจออกไป ผิดไม่ผิดอย่างไร วันนี้ลู่หรงซินก็ไม่รอดแน่ตอนที่[2]ไม่เป็นอย่างที่คิด “ฮูหยิน เดี๋ยวนี้ไม่ขังตนเองไว้ในเรือนแล้วหรือ จึงได้มีเวลามาทำร้ายผู้อื่นเช่นนี้” แม้ว่าจะยังไม่เชื่อว่าลู่หรงซินจะกล้าทำ เพราะรู้ ๆ กันอยู่ว่าอีกฝ่ายเป็นเช่นไร แต่วันนี้เป็นโอกาสที่จะได้ระบายความไม่พอใจออกไป ผิดไม่ผิดอย่างไร วันนี้ลู่หรงซินก็ไม่รอดแน่ “ก็คนมันไม่รู้จักฐานะตนเอง สั่งสอนบ้างจะไปเป็นไรไป” ลี่ฉุนที่กำลังคิดแผนการตนเองก็ต้องชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ย นางยอมรับ? ลู่หรงซินยอมรับว่าทำร้ายผู้อื่น! เมื่อครู่นางว่าอันใดนะ ไม่รู้จักฐานะตนเอง สองแม่ลูกเริ่มมองหน้ากันเอง “ฮูหยินว่าพวกบ่าวไม่รู้จักฐานะตนเองเช่นนั้นหรือ พวกนางทำอันใดผิด” ฟ่านหงเอ่ยถามออกไป ในถ้อยคำไม่ได้มีความนอบน้อมเลยสักนิด ลู่ซินหรงไม่ตอบ แต่กลับเดินเข้าไปในห้องโถงของเรือนใหญ่ และไปนั่งยังตำแหน่งที่มีแต่ประมุขของบ้านนั่ง “เจ้า!” “ทำไม ข้านั่งไม่ได้หรือ ในเมื่อตอนนี้ท่านแม่ทัพไม่อยู่ ข้าเป็นภรรยาของเขา ย่อมถือว่ามีอำนาจรองจากเขามิใช่หรือ” คำว่า ‘ภรรยา’ เสียดแทงใจลี่ฉุนยิ่งนัก มือในตอนนี้จึงเริ่มกำเป็นหมัด “ว่าแต่พวกเจ้าไม่นั่งหรือ อ้อ แล้วก็ลากบ่าวร
ตอนที่[3]สั่งสอนให้รู้ “เห็นทีว่าข้าจะต้องสั่งสอนให้เจ้ารู้เสียหน่อย ว่าฐานะของตนในจวนนี้เป็นอย่างไร พวกเจ้าไปจับนางไว้ ข้าจะสั่งสอนนางเอง” สาวใช้สองคนที่รอคำสั่งอยู่แล้ว ด้วยความโกรธที่สหายโดนทำร้ายจึงเดินเข้าไปหาลู่หรงซินทันทีที่ได้รับคำสั่ง ลู่หรงซินถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย นางลุกขึ้นจากเก้าอี้ยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย ก่อนที่สายตาคมกริบ จะมองไปที่สตรีอายุน้อยทั้งสองที่กำลังเดินเข้ามาหาตน ไม่ทันที่มือของทั้งสองจะถึงตัวนาง นางก็จัดการใช้มือชิงจับไปที่ต้นแขนของพวกนางก่อนจับตัวทั้งคู่หมุน จากนั้นจึงใช้เท้าถีบไปที่บั้นท้ายของทั้งคู่จนใบหน้าคว่ำและไถลไปกับพื้นห้องทันที !!! “จะ…เจ้า” สองแม่ลูกตระกูลอู๋ต่างก็เบิกตากว้างและอ้าปากค้างไปทันที กว่าจะตั้งสติและคลำหาเสียงตนเองเจอก็ตอนที่ลู่หรงซินหันมามองพวกนาง “ทะ ท่านแม่ พวกเราเข้าไปพร้อมกันเถิด” ความไม่อยากยอมแพ้และไม่อยากเสียหน้าทำให้ลี่ฉุนพยายามมองข้ามเหตุการณ์เมื่อครู่ไป สองแม่ลูกมองหน้ากันก่อนจะกรูเข้าหาลู่หรงซินที่ยืนอยู่ทันที ด้านลู่หรงซินก็ไม่ทำให้ทั้งคู่ผิดหวัง หมับ! มือข้างขวาจับเข้าที่คอของลี่ฉุนอย่างพอดิบพอดี มือข้างซ้
