ร่างเล็กๆ ของเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังเดินเก็บสมุนไพรในป่าลึกชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นร่างของเจ้าขนปุกปุยนอนฟุบอยู่ไม่ไกลจากที่นางอยู่มากนัก เด็กน้อยพาตนเองไปใกล้ๆ กับมันก็พบว่าเจ้าก้อนปุกปุยนั้นคือจิ้งจอกตัวน้อย
‘หมาน้อย!’
แม้ว่านางจะเชื่อว่ามันเป็นหมาน้อยก็ตาม...
นางอุ้มจิ้งจอกตัวน้อยหรือหมาน้อยของนางขึ้นมา เห็นว่ามันได้รับบาดเจ็บก็ใช้สมุนไพรที่ตนเองเพิ่งเก็บมา ก่อนจะใช้หินทุบๆ แล้วนำมันไปวางโปะไว้ที่บาดแผลของจิ้งจอกตัวน้อย พร้อมทั้งฉีกแขนเสื้อตนเองแล้วใช้พันที่ท้องของมันเอาไว้
ดวงตาใสๆ ของนางมองเจ้าจิ้งจอกน้อยตัวนี้ด้วยความเวทนา อยากจะนำมันไปดูแลเหลือเกิน หากแต่แค่ตัวนางเองก็ลำบากมากพอแล้ว ไม่อยากนำเจ้าสัตว์ตัวน้อยไปทุกข์ยากด้วย อีกอย่างขืนนำจิ้งจอกตัวนี้กลับบ้านไปด้วย มีหวังจากที่จิ้งจอกตัวนี้จะรอดตาย คงถูกตีจนตายต่อหน้าต่อตานางแน่ๆ
แม้นางจะยังเด็กนัก แต่ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาก็ทำให้เด็กน้อยเข้าใจโลกที่นางอยู่อย่างถ่องแท้
‘เรียบร้อย ข้าต้องไปแล้วนะ’ ด้วยความไร้เดียงสา นางคิดว่าทำแค่นี้จิ้งจอกตัวนั้นคงรอดตายแล้ว ก่อนจะเดินลงจากเขาไป...
ดวงตาของจิ้งจอกน้อยกะพริบอย่างเชื่องช้า มองแผ่นหลังของเด็กหญิงก่อนจะพยุงตัวเองลุกขึ้นเดินหายไปจากตรงนั้น
ตามตำนานเล่าขานว่ากันว่าจิ้งจอกเก้าหางเป็นเพียงจิ้งจอกธรรมดา ทว่าจิ้งจอกตัวนั้นบำเพ็ญเพียรมาแล้วมากกว่าหนึ่งพันปี เพราะหากบำเพ็ญเพียรครบหนึ่งร้อยปีหางจะเพิ่มขึ้นมาหนึ่งหาง ความสามารถและพละกำลังก็จะเพิ่มขึ้นไปตามหางที่เพิ่มขึ้นด้วย โดยจิ้งจอกเก้าหางจะมีความสามารถในการแปลงกายเป็นอะไรก็ได้อย่างอิสระ
ในทุกปีหากส่งเครื่องบรรณาการเป็นสตรีพรหมจรรย์ขึ้นไปบนภูเขา ซึ่งเชื่อว่าเป็นพื้นที่ของจิ้งจอก จะได้รับค่าตอบแทนเป็นสินสอดยาวหลายร้อยลี้ ที่สำคัญพื้นดินที่แห้งแล้งเนื่องจากฟ้าฝนไม่ตกตามฤดูกาลก็จะชุ่มฉ่ำขึ้นมา
ทว่าปีนี้ต่างออกไป เนื่องจากเครื่องบรรณาการที่ถูกส่งไปในครั้งนี้เป็นฟางเหนียง สตรีขุนนางขั้นต่ำสุดแลกกับการเลื่อนขั้นของบิดาและสินสอดหลายร้อยตำลึง เนื่องจากผู้เฒ่าผู้หนึ่งซึ่งผู้คนเคารพนับถือมาก ได้ทำนายว่าหากส่งฟางเหนียงไปเป็นเครื่องบรรณาการแด่จิ้งจอก ฝนจะตกลงมาเป็นทอง โดยหารู้ไม่ว่าผู้เฒ่าผู้นั้นก็คือจิ้งจอกเจ้าเล่ห์แปลงกายมา!
ภายในรถม้าคันหนึ่งสตรีตัวน้อยที่วันนี้จะอายุครบสิบหกหนาว อาภรณ์สีแดงปักด้วยด้ายสีทองดูสง่างาม เครื่องประดับงดงามบนร่างกายล้วนแล้วแต่เป็นของดีราคาแพง ยิ่งอยู่บนเรือนร่างของสตรีวัยผลิบานเช่นฟางเหนียงด้วยแล้ว ยิ่งขับให้นางงดงามดั่งบุปผาต้องห้ามในวังหลวง
ดวงหน้างดงามฉายแววกังวลอยู่ตลอดเวลา ฝ่ามือของนางเย็นเฉียบทั้งๆ ที่ยามนี้เป็นคิมหันตฤดู[1] แดดด้านนอกร้อนแรงจนพืชผลของชาวบ้านล้มตายกันเป็นแถว
หัวใจดวงน้อยสั่นระรัวเมื่อคิดว่าอีกไม่นานก็จะถึงที่หมาย นางกระวนกระวายอยากจะกระโดดออกจากรถม้าไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ แต่รอบด้านล้วนแล้วแต่เป็นบุรุษร่างใหญ่ แค่เพียงเปิดหน้าต่างยังห้ามไม่ให้นางทำ นับประสาอะไรกับการหนีจากรถม้า รถม้าวิจิตรงดงามที่สตรีทั้งหลายใฝ่ฝัน ไม่ต่างไปจากคุกสำหรับฟางเหนียงตัวน้อย
กึก
รถม้าหยุดลงกับที่พร้อมประตูเปิดออก
“ออกมา...!” เสียงนั้นกึ่งบังคับให้นางต้องขยับกายเดินออกไป
สตรีตัวน้อยมองรอบด้านด้วยความหวาดหวั่นยิ่งนัก ไม่ว่าจะมองไปทิศทางใดก็ดูคล้ายกันไปหมด นางเคยเล่นซนแอบเข้าป่ามาบ้าง ซึ่งในความทรงจำของนางป่ามันมิได้น่ากลัวเท่าใดนัก แม้รอบด้านจะเหมือนๆ กันหมด แต่ที่นี่มันกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป เงียบสงัดและวังเวง คล้ายกับจะมีสิ่งโผล่พรวดออกมาได้ทุกเวลา
หลังจากฟางเหนียงลงมาจากรถม้า ชายฉกรรจ์ในคราบองครักษ์ที่ถูกจ้างให้มาส่งนางก็รีบกลับทันที แม้แต่องครักษ์ผู้กล้าหาญที่สุดก็ปฏิเสธในการมาส่งนางที่ป่าแห่งนี้ จนต้องจ้างวานคนป่าเถื่อนหรือพวกโจรป่าทุกปี เพราะที่แห่งนี้หากผู้ใดเข้ามายากนักที่จะได้กลับออกไปอย่างครบสามสิบสองประการ
“ชะ ช้าก่อน…!” เสียงของนางทำให้บุรุษทั้งหลายชะงัก ก่อนจะตวัดสายตามองนางอย่างดุดัน “คะ คือว่า… พวกท่านจะทิ้งข้าไว้ที่นี่หรือ?”
