ตอนที่
[5] เหนือความคาดหมายเข็มฉีดยากับยาเม็ด?
เมื่อนางเข้าไปในห้องและปิดประตูให้สนิทแล้ว จึงพยายามลูบไปที่บริเวณกลางอกที่อาการเหมือนกับตอนเป็นกรดไหลย้อนในโลกก่อน แต่โรคนั้นมันต้องเกิดจากการกินอาหารแล้วปฏิบัติไม่ถูกต้องมิใช่หรือ แต่นี่ตั้งแต่ที่จำได้ วันนี้ร่างนี้ยังไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องเลยด้วยซ้ำ ระหว่างที่ลูบ ๆ กลางอกอยู่นั้น จู่ ๆ ก็เกิดความพิศวงเกิดขึ้น เมื่อมีวัตถุบางอย่างหล่นลงมาจากกลางอกของนาง กล่าวไม่ผิด มันหล่นลงมาจากกลางอกของนาง! ลู่หรงซินหรี่ตามองของสิ่งนั้น จนสรุปได้ความว่ามันคือซองพลาสติกขนาดใหญ่ ที่ด้านในนั้นบรรจุเข็มฉีดยาและเม็ดยาสีขาวรูปทรงวงรีจำนวนมากแยกใส่ซองอีกชั้นหนึ่งในนั้น แต่ทว่ายิ่งมองยิ่งรู้สึกคุ้นตา ใช่แล้ว! นี่มัน R-01!! ยาที่แล็บทดลองของบริษัทนางคิดค้นขึ้นเพื่อรักษาและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย ใช้สำหรับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการนอกพื้นที่ ที่น่าทึ่งคือ ไม่ต้องทดลองหลายครั้งเพราะมันประสบผลสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรกที่สังเคราะห์มันออกมา และนางคือหนึ่งในผู้ที่ได้ทดสอบประสิทธิภาพเป็นกลุ่มแรก ต้องบอกเลยว่ามันเป็นราวกับยาวิเศษก็ไม่ปาน! ไม่น่าเชื่อว่าจะตามกันมาถึงที่นี่ เช่นนั้น….แม่นมฉิงก็มีโอกาสหายดีสินะ เพราะเจ้า R-01 มันสามารถเสริมสร้างได้ถึงเซลล์ภายในเลยทีเดียว ความรู้สึกมั่นใจบางอย่างในยามนั้นของนางที่มี คงเป็นเพราะเจ้าสิ่งนี้สินะ ดีแล้ว ต่อไปสิ่งที่นางต้องทำในภายภาคหน้าก็จะง่ายยิ่งขึ้น วันนี้แม้จะจัดการสามพ่อแม่ลูกและคนของพวกเขาไปแล้ว แต่สิ่งที่ต้องทำวันนี้ยังไม่จบเสียทีเดียว เพราะยังมีอีกหนึ่งคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ หมิงถาน หากเขารู้ว่าสตรีในดวงใจและครอบครัวของอีกฝ่าย ถูกนางจัดการเช่นนั้นต้องไม่มีทางยอมแน่ ซึ่งนั่นแหละดี นางจะได้จับเขาไปมัดรวมไว้กับพวกนั้น! เพราะหากจำไม่ผิด อีกไม่กี่วันเซวียหลิงจ้านจะกลับจวนมาอย่างกะทันหันเพื่อพบหน้าบุตรชายโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้มาก่อน ก่อนที่เขาจะได้รับภารกิจของฮ่องเต้ต้องไปเตรียมตัวเฝ้าระวังและรับมือกลุ่มก่อความไม่สงบกำลังเริ่มจะก่อกวนชายแดนของแคว้นแล้ว ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นเพียงแผนขององค์ชายสามที่กำลังจะก่อกบฏ! และก็เป็นจริงดังคาด! เมื่อหมิงถานหลังจากที่ออกไปส่งจดหมายรายงานสถานการณ์ทั่วไปและไปหาซื้อปิ่นปักผมที่ลี่ฉุนอยากได้มา เมื่อได้รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นจากบ่าวที่รายงานตามจริง อารมณ์จึงเต็มไปด้วยความคุกรุ่น ตวัดสายตามองบ่าวผู้นั้นราวกับจะฆ่าจะแกง ก่อนจะรีบมุ่งหน้าไปที่เรือนทิ้งปฏิกูลแห่งนั้น เมื่อไปถึงก็พบว่ามีบ่าวชายเฝ้าอยู่หน้าเรือนโทรม ๆ แห่งนั้นหลายคน “พวกเจ้าถอยไปหากไม่อยากตาย!!” ไม่รอช้าส่งเสียงข่มขู่ออกไปทันที อย่างไรหมิงถานก็เป็นหัวหน้าทหารที่นี่และเป็นคนของเซวียหลิงจ้าน เหล่าบ่าวมีหรือจะไม่เกรงกลัว แม้จะลังเลแต่สุดท้ายก็หลีกทาง หมิงถานจึงรีบถีบประตูเข้าไปทันที “พี่หมิงถานช่วยข้าด้วย!!” เสียงแหลมของลี่ฉุนร้องขึ้น เมื่อเห็นว่าผู้ใดเข้ามา หมิงถานแข็งแกร่งไม่น้อย ต้องช่วยตนและจัดการกับลู่หรงซินได้เป็นแน่ คิดแล้วในใจที่ห่อเหี่ยวมาหลายชั่วยามก็เบิกบานขึ้น ในจังหวะที่หมิงถานกำลังจะสาวเท้าไปหาลี่ฉุนที่อยู่ด้านในเสียงอันเยือกเย็นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “นั่นเจ้าจะทำอันใด” “ลู่หรงซิน!” เป็นลี่ฉุนที่เห็นก่อนผู้ใด จึงตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัวโดยที่ไม่รู้ตัว “เรียกข้าเฉย ๆ เช่นนั้นก็ได้หรือลี่ฉุน หรือแก้มกับปากเจ้ามันยังบวมไม่พอ” ด้านหมิงถานเมื่อมั่นใจแน่แล้วว่าผู้ใดทำร้ายสตรีในดวงใจเขาใบหน้าจึงเต็มไปด้วยความโกรธ “เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงกล้าทำร้ายนาง!!” “ข้าเป็นฮูหยิน จะสั่งสอนบ่าวที่ไม่รู้ความมันผิดตรงที่ใด” ลู่หรงซินยืนหลังตรงสบสายตากับหมิงถานอย่างไม่เกรงกลัว กลับเป็นหมิงถานที่รู้สึกหวั่น ๆ ในใจขึ้นมาเมื่อได้สบกับสายตาสีนิลนั่น แต่เมื่อได้เห็นสภาพของสตรีที่ตนหมายปองและครอบครัวของนาง ตนจะต้องทำให้พวกเขาเห็นว่าตนสามารถเป็นที่พึ่งให้กับพวกเขาได้ ไหนจะเหล่าทหารที่ถูกมัดติดกันราวกับปลาแห้งเสียบไม้อีก “จะ…เจ้าเป็นเพียงฮูหยินที่ท่านแม่ทัพไม่แม้แต่จะเข้าหอด้วย มีสิทธิ์อันใดมาลงโทษคนเก่าแก่ของจวนแห่งนี้” แม้เสียงจะสั่นในช่วงแรกแต่สุดท้ายก็ดึงกลับมาได้ “เจ้า…. กำลังดูหมิ่นข้าหรือ” ลู่หรงซินก้าวขาเข้าไปหาอีกฝ่ายอีกหนึ่งก้าว ลี่ฉุนที่เห็นดังนั้นจึงรีบตะโกนขึ้น แม้ว่าจะปวดบริเวณริมฝีปากมากก็ตาม “พี่หมิงถานระวังด้วย นางอันตรายมาก” “อันตรายหรือ” ในระหว่างที่หมิงถานเบนสายตาจากลี่ฉุนหันกลับมามองลู่หรงซิน ในจังหวะนั้นเองลู่หรงซินก็วาดขาแล้วเตะก้านคออีกฝ่ายทันที “…..” ทุกอย่างจบลงทันทีในขณะที่ผู้อยู่ในเหตุการณ์ได้แต่อ้าปากค้าง หมิงถานสลบไปแล้วและถูกจับมัดรวมทุกคนในเรือนเก็บอุปกรณ์ตักปฏิกูลแห่งนั้น แต่ไม่วายตอนออกมาได้ยินเสียงลี่ฉุนและฟ่านหงโวยวายออกมา “ลู่หรงซิน ท่านแม่ทัพไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ ทำกับพวกข้าและทหารของเขาเช่นนี้!” หึ ก็มาสิ กลัวที่ใดกันตอนที่[5]เหนือความคาดหมาย นับจากนั้นอีกสามวันเซวียหลิงจ้านก็กลับจวนมาจริง ๆ เป็นครั้งแรกของลู่หรงซินทั้งในชาตินี้และชาติก่อนที่ได้ออกมายืนรอต้อนรับผู้เป็นสามีพร้อมกับบุตรชายตัวน้อยอย่างเซวียจินหลิงเช่นนี้ แม้จะเป็นการยืนรอในจวนก็ตามเถอะ นางมองดูบุรุษรูปร่างสูงโปร่งที่มีใบหน้าราวกับไอดอลในโลกก่อนที่นางเคยได้รับภารกิจให้ไปดูแลบ่อยครั้ง เพราะความนิยมที่ทำให้มีคนหลากหลายเข้ามาหา จึงทำให้หลายครั้งต้องพบกับความอันตราย เมื่อเป็นคนสำคัญบริษัทจึงไม่เกี่ยงงอนที่จะลงทุนเพื่อให้เขาเหล่านั้นได้รับความปลอดภัยมากที่สุด แม้ว่าเซวียหลิงจ้านจะมีใบหน้าที่หล่อเหลาเช่นไอดอลแต่รูปร่างของเขากลับสูงโปร่งและดูกำยำแข็งแรงสมกับเป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นตั้งแต่อายุยังน้อย เซวียหลิงจ้านหลังจากที่ลงมาจากม้าคู่กายและเดินเข้ามาในจวนไม่นานก็พบกับสตรีแปลกหน้าที่ยืนอยู่กับบุตรชายของเขา ผู้ใดกัน “ท่านพ่อมาแล้ว เสี่ยวหลิงคิดถึงท่านพ่อ” หมับ! ระหว่างที่เขากำลังสงสัยบุตรชายก็วิ่งเข้าโถมมากอดตนเสียก่อน “หืม เสี่ยวหลิงเหตุใดเจ้าจึงผอมลงเช่นนี้” ผอมลงกว่าครั้งก่อนเสียอีก “นั่น….” “เป็นอันใดหรือ เหตุใดจึงอ้ำอึ้
