ใบหน้าหล่อเหลาผุดรอยยิ้มเย็นชา เอ่ยปากเสียงต่ำว่า “ในเมื่อพี่รองต้องการ น้องสามย่อมยินดี”
กล่าวจบเพียงยกฝ่ามือหนาผายออกด้านข้างลำตัว รองแม่ทัพผู้รู้ใจในทุกสนามรบก็รีบถลาขึ้นหน้านำทวนเหล็กไหลมายื่นส่งให้ แล้วล่าถอยไป
ร่างใหญ่ยืนนิ่งสูงตระหง่านดุจปราการแกร่ง หมิงเฉิงกำทวนเหล็กหนาหนักเอาไว้แน่นด้วยมือเดียว ยกขึ้นสูงเล็กน้อย สายตาเย็นเยียบ สีหน้าราบเรียบไม่แปรเปลี่ยน แล้วกระแทกทวนเหล็กลงพื้นเสียงดัง
‘ตึง’ แผ่นดินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนพลันถูกกะเทาะจนปริแตกเป็นทางยาว เกล็ดหิมะร่วงกราวลงช่องแคบไป สะเทือนถึงปลายเท้าของหมิงเหอ เว่ยหลุน และแม่ทัพอีกสามคน ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ทุกสายตามองหมิงเฉิงเงียบงัน เปล่งวาจาไม่ออกสักคนร่างสูงเคยยืนเคร่งขรึมพร้อมทวนเหล็กในท่านี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน บนหลังอาชายิ่งถนัดถนี่ยามควบขี่ประจัญบาน ความทรงพลังของเขาผสานเข้ากับเหล็กกล้าในมือมาแล้วหลายครา
ยามสู้ศึกแต่ละครั้งมักจะทำให้ทั้งม้าทั้งคนฝ่ายศัตรูกระเด็นไปไกลหลายจั้ง
คนพวกนั้นมีร่างกายที่ฉีกขาดแหลกเหลวในพริบตาเดียว เลือดแดงฉานสาดกระจายไปทั่วอากาศ แผ่ขยายเป็นวงกว้างได้อย่างน่ากลัว
แม่ทัพสามคนที่ถูกชักชวนให้มาร่วมการประลองลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก พวกเขาล้วนเคยเห็นมาแล้วกับตา
มีแค่องค์ชายรองที่อยู่แต่ในวังหรือบางครั้งได้ออกรบแต่กลับควบม้าอยู่แค่ด้านหลัง ไหนเลยจักเคยมีบุญได้ยลจนประจักษ์
พวกเขาอยากจะเข้าไปกระชากองค์ชายรองมาตบปากยิ่งนัก เหตุใดต้องเสนอความคิดเรื่องอาวุธด้วยเล่า!?
บนแท่นประทับอันเป็นตำแหน่งสูงสุด...
ฮ่องเต้ต้าหมิงทรงทอดพระเนตรเหล่าโอรสอย่างเฉยชา สีพระพักตร์ปราศจากริ้วอารมณ์อันใด ในพระทัยสำราญไม่น้อย
เส้นทางแห่งหน่อเนื้อเชื้อสวรรค์ ไหนเลยจักง่ายดาย พี่น้องฆ่ากันตายล้วนมีทุกยุคทุกสมัย หากรักใคร่ปรองดองเที่ยงแท้แน่นอนย่อมดีต่อทุกฝ่าย แต่ถ้าไม่! มิสู้เปิดเปลือยไปเลย จักมัวหลบเร้นยากรับมือเพื่ออันใด
เกาทัณฑ์ลับอาบยาพิษ เป็นสิ่งที่โอรสสวรรค์เคยประสบ จึงมิใคร่จักชมชอบสักเท่าใด พระองค์จึงเปิดโอกาสให้พี่น้องทะเลาะกันอย่างเปิดเผยเช่นนี้แล หากอ่อนแอก็ปราชัยพ่ายไป ใครแกร่งสุดย่อมกำชัยไม่ยากเย็น
ที่เบื้องล่างห่างจากองค์จักพรรดิหมิง ถัดจากโต๊ะขององค์รัชทายาทไปหนึ่งระดับ
ตรงหลังโต๊ะทรงเตี้ย มีบุรุษชุดขาวราวเทพเซียนจำแลง นั่งอยู่ในกิริยาเงียบสงบ ใบหน้าหล่อเหลาเผยดวงตาเรียบนิ่งยากคาดเดาห้วงอารมณ์
เขาคือองค์ชายใหญ่นามว่า หมิงเยวี๋ยน เป็นบุรุษลึกลับน่าค้นหา ถ้อยวาจาที่หลุดจากปากแทบจะนับคำได้
เขาเป็นชายหนุ่มที่ฝักใฝ่ทางธรรม ปราศจากความสนใจต่ออิสตรี ถึงแม้จะมีชายามากมายเต็มวัง
