ครั้งที่แต่งงานกัน ท่านก็ไม่ยอมร่วมหอ ยั่วยวนเท่าใด ก็ไม่เคยได้ผล เผยโฉมต่อหน้า ท่านก็ไม่เคยยล ข้าอดทนเนิ่นนาน ให้ท่านเหลียวแล แล้วเหตุใดจู่ๆ ท่านจึงกลายเป็นปีศาจราคะ จับข้ากดไม่ยอมปล่อยเล่า!
View Moreในวันนี้เจียงฮองเฮาทรงเรียกองค์รัชทายาทและพระชายามาจิบชาชมบุปผาพร้อมทั้งพาเดินเที่ยวให้ทั่ววัง ตามความประสงค์ทางสายตาของหมิงจินที่เชื่อฟังสาวใช้คนงามเหลือเกินซึ่งอันที่จริงพระนางก็มีความต้องการที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วเมื่อทราบข่าวราชโองการของฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วเรื่องนี้นับได้ว่าหนักหนาพอควร สำหรับโอรสที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท ขั้วอำนาจซึ่งเป็นฐานที่มั่นถูกสั่นคลอนเช่นนั้น มิใช่เพียงรักษาตำหนักบูรพาลำบาก หากแต่ยังอาจสร้างความบาดหมางได้ไม่ยาก นับจากนี้การลอบสังหารคงมีตามมามากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากหลายสกุลที่ถูกส่งคืนคงแค้นเคืองไม่น้อยแน่นอนว่าฝีมือของหมิงเฉิงไม่น่าห่วงในเรื่องนี้ เพียงแต่เจียงฮองเฮาก็ไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตจนเกินไปหมิงจินก็เช่นกัน กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้ เขาได้หลับสบายสักคืนหรือไม่?พระมารดาแห่งต้าหมิงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยยามถูกโม๋เอ๋อร์จับประคองมือซ้ายพาเดินเล่นไปตามทางเดินของอุทยานหลวง ด้านขวายังมีหมิงเฉิงเดินตระหง่านดำทะมึนมาด้วยกัน ท่าทางของรัชทายาทหนุ่มในยามนี้ แม้สูงส่งงามสง่าแต่ทว่าเปี่ยมพลังกดข่มเขย่าขวัญผู้คนไปทั่ววันนี้นับได้ว่าอากาศด
เจียงฮองเฮามองตามแผ่นหลังของสองชายหญิงเงียบๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะตรัสออกมาทางสวี่กูกูที่ยืนอย่างสงบเยื้องไปทางด้านหลังอยู่เพียงลำพัง ปราศจากผู้อื่นนอกจากนาง“เจ้าคงเห็นแล้ว ว่าลูกๆ ของข้าน่าเป็นห่วงปานใด”สวี่กูกูคือแม่นมของหมิงเฉิงในอดีต ที่รับรู้เรื่องราวอันเป็นความลับทุกสิ่ง จึงมิใช่เรื่องแปลกหากเจียงเฟิ่งจักเปิดเผยตามตรงกับอีกฝ่าย “เรื่องเส้นสายราชสำนัก หรือขั้วอำนาจใดๆ ล้วนไม่ยากหากข้าจะช่วย ทว่าเรื่องอื่นๆ เล่า”สวี่กูกูค้อมตัวกล่าวอย่างนอบน้อมแต่ตรงไปตรงมา ด้วยเข้าใจความห่วงใยที่มากล้นเกินจำเป็นของเจ้านาย“ทูลฮองเฮา เรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว เราควรปล่อยไปตามโชคชะตานำพาเพคะ ขออย่าทรงกังวลจนเกินไป”“จะดีหรือ?” เจียงเฟิ่งไม่แน่ใจ “ข้าไม่ต้องช่วยจริงหรือ?”“ย่อมดีเพคะ เรื่องเหล่านี้ เราสองคนที่ไม่เคยประสบย่อมไม่เข้าใจนะเพคะ”เจียงเฟิ่งพลันเงียบงันปราศจากถ้อยวาจา ด้วยไม่อาจเห็นต่าง เพราะว่านางกับสวี่กูกูเติบโตมาด้วยกันกระทั่งเข้าวังและไม่เคยเจอเรื่องรักใคร่เลยสักครั้งในชีวิตจริงๆการยื่นมือช่วยในบางเรื่อง อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีถึงแม้เจียงเฟิ่งจักได้แต่งงาน ทว่าการมีสามีของนางล้