ตอนที่[6]ขอร้อง เซวียหลิงจ้านแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าแม่นมที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่วัยเยาว์จะมีสภาพที่ผ่ายผอมและดูราวกับผู้ป่วยร้ายแรงเช่นนี้ และส่วนล่างนั้น……เขารู้สึกสะเทือนใจไม่น้อยคล้ายกับว่าเขาทำพลาดอย่างมหันต์ เพื่อให้เขาต้องมาเห็นภาพเช่นนี้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่นางไม่นำยามารักษาแม่นมฉิงตั้งแต่วันที่ได้พบว่ามียาวิเศษติดตามนางมาที่นี่ เขาต้องเห็นภาพเช่นนี้เขาจึงจะเชื่อและเข้าใจสถานการณ์ได้ไม่เพียงแต่เซวียหลิงจ้านที่รู้สึกเช่นนั้น ด้านหลินเนี่ยนเจินและเจียงฉินก็เช่นกัน เพราะบิดาของพวกเขาต่างก็เป็นทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาของอดีตแม่ทัพใหญ่ เมื่อยามเป็นเด็กจริงได้มาที่จวนตระกูลเซวียบ่อยครั้ง แน่นอนว่านอกจากจะได้ทำความรู้จักกับคุณชายของจวนที่อายุมากกว่าพวกเขาไม่มาก ยังได้พบแม่นมของอีกฝ่าย ที่นอกจากจะดูแลคุณชายของตนเป็นอย่างดีแล้วยังเผื่อแผ่มายังพวกเขาทั้งสองด้วยและเป็นเช่นนั้นจวบจนพวกเขาเติบใหญ่ บัดนี้แม่นมผู้ใจดีในยามนั้น กลับกลายเป็นคนที่พวกเขาไม่อยากจะยอมรับว่าเป็นนาง “นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เซวียหลิงจ้านเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาสั่นไม่น้อย ถิงถิงเมื่อเห็นว่าเป็นโอกาสที่จะได้เปิดโปงแล
ตอนที่[6]ขอร้อง“จับคนที่ฮูหยินจับขังไว้ออกมาโบยให้สารภาพความจริงให้หมด หากผู้ใดไม่พูดก็โบยจนกว่าจะพูด เสร็จแล้วก็เนรเทศให้ไปใช้แรงงานที่ชายแดน หากผู้ใดไม่พูดอันใด หรือพูด แต่ไม่ใช่ความจริงก็โบยไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพูดความจริงออกมา หากทนไม่ไหวก็เอาศพไปทิ้งที่สุสานร้าง!!” จะยอมพูดความจริงแล้วรักษาชีวิตไว้ได้ หรือจะยอมตายก็เลือกเอา และยิ่งหันมองสบตากับฮูหยินของตน เขาก็รู้ได้ว่าเขาทำถูกแล้วสามพ่อแม่ลูกตระกูลอู๋ถูกโบยไม่นานก็ยอมสารภาพความจริงออกมาจนหมด เหล่าบ่าวที่เหลือก็เช่นกัน ส่วนทหารจะได้รับบทลงโทษที่หนักยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหมิงถานที่เซวียหลิงจ้านไว้ใจให้อีกฝ่ายดูแลจวน “หมิงถานเจ้าต้องทำเช่นนี้เลยหรือ ปิดหูปิดตาข้า” “ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยผิดไปแล้วจริง ๆ แต่ข้าน้อยรักแม่นางลี่ฉุนจากใจจริงขอรับ ข้าจึงอยากปกป้องนาง…...” “การที่เจ้าปกป้องนางมันต้องทำร้ายคนมากมายเพียงนี้ เกียรติของทหารพยัคฆ์เพลิงเล่า เจ้าเอามันไปไว้ที่ใด” “ข้ายอมรับผิดทุกอย่างขอรับ” หมิงถานหลั่งน้ำตาออกมาทันทีพร้อมน้อมรับในความผิดของตนทุกอย่าง ในส่วนของการลงโทษหลังจากนั้นนางไม่ได้ไปยุ่งอันใด แต่นางเชื่อว่าคงไม่มีอันใด
ตอนที่[7]เริ่มแผนการในช่วงเย็นของวันนั้นเป็นครั้งแรกที่สามพ่อแม่ลูกตระกูลเซวียได้นั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกันเป็นครั้งแรก เซวียหลิงจ้านลอบมองปฏิกิริยาของบุตรชายที่เอาแต่ตักอาหารให้กับมารดาคนใหม่อย่างมีความสุขจนเกือบจะละเลยบิดาอย่างเขาที่ไม่ได้กลับจวนนานไปเสียแล้ว ปกติแล้วเด็กน้อยมักจะให้ความสำคัญกับเขาเป็นที่หนึ่งแต่คราวนี้เห็นทีจะมีคนที่มาเป็นอันดับหนึ่งแทนแล้วกระมัง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดีใจนั่นหมายความว่าฮูหยินคนใหม่นี้ดีกับเด็กน้อยไม่น้อย นี่จึงเป็นเรื่องทำให้เขาพอจะวางใจขึ้นได้บ้างคิดได้ดังนั้นจึงคิดคีบปลาผัดเผ็ดใส่ชามข้าวของนางด้วยหลังจากที่บุตรชายเพิ่งคีบไก่น้ำแดงให้นางไป