ตอนที่[3]สั่งสอนให้รู้ เมื่อโดนท้าทายทั้งหมดจึงมองหน้ากันแล้วรีบวิ่งเข้าไปหาสตรีร่างเล็กทันที “ย๊า!!” ตุบ! ตุบ! ตุบ! ร่างทหารต่างก็ล้มลงทีละร่าง ลู่หรงซินไม่ปล่อยให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ นางทั้งเตะต่อยตามจุดสำคัญของพวกเขา บ้างก็จับชายอาภรณ์ของพวกเขาไขว้กันไปมา เพียงแค่กระตุกเชือกนั้นก็รัดคอพวกเขาจนแน่น ที่หากแม้ขยับเพียงนิดเดียว มันอาจจะทำให้กระดูกคอหักได้ ไม่นานทหารทั้งหมดก็กองอยู่กับพื้นราวกับศพตามสุสานร้าง อู๋จ้ง ฟ่านหง และลี่ฉุน เริ่มเห็นแล้วว่าสถานการณ์ตอนนี้เปลี่ยนไปและไม่เป็นอย่างที่คิด จึงได้หันไปพึ่งความหวังสุดท้ายคือเหล่าบ่าวรับใช้ที่เป็นคนของตนที่มองอยู่ด้านนอก “พวกเจ้าเข้าไปจัดการนาง!!” แต่ทว่าบ่าวรับใช้ที่มองเหตุการณ์ทั้งหมดต่างก็ขาสั่นเพราะภาพที่เหล่าทหารถูกจัดการนั้นมันติดตาเหลือเกิน อู๋จ้งที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบตะโกนขึ้นอีกครั้ง “หากพวกเจ้าจัดการนางได้ ข้าจะให้เงินคนละหนึ่งตำลึงทอง!!” หนึ่งตำลึงทอง! นี่มันมากจนสามารถเปลี่ยนชีวิตพวกเขาได้ และก็เป็นดังเช่นอู๋จ้งคิด เงินมันเปลี่ยนคนได้ ตลอดที่เขาอยู่ที่จวนนี้เขาใช้มันเปลี่ยนคนไปหลายคนแล้ว คิดแล้วจึงมองไปท
ตอนที่[4]แม่นมฉิง ที่แท้เป็นเซวียจินหลิง ลูกเลี้ยงวัยเจ็ดหนาวของเซวียหลิงจ้านที่ได้รับเลี้ยงตอนพบเด็กคนนี้ที่ถูกโจรฆ่าพ่อแม่ที่แท้จริงจนตายไปเมื่อสองปีที่แล้ว แต่ด้วยภาระหน้าที่เขาจึงเพิ่งพาเด็กคนนี้กลับจวนตระกูลเซวียเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว จากนั้นเขาไม่มีเวลาได้ดูแลบุตรชายของเขานักเพราะสถานการณ์ชายแดนแคว้นเริ่มมีความไม่สงบ จึงได้ฝากฝังให้แม่นมของเขาดูแลเด็กคนนี้แทน แต่ทว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นแบบที่เขาคิด คนทั้งจวนถูกพ่อแม่ลูกตระกูลอู๋ควบคุม แม้กระทั่งแม่นมของเขาก็เช่นกัน ดังนั้น ชีวิตของเซวียจินหลิงจึงไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีนัก เพราะว่าเขาไม่ใช่บุตรชายที่แท้จริงของเซวียหลิงจ้าน อีกทั้งลี่ฉุนยังคิดว่าเด็กคนนี้คือหนามยอกอก หากว่านางได้มีลูกกับเซวียหลิงจ้านในอนาคตเด็กคนนี้จะเป็นขวากหนามชิ้นใหญ่ของนางและลูก เรื่องราวเหล่านี้เซวียหลิงจ้านไม่ได้รับรู้แม้แต่นิด แม้กระทั่งเมื่อสามเดือนที่แล้วที่ได้พบเซวียจินหลิงเขายังไม่ได้มีเวลาพูดคุยกับลูกเท่าใดนัก รู้แต่เพียงว่าลูกผ่ายผอมลงจึงได้แต่กำชับเขาให้กินอาหารเยอะ ๆ เท่านั้น แม้กระทั่งคืนเข้าหอกับลู่หรงซิน ยังต้องเดินทางอย่างเร่งด่วนเพื่อนำทหาร