“นายจ้างข้าว่าเช่นนั้น”
“อึก ทะ ท่านอยู่กับข้าต่อได้หรือไม่?” นางเอ่ยด้วยแววตาขอร้องอ้อนวอน จะทิ้งนางไว้ที่นี่เพียงคนเดียวไม่ใจร้ายเกินไปหน่อยหรือ?
“หึ หากพวกข้าอยู่กับเจ้าต่อ…” บุรุษพวกนั้นจ้องมองฟางเหนียงมาตั้งแต่ก่อนขึ้นรถม้าแล้ว นางงดงงามไม่น้อย หากได้เชยชมคงเป็นบุญยิ่งนัก “เจ้าจะให้สิ่งใดพวกข้าล่ะ?”
บุรุษร่างใหญ่เดินอย่างเชื่องช้าเข้ามาหานาง… ฟางเหนียงรับรู้ได้ถึงอันตรายจากบุรุษพวกนี้ จึงก้าวเท้าถอยหลังอย่างระแวดระวัง พลางนึกโทษตนเองในใจว่าไม่น่าไปเอ่ยเช่นนั้นเลย ปล่อยให้พวกมันไปแล้วตนเองก็หาทางหนีตามแผนที่วางเอาไว้
ไม่ว่าทางใดก็เลวร้ายสำหรับนางเหลือเกิน! อยู่ดีๆ ก็ถูกเสนอชื่อมาเป็นเครื่องบรรณาการให้จิ้งจอกในตำนาน เครื่องบรรณาการบ้าอะไร เครื่องสังเวยล่ะสิไม่ว่า!
จังหวะที่อีกฝ่ายยื่นมือขึ้นหมายจะแตะต้องร่างกายของนางเพื่อเชยชมนั้น…
“กรรซ์!!” เสียงขู่คำรามพร้อมกับสายลมโฉบผ่านร่างของนาง
“อ๊าก!!” เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของบุรุษดังขึ้น เมื่อจิ้งจอกสีขาวตัวหนึ่งกระโจนเข้ามากัดมือข้างนั้นที่หมายจะแตะต้องร้างกายของฟางเหนียง
ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเสียจนฟางเหนียงสั่นไปทั้งตัว กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งเตะจมูก จนสตรีตัวน้อยต้องยกมือขึ้นปิดปากและจมูกแน่น!
…ตายแน่ๆ ข้าตายแน่ๆ ข้ายังไม่ทันได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระเลย ข้ายังไม่ทันได้ทำสิ่งที่ชอบเลย…
ฟางเหนียงสั่นระริกไปทั่วทั้งร่าง ยามจิ้งจอกตัวนั้นหันหัวกลับมาหานาง ดวงตาของมันดูดุร้ายสำหรับนางเหลือเกิน มันก้าวเท้ามาหาอย่างเชื่องช้า ราวกับกำลังต้อนเหยื่อให้จนมุม หัวใจของนางสั่นระรัวจนแทบหายใจไม่ทัน
ริมฝีปากอวบเผยอออกเพื่อที่จะร้องห้ามไม่ให้มันเข้ามา แต่นางตกใจกลัวจนเปล่งเสียงไม่ออก!!
ท้ายที่สุดฟางเหนียงก็เป็นลมล้มพับลงไป จิ้งจอกตัวนั้นถอนหายใจพลางคิดว่า…
…มนุษย์นี่หนา ขวัญอ่อนเสียจริง…
จิ้งจอกซึ่งตัวใหญ่กว่าฟางเหนียงเดินเข้ามาใกล้ร่างบอบบางซึ่งหมดสติอยู่บนพื้น ก่อนจะใช้ปากใหญ่ๆ คาบที่เอวบาง ตวัดใบหน้าโยนอิสตรีในชุดแต่งงานราคาแพงขึ้นไปบนหลัง ก่อนจะเดินหน้ามุ่งสู่พระราชวังอันใหญ่โต
“เฮือก!!”
ฟางเหนียงสะดุ้งสุดตัวลืมตาตื่นขึ้นจากห้วงแห่งนิทรา ภาพจำล่าสุดยังชัดเจนทำเอานางตัวสั่นระริก ผุดลุกขึ้นแล้วมองสำรวจไปรอบด้านด้วยความหวาดหวั่น ฟางเหนียงเห็นว่าที่นี่คือห้องนอน และนางอยู่บนเตียงนอน ร่างกายไม่มีแม้รอยขีดข่วน มีเพียงอาการปวดหัวเล็กน้อย เนื่องจากนางเป็นลมล้มจนหัวกระแทกพื้น
…ที่นี่?...