ลู่หรงซินชะงักไปทันทีพร้อมมองไปที่ผู้ที่เพิ่งตักอาหารให้นางด้วยความแปลกใจ“ปลาผัดเผ็ดจานนี้ฝีมือข้าเองหวังว่าฮูหยินจะชอบ” เขาไปแอบทำตั้งแต่เมื่อใดกัน “ขอบคุณเจ้าค่ะ” จากนั้นลู่หรงซินก็กินข้าวไปอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้กล่าวอะไรอีก มีเพียงเสียงเจื้อยแจ้วของเซวียจินหลิงที่เอ่ยขึ้นทำให้บรรยากาศไม่น่าอึดอัดเท่าใดนักเซวียหลิงจ้านระหว่างที่เขากินข้าวไปเขาก็ลอบประเมินนิสัยใจคอของลู่หรงซินอยู่ในใจ งดงาม เย็นชา ลึกลับ พูดน้
ตอนที่[7]เริ่มแผนการในยามที่ลู่หรงซินเดินกลับเข้ามาในจวนในหัวก็พลางคิดว่า แผนการของนางกำลังจะเริ่มต้นขึ้นเสียที คิดได้ดังนั้นจึงได้ไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์โดยชั้นด้านในเป็นอาภรณ์ที่ตัดเย็บจากผ้าธรรมดา ส่วนชั้นนอกนั้นเป็นอาภรณ์มีราคาเฉกเช่นที่ฮูหยินจวนใหญ่จะสวมใส่กัน จากนั้นหยิบหมวกแพรขึ้นมาสวมเพื่อปิดบังใบหน้า“นั่นฮูหยินจะไปที่ใดขอรับ” เสียงของเจียงฉินเอยถามขึ้นอย่างไม่ไว้วางใจเมื่อเห็นว่านางกำลังจะออกจากจวนหลังจากที่ท่านแม่ทัพของเขาเพิ่งเดินทางไปไม่นาน“ข้าจะไปทำธุระข้างนอกฝากท่านดูแลเสี่ยวหลิงและแม่นมด้วย” ไม่รอให้อีกฝ่ายกล่าวสิ่งใด ลู่หรงซินก็รีบออกจากจวนไปด้วยความรวดเร็วทันที เป้าหมายของนางคือเหล่าคนเร่ร่อนและคนขอทานที่อยู่มุมหนึ่งของเมืองหลวงด้านเจียงฉินเขาไม่ได้คิดเชื่อฟังคำสั่งของฮูหยินผู้นั้นแต่อย่างใด เพราะอีกฝ่ายกระทำการดูมีลับลมคมในจึงได้แอบตามนางไปอย่างเงียบ ๆ เมื่อถึงจุดอับสายตาลู่หรงซินจัดการผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชั้นนอกออก กลายเป็นสตรีที่อยู่ในชุดธรรมดาและเปลี่ยนจากหมวกแพรเป็นสวมหมวกฟางปิดบังหน้าตาอีกชั้นหนึ่ง เจียงฉินมองการกระทำนั้นอย่างไม่เข้าใจ ลู่หรงซินรู้อยู่แล้วว่าท
ตอนที่[7]เริ่มแผนการนางเดินตามชายหนุ่มที่เขาเพิ่งแนะนำตัวกับนางว่าฉีอันเข้าไปในตรอกที่ทางทั้งคดเคี้ยวและชวนน่าสับสนไม่น้อย นี่คงเป็นการป้องกันตัวของพวกเขา ซึ่งภาพเหล่านี้จะว่าแปลกใหม่ก็ไม่ใช่ เพราะในโรงหนังแห่งนั้นมีการฉายภาพถึงตรอกเหล่านี้เอาไว้ด้วย ในยามที่ถูกกบฏเข้าโจมตีพื้นที่ในส่วนต่าง ๆ แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดเหลือรอดแม้แต่คนเดียว ไม่ว่าจะเป็นลูกเด็กเล็กแดง สตรีและคนชรา….เมื่อมาถึงจุดหมายก็พบว่าที่นี่ราวกับเป็นชุมชนขนาดย่อย “ในเมืองหลวงแม้จะว่ารุ่งเรือง แต่ความรุ่งเรืองนั้นก็ยังมีอีกด้านเสมอ” ฉีอันกล่าวด้วยแววตาเศร้าสลด“ที่ข้ามาที่นี่เรื่องหนึ่งก็คืออยากช่วยพวกเจ้า ฉีอัน เจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่” ลู่หรงซินกล่าวพร้อมสบตาชายหนุ่ม ด้านฉีอันก็เหมือนจะมีคำตอบในใจแล้ว “ข้า ฉีอันยินดีจะช่วยเหลือนายหญิงอย่างเต็มที่ขอรับ” เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างที่นางต้องการ นางจึงเริ่มนำหมูและวัตถุดิบที่เตรียมมาลงมือทำอาหารทันที โชคดีที่พวกเขาพอมีอุปกรณ์สำหรับทำอาหารอยู่บ้าง จึงไม่ได้มีปัญหาอันใด ครู่ใหญ่บะหมี่หมูตุ๋นรสเด็ดก็เสร็จสิ้นพร้อมแจกจ่ายให้กับทุกคน คนในตรอกจูชางแทบจะสั่งน้ำตา ยามที่ซ