ระยะทางจากตำหนักบูรพามายังตำหนักฉีหยางกงนับได้ว่าไกลมากทว่าวันนี้กลับรู้สึกเหมือนใกล้กว่าที่เคย หมิงเฉิงยังมิทันได้ซึมซับไอเย็นจากร่างนุ่มสักเท่าไหร่ก็ถึงเสียแล้วอ้อมกอดอุ่นพลันคลายออก ความร้อนวาบพลันจางหาย โม๋เอ๋อร์รู้สึกถึงความเย็นไหลผ่านร่างกายเมื่อวงแขนกำยำของสามีปลดออกไปความเสียดายบางประการจึงบังเกิดกับพวกเขาโดยมิได้นัดหมาย หญิงสาวถึงกับเม้มปากแน่น ในขณะที่ชายหนุ่มถึงกับลอบขบกรามทั้งสองพากันจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะลงจากรถม้าอย่างงามสง่าเฉกเช่นชนชั้นสูงปกติ หาได้มีพิรุธอันใดไม่ขณะนี้เป็นเวลายามสาย อากาศแจ่มใส แมกไม้ร่มรื่น แสงแดดอ่อนจาง ทางเดินเข้าตำหนักงดงามจับตา ชายผ้าของสองสามีภรรยาถูกสายลมโชยผ่านพัดพลิ้วเกี่ยวประสาน ประหนึ่งเป็นผ้าผืนเดียวกันตั้งแต่ย่างเท้าก้าวใดมิทราบได้ ที่ทั้งคู่เดินใกล้กันมาก โดยไม่รู้ตัวภายในห้องโถงรับแขก ที่แท่นประทับสลักทองคำเจียงฮองเฮายังคงนิ่งเงียบเพื่อฟังวาจานุ่มหวานของสาวใช้นางหนึ่งที่นั่งเคียงข้างกับองครักษ์หนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้านล่าง สองชายหญิงช่วยกันร้องช่วยกันรับอยู่หลายประโยค พูดจาส่งกันไปมาอย่างเปิดเผย
ไม่นานเลยกับการนั่งเป็นตุ๊กตาให้นางกำนัลช่วยกันประโคมเครื่องแต่งกายให้โม๋เอ๋อร์เดินกรีดกรายแช่มช้า พาร่างระหงในอาภรณ์สีสันสดใสลวดลายดอกไห่ถังตัดกับฤดูเหมันต์ได้อย่างลงตัว มาหยุดยืนอยู่นิ่งๆ ที่ข้างรถม้า สายตากวาดมองไปรอบๆ ไม่เห็นร่างสูงของสามี ก็ให้นึกแปลกใจแค่ไม่ยอมร่วมหอด้วยเมื่อคืน เขากลับแง่งอนหลบหน้าหลบตากันถึงเพียงนี้ สงสัยอยากได้อนุชายากลับมาใจจะขาดอา...แล้วนางต้องยอมหรือไม่?คำตอบคือ ไม่!หญิงสาวปราศจากความสนใจชายผู้แง่งอน รีบรับการจับประคองจากนางกำนัลขึ้นไปบนรถม้าด้วยกิริยาแช่มช้อยทว่าทันทีที่ทหารเปิดผ้าม่านให้ ดวงเนตรกลมใสพลันเห็นเงาร่างดำทะมึนที่คล้ายเมฆหมอกก่อนพายุโหมกระหน่ำนั่งตระหง่านอยู่ในนั้น โม๋เอ๋อร์ยังมิทันได้ตั้งตัวเตรียมใจ ก็ถูกฉุดรั้งเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว มือหนาของอีกฝ่ายจับกระชับข้อมือนางดึงเข้าหาแล้วโอบรอบเอวบางให้นั่งบนหน้าขาความว่องไวในกระบวนท่า พาให้คนงามตะลึงงันโม๋เอ๋อร์ตัวแข็งทื่อ ร่างนุ่มนิ่งค้างซ้อนอยู่บนร่างหนา รับรู้เพียงความอุ่นร้อนวาบผ่าน โอบล้อมร่างนางทั้งหมด“เหตุใดเมื่อคืนไม่ยอมเข้าหอ” เส้นเสียงทุ้มต่ำดังเล็ดลอดจากริมฝีปากได้รูป พ่นลมร้