ตอนที่[4]แม่นมฉิง ที่จริงแล้ว เซวียหลิงจ้านนั้นมิใช่ว่าเอาบุตรชายมาทิ้งไว้แล้วไม่ได้สนใจอันใด แต่เพราะว่าเขาถูกหักหลังจากคนที่ไว้ใจอย่างหมิงถาน ทหารนายกองที่เขารับมาฝึกเมื่อหลายปีก่อน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีฝีมือไว้ใจได้ จึงได้ให้มีหน้าที่ดูแลจวนตระกูลเซวียและเซวียจินหลิงในยามที่เขาไม่อยู่ ในคราแรกหมิงถานก็ทำหน้าที่ได้ดี แต่ทว่าเมื่อถูกลี่ฉุนมาตีสนิท หัวใจชายหนุ่มที่ไม่เคยมีสตรีมาใส่ใจเฉกเช่นนี้ก็รู้สึกอ่อนไหวและหลงรักอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าจะรู้ว่าลี่ฉุนก็มีใจให้ท่านแม่ทัพของตน แต่เขาเชื่อในเพียงคำพูดของอีกฝ่ายที่ว่า ‘อนาคตไม่แน่นอน ไม่แน่เราอาจจะมีเส้นทางที่ดีร่วมกัน’ หลังจากนั้นเขาจึงไม่คิดอันใดอีก เซวียหลิงจ้านถูกบิดเบือนข้อมูลต่าง ๆ เพราะสิ่งที่หมิงถานรายงานมาตลอดหนึ่งปี แม้กระทั่งเรื่องแม่นมของเขาที่กลายเป็นคนพิการอาการสาหัส ฉิงเหลียนที่นอนอยู่บนฟูกเก่า ๆ เมื่อได้เห็นสตรีแปลกหน้าก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย ในขณะที่ถิงถิงรู้ดีว่าอีกฝ่ายคือผู้ใด เพราะว่าในวันที่อีกฝ่ายแต่งเข้ามา ตนได้ไปแอบดูกับเซวียจินหลิง “แม่นม ท่านแม่มาเยี่ยม” ไม่ปล่อยให้ฉิงเหลียนสงสัยนาน เซวียจินหลิงก็คลาย
ตอนที่[5]เหนือความคาดหมาย เข็มฉีดยากับยาเม็ด? เมื่อนางเข้าไปในห้องและปิดประตูให้สนิทแล้ว จึงพยายามลูบไปที่บริเวณกลางอกที่อาการเหมือนกับตอนเป็นกรดไหลย้อนในโลกก่อน แต่โรคนั้นมันต้องเกิดจากการกินอาหารแล้วปฏิบัติไม่ถูกต้องมิใช่หรือ แต่นี่ตั้งแต่ที่จำได้ วันนี้ร่างนี้ยังไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องเลยด้วยซ้ำ ระหว่างที่ลูบ ๆ กลางอกอยู่นั้น จู่ ๆ ก็เกิดความพิศวงเกิดขึ้น เมื่อมีวัตถุบางอย่างหล่นลงมาจากกลางอกของนาง กล่าวไม่ผิด มันหล่นลงมาจากกลางอกของนาง! ลู่หรงซินหรี่ตามองของสิ่งนั้น จนสรุปได้ความว่ามันคือซองพลาสติกขนาดใหญ่ ที่ด้านในนั้นบรรจุเข็มฉีดยาและเม็ดยาสีขาวรูปทรงวงรีจำนวนมากแยกใส่ซองอีกชั้นหนึ่งในนั้น แต่ทว่ายิ่งมองยิ่งรู้สึกคุ้นตา ใช่แล้ว! นี่มัน R-01!! ยาที่แล็บทดลองของบริษัทนางคิดค้นขึ้นเพื่อรักษาและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย ใช้สำหรับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการนอกพื้นที่ ที่น่าทึ่งคือ ไม่ต้องทดลองหลายครั้งเพราะมันประสบผลสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรกที่สังเคราะห์มันออกมา และนางคือหนึ่งในผู้ที่ได้ทดสอบประสิทธิภาพเป็นกลุ่มแรก ต้องบอกเลยว่ามันเป็นราวกับยาวิเศษก็ไม่ปาน! ไม่น่าเชื่อว่าจะ