ตอนที่[8]เริ่มดำเนินการตามแผน เมื่อตกลงและได้ฟังแผนการทั้งหมดพวกเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธอันใด เพราะฟังดูแล้วไม่มีอันใดที่เสียผลประโยชน์แม้แต่น้อย ทั้งมีอาหารกิน ทั้งได้ค่าแรง ไม่ต้องทนอดอยากอีกต่อไป แม้จะต้องใช้แรงมากสักหน่อยแต่นั่นไม่เป็นปัญหาอันใด ดีกว่าต้องทนรอความตายไปวัน ๆ แต่หากไม่ทำมีหวังได้ตายจริง ๆ นางรู้ดีว่านอกจากเรื่องค่าตอบแทนที่จะให้พวกเขา เหตุผลที่พวกเขาตกลงนั่นก็คือ นางเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตนเองแก่พวกเขาและบอกพวกเขาว่าอีกสามเดือนนี้จะมีการก่อกบฏ ตรอกจูชางแห่งนี้จะเป็นทางผ่านและถูกทำลายอย่างย่อยยับหากไม่มีแผนรับมือ ทุกคนที่ได้ยินเรื่องราวเหล่านี้จากปากของฮูหยินของแม่ทัพที่แข็งแกร่งและรักบ้านเมืองที่สุดในแคว้นต่างก็เชื่อได้โดยง่าย “ฮูหยิน เอ่อ นายหญิง พวกเราควรจะเริ่มที่ใดขอรับ” หนึ่งในกลุ่ม ศัตรูพ่าย ที่นางเพิ่งตั้งให้กล่าวขึ้น “ข้าอยากให้พวกเจ้ารวบรวมกลุ่มขอทาน คนเร่ร่อน คนไร้บ้านในเมืองหลวง สานสัมพันธ์กับพวกเขาแล้วดึงพวกเขามาเป็นพวกภายในสามวัน จากนั้นพาทุกคนไปรวมตัวกันที่ลานกว้างนอกเมืองทางตะวันออก อย่าลืมเน้นย้ำบอกพวกเขาว่ามีค่าตอบแทนให้ ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียแรงเ
ตอนที่[8]เริ่มดำเนินการตามแผน เมื่อจัดการมอบหมายงานแรกให้พวกเขาเสร็จเรียบร้อยจึงเร่งเดินทางกลับจวนเพราะเย็นนี้นางมีสิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างที่จะต้องไปทำนั่นก็คือ การไปจวนตระกูลลู่กลับไปเยี่ยมเยียนบ้านเดิมเสียหน่อย ไปดูว่าครานี้จะเล่นละครอันใดให้นางดูกัน “ท่านแม่จะพาเสี่ยวหลิงไปเยี่ยมเยียนท่านตาท่านยายหรือขอรับ” “เจ้าอยากไปหรือไม่” “อยากไปขอรับ หากท่านแม่ให้เสี่ยวหลิงไป” เด็กน้อยเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น “เช่นนั้นเดี๋ยวข้าจะให้ถิงถิงพาเจ้าไปเตรียมตัว” ยามนี้นางอยู่ในเรือนนอนห้องแม่นมฉิง คนในห้องต่างแปลกใจที่นางจะกลับบ้านเดิม หนำซ้ำยังจะพาเซวียจินหลิงกลับไปด้วย “ข้าก็แค่จะพาเขาไปเปิดหูเปิดตา แต่ข้ารับรองได้ว่าจะไม่มีผู้ใดทำอันตรายเขาได้แน่” แม่นมฉิงแม้จะไม่สบายใจแต่เมื่อได้ยินคนตรงหน้ากล่าวทั้งสองพลันรู้สึกมั่นใจ ว่าอีกฝ่ายต้องปกป้องคุณชายของตนได้อย่างแน่นอน เมื่อถิงถิงพาเด็กน้อยไปเตรียมตัว ในห้องจึงเหลือเพียงนางและแม่นมฉิงเท่านั้น แต่นางรู้ว่าไม่ไกลไปนั้นมีเจียงฉินที่ลอบสังเกตการณ์อยู่ “แม่นม ที่ข้ารับปากเอาไว้ว่าข้าจะพยายามหาทางช่วยท่าน วันนี้ข้ามาทำตามสัญญาแล้ว” “ฮูหยิน หมายคว
ตอนพิเศษ[2]ไปงานวันเกิดที่เผ่านอกด่าน ใบหน้าหล่อเหลาที่แฝงไปด้วยความดุดันของบุรุษวัยยี่สิบหนาวช่างทำให้คนเคลิบเคลิ้มและหวาดหวั่นได้ในคราเดียว เดินตามหลังกันมานั้นแม้จะอายุเพียงสิบสองหนาวแต่ก็เห็นเค้าของความหล่อเหลาล่มเมืองแล้วเพราะเป็นความผสมผสานระหว่างเซวียหลิงจ้านและลู่หรงซิน ใช่แล้วทั้งสองก็คือเซวียจินหลิงและเซวียจินหลง บุตรชายที่เซวียหลิงจ้านและลู่หรงซินภาคภูมิใจ เนื่องจากเมื่อหลายเดือนที่แล้ว เซวียจินหลิงได้รับจดหมายจากพ่อแม่ที่แท้จริงว่าจะมีการจัดงานวันเกิดให้กับมารดา หรือราชินีของเผ่านอกด่าน จึงอยากให้เขามาเข้าร่วมสักครั้ง เนื่องจากหลังจากที่เขาจำเรื่องราวได้ทั้งหมด เขาก็ยังไม่เคยเข้าร่วมงานนี้สักครั้ง แต่หากว่ามาเที่ยวเล่นเขาพาหลงเออร์มาหลายครั้งแล้ว แต่ปีนี้เข้าเห็นว่าคนทั้งคู่เฝ้ารอเขามาเนิ่นนาน เขาจึงคิดว่าตนเองก็ไม่ควรจะใจดำถึงเพียงนั้น ทั้งท่านแม่ท่านแม่ก็สนับสนุน ท่านแม่อยากจะตามมาด้วยซ้ำ หากไม่ติดว่าต้องดูแลน้องเล็ก เซวียจินหราน ในวัยเจ็ดหนาวที่อ้อนแต่จะไปสนามฝึกทุกวัน น้องเล็กเหมือนท่านแม่มาก กลับไปคงต้องหาของฝากดี ๆ ไปฝากนางเสียแล้ว “หลิงเออร์มาแล้วหรือ
