ตอนที่[8]เริ่มดำเนินการตามแผน เมื่อจัดการมอบหมายงานแรกให้พวกเขาเสร็จเรียบร้อยจึงเร่งเดินทางกลับจวนเพราะเย็นนี้นางมีสิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างที่จะต้องไปทำนั่นก็คือ การไปจวนตระกูลลู่กลับไปเยี่ยมเยียนบ้านเดิมเสียหน่อย ไปดูว่าครานี้จะเล่นละครอันใดให้นางดูกัน “ท่านแม่จะพาเสี่ยวหลิงไปเยี่ยมเยียนท่านตาท่านยายหรือขอรับ” “เจ้าอยากไปหรือไม่” “อยากไปขอรับ หากท่านแม่ให้เสี่ยวหลิงไป” เด็กน้อยเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น “เช่นนั้นเดี๋ยวข้าจะให้ถิงถิงพาเจ้าไปเตรียมตัว” ยามนี้นางอยู่ในเรือนนอนห้องแม่นมฉิง คนในห้องต่างแปลกใจที่นางจะกลับบ้านเดิม หนำซ้ำยังจะพาเซวียจินหลิงกลับไปด้วย “ข้าก็แค่จะพาเขาไปเปิดหูเปิดตา แต่ข้ารับรองได้ว่าจะไม่มีผู้ใดทำอันตรายเขาได้แน่” แม่นมฉิงแม้จะไม่สบายใจแต่เมื่อได้ยินคนตรงหน้ากล่าวทั้งสองพลันรู้สึกมั่นใจ ว่าอีกฝ่ายต้องปกป้องคุณชายของตนได้อย่างแน่นอน เมื่อถิงถิงพาเด็กน้อยไปเตรียมตัว ในห้องจึงเหลือเพียงนางและแม่นมฉิงเท่านั้น แต่นางรู้ว่าไม่ไกลไปนั้นมีเจียงฉินที่ลอบสังเกตการณ์อยู่ “แม่นม ที่ข้ารับปากเอาไว้ว่าข้าจะพยายามหาทางช่วยท่าน วันนี้ข้ามาทำตามสัญญาแล้ว” “ฮูหยิน หมายคว
ตอนที่[9]หลอกมาหลอกกลับ เซวียจินหลิงแม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่มารดากล่าว แต่เมื่อประโยคถัดมาที่มารดาของตนกล่าวว่า ท่านตาท่านยายและท่านน้าทั้งสองไม่ชอบท่านแม่ ใบหน้าของเขาก็เศร้าสลดลง เขาไม่อยากให้ท่านแม่รู้สึกไม่ดี “เดี๋ยวไปถึงที่นั่น เจ้าก็อย่าทำหน้าเช่นนี้เล่า จงยิ้มเอาไว้ ยิ้มแบบมีความสุข” แม้จะยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องทำเช่นนั้น แต่เขาจะเชื่อฟังท่านแม่ เขาจะต้องเป็นเด็กดีให้ท่านแม่ภูมิใจ “เสี่ยวหลิงจะเชื่อฟังท่านแม่ขอรับ” เมื่อเห็นเด็กน้อยเชื่อฟังนางแม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวมากนัก นางก็อดไม่ได้ที่จะยกมือไปลูบที่หัวของเขาเบา ๆ เซวียจินหลิงไม่ทันได้ตั้งตัวว่ามารดาจะทำเช่นนั้นจึงได้แต่ตัวแข็งค้าง แต่ทว่าไม่นานรอยยิ้มกว้างก็ปรากฏขึ้น “ท่านแม่” หนำซ้ำยังเขยิบมานั่งใกล้มารดามากขึ้น ลู่หรงซินไม่ถือสาในกิริยานั้น นางมองดูแล้วก็ ‘น่ารักดี’ ไม่ได้รู้สึกรำคาญอันใด เจียงฉินไม่รู้ว่าภายในรถม้าเกิดอันใดขึ้น เขาเพียงแต่ทำได้แค่ตามอยู่ห่าง ๆ เพราะด้วยมีหลายคนรู้ว่าเขาคือทหารคนสนิทของท่านแม่ทัพ จะไม่เป็นการดีนักหากมีคนพบว่าเขาอยู่ในเมืองหลวง แทนที่จะอยู่ที่ชายแดนอย่างที่ควรจะเป็น ไม