“ตื่นแล้วหรือ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากมุมหนึ่งของห้อง ดวงหน้าหวานหันขวับมองทางต้นเสียงด้วยความหวาดหวั่น
เนื่องจากแสงจันทร์จากหน้าต่างที่เปิดกว้างสว่างมาก จึงเห็นใบหน้าคมคายของบุรุษอย่างชัดเจน ใบหน้านั้นราวกับเทพเซียนมาจุติ งดงามและลึกล้ำ โดยเฉพาะเส้นผมสีเงินหายากราวกับไม่น่ามีอยู่บนโลกนี้ ซึ่งพริ้วไหวไปกับสายลมอ่อนๆ ซึ่งพัดผ่านเข้ามา แม้จะดูน่าหลงใหลแต่ก็เต็มไปด้วยอันตรายอย่างน่าหวาดหวั่น
ดวงตาเรียวและคมเข้มเหลือบสายตามองสตรีตัวน้อยที่นั่งอยู่บนเตียง เป็นสายตาที่นางมิอาจคาดเดาได้เลย
“เจ้าเป็นไบ้หรือ?” คิ้วคมขมวดเข้าหากันก่อนจะวางถ้วยเหล้าลงบนโต๊ะ หยัดกายขึ้นเต็มความสูงแล้วเดินมาเพียงสองสามก้าว ขายาวๆ นั่นก็มาถึงตัวฟางเหนียงเสียแล้ว “ข้าว่ามิใช่นะ”
ใบหน้าคมคายยื่นเข้ามาจนเกือบชิด รับรู้ได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายชัดเจน
...แม้ท่านจะงดงาม แต่มาหลอกล่อข้ามิได้หรอก ข้าน่ะ อยากมีชีวิตอิสระ หาได้อยากมัวเมาไปกับความรักไร้ค่า...
แม้นางจะคิดเช่นนั้น หากแต่หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบพร้อมกับถดกายถอนหนีจนเกือบตกเตียง
“ว้าย!” หากแต่ก่อนนางจะหงายหลังลงพื้น บุรุษผู้นั้นกลับเข้ามาโอบเอวนางแล้วดึงเข้าหาตัวอย่างนุ่มนวล
“ระวังหน่อยสิ ข้าไม่อยากให้เจ้าบาดเจ็บ” น้ำเสียงทุ้มหัวเราะเสียงเบากับท่าทางของนาง ก่อนจะใช้หลังนิ้วชี้สัมผัสปลายจมูกของนางคล้ายกันหมั่นเขี้ยว “เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ?”
“ขะ ข้า… ฟางเหนียงเจ้าค่ะ” ดวงตาคู่งามหลุบต่ำลงหลบสายตา คล้ายกับจะถูกนัยน์ตาดั่งหยกทมิฬนั่นดึงดูดเข้าไป
“ฟางเหนียงหรือ…” เอ่ยจบก็ใช้จมูกสูดดมกลิ่นที่ลำคอระหง สตรีตัวน้อยสะดุ้งอีกหนก่อนจะดันแผงอกกว้างออกจากตัว
“ทะ ท่าน!!”
“เป็นนามที่เหมาะกับเจ้าดี” ริมฝีปากหยักยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ กดสายตาจ้องมองฟางเหนียงอย่างจงใจให้นางรับรู้ “ข้าจินหมิงเยว่ ให้เจ้าเรียกว่าท่านพี่ หรืออยากเรียกท่านสามีข้าก็ยินดี”
“คะ คือว่า ท่าน…” นัยน์ตาเรียวคมจ้องมองนางอย่างกดดัน พลังมหาศาลไร้ที่มาทำเอาฟางเหนียงแทบหายใจไม่ออก “ท่านพี่”
เมื่อนางเอ่ยเช่นนั้นความกดดันที่แผ่คลุมเมื่อครู่ก็หายไป ฟางเหนียงรู้สึกประหลาดใจเหลือเกิน แต่ก็มิได้คิดอะไร เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้ ก็คือต้องผ่านสถานการณ์นี้ไปให้ได้!
ฟางเหนียงถูกส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการแด่จิ้งจอกเก้าหาง ระหว่างนั้นก็เกิดเรื่องจนหมดสติไป มารู้ตัวอีกทีก็อยู่ที่นี่เสียแล้ว จึงเกิดคำถามขึ้นภายในใจ
“ท่านพี่ ช่วยข้าไว้หรือเจ้าคะ?”
