(แม่ทัพหนุ่มยุคโบราณ x เศรษฐีนีคนงาม โบราณเชื่อมโยงกับปัจจุบัน + กักตุนเสบียง + โครงสร้างพื้นฐาน + ยุคข้าวยากหมากแพง) เย่มู่มู่พบว่าแจกันที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษมีอิทธิฤทธิ์สามารถพาทะลุไปยุคโบราณเมื่อสองพันปีก่อนได้อย่างน่าอัศจรรย์ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงได้รู้จักกับแม่ทัพหนุ่มยุคโบราณคนหนึ่ง แม่ทัพเฝ้าพิทักษ์เมืองสำคัญบริเวณชายแดน ตกอยู่ในวงล้อมของทัพใหญ่สามแสนนายของเผ่าหมาน เกิดภัยแล้งรุนแรง แม่น้ำแห้งเหือด ราษฎรสองแสนหิวตายเหลือเพียงแปดหมื่นคน ด้วยความอับจนปัญญา แม่ทัพอธิษฐานขอน้ำและอาหารจากเทพยดา หวังให้ราษฎรมีชีวิตรอดต่อไป เย่มู่มู่โบกมือ ได้เลย! เธอกักตุนเสบียงปริมาณมหาศาล นำมาช่วยเหลือทหารกับราษฎรทั้งหลาย ซาลาเปา หมั่นโถวนึ่ง หมั่วโถวเกลียว ขนมปังไส้เนื้อ...ทุกวันไม่ซ้ำกัน ทำให้คนโบราณทึ่งในอาหารเลิศรสจากยุคปัจจุบันเล็กน้อย ส่งตำราพิชัยสงคราม กักตุนเสบียง เกณฑ์ทหาร สร้างโรงงานคลังสรรพาวุธ...ทำให้คนโบราณต้องตะลึงในการทหารยุคใหม่ เมื่อเธอถูกคนหลอกลวง กิจการครอบครัวที่ได้รับสืบทอดมาถึงคราวล้มละลาย แม่ทัพก็ส่งเงินทอง ตำรา ภาพวาด พู่กัน โบราณวัตถุและเครื่องเคลือบมาให้เป็นการตอบแทนบุญคุณ... เธออาศัยวัตถุโบราณเหล่านี้ฟื้นฟูกิจการครอบครัวจนกลายเป็นเศรษฐีนี ก้าวสู่จุดสูงสุดในชีวิต! ขณะที่แม่ทัพอาศัยอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ที่เย่มู่มู่นำมาสนับสนุน กำราบหมานอี๋ ฟื้นฟูแผ่นดิน คืนความสงบให้หกแคว้น รวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียว! ตกลงกันไว้ว่าจะสร้างวัดให้เธอแล้วให้ลูกหลานกราบไหว้บูชาสืบไป แม่ทัพหนุ่มกลับส่งหนังสือสมรสมาให้ ภูผามหานทีเป็นพยาน ถึงวันใต้หล้าสงบสุข เฝ้ารอการพบกันกับท่านอีกครา หนังสือสมรสทับอยู่บนชุดเจ้าสาว หน็อยแน่ นายแม่ทัพตัวดี เจตนาที่แท้จริงของนายคือแบบนี้เองสินะ!