น้ำค้างพราวระยับบนยอดหญ้า แสงแรกอรุณรุ่งเบิกฟ้า ส่องสว่างไปทั่วนภาโม๋เอ๋อร์ลุกขึ้นแต่งตัวงดงามตั้งแต่ฟ้าสาง แล้วนั่งจิบชาอุ่นอยู่กลางโถงเรือนอย่างเดียวดาย รอบกายไม่มีใครเลยสักคนหญิงสาวนั่งเท้าคาง นัยน์ตาหรี่ปรือ เนื่องจากเมื่อคืนยังมิได้นอนเลยจนป่านนี้เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะต้องคอยระแวดระวังชายผู้หนึ่งซึ่งเป็นสามี มิให้เขาได้เข้ามาเพื่อร่วมหอกับภรรยาเช่นนางหึ! ไม่ว่าสตรีนางใด ก็ไม่มีสิทธิ์กลับมาทั้งนั้น! เพราะว่านางจะไม่เข้าหอกับเขาเด็ดขาด…โม๋เอ๋อร์ประกาศกร้าวในใจ ดวงตาทอประกายเด็ดเดี่ยว เหลียวมองหลังอย่างระแวดระวัง ว่าถูกสามีตามติดหรือไม่ปรากฏว่าไม่มี ...มิรู้ได้ว่าเขาหายไปทางใด?หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ไล่มองไปทั่วห้องโถง เห็นมีนางกำนัลยืนอยู่หน้าห้องแค่สองคน นอกนั้นไม่มีใครเลยมิคาดว่าหยูเสวี่ยก็หายไปเช่นกัน ตั้งแต่เมื่อคืนกระทั่งยามนี้ก็ยังไม่เจออีกฝ่ายเลย เห็นเพียงจดหมายแผ่นหนึ่งวางเอาไว้ที่โต๊ะหัวเตียง มีข้อความบอกว่าต้องเร่งจัดการเรื่องราวบางประการ มิให้นางต้องเป็นห่วง ทำตัวตามปกติไปก่อน และต้องไม่ยอมเข้าหอกับรัชทายาทตำแหน่งประธานในโถงใหญ่ บนโต๊ะมีอาหารเช้าชุดหนึ่ง เหนื
ชายหนุ่มได้ยินเสียงนุ่มหวานของหญิงสาวกล่าวอีกว่า“ก่อนหน้านี้ข่าวในตำหนักแพร่สะพัดว่ารัชทายาทกับพระชายารักใคร่กันอย่างมาก มิสู้ปล่อยข่าวออกไปภายนอกให้ไกลอีกสักหน่อย แล้วรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้มากเข้าไว้ ตระกูลโหวแม้ยิ่งใหญ่ หากแต่ก็เป็นเพียงฝ่ายบุ๋นมาช้านาน หาได้กุมกำลังทหารกองใดไม่ การที่รัชทายาทฝ่ายบู๊ได้ใจนายท่านโหวฝ่ายบุ๋นเต็มเปี่ยม ย่อมได้ขั้วอำนาจเจ็ดตระกูลใหญ่ และเส้นสายฝ่ายต้นตระกูลโหวทั้งหมด ผนึกกำลังกับตระกูลเจียงของฮองเฮา นี่ยังไม่นับรวมหัวเรือใหญ่อีกหลายสกุล ที่จะเบนเข็มมาหาเมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไป”หยูเสวี่ยนิ่งขรึมชั่วครู่จึงเปรยขึ้นมาอีกคราว่า “ข้าพอจะดูออกว่าองค์รัชทายาทหาใช่บุรุษเจ้าสำราญที่ฝักใฝ่หญิงงามจนตามืดบอด เพียงแต่ไร้ใจกับพระชายาเกินไปก็เท่านั้น ส่วนการเข้าหอเพื่อดึงสตรีสกุลอื่นให้กลับมา ไม่จำเป็นเลยสักนิด และยิ่งได้สกุลเจียงของฮองเฮาช่วยออกหน้า มีหรือจะมิได้ผล”ในขณะที่หมิงจินก้มหน้าตั้งใจฟัง หยูเสวี่ยพลันช้อนตามองมาอย่างเคร่งเครียดแล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า“ถึงแม้พวกเขาจะแต่งงานกันแล้ว หากแต่ชายหญิงไม่ควรเข้าหอโดยไม่เต็มใจ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดล้วนลำบากใจทั้งสิ้น แ