จินหมิงเยว่ผละออกจากร่างของนาง หากแต่สายตาจ้องมองเนินอกซึ่งโผล่อาภรณ์สีแดงสดพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?” เดินกลับไปคว้าจอกสุราและถ้วยสุรามาสองใบ จัดการรินใส่ถ้วยด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ก่อนจะยื่นใบหนึ่งส่งไปตรงหน้าของนาง
ฟางเหนียงมิได้รับในทันที นางมองมันอย่างไม่ไว้วางใจว่าอาจจะผสมสิ่งใดลงไป
จินหมิงเยว่ยกยิ้มมุมปากก่อนจะยกถ้วยเหล้ากระดกเข้าปาก แล้วประคองดวงหน้าหวานแนบริมฝีปากลงไปทันที ไม่เพียงเท่านั้นฝ่ามือหนายังบีบคางเล็กเบาๆ เพื่อบังคับเปิดริมฝีปากอวบอิ่มรับน้ำสุราเข้าไปในปาก
“อึก!” สตรีตัวน้อยเผลอกลืนด้วยความตกใจ ก่อนที่จินหมิงเยว่จะถอนริมฝีปากออก แล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างจงใจ
สตรีตัวน้อยอ้าปากพะงาบๆ อยากก่นด่าบุรุษตรงหน้าเสียจริงแต่ก็มิอาจทำได้ ด้วยเสียงของนางที่หายไปชั่วครู่ราวกับถูกขโมยเสียงไปด้วยจุมพิตนั่น
อีกทั้งสตรีเช่นนางจะก่นด่าบุรุษสูงศักดิ์ก็คงต้องเตรียมตัวหัวหลุดออกจากบ่าได้เลย แต่ฟางเหนียงยังไม่อยากตายเสียหน่อย ในเวลาเช่นนี้มีแต่ต้องสงบปากสงบคำเท่านั้น
“ว่าอย่างไร” จินหมิงเยว่รินสุราจากจอกใส่ถ้วยจนเต็ม ราวกับจงใจมอมเหล้านางอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะส่งไปตรงหน้าของฟางเหนียงอีกครั้ง ดวงตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ยามมองนางยิ่งนัก คล้ายกับพร้อมที่จะขย้ำและกลืนกินนาง
[1] คิมหันตฤดู = ฤดูร้อน
บทที่ 2จิ้งจอกเก้าหางฟางเหนียงรู้ว่าหากไม่รับถ้วยเหล้านี้ ก็คงถูกป้อนทางปากเหมือนเมื่อครู่อีกเป็นแน่ จึงยื่นมือเล็กๆ สองมือออกไปรับมันมาอย่างไม่เต็มใจ“ข้าคิดว่า... ท่านเป็นคนช่วยเจ้าค่ะ”“ใช่ แต่ก็ไม่ใช่”“หมายความเช่นไรเจ้าคะ?”“ข้าส่งคนไปจับเจ้า และคนที่ช่วยเจ้าก็คือคนของข้า เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต่างจากข้าช่วยเจ้า เพียงแต่ข้ามิได้ไปช่วยด้วยตนเอง”“อ่า... อย่างไรก็ต้องขอบคุณนะเจ้าคะ” สตรีตัวน้อยกระโดดลงจากเตียง จากนั้นก็ประสานมือแล้วยอบกายคำนับ เท่านั้นยังไม่พอ นางยังก้มหัวลงจรดพื้นด้วยท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนอีกด้วย “เหนียงเอ๋อร์เป็นหนี้บุญคุณชีวิตท่านเสียแล้ว หากมีสิ่งใดที่เหนียงเอ๋อร์ตอบแทนท่านได้ โปรดบอกมาเถิดเจ้าค่ะ”“ลุกขึ้น”ฟางเหนียงทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนจะจ้องมองบุรุษตาปริบๆ ในขณะเดียวกันจินหมิงเยว่หย่อนกายนั่งลงบนเตียงท่าทีสบายๆ“ข้าช่วยเจ้า เพราะเจ้าเป็นคนในปกครองของข้า คนที่ข้าส่งไปรับเจ้าย่อมรู้ดีว่าหากผู้ใดคิดแตะต้องเจ้า โทษคือตายสถานเดียว”“เจ้าคะ? คะ คนของท่าน?”“ใช่... ชุดนี่” กวาดสายตามองสตรีตัวน้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า อาภรณ์พวกนี้มีกลิ่นเครื่องหอม ซึ่งต่างจากกลิ่นกายของฟางเ
บทที่ 3เจ้าสาวจิ้งจอกร่างกายของนางถูกพันธนาการอย่างร้ายกาจ แม้ท่าทีจะนุ่มนวลหากแต่เมื่อนางขยับ กลับมิอาจขยับร่างกายได้ตามใจ ร่างกายของบุรุษไม่ต่างจากหินผา ราวกับนางติดอยู่ในซอกหินไร้หนทางออก“ฮ้า!!” จวบจนเกือบหมดลมหายใจ จิ้งจอกตัวร้ายจึงถอนริมฝีปากออกเพื่อเปิดโอกาสให้นางสูดลมหายใจเสียงหัวเราะด้วยความเจ้าเล่ห์ระคนเอ็นดูดังขึ้นอย่างพึงพอใจ ก่อนที่อาภรณ์จะถูกปลดออกเผยเรือนร่างขาวผ่องใต้แสงจันทร์เต็มดวง ทว่า… ผิวขาวๆ ราวกับหยกมันแพะกลับแต่งแต้มไปด้วยรอยแผลจากการถูกทุบตีดวงตาเรียวคมจ้องมองมันอย่างโหดเหี้ยม เผลอออกแรงที่ข้อมือเล็กจนสตรีตัวน้อยสะดุ้งกับความเจ็บปวดนั่น“อ๊ะ!”และนั่นก็เรียกสติของจินหมิงเยว่กลับมา… คลายแรงที่มือออก เผยให้เห็นข้อมือเล็กๆ แดงก่ำจากการถูกบีบเมื่อครู่…เจ้าก็ตัวเล็กถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงถูกทำร้ายไปทั้งตัว?...“ข้าบอกท่านแล้ว ว่าร่างกายของข้ามิได้งดงาม” เสียงหวานเอ่ยอย่างเศร้าสร้อยร่างกายของสตรีนั้นล้ำค่าไม่ต่างจากพรหมจรรย์ของพวกนาง หากแม้ร่างกายมีบาดแผลเพียงเล็กน้อยจนเกิดเป็นแผลเป็น เป็นข้ออ้างของการหย่าร้างได้ ในสตรีพรหมจรรย์ก็ทำให้พวกนางมิได้ออกเรือนกับบุรุษ