ตอนที่[9]หลอกมาหลอกกลับ เมื่อกินอาหารเสร็จ จึงได้ย้ายไปนั่งที่ศาลาหน้าเรือนใหญ่ เซวียจินหลิงรู้ดีว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว เขาจึงพาตนเองไปนั่งอยู่โขดหินที่อยู่ไม่ไกลออกไป เมิ่งเจียอีจึงได้คลายความไม่พอใจลงไปได้ “พี่ใหญ่ ท่านไปอยู่ที่จวนตระกูลเซวียเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ลู่ซูเจียวมักจะถามคำถามนี้ทุกครั้งยามพบหน้าพี่สาวต่างมารดา ฟังดูเผิน ๆคล้ายห่วงใย แต่นางรู้ดีว่ามิใช่เช่นนั้น ลู่ซูเจียวกำลังรอคอยคำตอบบางอย่าง ที่ถ้าได้ยินแล้วนางจะรู้สึกดีขึ้น “บ่าวที่จวนนั้น ไม่เคารพข้าเลย พวกเขาทำราวกับว่าข้าไม่มีตัวตน”และก็เป็นจริง!เมื่อนางกล่าวประโยคนี้ออกไป แววตาของลู่ซูเจียวก็ปรากฏความสะใจบางอย่าง ในขณะที่ลู่ซีห่าว เบ้ปากอย่างดูแคลน “ซินเออร์ เจ้าอดทนก่อน ความปรารถนาของเจ้าใกล้จะเป็นจริงแล้ว” “จริงหรือเจ้าคะ แต่ว่า คุณชายฉู่มีคนรักแล้ว เขาจะแต่งงานกับข้าได้อย่างไร” เมิ่งเจียอีและลู่ซูเจียวชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกนางไม่คิดว่าลู่หรงซินจะรู้เรื่องฉู่หวังหมิ่นแล้ว “เอ่อ ซินเออร์ นั่นไม่ใช่ความจริง ที่จริงแล้ว คุณชายฉู่เพียงแค่รู้สึกหึงหวงเจ้า จึงได้หาสตรีมาตบตาเจ้าก็เท
ตอนที่[9]หลอกมาหลอกกลับ“เจ้าเด็กกำพร้า มายืนโง่อันใดที่นี่” เป็นลู่ซีห่าว“คุณชายลู่ เหตุใดต้องเอาแต่ว่าเสี่ยวหลิงเป็นเด็กกำพร้าด้วย” “ก็เจ้าเป็นเด็กกำพร้าจริง ๆ ทำไม ไม่ยอมรับหรือ” “ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่ควรกล่าวทับถมกันมิใช่หรือ” เซวียจินหลิงเอ่ยอย่างไม่ยินยอม ซึ่งนั่นทำให้ลู่ซีห่าวรู้สึกไม่พอใจ ไม่เคยมีผู้ใดกล่าวและมองเขาด้วยสายตาเช่นนั้น “ไอ้เด็กกำพร้า!” กล่าวแล้วก็ผลักเซวียจินหลิงอย่างแรง “โอ๊ย!!” เพราะไม่ทันตั้งหลักเซวียจินหลิงจึงหงายหลังลงไปก้นกระแทกพื้นอย่างแรงจนเจ็บและจุกแทบลุกไม่ขึ้น ลู่หรงซินที่ได้ยินเสียงเด็กน้อยที่นางคุ้นเคย มือเรียวก็รีบเร่งมือยิ่งขึ้น อีกแค่นิดเดียว…. เมื่อรายชื่อสุดท้ายถูกคัดลอกเสร็จ นางก็นำต้นฉบับเข้าไปเก็บไว้ที่เดิม ก่อนจะหาช่องโอกาสกระโดดออกทางหน้าต่าง แล้วลัดเลาะไปทางเรือนนอนเดิมของตนก่อนจะไปหยิบอุปกรณ์ตัดเย็บที่ว่าแล้วเร่งฝีเท้าตรงไปที่ห้องทำงานของบิดาอีกครั้งด้านลู่ซีห่าวเห็นว่าอีกฝ่ายล้มลงไปอย่างหมดสภาพก็ยกยิ้มอย่างสะใจ จนเมื่อเห็นว่าเซวียจินหลิงดูเหมือนจะลุกขึ้นมาได้เขาก็เข้าไปผลักอีกครั้ง “โอ๊ย!!” เจียงฉินที่ลอบสังเกตการณ์อยู
ตอนที่[10]ยอมรับ เมื่อเด็กน้อยตอบรับจากนั้นนางจึงพยักหน้าให้เขา “ต่อไปต้นยามเซิน (15.00-16.59 น.) ของทุกวันข้าจะฝึกการต่อสู้ให้เจ้า ขอเพียงเจ้าตั้งใจและไม่บ่ายเบี่ยง ต่อไปเจ้าก็จะกลายเป็นผู้ที่โดดเด่นมากผู้หนึ่งในแคว้นนี้” เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน เพราะนางเคยฝึกให้กับสมาชิกในบริษัทจนหลายคนจากที่เป็นคนธรรมดาก็กลายเป็นคนที่โดดเด่นได้ “นอกจากนั้น ข้ายังจะให้เหล่าอาจารย์มาสอนเจ้าที่จวน เมื่อถึงยามที่เจ้าต้องเข้าสำนักศึกษา จะได้ไม่มีปัญหาในภายภาคหน้า เจ้ามีปัญหาอันใดหรือไม่” “ไม่ขอรับ เสี่ยวหลิงจะเชื่อฟังท่านแม่ หากท่านแม่ว่าดี เสี่ยวหลิงก็ว่าดีขอรับ” เซวียจินหลิงพยายามอย่างมากที่จะเป็นคนโปรดของมารดา “ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาเริ่มกัน ตอนนี้พวกเราไปโรงครัวกันก่อนเถิด” “โรงครัวหรือขอรับ” เดิมทีเขานึกว่าจะต้องแยกย้ายกันไปพักผ่อนแล้วแต่ท่านแม่จะพาเขาไปโรงครัวหรือ “อาหารที่จวนตระกูลลู่มีแต่ผัดผักจืด ๆ เช่นนั้นเจ้าอิ่มหรือ” “อ่า นั่น” เขาไม่อิ่มจริง ๆ เมื่อสองแม่ลูกต่างคิดตรงกัน จึงได้เดินตามกันไปที่โรงครัวพร้อมกันทันที นั่นทำให้คนในโรงครัวตื่นตระหนกไม่น้อย “ทำง่าย ๆ มาใ