ตอนพิเศษ[1]สำเร็จโทษ เติ้งหลงฮ่องเต้นั้นเอ็นดูหลานชายบุญธรรมทั้งสองอย่างเซวียจินหลิงและเซวียจินหลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนามจินหลง ก็เป็นพระองค์ที่ทรงตั้งให้ จากเดิมที่เซวียหลิงจ้านได้หยุดพักหนึ่งปีพระองค์ก็ให้เขามาประจำการอยู่เมืองหลวงชั่วคราวจนกว่าบุตรชายคนเล็กจะเติบใหญ่ แต่ทว่านางนั้นรอไม่ไหวแล้ว เมื่อบุตรชายอายุได้สามหนาวจึงได้ให้สามีไปขอพระราชทานฝ่าบาทขอกลับไปประจำการอยู่ที่เมืองสวี่เฉิง คราแรกฝ่าบาทไม่เห็นด้วย แต่เมื่อบอกว่าเป็นความต้องการของภรรยา พระองค์จึงต้องอนุญาตโดยไม่เต็มใจ หากลู่หรงซินต้องการเขาหรือจะไม่อนุญาต ภาพวันนั้นเมื่อสามปีที่แล้วเขาไม่ลืม คิดแล้วก็ลูบคอตนเองไปพลาง ๆ จากนั้นตระกูลเซวียจึงได้ย้ายกันไปอยู่ที่เมืองสวี่เฉิงนับจากนั้น ทุกคนตามไปหมดทั้งแม่นมฉิงและถิงถิง รวมถึงฉีอ้าย แต่จะฉีอันพี่ชายของนางแม้จะอยากตามไป แต่เขาต้องบุกเบิกหนทางให้ตนเอง จะต้องสอบเป็นขุนนางของวังหลวงได้ รวมถึงเขาได้ตกลงกับกลุ่มศัตรูพ่ายว่าจะพัฒนาตรอกจูชางให้เจริญยิ่งขึ้น ฉีอ้ายจึงได้แต่ส่งกำลังใจให้พี่ชายให้ทำให้สำเร็จ ด้านจวนตระกูลเซวียนั้นไม่น่าเป็นห่วงเพราะได้หาคนที่ไว้ใจได้และฝีม
ตอนที่[17]เสี่ยวหลิงอยากมีน้อง“ท่านแม่ ท่านแม่ฟังเสี่ยวหลิงอยู่หรือไม่ ท่านแม่ต้องมีน้องให้เสี่ยวหลิงนะขอรับ” เมื่อเห็นมารดาคล้ายเหม่อลอยจึงได้รีบสำทับอีกครั้ง เด็กน้อยเร่งเร้าอีกครั้งจึงทำให้สติของนางกลับมา “อ้อ อืม เสี่ยวหลิง แม่จะเก็บไปคิดอีกที แม่ขอกลับเรือนก่อนนะ เจ้าอย่าคิดมาก” ว่าแล้วก็จ้ำอ้าวออกจากเรือนบุตรชายเพื่อสงบสติอารมณ์ตนเอง คล้อยหลังลู่หรงซิน ร่างสูงที่แอบฟังเรื่องราวอยู่ไม่ไกลก็ได้เข้ามาในห้องของบุตรชาย “เสี่ยวหลิง พ่อจะเอาน้องมาให้เจ้า พ่อสัญญา” ในวันต่อมาทั้งคู่จึงได้จับเข่าคุยกัน แต่ไป ๆ มา ๆ เซวียหลิงจ้านก็ทนไม่ไหว เขาจึงเอ่ยความในใจออกไปตามตรง “ซินเออร์ เจ้าย้ายมาอยู่เรือนเดียวกับพี่เถิด พี่ว่าเราควรเรียนรู้กันให้มากกว่านี้”และไม่น่าเชื่อว่าการเจรจาอันแสนแปลกจะสำเร็จผล! นางตัดสินใจย้ายมาอยู่เรือนเดียวกับเขา และคืนนี้จะเป็นวันที่นางและเขาจะได้ร่วมนอนเตียงด้วยกันเป็นครั้งแรก…..และคงหลีกเลี่ยงเรื่องนั้นไม่ได้สินะ ในห้องนอนที่ประดับประดาด้วยของตกแต่งสีแดง บนโต๊ะมีสุรามงคลและขนม คล้ายกับวันเข้าหอของคู่บ่าวสาวก็ไม่ปาน นี่ต้องเป็นฝีมือของแม่นมฉิงเป็นแน่ “ซ
ตอนที่[17]เสี่ยวหลิงอยากมีน้องชาติกำเนิดที่แท้จริงของเสี่ยวหลิง ที่แท้เสี่ยวหลิงคือบุตรชายคนเล็กของราชาของเผ่านอกด่านทั้งสี่ที่ถูกบ่าวชายหญิงที่คิดคดทรยศลักพาตัวบุตรชายของเขาออกมาและสร้อยที่เสี่ยวหลิงแขวนอยู่กับตัวอยู่ตลอดนั่นคือคำตอบ น่าแปลกที่เสี่ยวหลิงในยามนั้นอายุห้าหนาวแล้ว แต่กลับจำอันใดไม่ได้ ซึ่งนางมองว่ามันผิดปกติ จึงได้ใช้ยาของนางในการรักษาเขา สุดท้ายจึงพบว่าเขาได้ถูกวางยาทำให้ความจำก่อนหน้านั้นหายไปและแน่นอนว่า R-01 ก็ช่วยเหลือได้อีกแล้ว เด็กน้อยจำพ่อแม่ที่แท้จริงได้ แต่เขากล่าวว่าจะอยู่กับนางและเซวียหลิงจ้าน แต่หากเติบใหญ่เขาเปลี่ยนไปหรืออย่างไร นางย่อมให้เขาได้ทำตามที่ใจปรารถนา เมื่อเป็นเช่นนี้ แคว้นเติ้งและเผ่านอกด่านจึงลงนามสัญญาว่าจะไม่ระรานกัน ไม่โจมตีกัน ด้วยทางนั้นก็รู้สึกผิดและอยากขอบคุณที่แม่ทัพใหญ่แคว้นเติ้งที่รับเลี้ยงและดูแลบุตรชายของพวกเขาเป็นอย่างดี ทั้งเมื่อทำเจรจาสงบศึกแล้ว พวกเขาก็สามารถมาเยี่ยมเยียนบุตรชายได้ด้วย นอกจากนั้นยังมีสัญญาการค้าที่จะเปิดโอกาสให้ได้ทำการค้าร่วมกันอีก นี่มีแต่ดีกับดีทั้งนั้น จะรบกันต่อเพื่อสิ่งใด เรื่องราวทั้งหมดจึงจบ