บทที่ 4เมียของข้า ช่างขี้โวยวายยิ่งนัก“ทะ ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ”“เจ้าไม่รู้ หรือแกล้งไม่รู้ หืม?” บุรุษไม่เอ่ยเพียงอย่างเดียว ยังแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตนเองอย่างจงใจ“ขะ ข้าไม่แน่ใจ...”“เจ้าคิดว่าอย่างไร?”“ข้า ข้าคิดว่าท่านจะทำให้ข้าเป็นภรรยาของท่าน”“เจ้าเข้าใจถูก”“แล้วเหตุใดจึงต้องให้ข้าอ้าขาเช่นนี้เจ้าคะ”“หึหึ เรื่องนี้เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ?”บุรุษหยั่งเชิงสตรีตัวน้อย แม้นางจะเพิ่งอายุสิบหกปีในวันนี้ หากแต่สงสัยเสียจริงว่าในเรื่องธรรมชาติของการสืบพันธ์ นางไม่รู้จริงๆ หรือ?“ไม่รู้เจ้าค่ะ” ทว่าคำตอบกลับเป็นเสียงหวานสั่นเครือเล็กน้อย และนัยน์ตากลมแสนใสซื่อ“อ่า เจ้านี่ช่าง... ไร้เดียงสาเสียจริง เช่นนั้นคืนนี้ข้าคงต้อง ‘ทำให้เจ้ารู้’ หลายอย่างเลยล่ะ”“ข้ายินดีรับก
บทที่ 28ตัวตนที่แท้จริงของนางจินหมิงอันนางไม่เป็นห่วงเท่าใดนัก เพราะรู้จากไห่ไท่หยางว่าบุตรชายของตนนั้นอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ ศูนย์รวมพลังของดินแดนจิ้งจอกแห่งนี้ อีกทั้งภายในตัวของบุตรชายนั้นมีลูกแก้วจิ้งจอกอันสมบูรณ์ ไม่นานก็คงฟื้นตัวได้แต่กับตนเองนั้นแม้จะมีลูกแก้วจิ้งจอกซึ่งมีพลังมากมายมหาศาล หากแต่มิใช่ลูกแก้วจิ้งจอกซึ่งเป็นพลังต้นกำเนิดของนาง ไม่ต่างไปจากจิตวิญญาณที่อาศัยร่างของนาง การมีลูกแก้วจิ้งจอกทำให้นางทนความเจ็บปวดได้ ขนาดนางมีลูกแก้วจิ้งจอกยังเจ็บปวดถึงเพียงนี้ ไม่อยากจะนึกภาพเลยว่าถ้าหากนางไม่มีมันจะเจ็บปวดเจียนตายที่ขนาดไหนหากเป็นบาดแผลธรรมดาลูกแก้วจิ้งจอกก็สามารถรักษาให้นางหายได้ในชั่วพริบตา หากแต่มันเป็นแผลที่เกิดจากปีศาจ อีกทั้งร่างกายของนางแต่เดิมทีแล้วนั้นเป็นเพียงมนุษย์ มันจึงค่อนข้างใช้เวลาในการรักษาและฟื้นฟูฟางเหนียงบอกทางบุรุษมายังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ตลอดมานางเคยหลีกเลี่ยงสถานที่แห่งนี้ มันเต็มไปด้วยความทรงจำยากลืมเลือน นางเคยแช่อยู่ที่นี่พร้อมกับร่
บทที่ 5ริมฝีปากงดงามค่ำคืนวสันต์อันเร่าร้อนผ่านพ้นไป เสียงนกขับขานเป็นบทเพลงแรกในยามเช้า ปลุกให้บุรุษและสตรีในห้องหอนอนตื่นจากห้วงแห่งนิทรา ทว่ามีเพียงจินหมิงเยว่ที่ลืมตาตื่นขึ้นอย่างสดชื่น เอียงใบหน้าพินิจสตรีในอ้อมแขนที่สลบระหว่างบทรักเมื่อคืนนี้ ก้มหน้าลงจุมพิตหน้าผากเนียนแนบแน่นทว่าร่างกายร้อนผ่าวทำเอาจินหมิงเยว่สะดุ้งเล็กน้อย…เหตุใดร่างกายของนางจึงร้อนเป็นไฟเช่นนี้?...“เหนียงเอ๋อร์?” มือหนาตบลงบนหัวไหล่เล็กเบาๆ เพื่อปลุกให้นางตื่น หากแต่สตรีตัวน้อยยังคงหลับตาพริ้มเมื่อคืนนางก็สลบคาเตียง เช้าวันนี้นางตัวร้อนผ่าว มันคืออาการอะไรกันแน่? เหตุใดมนุษย์จึงมีร่างกายที่ซับซ้อนเช่นนี้?จินหมิงเยว่คือปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง ซึ่งบำเพ็ญเพียรมานานถึงพันปี ตลอดพันปีไม่เคยป่วยไข้เฉกเช่นมนุษย์ ถึงแม้ว่าในเผ่าพันธุ์เดียวกันจะมีอาการเจ็บป่วย หากแต่บุรุษซึ่งปลีกวิเวกฝึกฝนตนหลงลืมมันไปนานเหลือเกิน จึงมิอาจรับรู้เลยว่าอาการนี้คืออาการป่วยไข้ร