ตอนที่[5]เหนือความคาดหมาย นับจากนั้นอีกสามวันเซวียหลิงจ้านก็กลับจวนมาจริง ๆ เป็นครั้งแรกของลู่หรงซินทั้งในชาตินี้และชาติก่อนที่ได้ออกมายืนรอต้อนรับผู้เป็นสามีพร้อมกับบุตรชายตัวน้อยอย่างเซวียจินหลิงเช่นนี้ แม้จะเป็นการยืนรอในจวนก็ตามเถอะ นางมองดูบุรุษรูปร่างสูงโปร่งที่มีใบหน้าราวกับไอดอลในโลกก่อนที่นางเคยได้รับภารกิจให้ไปดูแลบ่อยครั้ง เพราะความนิยมที่ทำให้มีคนหลากหลายเข้ามาหา จึงทำให้หลายครั้งต้องพบกับความอันตราย เมื่อเป็นคนสำคัญบริษัทจึงไม่เกี่ยงงอนที่จะลงทุนเพื่อให้เขาเหล่านั้นได้รับความปลอดภัยมากที่สุด แม้ว่าเซวียหลิงจ้านจะมีใบหน้าที่หล่อเหลาเช่นไอดอลแต่รูปร่างของเขากลับสูงโปร่งและดูกำยำแข็งแรงสมกับเป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นตั้งแต่อายุยังน้อย เซวียหลิงจ้านหลังจากที่ลงมาจากม้าคู่กายและเดินเข้ามาในจวนไม่นานก็พบกับสตรีแปลกหน้าที่ยืนอยู่กับบุตรชายของเขา ผู้ใดกัน “ท่านพ่อมาแล้ว เสี่ยวหลิงคิดถึงท่านพ่อ” หมับ! ระหว่างที่เขากำลังสงสัยบุตรชายก็วิ่งเข้าโถมมากอดตนเสียก่อน “หืม เสี่ยวหลิงเหตุใดเจ้าจึงผอมลงเช่นนี้” ผอมลงกว่าครั้งก่อนเสียอีก “นั่น….” “เป็นอันใดหรือ เหตุใดจึงอ้ำอึ้
ตอนที่[6]ขอร้อง เซวียหลิงจ้านแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าแม่นมที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่วัยเยาว์จะมีสภาพที่ผ่ายผอมและดูราวกับผู้ป่วยร้ายแรงเช่นนี้ และส่วนล่างนั้น……เขารู้สึกสะเทือนใจไม่น้อยคล้ายกับว่าเขาทำพลาดอย่างมหันต์ เพื่อให้เขาต้องมาเห็นภาพเช่นนี้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่นางไม่นำยามารักษาแม่นมฉิงตั้งแต่วันที่ได้พบว่ามียาวิเศษติดตามนางมาที่นี่ เขาต้องเห็นภาพเช่นนี้เขาจึงจะเชื่อและเข้าใจสถานการณ์ได้ไม่เพียงแต่เซวียหลิงจ้านที่รู้สึกเช่นนั้น ด้านหลินเนี่ยนเจินและเจียงฉินก็เช่นกัน เพราะบิดาของพวกเขาต่างก็เป็นทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาของอดีตแม่ทัพใหญ่ เมื่อยามเป็นเด็กจริงได้มาที่จวนตระกูลเซวียบ่อยครั้ง แน่นอนว่านอกจากจะได้ทำความรู้จักกับคุณชายของจวนที่อายุมากกว่าพวกเขาไม่มาก ยังได้พบแม่นมของอีกฝ่าย ที่นอกจากจะดูแลคุณชายของตนเป็นอย่างดีแล้วยังเผื่อแผ่มายังพวกเขาทั้งสองด้วยและเป็นเช่นนั้นจวบจนพวกเขาเติบใหญ่ บัดนี้แม่นมผู้ใจดีในยามนั้น กลับกลายเป็นคนที่พวกเขาไม่อยากจะยอมรับว่าเป็นนาง “นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เซวียหลิงจ้านเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาสั่นไม่น้อย ถิงถิงเมื่อเห็นว่าเป็นโอกาสที่จะได้เปิดโปงแล