หลังพุ่มไม้ใหญ่ห่างออกมาจากเรือนชิงเยว่ไม่ไกลหยูเสวี่ยและหมิงจินกำลังยืนสังเกตการณ์คู่สามีภรรยาอยู่เงียบๆ เป็นนานสองนาน ตั้งแต่ริมอุทยานกระทั่งในเรือนชิงเยว่ ทั้งสองล้วนได้ยินคำของหวังกงกงเช่นกัน คำถามคือ ต้องการให้คู่สามีภรรยาเข้าหอกันใช่หรือไม่? คำตอบย่อมต้องใช่!แล้วบรรดาอนุพวกนั้นเล่า ต้องการให้กลับมาหรือไม่? คำตอบย่อมต้องไม่!หยูเสวี่ยหันหน้ามองหมิงจินทันที ในแววตาคู่งามเผยทุกความคิด ทั้งข่มขู่และกดดันอีกฝ่ายอย่างรุนแรง“ท่านองครักษ์มีความคิดเห็นเช่นไรหรือเจ้าคะ”หญิงสาวถามชายหนุ่มข้างกายเสียงนุ่ม ทว่าสีหน้าจริงจังมาก แววตาคมกล้ายิ่ง หมิงจินเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ซ่อนแววเอื้อเอ็นดูเอาไว้พลางเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “ข้าคิดว่าองค์รัชทายาทคงคิดจะเข้าหอกับพระชายาในไม่ช้า”“ด้วยเหตุผลเรียกคืนเหล่าอนุกระนั้นหรือ?” หยูเสวี่ยพลันหลุดเสียงเข้มขึ้นมา เผยความหงุดหงิดถึงสามส่วน “หากเขาจะเข้าหอกับคุณหนูของข้าเพื่อดึงสตรีอื่นเข้ามา ก็ข้ามศพบ่าวผู้นี้ไปก่อนเถิด” กล่าวจบก็เม้มปากแน่น สีหน้าบึ้งตึงไม่พอใจหมิงจินให้รู้สึกเสียวสันหลังไม่ทราบสาเหตุ ไฉนคนงามผู้อ่อนหวาน ยามโกรธาช่างน่ากลัวยิ่งหยูเสวี่ยร
ใบหน้าหล่อเหลานิ่งขึงตัวเขาอยู่ระหว่างสงครามแห่งการอบรมสอนสั่งของสองพ่อลูกผู้ยิ่งใหญ่มาช้านาน อายุแม้เกินครึ่งร้อยมาเล็กน้อย แต่เส้นผมทั้งศีรษะล้วนขาวโพลนประหนึ่งอยู่มาหลายร้อยปี เฮ่อ!ไม่นาน ...หวังกงกงก็ค้อมศีรษะขอตัวกลับ รอจนได้รับสัญญาณพยักหน้าเบาๆ หนึ่งครา หวังกงกงไม่มีรอช้ารีบล่าถอยออกห่างอย่างหวาดหวั่นแล้วหายตัวไปอย่างเร็วคล้อยหลังขันทีเฒ่า รัชทายาทหนุ่มเพียงยืนนิ่งเคร่งขรึมอยู่ที่ริมอุทยานดังเดิมช่วงเดือนสิบย่างเข้าเดือนสิบเอ็ดเช่นนี้ สายลมยามราตรีนับได้ว่าเย็นเยียบยิ่งนัก หากแต่ร่างสูงคล้ายไม่รู้สึกรู้สา ยังคงยืนตระหง่านปานหินผายากสั่นคลอน ทว่าภายในใจกลับสั่นเบาๆใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ เงยขึ้น ดวงตาคมดำเข้มลึกดุจน้ำหมึกทอดมองออกไปไกลแสนไกล เห็นดวงจันทร์สีนวลผ่องส่องสว่างแขวนอยู่กลางนภากว้างไร้การเคลื่อนไหวในห้วงคำนึงพลันนึกถึงดวงเนตรงามที่มีสีเขียววูบไว ที่เกิดขึ้นมากกว่าสามครั้งของใครบางคน ทันใดนั้นหมิงเฉิงจึงได้คำตอบให้ตนเองเขาควรเชื่อฟังคำพระบิดา!ใต้ต้นเหมยฮัวห่างออกมาจากริมอุทยานที่มีร่างสูงสง่าของรัชทายาทหนุ่มยืนนิ่งเงียบงันใต้แสงจันทร์งามโม๋เอ๋อร์ที่แอบมองอยู่ก็เร