บทที่ 6ตำหนักพันปี…ละ เลือดของข้าหรือ? จะ จากตรงนั้น!?...“เฮือก!!”“เป็นอะไรหรือเจ้าคะ?”“ละ เลือดข้า!”…ระ รอบเดือนหรือ!? ช่างน่าอายยิ่งนัก!...สตรีตัวน้อยรีบวิ่งเข้าไปดึงผ้าปูออกมาด้วยความอับอาย“ตายจริง ให้ข้าน้อยทำเอาเถิดเจ้าค่ะ”“มิได้ๆ นี่เป็นเลือดของข้า”“มิได้เจ้าค่ะ นี่เป็นงานของข้าน้อย”“ตะ แต่นี่ ระ รอบเดือนของข้านะ”“หืม?” ฮวาอินเอียงคอมองฟางเหนียงซึ่งหน้าแดงก่ำราวกับผลอิงเถา “ข้าน้อยคิดว่าอาจจะเป็นเลือดอย่างอื่นนะเจ้าคะ”“…”“เช่น… เลือดพรหมจรรย์ของท่าน”“…!?”“มาเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะเอาไปซัก ระหว่างนั้นฮูหยินประมุขก็ลองตรวจสอบดูนะเจ้าคะ หากเป็นเลือดรอบเดือนจ
บทที่ 7จิ้งจอกใจร้ายหากแต่ก่อนหน้านั้นก็ถูกมือของฮวาอินทะลวงกลางอกจนทะลุไปอีกด้านเสียก่อน“เฮือก!!” ฟางเหนียงเห็นช่วงเวลานั้นพอดิบพอดี ราวกับทรวงสวรรค์กลั่นแกล้งให้นางหวาดกลัวสถานที่แห่งนี้มากกว่าเดิม!!สองขาอ่อนเรี่ยวแรง มองภาพฮวาอินจัดการกับศพของพวกเดียวกันไม่วางตา นางมิได้อยากมองหากแต่มิอาจบังคับสายตาได้พรึ่บ!ผ้าคลุมผืนหนึ่งถูกตวัดโอบคลุมรอบกายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ก่อนที่ร่างบอบบางจะถูกโอบอุ้มขึ้นมาจากพื้น ฮวาอินคำนับประมุขสูงสุดของเผ่าจิ้งจอก บุรุษปรายตามองร่างไร้วิญญาณของปีศาจจิ้งจอกซึ่งมีไอดำลอยออกมาจากกาย เขาใช้ปลายนิ้วชี้ไปที่ร่างนั้นก่อนที่ไอดำจะสลายหายไป ส่งสายตาโหดเหี้ยมแทนคำสั่งแล้วพานางกลับไปยังตำหนักพันปีเมื่อเข้ามาในห้อง บุรุษก็ดึงผ้าคลุมออกสบสายตากับสตรีตัวน้อยซึ่งนั่งตัวสั่นระริกอยู่บนเตียง“ท่าน… ประมุข” เสียงที่เคยหวานกลับถูกเอ่ยออกมาอย่างแหบแห้ง“ท่านประมุขหรือ? ค่ำคืนวสันต์ไม่อยู่ใน
บทที่ 8ความรักทำให้ข้าดูโง่เขลาหมับ!“ว้าย! ทะ ท่านพี่ ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ!?”บุรุษย่อกายลงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของนาง เรียวขาของนางถูกยกขึ้นสูง ก่อนที่บุรุษจะก้มหน้าลงไปแล้วใช้เรียวลิ้นปาดเลียบาดแผลจากงูพิษ“อึก!” ความเจ็บปวดบริเวณนั้นทำเอาสตรีตัวน้อยสะดุ้ง นางพยายามจะดึงขาหนีหากแต่มิอาจทำได้ดั่งใจ ยิ่งถูกเรียวลิ้นนั่นสัมผัสนางยิ่งเจ็บปวดเหตุใดบุรุษจึงต้องทรมานนางด้วย!!ทว่าไม่นานบุรุษก็ดึงใบหน้าออก ช่างน่าแปลกนักที่บริเวณนั้นกลับไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกเลย ทั้งที่ครั้นก่อนหน้านางรู้สึกปวดหนึบแปลกๆ เมื่อกดสายตามองดูก็เห็นว่าบาดแผลที่ตรงนั้นหายไปแล้ว นางจำได้ว่าเคยมีแผลอยู่ตรงนี้นี่!“ท่านพี่… รักษาให้ข้าหรือเจ้าคะ?”“ถือว่าความหวาดกลัวยังไม่ยึดครองสมองน้อยๆ ของเจ้า”“…?”“มา ข้าจะช่วยแต่งตัว”“ข้าทำเองได้เจ้าค่ะ” นางกอดตน
บทที่ 26ห้วงคำนึงถึงนางหลายฤดูผ่านไปจินหมิงอันเติบใหญ่เป็นจิ้งจอกหนุ่ม มีอิทธิฤทธิ์มากล้นเดินตามรอยของผู้เป็นบิดา ฟางเหนียงภาคภูมิใจเหลือคณานับที่บุตรชายสง่างามเช่นนี้ อีกทั้งยังรวบรวมพลังสร้างลูกแก้วจิ้งจอกของตนเองได้แล้ว แม้ว่าลูกแก้วจิ้งจอกนั้นจะยังแข็งแกร่งไม่เท่าลูกแก้วจิ้งจอกที่อยู่ในตัวของนางก็ตามยามนั้นเองสายลมพัดผ่านพาเอาความเย็นสบายโอบรอบร่าง ทว่ามีบางสิ่งลอยมากับสายลมด้วย กลิ่นที่คุ้นเคยพาให้หัวใจดวงน้อยเต้นแรงขึ้นมาฟางเหนียงหยัดกายขึ้นแล้วพุ่งตัวออกไปตามกลิ่นนั่น แหวกผ่านพงไพร เป็นหนึ่งเดียวกับสายลม กระทั่งมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง นางเดินตามหาไม่นานก็มาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง“ยินดีด้วยเจ้าค่ะ ท่านเจ้าตระกูลได้บุตรชายเจ้าค่ะ!”เสียงเด็กร้องไห้โยเยดังลอดออกมาให้ได้ยิน พร้อมกับเสียงแสดงความยินดีให้กับบิดาและมารดา นางยืนฟังเสียงร้องไห้นั้นอยู่นาน กระทั่งมีคนผู้หนึ่งทักนางเข้า“มาหาผู้ใดหรือเจ้าคะ?”