View More*จ้านเฉิงอิ้นนั่งลง หยิบกระดาษจับพู่กันแล้วตอบจดหมายเย่มู่มู่“ท่านเทพ ตื่นแล้วหรือ?”เย่มู่มู่มองเวลาเก้าโมงเช้า ยังดี ถือว่าตื่นเช้า!“ด่านเจิ้นกวนเริ่มงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จแล้วหรือ?”“ใช่ กำลังกินขอรับ”“ในค่ายทหารทำของอร่อยอะไรบ้าง?”“เมื่อคืนนำเนื้อม้ากลับมาได้จำนวนมาก จึงทำเนื้อม้าเป็นกะมะลังใหญ่ ยังมีพืชผักที่ส่งมาเมื่อครั้งก่อน มีข้าวสารนึ่งสุก พลเมืองทั่วทั้งเมืองมาร่วมกินด้วยกันทุกคน ทุกคนดีใจมาก...”กระบี่คมกริบที่แขวนไว้ในด่านเจิ้นกวนหายไปแล้วเย่มู่มู่จินตนาการได้ว่าทุกคนดีใจเพียงใดหนึ่งปี!หนึ่งปีเต็ม ๆ กองทัพตระกูลจ้านต้องสูญเสียคนถึงหนึ่งแสนแปดหมื่นคนชาวเมืองด่านเจิ้นกวนสองแสนคนล้มตายเสียชีวิตจากนี้ไป ทุกคนสามารถดำรงชีวิตต่อไปและเดินทางเข้าออกเมืองได้อย่างอิสระ จะไม่มีกองทัพศัตรูปิดล้อมพวกเขาอีกแล้ว!“ทำดีมาก! นักเรียนจ้านเฉิงอิ้น เมื่อคืนเจ้าทำตัวกล้าหาญองอาจเป็นอย่างมาก!”“ท่านเทพยกยอเกินไป เป็นเพราะท่านเทพส่งเสื้อเกราะกันกระสุนกับปืนล่าสัตว์มาได้ทันเวลา ทำให้หน่วยดาบม่อเตาที่เป็นแนวหน้า ฆ่าฟันศัตรูได้ตามใจชอบราวกับเข้าไปในดินแดนไร้คน…”“อืม ในเม
จ้านเฉิงอิ้นกล่าวหยุดเฉินขุย“เจ้าออกไปทางลับ ถ้ามีคนยอมติดตามกองทัพตระกูลจ้าน นำตัวกลับเข้ากองทัพ!”“ขอรับ แม่ทัพ!”“สำหรับสวีหวย ข้าไม่ลงมือฆ่าเขาด้วยตนเอง ถือว่าให้ความเมตตาที่สุดแล้ว!”“พระราชโองการนั่นที่เขากล่าวถึง ข้าออกรบชนะศึก ฮ่องเต้จะยกให้คนอื่นมารับช่วงด่านเจิ้นกวนต่อได้อย่างไร ต้องเป็นของปลอมแน่!”เฉินขุยเฉินอู่พยักหน้าซ้ำ ๆ เห็นด้วย“ใช่ เป็นของปลอม สวีหวยประกาศพระราชโองการปลอม ความผิดของเขาต้องฆ่าทิ้งทันที!”“เพื่อเพิ่มความปรีดาให้แก่ท่าน ข้าน้อยจะไปกวาดล้างคนเลวข้างกายฮ่องเต้ ตัดหัวสวีหวยผู้ประกาศพระราชโองการปลอมเดี๋ยวนี้!”สองพี่น้องนำคนและม้าออกจากเมืองไปอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกรจ้านเฉิงอิ้นจึงนั่งลงอีกครั้ง เห็นมั่วฝานทอดมองแผ่นหลังที่กำลังจากไปของสองพี่น้องพร้อมกับขมวดคิ้วเขาจึงถามมั่วฝาน “เป็นอะไรไป?”“ตอนนี้ยังฆ่าสวีหวยไม่ได้!”“เพราะเหตุใด?”มั่วฝานนำสารลับที่ได้รับวันนี้จากไทเฮา ยื่นให้จ้านเฉิงอิ้นจ้านเฉิงอิ้นเปิดสารลับอ่าน คิ้วยาวดุจดาบพลางขมวดเล็กน้อยมั่วฝานกล่าวต่อ “บุตรสาวของสวีหวยได้รับความโปรดปรานเป็นอย่างมากในพระราชวังถูกแต่งตั้งให้เป็นกุ้