ตอนพิเศษ[2]ไปงานวันเกิดที่เผ่านอกด่าน ใบหน้าหล่อเหลาที่แฝงไปด้วยความดุดันของบุรุษวัยยี่สิบหนาวช่างทำให้คนเคลิบเคลิ้มและหวาดหวั่นได้ในคราเดียว เดินตามหลังกันมานั้นแม้จะอายุเพียงสิบสองหนาวแต่ก็เห็นเค้าของความหล่อเหลาล่มเมืองแล้วเพราะเป็นความผสมผสานระหว่างเซวียหลิงจ้านและลู่หรงซิน ใช่แล้วทั้งสองก็คือเซวียจินหลิงและเซวียจินหลง บุตรชายที่เซวียหลิงจ้านและลู่หรงซินภาคภูมิใจ เนื่องจากเมื่อหลายเดือนที่แล้ว เซวียจินหลิงได้รับจดหมายจากพ่อแม่ที่แท้จริงว่าจะมีการจัดงานวันเกิดให้กับมารดา หรือราชินีของเผ่านอกด่าน จึงอยากให้เขามาเข้าร่วมสักครั้ง เนื่องจากหลังจากที่เขาจำเรื่องราวได้ทั้งหมด เขาก็ยังไม่เคยเข้าร่วมงานนี้สักครั้ง แต่หากว่ามาเที่ยวเล่นเขาพาหลงเออร์มาหลายครั้งแล้ว แต่ปีนี้เข้าเห็นว่าคนทั้งคู่เฝ้ารอเขามาเนิ่นนาน เขาจึงคิดว่าตนเองก็ไม่ควรจะใจดำถึงเพียงนั้น ทั้งท่านแม่ท่านแม่ก็สนับสนุน ท่านแม่อยากจะตามมาด้วยซ้ำ หากไม่ติดว่าต้องดูแลน้องเล็ก เซวียจินหราน ในวัยเจ็ดหนาวที่อ้อนแต่จะไปสนามฝึกทุกวัน น้องเล็กเหมือนท่านแม่มาก กลับไปคงต้องหาของฝากดี ๆ ไปฝากนางเสียแล้ว “หลิงเออร์มาแล้วหรือ
ตอนพิเศษ[1]สำเร็จโทษ เติ้งหลงฮ่องเต้นั้นเอ็นดูหลานชายบุญธรรมทั้งสองอย่างเซวียจินหลิงและเซวียจินหลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนามจินหลง ก็เป็นพระองค์ที่ทรงตั้งให้ จากเดิมที่เซวียหลิงจ้านได้หยุดพักหนึ่งปีพระองค์ก็ให้เขามาประจำการอยู่เมืองหลวงชั่วคราวจนกว่าบุตรชายคนเล็กจะเติบใหญ่ แต่ทว่านางนั้นรอไม่ไหวแล้ว เมื่อบุตรชายอายุได้สามหนาวจึงได้ให้สามีไปขอพระราชทานฝ่าบาทขอกลับไปประจำการอยู่ที่เมืองสวี่เฉิง คราแรกฝ่าบาทไม่เห็นด้วย แต่เมื่อบอกว่าเป็นความต้องการของภรรยา พระองค์จึงต้องอนุญาตโดยไม่เต็มใจ หากลู่หรงซินต้องการเขาหรือจะไม่อนุญาต ภาพวันนั้นเมื่อสามปีที่แล้วเขาไม่ลืม คิดแล้วก็ลูบคอตนเองไปพลาง ๆ จากนั้นตระกูลเซวียจึงได้ย้ายกันไปอยู่ที่เมืองสวี่เฉิงนับจากนั้น ทุกคนตามไปหมดทั้งแม่นมฉิงและถิงถิง รวมถึงฉีอ้าย แต่จะฉีอันพี่ชายของนางแม้จะอยากตามไป แต่เขาต้องบุกเบิกหนทางให้ตนเอง จะต้องสอบเป็นขุนนางของวังหลวงได้ รวมถึงเขาได้ตกลงกับกลุ่มศัตรูพ่ายว่าจะพัฒนาตรอกจูชางให้เจริญยิ่งขึ้น ฉีอ้ายจึงได้แต่ส่งกำลังใจให้พี่ชายให้ทำให้สำเร็จ ด้านจวนตระกูลเซวียนั้นไม่น่าเป็นห่วงเพราะได้หาคนที่ไว้ใจได้และฝีม
ตอนที่[17]เสี่ยวหลิงอยากมีน้อง“ท่านแม่ ท่านแม่ฟังเสี่ยวหลิงอยู่หรือไม่ ท่านแม่ต้องมีน้องให้เสี่ยวหลิงนะขอรับ” เมื่อเห็นมารดาคล้ายเหม่อลอยจึงได้รีบสำทับอีกครั้ง เด็กน้อยเร่งเร้าอีกครั้งจึงทำให้สติของนางกลับมา “อ้อ อืม เสี่ยวหลิง แม่จะเก็บไปคิดอีกที แม่ขอกลับเรือนก่อนนะ เจ้าอย่าคิดมาก” ว่าแล้วก็จ้ำอ้าวออกจากเรือนบุตรชายเพื่อสงบสติอารมณ์ตนเอง คล้อยหลังลู่หรงซิน ร่างสูงที่แอบฟังเรื่องราวอยู่ไม่ไกลก็ได้เข้ามาในห้องของบุตรชาย “เสี่ยวหลิง พ่อจะเอาน้องมาให้เจ้า พ่อสัญญา” ในวันต่อมาทั้งคู่จึงได้จับเข่าคุยกัน แต่ไป ๆ มา ๆ เซวียหลิงจ้านก็ทนไม่ไหว เขาจึงเอ่ยความในใจออกไปตามตรง “ซินเออร์ เจ้าย้ายมาอยู่เรือนเดียวกับพี่เถิด พี่ว่าเราควรเรียนรู้กันให้มากกว่านี้”และไม่น่าเชื่อว่าการเจรจาอันแสนแปลกจะสำเร็จผล! นางตัดสินใจย้ายมาอยู่เรือนเดียวกับเขา และคืนนี้จะเป็นวันที่นางและเขาจะได้ร่วมนอนเตียงด้วยกันเป็นครั้งแรก…..