บทที่ 25สูญเสียไปตลอดกาลดวงตาคู่งามลืมตาขึ้นท่ามกลางพงไพรอันคุ้นเคย ด้านข้างของนางคือร่างของจิ้งจอกหนุ่ม คนรักของนาง… ร่างของบุรุษที่รักนอนแน่นิ่งจนน่าหวาดหวั่นความอบอุ่นที่อยู่กลางอกบ่งบอกให้นางรับรู้ได้ถึงพลังชีวิตอันมหาศาล รวมถึงอิทธิฤทธิ์ของปีศาจจิ้งจอก มันคือลูกแก้วจิ้งจอกไม่ผิดแน่ใช่แล้ว ลูกแก้วจิ้งจอกอยู่กับนางมาตลอด ลูกแก้วจิ้งจอกที่เปรียบเสมือนพลังชีวิตของจินหมิงเยว่ บุรุษเคยบอกกับนางเช่นนั้น นั่นหมายความว่าไม่มีทางที่จินหมิงเยว่จะตาย เขาก็แค่หมดเรี่ยวแรงจึงหลับไปเท่านั้นนางเอ่ยปลอบตนเองแล้วหันไปหาบุรุษ หากทว่าเมื่อมือเล็กๆ แตะที่ร่างของบุรุษ ความเย็นยะเยือกก็แล่นผ่านเข้ามาในร่างของนาง สตรีตัวน้อยตัวแข็งทื่อ พลันน้ำตาก็ไหลอาบสู่สองข้างแก้ม“ไม่จริง ท่านพี่บอกว่า หากมีข้า มีลูกแก้วจิ้งจอก อย่างไรก็ไม่มีทางตายนี่”ฝ่ามือเล็กคว้าท่อนแขนของบุรุษแล้วออกแรงเขย่าแรงๆ เพื่อหวังให้บุรุษฟื้นตื่นขึ้นมา แม้ว่าบุรุษจะเจ็บ หากฟื้นขึ้นมานางจะยินยอมน
บทที่ 24เดิมทีนางควรจะตายไปตั้งนานแล้วยามนั้นเองบางสิ่งร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า เส้นแสงสีขาวหลายสายล้อมรอบพวกเขาเอาไว้“...!”จินหมิงเยว่และหลี่ตงหยางตวัดแขนขึ้นไปด้านหน้า ล้อมฟางเหนียงเอาไว้เพื่อปกป้องนางสตรีตัวน้อยสะดุ้งตกใจ โอบกอดจินหมิงเยว่เอาไว้ด้วยความหวาดกลัว...คนพวกนี้เป็นใครกัน?...“ส่งตัวนางมา หากต่อต้านจะถือว่าปรปักษ์ต่อสรวงสวรรค์”...สรวงสวรรค์หรือ!?...ดวงตาคู่งามเบิกกว้างด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน นางสับสนว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่!?“หากอยากได้ตัวนางนัก ก็เข้ามา!!” เป็นจินหมิงเยว่ที่เอ่ยออกไปอย่างไม่เกรงกลัว แม้จะเป็นผู้ใดหากมาพรากฟางเหนียงไปจากเขา บุรุษไม่ยินยอม!!เกิดการต่อสู้กันระหว่างปีศาจจิ้งจอก เทพหนุ่มตกสวรรค์และองครักษ์สวรรค์ โดยที่ฟางเหนียงอยู่ในการปกป้องของจินหมิงเยว่ตลอดการต่อสู้“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ เหตุใ
บทที่ 23เช่นนั้นข้าปรนนิบัติเจ้าแทนฟางเหนียงลงมือทำอาหารหลายอย่าง รวมถึงของหวานด้วย นางคีบทั้งผักทั้งปลาใส่ในถ้วยของบุรุษ ส่วนจินหมิงเยว่ก็คีบแต่พวกเนื้อสัตว์ใส่ถ้วยให้นางเช่นเดิม“เมื่อใดเจ้าจะอ้วนเสียที หืม?”“ข้าไม่อยากอ้วนเจ้าค่ะ”“เหตุใดจึงไม่อยากอ้วน?”“ข้าเป็นสตรี ก็ต้องรักสวยรักงามเป็นธรรมดา หากอ้วนเมื่อสวมใส่อาภรณ์ใดๆ ก็ไร้ความมั่นใจนี่เจ้าค่ะ”“เจ้าเคยอ้วนหรือ?”“ไม่เคยเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าหากอ้วนแล้วจะไม่งดงาม”“เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเคยมาก่อนที่เจ้าค่ะ! อีกอย่างข้าไม่เคยบอกว่าไม่อ้วนแล้วจะไม่งดงาม ข้าก็แค่คิดว่าคงไม่มีความมั่นใจ”“อ้วนให้ข้าหน่อยเถิด”“เอ๊ะ! ท่านพี่นี่อย่างไร หากอยากได้สตรีอ้วนๆ ก็ไปหาที่อื่น ไม่ต้องมาหาที่ข้า!”&l
บทที่ 22สัญชาตญาณที่ต้องปลดปล่อยฟางเหนียงขยับกายไปนั่งลงบนตักของบุรุษ จากนั้นก็ใช้สะโพกกดลงบนความแข็งแกร่ง ครอบครองแก่นกายบุรุษเพศเข้าไปในตัวของตนเอง“อ่า...” ทั้งฟางเหนียงและจินหมิงเยว่ครางด้วยความสุขสมสตรีตัวน้อยโอบกอดบุรุษแนบอกแล้วเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะจะเริ่มขยับสะโพกของตนเองด้วยท่าทางที่ดูเก้ๆ กังๆ ในช่วงแรก ทว่าไม่นานความวาบหวาม รัญจวนใจ ร่างกายก็ได้นำพาให้นางสามารถขับเคลื่อนร่างกาย มอบความเสียวซ่านให้กับบุรุษได้เป็นอย่างดีนางเอนกายไปข้างหลัง ใช้มือเกาะบ่าของบุรุษเอาไว้ก่อนจะเด้งสะโพกระรัว รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของแก่นกายได้อย่างชัดเจน“อ๊า ท่านพี่ อื้ม!” ทรวงอกของนางถูกดูดดื่มอย่างหื่นกระหาย แม้มันจะเจ็บเล็กน้อยเพราะมีรอยแผลจากการกระทำของบุรุษเมื่อครั้นก่อนหน้า หากแต่ความวาบหวามนั้นมีมากกว่า นางจึงยิ่งแอ่นอกให้ปากหยักดูดดื่มและกลืนกินตามต้องการฟางเหนียงเชิดหน้าขึ้นแล้วร้องครางเสียงหวานอย่างลืมอาย สูญสิ้นสติในการยับยั้งชั่งใจ กลีบกา