อำนาจทางการทหารของกองทัพตระกูลจ้านจะถูกส่งต่อให้กับคนอื่นกองทัพตระกูลจ้านไม่เป็นที่พอใจในสายตาของฮ่องเต้ตั้งแต่ต้นวันนี้พวกเขามีเสบียงมีน้ำ มีอุปกรณ์ติดตัวที่ยอดเยี่ยม…สมาชิกราชวงศ์ต้าฉี่ประพฤติตนไร้สาระ เสนาบดีซูขูดรีดพลเมืองสภาพการณ์ของชาวเมือง ไม่ต่างจากด่านเจิ้นกวนในเวลานั้นภายในแคว้นต้าฉี่มีอิทธิพลหลายกลุ่มเริ่มผนึกตัว เพียงแต่ถูกกำลังทหารสองแสนคนขวางไว้ถ้าชาวเมืองมีชีวิตต่อไปได้ ใครจะรวมพลก่อกบฏอีกเล่าทุกคนล้วนอยู่ภายใต้หนทางตัน สุดท้ายจึงจำใจเลือกเส้นทางนี้จ้านเฉิงอิ้นทำลายกองทัพพันธมิตรของแคว้นฉู่กับแคว้นฉีอย่างแสนสาหัส ทำให้กองทัพเผ่าหมานต้องถอยทัพด้วยความปราชัย ชื่อเสียงของเขาในหมู่พลเมือง อยู่เหนือกว่าสมาชิกราชวงศ์ไปมากฮ่องเต้ไม่อาจยอมรับเขาได้ถอดชุดเกราะเป็นเพียงก้าวแรก ยึดอำนาจทางการทหารของแม่ทัพแล้วยังไม่สบายใจต้องประหารชีวิตแม่ทัพอย่างแน่นอน!พวกเขามีมิตรภาพที่ผ่านความตายมาด้วยกันทั้งนั้น เผชิญความอดอยากด้วยกันในด่านเจิ้นกวน ฆ่าศัตรูในสนามรบไปด้วยกันยิ่งไปกว่านั้น แม่ทัพสามารถติดต่อกับท่านเทพเช่นนั้นแม่ทัพจะกลับเข้าเมืองหลวงไม่ได้ในเวลานี้ ทุ
ลำโพงประกาศเสียงบนกำแพงเมืองราวกับเสียงประหลาดที่ดังก้องหู มันเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าทหารใต้บังคับบัญชาของสวีหวยล้วนรู้สึกสนใจ!ก่อนที่พวกเขาจะมาที่นี่ สำหรับข่าวคราวที่ว่าด่านเจิ้นกวนมีน้ำมีเสบียงอาหาร บางทียังยึดมั่นในความสงสัยวันนี้เมื่อเห็นบนกำแพงมีทหารชั้นผู้น้อยเฝ้าประตูเมือง กินข้าวโดยใช้กะละมังและดื่มน้ำอย่างตามใจโดยไม่รู้สึกสิ้นเปลือง!ชีวิตดี ๆ ที่พวกเขามี เทียบได้กับช่วงก่อนเกิดภัยแล้งและทุพภิกขภัยไม่ ดีกว่าช่วงก่อนเกิดภัยแล้งและทุพภิกขภัยเสียอีกชีวิตของทหารในด่านเจิ้นกวน เทียบเท่ากับตระกูลชนชั้นสูงของเมืองหลวง ทำให้คนที่อยู่ข้างล่างนับไม่ถ้วนล้วนเกิดแรงปรารถนาพวกเขาอยากเข้าไปในเมือง อยากเข้าร่วมกองทัพตระกูลจ้าน อยากมีข้าวสวยกินทุกวัน อยากมีน้ำที่ดื่มไม่หมดทุกคน!สวีหวยโมโหและดุด่า “ไปเรียกจ้านเฉิงอิ้นออกมา ข้ามารับช่วงด่านเจิ้นกวนพร้อมด้วยพระราชโองการจากฮ่องเต้!”ครั้งนี้ คนที่อยู่ใกล้กำแพงเมืองไม่กี่คน มองสวีหวยคราหนึ่งโดยไม่แสดงอารมณ์ใดในสายตานั้น ไร้ซึ่งความเคารพและความกลัวของทหารที่พึงมีต่อแม่ทัพอย่างสิ้นเชิงใช้แววตาเรียบนิ่งมองสวีหวย กระทั่งแฝงความรังเกียจ