ตอนที่[10]ยอมรับ“หนี้บุญคุณอันใดกัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด” “ฮูหยิน เดิมทีข้าไม่คิดว่าจะมีทางรักษาแล้ว กระดูกที่แทบจะป่นละเอียดไปเช่นนั้น แม้แต่หมอเทวดาก็ใช่ว่าจะรักษาได้ แต่แล้วเมื่อวานนี้ที่ฮูหยินรักษา ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น วันนี้ข้า…. ข้าหายแล้ว เดินได้แล้ว นี่จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ได้อย่างไรเจ้าคะ” ว่าแล้วก็จะโขกศีรษะลงไปอีกรอบ “หากแม่นมทำเช่นนี้ก็เท่ากับคิดว่าข้าเป็นคนอื่นคนไกล อย่างไรข้าก็เข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว อะไรที่ข้าช่วยได้ข้าก็จะช่วย” แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ นางก็คิดว่าจะช่วยคนให้มากที่สุด เจียงฉินที่ยืนอยู่ไม่ไกลได้แต่แปลกใจขึ้นทุกชั่วขณะ เมื่อวานลู่หรงซินเข้าไปรักษาแม่นมฉิงจริง ๆ ทั้งยังสามารถรักษาได้อีกด้วย นางทำได้อย่างไรกัน ไม่เคยรู้ว่าก่อนเลยว่าลู่หรงซินผู้นี้มีความรู้ด้านการแพทย์ด้วย ในใจเขารู้สึกระแวงนางขึ้น เพราะจากที่ได้รับข้อมูลในสามเดือนที่ผ่านมา ลู่หรงซินมีการกลับจวนตระกูลลู่บ่อย ๆ อีกทั้งเมื่ออยู่ในจวนนี้นอกจากเก็บตัวอยู่ที่ห้องแล้ว ก็ทำเพียงเดินรอบ ๆ จวนอย่างไม่มีสาเหตุ นี่ไม่น่าสงสัยหรืออย่างไร มาตอนนี้กลับมีวิชาแพทย์อีก เรื่องเมื่อวาน
ตอนที่[10]ยอมรับ ไม่นานเด็กน้อยวัยเจ็ดหนาวอยู่ในชุดที่ทะมัดทะแมงไม่ต่างจากมารดาก็ปรากฏขึ้น ในใจของลู่หรงซินรู้สึกคันยุบยิบ เหตุใดบุตรชายผู้นี้จึงดู…น่ารักนัก นางเกือบจะไปอุ้มอีกฝ่ายขึ้นมาหอมแก้มเสียแล้ว ดีที่ว่ายับยั้งตนเองไว้ได้ทัน “เจ้าพร้อมแล้วหรือไม่ เสี่ยวหลิง” “เสี่ยวหลิงพร้อมแล้วขอรับท่านแม่” จากนั้นเสี่ยวหลิงจึงได้เริ่มเรียนรู้ตั้งแต่ท่ายืดเส้นยืดสาย เขารู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวไม่น้อย แต่กระนั้นก็ยังรู้สึกสนุก จวบจนกระทั่งเวลาผ่านไปพอสมควร จึงได้เริ่มเรียนอย่างจริงจัง ในยามที่ลู่หรงซินให้เด็กน้อยออกแรงที่แขนเพื่อชกเข้ากับอุปกรณ์ที่เตรียมมาจนหงายหลังลงไป ในยามนั้นเจียงฉินจึงปรากฏตัวขึ้น “เจ้าทำอันใด!!” ใบหน้าของเขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก ลู่หรงซินกำลังทำอันใดกับคุณชายน้อยกันแน่ “ทำอันใดหรือข้าก็กำลังสอนให้เสี่ยวหลิงเรียนต่อสู้” “ต่อสู้หรือ คุณชายอายุเพียงแค่เจ็ดหนาวเท่านั้น” “แล้วเจ้าเล่าเรียนต่อสู้ตั้งแต่ยามใด” เสียงเย็นของลู่หรงซินกล่าวขึ้น หากเป็นคนรู้จักในโลกก่อนเห็นเช่นนี้ คงคิดในใจว่า ‘หายนะเริ่มมาเยือนแล้ว’ นางไม่ชอบให้ผู้ใดมาขัดขวางในยามที่กำลังฝึกซ้อม!