หลังจากบรรดาอนุชายาทั้งหลายและเหล่าบ่าวไพร่ติดตามมากมายอันตรธานหายไปจนสิ้นโม๋เอ๋อร์ก็เดินกลับเข้าเรือนส่วนตัว แล้วเรียกนางกำนัลสองคนให้มาปรนนิบัติแทนหยูเสวี่ย เพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเหนื่อยจนเกินไปเมื่อหญิงสาวอาบน้ำกินข้าวเสร็จก็เข้านอนเพื่อพักผ่อนให้เพียงพอดั่งเช่นสตรีชั้นสูงผู้รักษาสุขภาพ ทว่าผ่านไปเนิ่นนานจนล่วงเข้ายามค่ำ จึงได้รู้ตัวว่าหยูเสวี่ยหายตัวไปโม๋เอ๋อร์มองหาอีกฝ่ายจนทั่วห้อง ก็ยังไม่เห็นแม้เงาของ หยูเสวี่ย จึงลุกจากเตียงแล้วเดินออกมาตามหาไปทั่วเรือน กระทั่งออกมานอกเรือนก็ยังไม่เจอหญิงสาวพาร่างระหงในชุดเตรียมนอนสีหวานพลิ้วไหวเยื้องกรายแช่มช้ามาได้เรื่อยๆ จึงได้เห็นหมิงเฉิงกำลังยืนคุยกับหวังกงกงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ริมอุทยานห่างออกไปโม๋เอ๋อร์ย่อมมีมารยาท ไม่คิดไปแอบฟังผู้ใด สายตาจึงกวาดมองไปรอบๆ เพื่อมองหาหยูเสวี่ยอีกครา แต่ทว่าเมื่อยังหาคนที่ต้องการไม่เจอ จึงเปลี่ยนใจ คิดแอบฟังสามีอย่างมีมารยาทก็เท่านั้นทางด้านหมิงเฉิงที่กำลังยืนคุยกับหวังกงกงชายหนุ่มเพียงรับฟังขันทีเฒ่าด้วยสีหน้าเย็นชาไม่เผยอารมณ์ในขณะที่หวังกงกงยังคงไว้ซึ่งท่าทีนอบน้อม “กระหม่อมย่อมทำตามพระ
คำโปรยแหงนหน้ามองจันทรา พินิจฟ้าดาราเร้นเดือนเพ็ญจันทร์งามเด่น ทว่าบีบเคล้นรัดรึงใจคืนนั้นก็เช่นนี้ จันทร์ดวงนี้สว่างไสวครั้นตื่นมาแล้วหลับไปเห็นเพียงเจ้าดั่งเงาใจ เร้นจันทรา...*********ครั้งที่แต่งงานกัน ท่านก็ไม่ยอมร่วมหอยั่วยวนเท่าใด ก็ไม่เคยได้ผลเผยโฉมต่อหน้า ท่านก็ไม่เคยยลข้าอดทนเนิ่นนาน ให้ท่านเหลียวแลแล้วเหตุใดจู่ๆท่านจึงกลายเป็นปีศาจราคะ จับข้ากดไม่ยอมปล่อยเล่า!******บทนำดินแดนสามภพทุกสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นภพสวรรค์ ภพมนุษย์ ภพปรโลก มีตำนานเล่าขานมากมาย ทั้งเรื่องปีศาจและเทพเซียน ล้วนเล่าขานได้น่าอัศจรรย์ใจทว่ากลับไม่มีใครพบเห็นเทพและปีศาจจริงๆ จึงมิรู้ได้ว่าตำนานเหล่านั้นจริงเท็จเท่าใด สวรรค์นรกมีจริงไหมใดๆ ล้วนเหนือความคาดหมาย ในความไม่รู้นั้นกลับมีสรรพสิ่งเหนือสามัญมากมายนับไม่ถ้วนหนึ่งในนั้นมีเรื่องหนึ่งที่เป็นความรักลึกซึ้งตราตรึงใจ ของผู้ที่ถูกเรียกว่า เทพปีศาจ (โม๋กุ่ยเสิน)[1][1]魔鬼神 Móguǐ shén เทพปีศาจ*********อารัมภบทนางมีนามว่าโม๋เอ๋อร์ แซ่เฉิน เกิดและเติบโตในป่าใหญ่อันลึกลับได้สิบสองปี กระทั่งมีระดู เข้าสู่วัยสมสู่สืบพันธุ์ นางจึงตัดสินใจออกจาก...
Comments