นายทหารหนึ่งในนั้นกลับยกกาน้ำแล้วเริ่มดื่มน้ำเนื่องจากดื่มเร็วและรีบเกินไป น้ำจึงไหลตามมุมปากลงมาที่ลำคอและทำให้คอเสื้อเปียกเขาไม่ประหยัดน้ำแม้แต่น้อย!จวบจนวินาทีนี้ ทุกคนจึงมั่นใจว่าในเมืองด่านเจิ้นกวนมีน้ำ มีเสบียง…นายทหารข้างล่างกำแพงเมือง เผยดวงตาอันแดงก่ำพวกเขาแทบอดไม่ได้ที่จะปีนขึ้นไปบนกำแพงแล้วแย่งน้ำมาดื่มเองแย่งข้าวสารของพวกเขาแล้วกินเข้าไปเอง!พวกเขาอยากดื่มน้ำ อยากกินเนื้อมากจริง ๆที่ทำเกินไปยิ่งกว่านั้น โต๊ะที่ห่างจากกำแพงเมืองโต๊ะนั้น มีทหารหนึ่งคนถือกะละมังเคลือบเซรามิกไว้อันหนึ่ง ข้างในมีข้าวหุงสุกข้าวหุงสุกเป็นเม็ด ๆ ชัดเจน พวกเขาใช้กะละมังเคลือบเซรามิกที่ใหญ่กว่าหม้อมาใส่ข้าว และราดเต็มไปด้วยเนื้อกับผักเขานั่งยองบนกำแพงเมือง ใช้ตะเกียบหนึ่งคู่ปัดเข้าปากอย่างเต็มกำลังเขากินอย่างรวดเร็วและรีบเร่ง…จนนายทหารข้างล่างที่ทอดมองมา พากันกลืนน้ำลายไม่หยุดถ้าสามารถบินได้ พวกเขาจะบินขึ้นบนกำแพงเมืองและแย่งข้าวหุงสุกกะละมังนั้นมาจากเขาให้จงได้ทหารชั้นผู้น้อยที่เฝ้าเมืองคนนี้ เหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก อันเนื่องจากจ้านเฉิงอิ้นเดินทางไปกลับเมื่อคืนเขาเหนื่อ
จ้านเฉิงอิ้นสวมเสื้อยาวขาวดุจหิมะ มีลายพิมพ์ต้นไผ่อยู่ตรงหัวไหล่ของเสื้อยาว ใบไผ่ประดับตรงปลายแขนเสื้อ ช่วงเอวเหน็บเครื่องประดับทรงกลมไว้เขาเดินออกจากจวนแม่ทัพ ราวกับท่านชายฟ้าหลังฝน!ตรงทางเข้าประตูจวนแม่ทัพ เขาเดินผ่านพลเมืองสองสามคนทุกคนเคยชินกับแม่ทัพผู้สวมชุดเกราะอย่างวีรบุรุษ น้อยครั้งที่จะเห็นเขาแต่งตัวเช่นนี้คนตรงหน้าคือชายหนุ่มรูปหล่อรวบผมหางม้าสูง ใบหน้าเรียวผอมราวมีดเล่มยาว ดูไม่ออกเลยว่าจะเป็นแม่ทัพที่สังหารศัตรูในสนามรบมาแล้วจำนวนนับไม่ถ้วนเถียนฉินจูงม้าขาวเดินเข้ามาจ้านเฉิงอิ้นพลิกตัวขึ้นหลังม้าอย่างกระฉับกระเฉงและเริ่มขี่ม้าจากไปพลเมืองข้างนอกจวนแม่ทัพมองยิ้มแย้มดูนั่น ชายหนุ่มจิตใจฮึกเฮิมผู้นั้น คือหนิงกวนโหวผู้กำจัดสองกองทัพของแคว้นฉู่และแคว้นฉีและขับไล่ชนเผ่าหมานออกไปจ้านเฉิงอิ้นขี่ม้ามาถึงค่ายทหารพื้นที่ว่างในค่ายทหารถูกวางเต็มไปด้วยโต๊ะเก้าอี้วันนี้ ไม่เพียงแต่เป็นงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จของกองทัพตระกูลจ้านแต่ยังเป็นงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จของชาวเมืองทั่วทั้งเมืองอีกด้วยพลเมืองทั่วทั้งเมืองมาร่วมยินดีทุกคน!ครั้นพ่อครัวไม่เพียงพอ พวกชาวบ้านจึ