ตอนที่[11]ขุดเส้นทางลับ ใช้เวลาสามวันพอดิบพอดีนางก็สามารถสำรวจพื้นที่ในเมืองหลวงและนอกเมืองหลวงได้สำเร็จ แม้ว่าที่จวนจะมีแผนที่ แต่ว่านั่นไม่สู้ลงดูสถานที่จริง เพราะเวลาเปลี่ยนหลายอย่างก็ย่อมเปลี่ยนแม้กระทั่งเส้นทางต่าง ๆ แต่ข้อดีของแผนที่ในจวนแม่ทัพคือในแผนที่เหล่านั้นจะมีบอกถึงเส้นทางลับที่มีอยู่แล้วด้วย ฉะนั้นมันจะง่ายต่อการเตรียมการเพราะเส้นทางของนางจะต้องไม่ไปทับเส้นทางของใคร แต่ต้องไม่มีผู้ใดรู้ว่ามีเส้นทางนี้ด้วย วันนี้เป็นวันที่นางนัดหมายกับกลุ่มศัตรูพ่ายและกลุ่มคนกลุ่มใหม่ที่พวกเขาได้ไปรวบรวมมา ไม่นานทั้งลู่หรงซินและเจียงฉินที่แต่งกายที่ปกปิดฐานะตนเองก็ออกไปที่สถานที่นัดหมายนอกเมืองด้วยกัน “พวกเจ้าคงรู้มาบ้างแล้วว่าสิ่งที่จะต้องทำนั้นไม่ง่ายและต้องปิดบังเรื่องนี้จากผู้อื่น ข้าจึงอยากจะถามอีกครั้งว่า…มีผู้ใดที่จะเปลี่ยนใจหรือไม่” น้ำเสียงเนิบเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบเมื่อกล่าวจบก็กวาดสายตามองพวกเขาอย่างรอคอยคำตอบ สายตาคมกริบนอกจากมองดูว่าจะมีผู้ใดคิดเปลี่ยนใจหรือไม่ นางยังสอดส่องหา ‘สิ่งแปลกปลอม’ ที่อาจจะแฝงตัวมากับคนอื่น ๆ แต่ทว่าเมื่อดูจนพอใจแล้วกลับพบว่าไม่มี ใบหน้าง
ตอนพิเศษ[2]ไปงานวันเกิดที่เผ่านอกด่าน ใบหน้าหล่อเหลาที่แฝงไปด้วยความดุดันของบุรุษวัยยี่สิบหนาวช่างทำให้คนเคลิบเคลิ้มและหวาดหวั่นได้ในคราเดียว เดินตามหลังกันมานั้นแม้จะอายุเพียงสิบสองหนาวแต่ก็เห็นเค้าของความหล่อเหลาล่มเมืองแล้วเพราะเป็นความผสมผสานระหว่างเซวียหลิงจ้านและลู่หรงซิน ใช่แล้วทั้งสองก็คือเซวียจินหลิงและเซวียจินหลง บุตรชายที่เซวียหลิงจ้านและลู่หรงซินภาคภูมิใจ เนื่องจากเมื่อหลายเดือนที่แล้ว เซวียจินหลิงได้รับจดหมายจากพ่อแม่ที่แท้จริงว่าจะมีการจัดงานวันเกิดให้กับมารดา หรือราชินีของเผ่านอกด่าน จึงอยากให้เขามาเข้าร่วมสักครั้ง เนื่องจากหลังจากที่เขาจำเรื่องราวได้ทั้งหมด เขาก็ยังไม่เคยเข้าร่วมงานนี้สักครั้ง แต่หากว่ามาเที่ยวเล่นเขาพาหลงเออร์มาหลายครั้งแล้ว แต่ปีนี้เข้าเห็นว่าคนทั้งคู่เฝ้ารอเขามาเนิ่นนาน เขาจึงคิดว่าตนเองก็ไม่ควรจะใจดำถึงเพียงนั้น ทั้งท่านแม่ท่านแม่ก็สนับสนุน ท่านแม่อยากจะตามมาด้วยซ้ำ หากไม่ติดว่าต้องดูแลน้องเล็ก เซวียจินหราน ในวัยเจ็ดหนาวที่อ้อนแต่จะไปสนามฝึกทุกวัน น้องเล็กเหมือนท่านแม่มาก กลับไปคงต้องหาของฝากดี ๆ ไปฝากนางเสียแล้ว “หลิงเออร์มาแล้วหรือ