ตอนที่[17]เสี่ยวหลิงอยากมีน้อง ตั้งแต่วันที่นางบอกว่าจะให้โอกาสเขา นางก็รู้สึกว่าเขาชักจะทำตัวแปลก ๆ ขึ้นทุกวัน เช่นวันนี้ เขาพานางมาถือตะกร้าเก็บดอกไม้ในสวนดอกไม้ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งเมื่อดูแล้ว มันไม่เหมาะสำหรับนางและเขาเอาเสียเลย สุดท้ายเมื่อไม่อาจฝืนความเป็นตนเอง จึงได้แต่มองหน้ากันและหัวเราะออกมาเบา ๆ “ไปที่ที่เหมาะกับพวกเรากัน” เซวียหลิงจ้านเสนอขึ้นเหล่าทหารต่างตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ฮูหยินที่มากฝีมือที่พวกเขาจำได้ไม่ลืมในวันที่เกือบจะเป็นวันสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของแคว้นเติ้ง แต่เป็นเพราะฮูหยินของพวกเขาผู้นี้จึงทำให้ผ่านวิกฤตนั้นมาได้ เมื่อนางมาพวกเขาก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ สองสามีภรรยามาที่ค่ายด้วยความอารมณ์ดีไม่น้อย แต่อารมณ์ดีอย่างไรถึงได้สู้กันเช่นนั้น“นี่…. เป็นวิธีแสดงความรักต่อกันฉบับท่านแม่ทัพและฮูหยินหรือ” ทหารผู้หนึ่งกล่าวขึ้น ทั้งคู่ต่อสู้กันจนเหงื่อโชก แน่นอนว่าที่ผู้เป็นภรรยาเป็นฝ่ายเอาชนะได้เกือบทั้งหมดทุกรอบ แต่มีรอบสุดท้ายที่เขากล่าวขึ้น “ฮูหยินหากพี่ชนะพี่จะขอให้เจ้าทำบางอย่างได้หรือไม่” เมื่อกล่าวจบสายตาแห่งความสงสัยก็เกิดขึ้น “อันใดหรือเจ้าคะ
ตอนที่[16]ขอโอกาสจู่ ๆ เขาก็ถือวิสาสะมาจับมือนางเอาไว้ “……”“ฮูหยิน ข้าอาจจะรู้เรื่องและเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของสตรีน้อยนักเพราะตั้งแต่เด็กก็เอาแต่ตามท่านพ่อไปที่ค่าย เจ้าอาจจะรู้สึกไม่พอใจในเรื่องนี้ แต่ข้าจะพยายามทำให้ดีกว่าเดิม ไม่สิ ข้าต้องทำได้แน่” “……”“เจ้าเป็นภรรยาคนแรก และข้าสัญญาว่าจะเป็นภรรยาคนเดียวและคนสุดท้ายของข้า” “……”“ดังนั้น ฮูหยินข้าขอโอกาสเป็นสามีที่ดีของเจ้าได้หรือไม่” แม้ว่ายามนี้จะเป็นเวลากลางคืน แต่นางก็เห็นใบหน้าที่กำลังเว้าวอนของเขาได้อย่างชัดเจนช่วงเวลาที่รอคอยคำตอบช่างเป็นเวลาที่หัวใจของเซวียหลิงจ้านรู้สึกบีบรัดเหลือเกิน จนกระทั่ง…“ก่อนที่ข้าจะตอบ ข้าอยากจะกล่าวอะไรเสียหน่อย” “ได้สิ ฮูหยินว่ามาเลย” เขายืดตัวขึ้นเพื่อรอฟังนางด้วยความตั้งใจ “ข้า…ก็ไม่ใช่สตรีเฉกเช่นสตรีทั่วไป หากท่านเคยรู้เรื่องราวของลู่หรงซินว่าเป็นมาเช่นไร ยามนี้ข้ามิใช่เช่นนั้น ข้ามิได้อ่อนหวาน อ่อนโยน มิได้เก่งเรื่องของสตรีอย่างที่ควรจะเป็น ข้าชอบต่อสู้และออกจะ…. ดุดัน ท่านอาจจะไม่ชอบเช่นกัน ท่านลองคิดดูอีกทีดีหรือไม่”เขารู้ว่านางแตกต่างจากที่เขาได้ยินมาโดยสิ้นเชิง แต่สตรีที่ทำ