“วู้ฮู้…”ชาวบ้านนับไม่ถ้วนปรบมือร้องดีใจ!เฉินขุยอยู่ข้างหลังแม่ทัพ ชูลำโพงประกาศเสียงขึ้นสูงพร้อมเปิดซ้ำตลอดทาง“กองทัพตระกูลจ้านชนะแล้ว กองทัพเผ่าฉู่ตายเกลี้ยง กองทัพรเผ่าฉีเผ่นหนี ชนเผ่าหมานวิ่งหนี…”“ด่านเจิ้นกวนของเราเป็นอิสระแล้ว!”“ด่านเจิ้นกวนเป็นอิสระแล้ว!”“แม่ทัพใหญ่องอาจห้าวหาญ!”“แม่ทัพเฉินขุยองอาจห้าวหาญ!”“กองทัพตระกูลจ้านองอาจห้าวหาญ!”พลเมืองนับไม่ถ้วนหัวเราะเสียงดังมีความสุขกลุ่มเด็ก ๆ ดีใจกระโดดโลดเต้น“พวกเราสามารถแผ่ขยายได้แล้ว สามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้แล้ว!”กลุ่มคนสูงวัยต่างคุกเข่า กราบไหว้ต่อสรวงสวรรค์“เทวดาฟ้าสวรรค์ ทรงเปิดตาเสียที ให้แม่ทัพชนะศึกสงคราม ด่านเจิ้นกวนจะไม่ถูกปิดล้อม พวกเราสามารถมีชีวิตรอดและเดินออกไปได้แล้ว!”กลุ่มผู้หญิงใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา หนึ่งปีที่ผ่านมา เป็นห่วงว่าด่านเจิ้นกวนจะถูกบุกทะลวงกังวลว่าจะถูกชนเผ่าหมานลากไปทำเป็นอาหารเนื้อคนความรู้สึกทุกข์ทรมานจากความวิตกกังวลเช่นนี้ ในที่สุดก็จบลงเสียที!กลุ่มบุรุษส่งคืนธนูทดกำลังด้วยสองมือเสร็จ พอหันหลังก็ปาดน้ำตาเงียบ ๆ !กลุ่มพลเมืองถึงแม้ส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าร่วมการรบแต่มี
จ้านเฉิงอิ้นมองดูหน้าจอ กำลังคนและม้าของสวีหวยสวมอุปกรณ์เต็มตัว มุ่งหน้ามาอย่างกระตือรือร้นออกหน้าในกองทัพตระกูลจ้านมีทหารบาดเจ็บจำนวนไม่น้อย ถ้ากลับเข้าเมืองเกรงว่าคงไม่ทันจ้านเฉิงอิ้นถามซ่งตั๋ว “ยังมีระเบิดอีกเท่าไหร่?”ซ่งตั๋วตอบ “ไม่มีแล้วขอรับ! ตอนระเบิดทหารเผ่าฉู่และฉีสองกองทัพที่ใต้ประตูเมือง ถูกใช้จนหมดแล้วขอรับ!”เขากำลังมองหน่วยหน้าไม้ราชวงศ์ฉินพวกเขาชักคันธนูตลอดทั้งคืน เหนื่อยจนแทบยืนไม่ไหวนั่งอยู่ที่พื้นทุกคน มีบางคนถึงกระทั่งนอนหลับไปเรียบร้อยหน่วยดาบม่อเตาเหนื่อยล้ายิ่งกว่า ล้วนนอนกองอยู่กับพื้นไม่สนใจนองเลือดในพื้นทรายและศพทหารเผ่าหมานที่นอนเกลื่อนกลาดพวกเขาเหนื่อยมาก เหนื่อยมาก ๆ !ครั้นรถสองคันจอดนิ่ง ทหารยิงธนูทดกำลังบนรถ กระบอกใส่ลูกธนูล้วนว่างเปล่าไม่มีเหลือจ้านเฉิงอิ้นกล่าว “พยุงผู้บาดเจ็บขึ้นรถแล้วส่งกลับไป!”“คนทั้งหมด สองคนควมม้าหนึ่งตัว คนร่างผอมหน่อยสามคนควบม้าหนึ่งตัว…แล้วกลับเมือง!”มั่วฝานถาม “ทันการณ์หรือไม่?”จ้านเฉิงอิ้นส่ายศีรษะ ตอบกลับตามจริง “ไม่ทันการณ์แล้ว!”ทหารที่เตรียมขี่ม้าในตอนแรก หยุดขี่ม้าทั้งหมดทันที!“เช่นนั้นจะทำอย