ตอนพิเศษ[1]สำเร็จโทษ เติ้งหลงฮ่องเต้นั้นเอ็นดูหลานชายบุญธรรมทั้งสองอย่างเซวียจินหลิงและเซวียจินหลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนามจินหลง ก็เป็นพระองค์ที่ทรงตั้งให้ จากเดิมที่เซวียหลิงจ้านได้หยุดพักหนึ่งปีพระองค์ก็ให้เขามาประจำการอยู่เมืองหลวงชั่วคราวจนกว่าบุตรชายคนเล็กจะเติบใหญ่ แต่ทว่านางนั้นรอไม่ไหวแล้ว เมื่อบุตรชายอายุได้สามหนาวจึงได้ให้สามีไปขอพระราชทานฝ่าบาทขอกลับไปประจำการอยู่ที่เมืองสวี่เฉิง คราแรกฝ่าบาทไม่เห็นด้วย แต่เมื่อบอกว่าเป็นความต้องการของภรรยา พระองค์จึงต้องอนุญาตโดยไม่เต็มใจ หากลู่หรงซินต้องการเขาหรือจะไม่อนุญาต ภาพวันนั้นเมื่อสามปีที่แล้วเขาไม่ลืม คิดแล้วก็ลูบคอตนเองไปพลาง ๆ จากนั้นตระกูลเซวียจึงได้ย้ายกันไปอยู่ที่เมืองสวี่เฉิงนับจากนั้น ทุกคนตามไปหมดทั้งแม่นมฉิงและถิงถิง รวมถึงฉีอ้าย แต่จะฉีอันพี่ชายของนางแม้จะอยากตามไป แต่เขาต้องบุกเบิกหนทางให้ตนเอง จะต้องสอบเป็นขุนนางของวังหลวงได้ รวมถึงเขาได้ตกลงกับกลุ่มศัตรูพ่ายว่าจะพัฒนาตรอกจูชางให้เจริญยิ่งขึ้น ฉีอ้ายจึงได้แต่ส่งกำลังใจให้พี่ชายให้ทำให้สำเร็จ ด้านจวนตระกูลเซวียนั้นไม่น่าเป็นห่วงเพราะได้หาคนที่ไว้ใจได้และฝีม
ตอนที่[17]เสี่ยวหลิงอยากมีน้อง“ท่านแม่ ท่านแม่ฟังเสี่ยวหลิงอยู่หรือไม่ ท่านแม่ต้องมีน้องให้เสี่ยวหลิงนะขอรับ” เมื่อเห็นมารดาคล้ายเหม่อลอยจึงได้รีบสำทับอีกครั้ง เด็กน้อยเร่งเร้าอีกครั้งจึงทำให้สติของนางกลับมา “อ้อ อืม เสี่ยวหลิง แม่จะเก็บไปคิดอีกที แม่ขอกลับเรือนก่อนนะ เจ้าอย่าคิดมาก” ว่าแล้วก็จ้ำอ้าวออกจากเรือนบุตรชายเพื่อสงบสติอารมณ์ตนเอง คล้อยหลังลู่หรงซิน ร่างสูงที่แอบฟังเรื่องราวอยู่ไม่ไกลก็ได้เข้ามาในห้องของบุตรชาย “เสี่ยวหลิง พ่อจะเอาน้องมาให้เจ้า พ่อสัญญา” ในวันต่อมาทั้งคู่จึงได้จับเข่าคุยกัน แต่ไป ๆ มา ๆ เซวียหลิงจ้านก็ทนไม่ไหว เขาจึงเอ่ยความในใจออกไปตามตรง “ซินเออร์ เจ้าย้ายมาอยู่เรือนเดียวกับพี่เถิด พี่ว่าเราควรเรียนรู้กันให้มากกว่านี้”และไม่น่าเชื่อว่าการเจรจาอันแสนแปลกจะสำเร็จผล! นางตัดสินใจย้ายมาอยู่เรือนเดียวกับเขา และคืนนี้จะเป็นวันที่นางและเขาจะได้ร่วมนอนเตียงด้วยกันเป็นครั้งแรก…..และคงหลีกเลี่ยงเรื่องนั้นไม่ได้สินะ ในห้องนอนที่ประดับประดาด้วยของตกแต่งสีแดง บนโต๊ะมีสุรามงคลและขนม คล้ายกับวันเข้าหอของคู่บ่าวสาวก็ไม่ปาน นี่ต้องเป็นฝีมือของแม่นมฉิงเป็นแน่ “ซ