บทที่ 21รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปวันเวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ฟางเหนียงในวัยสิบหกปีครั้นมาที่ดินแดนจิ้งจอกแห่งนี้เป็นครั้งแรก บัดนี้นางอายุสิบแปดหนาวเสียแล้วความงดงามของนางนั้นเพิ่มมากขึ้นเสียจนจินหมิงเยว่แทบจะกกกอดนางเอาไว้ภายในห้องตลอดทั้งวันทั้งคืน ถึงแม้ว่ารอบตำหนักพันปีจะไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามาได้ หากมิได้รับอนุญาตก็ตาม“ท่านพี่เจ้าคะ!” เสียงเจื้อยแจ้วของฟางเหนียงดังขึ้น พร้อมการปรากฏกายของนาง ในขณะที่จินหมิงเยว่กำลังฝึกพละกำลังและอาคมบุรุษตวัดฝ่ามือครั้งหนึ่งพาร่างบอบบางลอยละล่องมานั่งบนตักของตนเอง แล้วฉวยโอกาสหอมแก้มนางไปหนึ่งที“ว้าย! ท่านพี่! ฮวาอินก็อยู่นะเจ้าคะ”“เฮ้อ ฮวาอินออกจะชอบที่ข้ากับเจ้าพลอดรักกัน”“ท่านพี่!!”เพี๊ยะ!!ว่าแล้วก็ตีท่อนแขนแกร่งไปหนึ่งทีด้วยความเขินอาย จินหมิงเยว่หัวเราะเสียงดัง ยิ่งได้เห็นพวงแก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อก็ยิ่งอยากแกล้
บทที่ 20งอน“ลองขย่มข้าสิ”“ตะ แต่ข้าไม่รู้”“ทำแบบนี้”“อ๊ะ!?”ฝ่ามือหยาบยกสะโพกกลมขึ้นแล้วกดลงให้ครอบครองความแข็งแกร่งของตนเอง ความเสียวซ่านแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่างบอบบางฟางเหนียงขยับตามการนำพาของบุรุษ กระทั่งหาจังหวะของตนเองเจอ จินหมิงเยว่ก็เปลี่ยนเป็นบีบเคล้นสะโพกกลมกลึงด้วยความมันเขี้วแทนท่วงท่าของนางสร้างความรัญจวนในเหลือเกิน มันเชื่องช้าและละมุนละไม ราวกับจงใจทรมานจินหมิงเยว่ให้ต้องอดทนกับกามารมณ์ เกร็งทั่วทั้งร่างจนเห็นก้อนกล้ามเนื้อชัดเจน อีกทั้งเส้นเลือดยังปูดโปนออกมา“อ่า เหนียงเอ๋อร์ เจ้าช่าง...” บุรุษมิอาจเอื้อนเอ่ยได้อีก เมื่อนางเริ่มขยับถี่ขึ้นเรื่อยๆ มิได้เข้าสุดออกสุดเหมือนอย่างในครั้งแรก แต่เป็นการกดสะโพกระรัว“อืม” นางครางเสียงหวานแล้วแหงนหน้าขึ้นตามอารมณ์ จินหมิงเยว่ก้ามหน้าลงดูดดื่มกับยอดอกสีหวานเข้าปากอย่างกระหายความรู้สึกวาบหวา
บทที่ 19จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ดวงตาคู่งามเปิดอย่างเชื่องช้า คราวนี้ฟางเหนียงไม่ตกใจอีกแล้วว่านางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร สถานที่ที่ไม่ต่างไปจากสรวงสวรรค์ นางคงถูกเทพองค์นั้นเรียกตัวมาอีกเป็นแน่นางเตรียมที่จะมองหาตัวของผู้ที่เรียกนางมา แต่ไม่ทันที่จะได้หยัดกายลุกขึ้นเสียด้วยซ้ำ เสียงทุ้มน่าฟังก็ดังขึ้นเหนือหัว“เดี๋ยวนี้เจ้าไม่ตกใจแล้วหรือ?”ฟางเหนียงหยัดกายลุกขึ้น ก่อนจะหันไปยอบกายคำนับตามมารยาท“คำนับ ท่านเทพเจ้าค่ะ”“อ่า เจ้ารู้แล้วสินะ… รู้ได้อย่างไร หมิงเยว่บอกเจ้าหรือ?”“ท่านพี่ของข้ารู้จักกับท่านเป็นการส่วนตัวด้วยหรือเจ้าคะ?”“อ่า มิใช่สินะ”ใบหน้าคมคายหม่นลงเล็กน้อย ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับฟางเหนียงดูเหมือนว่าทั้งสองจะรู้จักกันสินะ แต่รู้จักกันด้วยดีหรือร้ายมิอานคาดเดาได้“ท่านเทพ… จุดประสงค์ของท่านคือสิ่งใดกันแน่?”สตรีตัวน้อยรู้สึกหวาดหวั่นเหลือเกิน หวาดกลัวว
บทที่ 18มิอาจยอมให้นางเสียหายลิ้นสากหลีกหนีเรียวลิ้นของนาง ลิ้นของนางก็ยังตามติดไม่ออก กลายเป็นจูบที่แสนดูดดื่มจนเกิดเสียงน่าอาย เมื่อยามที่ฟางเหนียงยอมแพ้คิดจะถอนริมฝีปากออก จินหมิงเยว่ก็เป็นฝ่ายคว้าท้ายทอยของนางแล้วกดให้แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็เป็นฝ่ายรุกรานโพรงปากอุ่น ตักตวงความหอมหวานอย่างเร่าร้อน ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เอาแต่หลีกหนีปฏิเสธนางแท้ๆ...จิ้งจอกเจ้าเล่ห์!!...อดมิได้ที่จะต่อว่าบุรุษในใจที่คิดหลอกนาง แต่ก็ยอมให้บุรุษรุกรานแต่โดยดี เพราะจูบหวานๆ ที่ถูกส่งมอบมามันพาให้ร่างของนางอ่อนระทวย เคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบซึ่งราวกับเอาอกเอาใจนาง นางจะยอมให้อภัยจินหมิงเยว่ก็แล้วกันเนิ่นนานกว่าทั้งสองจะถอนริมฝีปากออกจากัน ดวงตาสบประสานกันของหวานซึ้ง คล้ายกับกำลังแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่มีให้กันและกัน“เอาลูกแก้วคืนไปหรือยังเจ้าคะ?”“ยัง”“อ้าว?”“ข้าฝากไว้กับเจ้า หากข้าบาดเจ็บเจ้าจะได้จู