ทหารที่นอนอยู่บนพื้น ส่งเสียงตอบรับทันทีล้วนขึ้นม้าอย่างพร้อมเพรียงกันผู้ที่ไม่มีม้า ก็วิ่งไปพร้อมกับกองทัพชาวบ้านที่ยังอายุน้อยอยู่หน่อย ก็หยิบธนูทดกำลังติดตามกองทัพออกจากเมืองไปด้วยจ้านเฉิงอิ้นจึงนำกำลังพลจำนวนสองหมื่นนาย ขี่ม้ากลับมายังจุดที่ทำการต่อสู้กับกองทัพเผ่าหมานอีกครั้งหลังจ้านเฉิงอิ้นจากไป สถานการณ์การรบก็เลวร้ายเป็นอย่างมากเฉินขุยกับเฉินอู่ที่เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ร่วมกันต่อสู้กับหลัวซู่อย่างรู้ใจ ทว่า มิเพียงไม่ได้เปรียบกลับยังถูกฟันจนเกิดบาดแผลไปทั่วทั้งตัวด้วยพวกเขาสวมชุดเกราะกันกระสุนรุ่นใหม่ล่าสุดแต่ดาบของหลัวซู่หนักหน่วง แม้เสื้อกันกระสุนและชุดเกราะจะสามารถป้องกันการเกิดบาดแผลภายนอกได้ แต่เมื่อดาบฟันลงมา ก็ยังคงถูกน้ำหนักอันรุนแรงกระแทกจนซี่โครงหักคนทั้งสองได้รับบาดเจ็บไม่เบาส่วนทหารที่เหลือหมื่นกว่านาย แบ่งเป็นกลุ่มละสามคน ต้านทานเผ่าหมานไว้อย่างยากลำบากจนกระทั่ง จ้านเฉิงอิ้นนำกำลังพลสองหมื่นคนที่เหลืออยู่ในเมือง บุกสังหารกลับมาหลัวซู่จึงรู้ว่า หลิงเซี่ยวเฟิงและฉีซวนเหิง พวกเขาโจมตีเมืองล้มเหลวแล้วไม่เช่นนั้น จ้านเฉิงอิ้นไม่มีทางกลั
หลังจากพ่อแม่ตายไป เย่มู่มู่ก็ใช้ชีวิตอย่างเลอะ ๆ เลือน ๆ มาตลอดจึงไม่ได้สังเกตเห็นแต่แรกว่าในบ้านมีสิ่งของเพิ่มขึ้นมาโดยไร้สาเหตุยกตัวอย่างเช่นบางครั้งก็เป็นกระดาษเหลืองโบราณที่เขียนรายงานเกี่ยวกับการรบ ภัยแล้งและทุพภิกขภัยด้วยอักษรตัวเต็มบางคราก็เป็นเศษชามกระเบื้องเก่า ๆ ที่แตกไปครึ่งหนึ่งมีหนหนึ่งที่จู่ ๆ ในบ้านก็มีเศษดาบเปื้อนเลือดปรากฏขึ้นมาเธอถึงได้ค้นพบด้วยความตกอกตกใจ นึกว่าในบ้านมีผีแล้วเสียอีก!วันนี้ตอนกลางวันแสก ๆ ในบ้านอยู่ดี ๆ ก็มีเสื้อชั้นในยุคโบราณเปื้อนเลือดโผล่มา เสื้อชั้นในตัวนั้นมีสีออกเหลืองเปื้อนคราบเหงื่อไคลมือเธอไปสัมผัสโดนเข้าพอดี~อ้าก~เสื้อยังอุ่นอยู่เลย!เลือดก็อุ่นเหมือนกัน!เย่มู่มู่กรีดร้องเสียงหลงด้วยความตกใจนานทีเดียว จนกระทั่งในบ้านไม่มีสิ่งของโผล่มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอีก เธอถึงสงบสติเย็นลงได้เย่มู่มู่หยิบเสื้อชั้นในขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แน่ใจว่าเป็นเสื้อชั้นในแบบโบราณ เป็นของผู้ชาย เจ้าของเสื้อชั้นในตัวนี้สูงเกินหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ช่วงไหล่กว้างจุดที่เสื้อชั้นในปรากฏขึ้นคือ พาดอยู่บนปากแจกันดอกไม้ใบเขื่องตรงมุมห้องรับแขก...
Comments