ตอนที่[17]เสี่ยวหลิงอยากมีน้องชาติกำเนิดที่แท้จริงของเสี่ยวหลิง ที่แท้เสี่ยวหลิงคือบุตรชายคนเล็กของราชาของเผ่านอกด่านทั้งสี่ที่ถูกบ่าวชายหญิงที่คิดคดทรยศลักพาตัวบุตรชายของเขาออกมาและสร้อยที่เสี่ยวหลิงแขวนอยู่กับตัวอยู่ตลอดนั่นคือคำตอบ น่าแปลกที่เสี่ยวหลิงในยามนั้นอายุห้าหนาวแล้ว แต่กลับจำอันใดไม่ได้ ซึ่งนางมองว่ามันผิดปกติ จึงได้ใช้ยาของนางในการรักษาเขา สุดท้ายจึงพบว่าเขาได้ถูกวางยาทำให้ความจำก่อนหน้านั้นหายไปและแน่นอนว่า R-01 ก็ช่วยเหลือได้อีกแล้ว เด็กน้อยจำพ่อแม่ที่แท้จริงได้ แต่เขากล่าวว่าจะอยู่กับนางและเซวียหลิงจ้าน แต่หากเติบใหญ่เขาเปลี่ยนไปหรืออย่างไร นางย่อมให้เขาได้ทำตามที่ใจปรารถนา เมื่อเป็นเช่นนี้ แคว้นเติ้งและเผ่านอกด่านจึงลงนามสัญญาว่าจะไม่ระรานกัน ไม่โจมตีกัน ด้วยทางนั้นก็รู้สึกผิดและอยากขอบคุณที่แม่ทัพใหญ่แคว้นเติ้งที่รับเลี้ยงและดูแลบุตรชายของพวกเขาเป็นอย่างดี ทั้งเมื่อทำเจรจาสงบศึกแล้ว พวกเขาก็สามารถมาเยี่ยมเยียนบุตรชายได้ด้วย นอกจากนั้นยังมีสัญญาการค้าที่จะเปิดโอกาสให้ได้ทำการค้าร่วมกันอีก นี่มีแต่ดีกับดีทั้งนั้น จะรบกันต่อเพื่อสิ่งใด เรื่องราวทั้งหมดจึงจบ
ตอนที่[17]เสี่ยวหลิงอยากมีน้อง ตั้งแต่วันที่นางบอกว่าจะให้โอกาสเขา นางก็รู้สึกว่าเขาชักจะทำตัวแปลก ๆ ขึ้นทุกวัน เช่นวันนี้ เขาพานางมาถือตะกร้าเก็บดอกไม้ในสวนดอกไม้ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งเมื่อดูแล้ว มันไม่เหมาะสำหรับนางและเขาเอาเสียเลย สุดท้ายเมื่อไม่อาจฝืนความเป็นตนเอง จึงได้แต่มองหน้ากันและหัวเราะออกมาเบา ๆ “ไปที่ที่เหมาะกับพวกเรากัน” เซวียหลิงจ้านเสนอขึ้นเหล่าทหารต่างตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ฮูหยินที่มากฝีมือที่พวกเขาจำได้ไม่ลืมในวันที่เกือบจะเป็นวันสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของแคว้นเติ้ง แต่เป็นเพราะฮูหยินของพวกเขาผู้นี้จึงทำให้ผ่านวิกฤตนั้นมาได้ เมื่อนางมาพวกเขาก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ สองสามีภรรยามาที่ค่ายด้วยความอารมณ์ดีไม่น้อย แต่อารมณ์ดีอย่างไรถึงได้สู้กันเช่นนั้น“นี่…. เป็นวิธีแสดงความรักต่อกันฉบับท่านแม่ทัพและฮูหยินหรือ” ทหารผู้หนึ่งกล่าวขึ้น ทั้งคู่ต่อสู้กันจนเหงื่อโชก แน่นอนว่าที่ผู้เป็นภรรยาเป็นฝ่ายเอาชนะได้เกือบทั้งหมดทุกรอบ แต่มีรอบสุดท้ายที่เขากล่าวขึ้น “ฮูหยินหากพี่ชนะพี่จะขอให้เจ้าทำบางอย่างได้หรือไม่” เมื่อกล่าวจบสายตาแห่งความสงสัยก็เกิดขึ้น “อันใดหรือเจ้าคะ