และคงหลีกเลี่ยงเรื่องนั้นไม่ได้สินะ ในห้องนอนที่ประดับประดาด้วยของตกแต่งสีแดง บนโต๊ะมีสุรามงคลและขนม คล้ายกับวันเข้าหอของคู่บ่าวสาวก็ไม่ปาน นี่ต้องเป็นฝีมือของแม่นมฉิงเป็นแน่ “ซ
ตอนที่[17]เสี่ยวหลิงอยากมีน้องชาติกำเนิดที่แท้จริงของเสี่ยวหลิง ที่แท้เสี่ยวหลิงคือบุตรชายคนเล็กของราชาของเผ่านอกด่านทั้งสี่ที่ถูกบ่าวชายหญิงที่คิดคดทรยศลักพาตัวบุตรชายของเขาออกมาและสร้อยที่เสี่ยวหลิงแขวนอยู่กับตัวอยู่ตลอดนั่นคือคำตอบ น่าแปลกที่เสี่ยวหลิงในยามนั้นอายุห้าหนาวแล้ว แต่กลับจำอันใดไม่ได้ ซึ่งนางมองว่ามันผิดปกติ จึงได้ใช้ยาของนางในการรักษาเขา สุดท้ายจึงพบว่าเขาได้ถูกวางยาทำให้ความจำก่อนหน้านั้นหายไปและแน่นอนว่า R-01 ก็ช่วยเหลือได้อีกแล้ว เด็กน้อยจำพ่อแม่ที่แท้จริงได้ แต่เขากล่าวว่าจะอยู่กับนางและเซวียหลิงจ้าน แต่หากเติบใหญ่เขาเปลี่ยนไปหรืออย่างไร นางย่อมให้เขาได้ทำตามที่ใจปรารถนา เมื่อเป็นเช่นนี้ แคว้นเติ้งและเผ่านอกด่านจึงลงนามสัญญาว่าจะไม่ระรานกัน ไม่โจมตีกัน ด้วยทางนั้นก็รู้สึกผิดและอยากขอบคุณที่แม่ทัพใหญ่แคว้นเติ้งที่รับเลี้ยงและดูแลบุตรชายของพวกเขาเป็นอย่างดี ทั้งเมื่อทำเจรจาสงบศึกแล้ว พวกเขาก็สามารถมาเยี่ยมเยียนบุตรชายได้ด้วย นอกจากนั้นยังมีสัญญาการค้าที่จะเปิดโอกาสให้ได้ทำการค้าร่วมกันอีก นี่มีแต่ดีกับดีทั้งนั้น จะรบกันต่อเพื่อสิ่งใด เรื่องราวทั้งหมดจึงจบ
ตอนที่[17]เสี่ยวหลิงอยากมีน้อง ตั้งแต่วันที่นางบอกว่าจะให้โอกาสเขา นางก็รู้สึกว่าเขาชักจะทำตัวแปลก ๆ ขึ้นทุกวัน เช่นวันนี้ เขาพานางมาถือตะกร้าเก็บดอกไม้ในสวนดอกไม้ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งเมื่อดูแล้ว มันไม่เหมาะสำหรับนางและเขาเอาเสียเลย สุดท้ายเมื่อไม่อาจฝืนความเป็นตนเอง จึงได้แต่มองหน้ากันและหัวเราะออกมาเบา ๆ “ไปที่ที่เหมาะกับพวกเรากัน” เซวียหลิงจ้านเสนอขึ้นเหล่าทหารต่างตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ฮูหยินที่มากฝีมือที่พวกเขาจำได้ไม่ลืมในวันที่เกือบจะเป็นวันสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของแคว้นเติ้ง แต่เป็นเพราะฮูหยินของพวกเขาผู้นี้จึงทำให้ผ่านวิกฤตนั้นมาได้ เมื่อนางมาพวกเขาก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ สองสามีภรรยามาที่ค่ายด้วยความอารมณ์ดีไม่น้อย แต่อารมณ์ดีอย่างไรถึงได้สู้กันเช่นนั้น“นี่…. เป็นวิธีแสดงความรักต่อกันฉบับท่านแม่ทัพและฮูหยินหรือ” ทหารผู้หนึ่งกล่าวขึ้น ทั้งคู่ต่อสู้กันจนเหงื่อโชก แน่นอนว่าที่ผู้เป็นภรรยาเป็นฝ่ายเอาชนะได้เกือบทั้งหมดทุกรอบ แต่มีรอบสุดท้ายที่เขากล่าวขึ้น “ฮูหยินหากพี่ชนะพี่จะขอให้เจ้าทำบางอย่างได้หรือไม่” เมื่อกล่าวจบสายตาแห่งความสงสัยก็เกิดขึ้น “อันใดหรือเจ้าคะ
ตอนที่[16]ขอโอกาสจู่ ๆ เขาก็ถือวิสาสะมาจับมือนางเอาไว้ “……”“ฮูหยิน ข้าอาจจะรู้เรื่องและเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของสตรีน้อยนักเพราะตั้งแต่เด็กก็เอาแต่ตามท่านพ่อไปที่ค่าย เจ้าอาจจะรู้สึกไม่พอใจในเรื่องนี้ แต่ข้าจะพยายามทำให้ดีกว่าเดิม ไม่สิ ข้าต้องทำได้แน่” “……”“เจ้าเป็นภรรยาคนแรก และข้าสัญญาว่าจะเป็นภรรยาคนเดียวและคนสุดท้ายของข้า” “……”“ดังนั้น ฮูหยินข้าขอโอกาสเป็นสามีที่ดีของเจ้าได้หรือไม่” แม้ว่ายามนี้จะเป็นเวลากลางคืน แต่นางก็เห็นใบหน้าที่กำลังเว้าวอนของเขาได้อย่างชัดเจนช่วงเวลาที่รอคอยคำตอบช่างเป็นเวลาที่หัวใจของเซวียหลิงจ้านรู้สึกบีบรัดเหลือเกิน จนกระทั่ง…“ก่อนที่ข้าจะตอบ ข้าอยากจะกล่าวอะไรเสียหน่อย” “ได้สิ ฮูหยินว่ามาเลย” เขายืดตัวขึ้นเพื่อรอฟังนางด้วยความตั้งใจ “ข้า…ก็ไม่ใช่สตรีเฉกเช่นสตรีทั่วไป หากท่านเคยรู้เรื่องราวของลู่หรงซินว่าเป็นมาเช่นไร ยามนี้ข้ามิใช่เช่นนั้น ข้ามิได้อ่อนหวาน อ่อนโยน มิได้เก่งเรื่องของสตรีอย่างที่ควรจะเป็น ข้าชอบต่อสู้และออกจะ…. ดุดัน ท่านอาจจะไม่ชอบเช่นกัน ท่านลองคิดดูอีกทีดีหรือไม่”เขารู้ว่านางแตกต่างจากที่เขาได้ยินมาโดยสิ้นเชิง แต่สตรีที่ทำ
ตอนที่[16]ขอโอกาส กว่าทั้งสี่คนจะกลับมาถึงจวนก็เป็นเวลาอาหารเย็น เมื่อเดินมาถึงเรือนใหญ่ก็พบว่าแม่นมฉิงให้คนเตรียมอาหารไว้มากมาย มื้อนี้ของตระกูลเซวียจึงดูคึกคักเป็นพิเศษ น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีบรรยากาศเช่นนี้ เซวียหลิงจ้านให้ หลินเนี่ยนเจิน เจียงฉิน แม่นมฉิง ถิงถิงและฉีอ้ายร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน เสี่ยวหลิงตั้งแต่ที่เห็นว่ามารดายังไม่จากไปไหนก็ได้ทำตัวตามติดราวกับหางน้อย ๆ ก็ไม่ปาน “ท่านแม่ เสี่ยวหลิงคีบอาหารให้ขอรับ” แม้อายุจะเพียงเจ็ดหนาวแต่ใช้ตะเกียบได้คล่องนัก มือเล็กเอาแต่คีบนั่นนี่ให้มารดาไม่หยุด “คีบให้แต่ท่านแม่ แล้วพ่อเล่า” จู่ ๆ เซวียหลิงจ้านก็เอ่ยขึ้น ใบหน้างองุ้มราวกับน้อยใจเต็มประดา แต่ทุกคนรู้ว่าชายหนุ่มกำลังเย้าบุตรชายก็เท่านั้น “ท่านพ่อไม่ต้องน้อยใจนะขอรับ ถึงท่านพ่อจะเป็นที่สองสำหรับเสี่ยวหลิง แต่เสี่ยวหลิงก็ยังรักท่านพ่ออยู่นะ” ว่าแล้วก็คีบหมูเปรี้ยวหวานใส่ชามข้าวของบิดาด้วยความรวดเร็ว ส่วนคนอื่นที่อยู่บนโต๊ะอาหารได้แต่กลั้นหัวเราะหน้าดำหน้าแดง เมื่อได้ยินเด็กน้อยบอกว่าบิดาของตนคือที่สอง แม้แต่ลู่หรงซินยังยกยิ้มขึ้น “เป็นที่สองก็ได้ ให้ท่านแม่เป็