ตอนที่[16]ขอโอกาส กว่าทั้งสี่คนจะกลับมาถึงจวนก็เป็นเวลาอาหารเย็น เมื่อเดินมาถึงเรือนใหญ่ก็พบว่าแม่นมฉิงให้คนเตรียมอาหารไว้มากมาย มื้อนี้ของตระกูลเซวียจึงดูคึกคักเป็นพิเศษ น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีบรรยากาศเช่นนี้ เซวียหลิงจ้านให้ หลินเนี่ยนเจิน เจียงฉิน แม่นมฉิง ถิงถิงและฉีอ้ายร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน เสี่ยวหลิงตั้งแต่ที่เห็นว่ามารดายังไม่จากไปไหนก็ได้ทำตัวตามติดราวกับหางน้อย ๆ ก็ไม่ปาน “ท่านแม่ เสี่ยวหลิงคีบอาหารให้ขอรับ” แม้อายุจะเพียงเจ็ดหนาวแต่ใช้ตะเกียบได้คล่องนัก มือเล็กเอาแต่คีบนั่นนี่ให้มารดาไม่หยุด “คีบให้แต่ท่านแม่ แล้วพ่อเล่า” จู่ ๆ เซวียหลิงจ้านก็เอ่ยขึ้น ใบหน้างองุ้มราวกับน้อยใจเต็มประดา แต่ทุกคนรู้ว่าชายหนุ่มกำลังเย้าบุตรชายก็เท่านั้น “ท่านพ่อไม่ต้องน้อยใจนะขอรับ ถึงท่านพ่อจะเป็นที่สองสำหรับเสี่ยวหลิง แต่เสี่ยวหลิงก็ยังรักท่านพ่ออยู่นะ” ว่าแล้วก็คีบหมูเปรี้ยวหวานใส่ชามข้าวของบิดาด้วยความรวดเร็ว ส่วนคนอื่นที่อยู่บนโต๊ะอาหารได้แต่กลั้นหัวเราะหน้าดำหน้าแดง เมื่อได้ยินเด็กน้อยบอกว่าบิดาของตนคือที่สอง แม้แต่ลู่หรงซินยังยกยิ้มขึ้น “เป็นที่สองก็ได้ ให้ท่านแม่เป็
ตอนที่[15]ฮูหยินตราตั้งเรือนนอกเมืองหลังหนึ่ง เสียงแห่งความรัญจวนดังออกมาจากเรือนเป็นระยะ ๆ ส่วนผู้ที่อยู่ด้านในก็กำลังสุขสมอย่างเต็มที่ แต่ทว่าในจังหวะที่เขากำลังจะมีความสุขขั้นสุดเขาก็รับรู้ได้ว่ามีเงาสายหนึ่งทาบมาที่ด้านหลัง ก่อนที่ผมของเขาจะถูกกระชากไปด้านหลังอย่างรุนแรง “ว้าย” จี้เหมยกรีดร้องขึ้นเพราะมีผู้เข้ามาในยามที่ตนกำลังเปลือยเปล่าทั้งอยู่ในช่วงกำลังดำดิ่งในห้วงลึก ลู่หรงซินกำผมของฉู่หวังหมิ่นไว้แน่นในขณะใบหน้ายังคงเรียบนิ่ง ในอีกด้านหนึ่งยามนี้เซวียหลิงจ้านและทหารคนสนิทอีกสองคนได้แต่ทำสีหน้าไม่ถูก แต่หากสังเกตจะเห็นได้ว่าหูของพวกเขาทั้งสามกำลังแดงก่ำ ยามได้เห็นว่าผู้ที่อยู่ในเรือนกำลังทำอันใดกัน ตั้งแต่เด็กพวกเขาก็สนใจแค่เรื่องการทหาร ไหนเลยจะมีประสบการณ์เรื่องนี้ ส่วนเซวียหลิงจ้านแม้จะมีฮูหยินแล้ว แต่ก็ไม่ทันได้เข้าหอเสียด้วยซ้ำ คิดแล้วก็อยากจะปิดตานางเอาไว้นัก ยามนี้ฉู่หวังหมิ่นไร้อาภรณ์ปิดกาย ส่วนนั้นก็เด่นหราอยู่อย่างชัดเจน นางไม่ควรจะต้องเห็นของบุรุษผู้อื่นมิใช่หรือ นอกจาก…เขา คิดแล้วความแดงจากใบหูก็ลามเลียมาที่ใบหน้า “ท่านไม่สบายหรือ” นางสังเกตเห็นว่าเ
ตอนที่[15]ฮูหยินตราตั้ง“เสี่ยวหลิงนี่มันเรื่องอันใดกัน” ใบหน้างามเบนกลับมาหาบุตรชายตัวน้อยที่คุกเข่าก้มหน้าอยู่อีกครั้ง “ท่านแม่ เสี่ยวหลิงได้ยิน…. ที่ท่านพ่อคุยกับท่านแม่ ว่าท่านแม่กำลังจะจากพวกเรา เสี่ยวหลิงเสียใจ จึงได้ไปบอกทุกคนให้มาช่วยกัน ห้ามท่านแม่ขอรับ ฮึก” ที่แท้ก็เรื่องนี้นางจึงปรับสีหน้าให้อ่อนโยนยิ่งขึ้น ก่อนจะก้มลงไปหาเด็กน้อย พลางเกลี่ยน้ำตาให้เขาอย่างอ่อนโยน“เสี่ยวหลิง ข้าไม่ได้จะจากไปที่ใด”“จะ…. จริงหรือขอรับ” ดวงตาแห่งความหวังเงยสบตากับมารดาทันทีหลังอีกฝ่ายกล่าวจบ“อื้ม” “ท่านแม่” เด็กน้อยโผเข้ากอดมารดาทันที เขาใจแทบสลาย ทั้งทำตัวไม่ถูกว่าจะต้องทำอย่างไร เขาไม่อยากให้ท่านแม่จากไป“ทุกคนลุกขึ้นเถิด” จากนั้นนางจึงบอกให้ทุกคนลุกขึ้น “ในยามนี้ข้ายังไม่ได้คิดจะจากไป ขอวันนี้ทุกคนกลับไปทำหน้าที่ของตนก่อนเถิด” “ส่วนท่านแม่ทัพ เรามีเรื่องต้องคุยกัน” “ฮูหยินมีอันใดหรือ” เขาเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่เดินเข้ามาที่โถงของเรือนใหญ่ จะเห็นได้ว่าเซวียหลิงจ้านยามนี้ราวกับปลากระดี่ได้น้ำก็ไม่ปาน นางกล่าวว่านางจะไม่ไปแล้ว นั่นหมายความว่าเขาและนางอาจจะได้มีโอกาสเรียนรู้กันมากขึ้