ตอนที่[16]ขอโอกาสจู่ ๆ เขาก็ถือวิสาสะมาจับมือนางเอาไว้ “……”“ฮูหยิน ข้าอาจจะรู้เรื่องและเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของสตรีน้อยนักเพราะตั้งแต่เด็กก็เอาแต่ตามท่านพ่อไปที่ค่าย เจ้าอาจจะรู้สึกไม่พอใจในเรื่องนี้ แต่ข้าจะพยายามทำให้ดีกว่าเดิม ไม่สิ ข้าต้องทำได้แน่” “……”“เจ้าเป็นภรรยาคนแรก และข้าสัญญาว่าจะเป็นภรรยาคนเดียวและคนสุดท้ายของข้า” “……”“ดังนั้น ฮูหยินข้าขอโอกาสเป็นสามีที่ดีของเจ้าได้หรือไม่” แม้ว่ายามนี้จะเป็นเวลากลางคืน แต่นางก็เห็นใบหน้าที่กำลังเว้าวอนของเขาได้อย่างชัดเจนช่วงเวลาที่รอคอยคำตอบช่างเป็นเวลาที่หัวใจของเซวียหลิงจ้านรู้สึกบีบรัดเหลือเกิน จนกระทั่ง…“ก่อนที่ข้าจะตอบ ข้าอยากจะกล่าวอะไรเสียหน่อย” “ได้สิ ฮูหยินว่ามาเลย” เขายืดตัวขึ้นเพื่อรอฟังนางด้วยความตั้งใจ “ข้า…ก็ไม่ใช่สตรีเฉกเช่นสตรีทั่วไป หากท่านเคยรู้เรื่องราวของลู่หรงซินว่าเป็นมาเช่นไร ยามนี้ข้ามิใช่เช่นนั้น ข้ามิได้อ่อนหวาน อ่อนโยน มิได้เก่งเรื่องของสตรีอย่างที่ควรจะเป็น ข้าชอบต่อสู้และออกจะ…. ดุดัน ท่านอาจจะไม่ชอบเช่นกัน ท่านลองคิดดูอีกทีดีหรือไม่”เขารู้ว่านางแตกต่างจากที่เขาได้ยินมาโดยสิ้นเชิง แต่สตรีที่ทำ
ตอนที่[16]ขอโอกาส กว่าทั้งสี่คนจะกลับมาถึงจวนก็เป็นเวลาอาหารเย็น เมื่อเดินมาถึงเรือนใหญ่ก็พบว่าแม่นมฉิงให้คนเตรียมอาหารไว้มากมาย มื้อนี้ของตระกูลเซวียจึงดูคึกคักเป็นพิเศษ น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีบรรยากาศเช่นนี้ เซวียหลิงจ้านให้ หลินเนี่ยนเจิน เจียงฉิน แม่นมฉิง ถิงถิงและฉีอ้ายร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน เสี่ยวหลิงตั้งแต่ที่เห็นว่ามารดายังไม่จากไปไหนก็ได้ทำตัวตามติดราวกับหางน้อย ๆ ก็ไม่ปาน “ท่านแม่ เสี่ยวหลิงคีบอาหารให้ขอรับ” แม้อายุจะเพียงเจ็ดหนาวแต่ใช้ตะเกียบได้คล่องนัก มือเล็กเอาแต่คีบนั่นนี่ให้มารดาไม่หยุด “คีบให้แต่ท่านแม่ แล้วพ่อเล่า” จู่ ๆ เซวียหลิงจ้านก็เอ่ยขึ้น ใบหน้างองุ้มราวกับน้อยใจเต็มประดา แต่ทุกคนรู้ว่าชายหนุ่มกำลังเย้าบุตรชายก็เท่านั้น “ท่านพ่อไม่ต้องน้อยใจนะขอรับ ถึงท่านพ่อจะเป็นที่สองสำหรับเสี่ยวหลิง แต่เสี่ยวหลิงก็ยังรักท่านพ่ออยู่นะ” ว่าแล้วก็คีบหมูเปรี้ยวหวานใส่ชามข้าวของบิดาด้วยความรวดเร็ว ส่วนคนอื่นที่อยู่บนโต๊ะอาหารได้แต่กลั้นหัวเราะหน้าดำหน้าแดง เมื่อได้ยินเด็กน้อยบอกว่าบิดาของตนคือที่สอง แม้แต่ลู่หรงซินยังยกยิ้มขึ้น “เป็นที่สองก็ได้ ให้ท่านแม่เป็