ตอนที่[15]ฮูหยินตราตั้งเรือนนอกเมืองหลังหนึ่ง เสียงแห่งความรัญจวนดังออกมาจากเรือนเป็นระยะ ๆ ส่วนผู้ที่อยู่ด้านในก็กำลังสุขสมอย่างเต็มที่ แต่ทว่าในจังหวะที่เขากำลังจะมีความสุขขั้นสุดเขาก็รับรู้ได้ว่ามีเงาสายหนึ่งทาบมาที่ด้านหลัง ก่อนที่ผมของเขาจะถูกกระชากไปด้านหลังอย่างรุนแรง “ว้าย” จี้เหมยกรีดร้องขึ้นเพราะมีผู้เข้ามาในยามที่ตนกำลังเปลือยเปล่าทั้งอยู่ในช่วงกำลังดำดิ่งในห้วงลึก ลู่หรงซินกำผมของฉู่หวังหมิ่นไว้แน่นในขณะใบหน้ายังคงเรียบนิ่ง ในอีกด้านหนึ่งยามนี้เซวียหลิงจ้านและทหารคนสนิทอีกสองคนได้แต่ทำสีหน้าไม่ถูก แต่หากสังเกตจะเห็นได้ว่าหูของพวกเขาทั้งสามกำลังแดงก่ำ ยามได้เห็นว่าผู้ที่อยู่ในเรือนกำลังทำอันใดกัน ตั้งแต่เด็กพวกเขาก็สนใจแค่เรื่องการทหาร ไหนเลยจะมีประสบการณ์เรื่องนี้ ส่วนเซวียหลิงจ้านแม้จะมีฮูหยินแล้ว แต่ก็ไม่ทันได้เข้าหอเสียด้วยซ้ำ คิดแล้วก็อยากจะปิดตานางเอาไว้นัก ยามนี้ฉู่หวังหมิ่นไร้อาภรณ์ปิดกาย ส่วนนั้นก็เด่นหราอยู่อย่างชัดเจน นางไม่ควรจะต้องเห็นของบุรุษผู้อื่นมิใช่หรือ นอกจาก…เขา คิดแล้วความแดงจากใบหูก็ลามเลียมาที่ใบหน้า “ท่านไม่สบายหรือ” นางสังเกตเห็นว่าเ
ตอนที่[15]ฮูหยินตราตั้ง“เสี่ยวหลิงนี่มันเรื่องอันใดกัน” ใบหน้างามเบนกลับมาหาบุตรชายตัวน้อยที่คุกเข่าก้มหน้าอยู่อีกครั้ง “ท่านแม่ เสี่ยวหลิงได้ยิน…. ที่ท่านพ่อคุยกับท่านแม่ ว่าท่านแม่กำลังจะจากพวกเรา เสี่ยวหลิงเสียใจ จึงได้ไปบอกทุกคนให้มาช่วยกัน ห้ามท่านแม่ขอรับ ฮึก” ที่แท้ก็เรื่องนี้นางจึงปรับสีหน้าให้อ่อนโยนยิ่งขึ้น ก่อนจะก้มลงไปหาเด็กน้อย พลางเกลี่ยน้ำตาให้เขาอย่างอ่อนโยน“เสี่ยวหลิง ข้าไม่ได้จะจากไปที่ใด”“จะ…. จริงหรือขอรับ” ดวงตาแห่งความหวังเงยสบตากับมารดาทันทีหลังอีกฝ่ายกล่าวจบ“อื้ม” “ท่านแม่” เด็กน้อยโผเข้ากอดมารดาทันที เขาใจแทบสลาย ทั้งทำตัวไม่ถูกว่าจะต้องทำอย่างไร เขาไม่อยากให้ท่านแม่จากไป“ทุกคนลุกขึ้นเถิด” จากนั้นนางจึงบอกให้ทุกคนลุกขึ้น “ในยามนี้ข้ายังไม่ได้คิดจะจากไป ขอวันนี้ทุกคนกลับไปทำหน้าที่ของตนก่อนเถิด” “ส่วนท่านแม่ทัพ เรามีเรื่องต้องคุยกัน” “ฮูหยินมีอันใดหรือ” เขาเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่เดินเข้ามาที่โถงของเรือนใหญ่ จะเห็นได้ว่าเซวียหลิงจ้านยามนี้ราวกับปลากระดี่ได้น้ำก็ไม่ปาน นางกล่าวว่านางจะไม่ไปแล้ว นั่นหมายความว่าเขาและนางอาจจะได้มีโอกาสเรียนรู้กันมากขึ้