ตอนที่[15]ฮูหยินตราตั้งเรือนนอกเมืองหลังหนึ่ง เสียงแห่งความรัญจวนดังออกมาจากเรือนเป็นระยะ ๆ ส่วนผู้ที่อยู่ด้านในก็กำลังสุขสมอย่างเต็มที่ แต่ทว่าในจังหวะที่เขากำลังจะมีความสุขขั้นสุดเขาก็รับรู้ได้ว่ามีเงาสายหนึ่งทาบมาที่ด้านหลัง ก่อนที่ผมของเขาจะถูกกระชากไปด้านหลังอย่างรุนแรง “ว้าย” จี้เหมยกรีดร้องขึ้นเพราะมีผู้เข้ามาในยามที่ตนกำลังเปลือยเปล่าทั้งอยู่ในช่วงกำลังดำดิ่งในห้วงลึก ลู่หรงซินกำผมของฉู่หวังหมิ่นไว้แน่นในขณะใบหน้ายังคงเรียบนิ่ง ในอีกด้านหนึ่งยามนี้เซวียหลิงจ้านและทหารคนสนิทอีกสองคนได้แต่ทำสีหน้าไม่ถูก แต่หากสังเกตจะเห็นได้ว่าหูของพวกเขาทั้งสามกำลังแดงก่ำ ยามได้เห็นว่าผู้ที่อยู่ในเรือนกำลังทำอันใดกัน ตั้งแต่เด็กพวกเขาก็สนใจแค่เรื่องการทหาร ไหนเลยจะมีประสบการณ์เรื่องนี้ ส่วนเซวียหลิงจ้านแม้จะมีฮูหยินแล้ว แต่ก็ไม่ทันได้เข้าหอเสียด้วยซ้ำ คิดแล้วก็อยากจะปิดตานางเอาไว้นัก ยามนี้ฉู่หวังหมิ่นไร้อาภรณ์ปิดกาย ส่วนนั้นก็เด่นหราอยู่อย่างชัดเจน นางไม่ควรจะต้องเห็นของบุรุษผู้อื่นมิใช่หรือ นอกจาก…เขา คิดแล้วความแดงจากใบหูก็ลามเลียมาที่ใบหน้า “ท่านไม่สบายหรือ” นางสังเกตเห็นว่าเ
ตอนที่[15]ฮูหยินตราตั้ง“เสี่ยวหลิงนี่มันเรื่องอันใดกัน” ใบหน้างามเบนกลับมาหาบุตรชายตัวน้อยที่คุกเข่าก้มหน้าอยู่อีกครั้ง “ท่านแม่ เสี่ยวหลิงได้ยิน…. ที่ท่านพ่อคุยกับท่านแม่ ว่าท่านแม่กำลังจะจากพวกเรา เสี่ยวหลิงเสียใจ จึงได้ไปบอกทุกคนให้มาช่วยกัน ห้ามท่านแม่ขอรับ ฮึก” ที่แท้ก็เรื่องนี้นางจึงปรับสีหน้าให้อ่อนโยนยิ่งขึ้น ก่อนจะก้มลงไปหาเด็กน้อย พลางเกลี่ยน้ำตาให้เขาอย่างอ่อนโยน“เสี่ยวหลิง ข้าไม่ได้จะจากไปที่ใด”“จะ…. จริงหรือขอรับ” ดวงตาแห่งความหวังเงยสบตากับมารดาทันทีหลังอีกฝ่ายกล่าวจบ“อื้ม” “ท่านแม่” เด็กน้อยโผเข้ากอดมารดาทันที เขาใจแทบสลาย ทั้งทำตัวไม่ถูกว่าจะต้องทำอย่างไร เขาไม่อยากให้ท่านแม่จากไป“ทุกคนลุกขึ้นเถิด” จากนั้นนางจึงบอกให้ทุกคนลุกขึ้น “ในยามนี้ข้ายังไม่ได้คิดจะจากไป ขอวันนี้ทุกคนกลับไปทำหน้าที่ของตนก่อนเถิด” “ส่วนท่านแม่ทัพ เรามีเรื่องต้องคุยกัน” “ฮูหยินมีอันใดหรือ” เขาเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่เดินเข้ามาที่โถงของเรือนใหญ่ จะเห็นได้ว่าเซวียหลิงจ้านยามนี้ราวกับปลากระดี่ได้น้ำก็ไม่ปาน นางกล่าวว่านางจะไม่ไปแล้ว นั่นหมายความว่าเขาและนางอาจจะได้มีโอกาสเรียนรู้กันมากขึ้