หากเปรียบหมิงเฉิงเป็นนักรบมังกร เป็นพยัคฆ์คำรามราวราชันย์ ประกาศกร้าวสะท้านสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วน่านฟ้า
หมิงเยวี๋ยนย่อมไม่ต่างจากเสือหมอบมังกรซ่อนใต้พสุธา เจ้าของเขี้ยวเล็บอสรพิษร้ายในเงามืดเร้นลับ พร้อมฉกกัดไม่มียั้งยากต่อกร
คนผู้นี้ คือเจ้าของเหตุการณ์เฉียดตายของหมิงเฉิงทั้งสองครั้ง ครั้งแรกไล่ต้อนหมิงเฉิงจนหายไปในป่าใหญ่ ครั้งที่สองคือลอบทำร้ายด้วยนักฆ่าสุดอำมหิต
พวกนักฆ่าพลีชีพ เจ้าตายข้าม้วย ตายตกไปตามกัน ยากสืบสาวเหล่านั้น ล้วนเป็นคนของหมิงเยวี๋ยน
น่าเสียดายที่น้องชายหนังเหนียวจนเกินไป ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตายเสียที
ทุกครั้งที่ลอบสังหาร หมิงเยวี๋ยนมั่นใจว่าแผนการรัดกุมอย่างดี ไม่ว่าอย่างไร อีกฝ่ายย่อมหนีไม่พ้น
คราแรกที่หมิงเฉิงอายุเพียงสิบเจ็ดปี ฝีมือนับว่าดี หากแต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟมาก อีกทั้งในป่าแห่งนั้นล้วนมีหมาป่าที่แสนดุร้าย มีเสือมากมายที่หิวกระหาย ทว่าเจ้าน้องชายก็ยังกลับวังมาได้อย่างไม่น่าให้อภัย
คราสองยิ่งง่ายดาย เจ้าน้องชายลอบเดินทางไกล ตำแหน่งรัชทายาทที่ได้ก็ยังไม่มั่นคง ศึกล่าสังหารครานั้นล้วนเกิดขึ้นจากนักฆ่าระดับพระกาฬ ทว่าเจ้าน้องชายก็ยังกลับวังมาได้อย่างปลอดภัย
ยามที่หมิงเฉิงกรีธาทัพออกรบแต่ละครั้ง หมิงเยวี๋ยนยังพยายามซ้อนแผนอยู่เบื้องหลัง หวังให้อีกฝ่ายตายในสนามรบ
ทว่าก็อย่างที่เห็น เจ้าน้องชายผู้นี้ เก่งกล้าสามารถคะนองศึกยิ่งกว่าอะไร ตายยากเสียจริง...
ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลาราวหยกสลักสงบนิ่งดุจนักบวชหนุ่มผู้ละแล้วซึ่งกิเลสตัณหา หมิงเยวี๋ยนนั่งคิดในใจอย่างชั่วช้าว่า
นึกไม่ถึง...วันนี้เจ้าน้องชายผู้เงียบขรึม ผู้ซึ่งเอาแต่ดื่มเหล้าเคล้าเหมันต์ จักลุกขึ้นมาท้าประลองด้วยตนเอง
นับว่าดี! ครานี้เจ้าไม่รอดแน่!
นิ้วเรียวยาวขาวเนียนล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ ลอบลูบคลำที่อาวุธลับอาบยาพิษอย่างใจเย็น ก่อนจะค่อยๆ ดึงออกมาวางบนโต๊ะเบื้องหน้า อาวุธลับนี้ทั้งเล็กทั้งแหลมคม ลักษณะคล้ายปิ่นเงินเล็กๆ ธรรมดา แต่ทว่าหากปล่อยออกไป จักปริแตกแยกออกกลายเป็นเข็มเล่มเล็กๆ นับสิบ พร้อมยาพิษสลายวิญญาณ
ด้วยฝีมือเชิงยุทธ์ที่ไม่ด้อยของหมิงเยวี๋ยน เขาสามารถปล่อยเข็มพิษเหล่านี้ออกไปได้ไม่ยากเย็น ไร้ผู้ใดสังเกตเห็น
อาศัยละอองหิมะโปรยปรายลงมา รอเพียงจังหวะดีๆ ยามที่เจ้าหมิงเฉิงสนใจแค่ประลองศึก เขาแค่สะบัดมือเล็กน้อย ปลายเข็มทุกเล่มก็ปลิดชีพได้ในพริบตา
ทั่วบริเวณเงียบกริบ ผืนธงใหญ่สะบัดพลิ้ว สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องอยู่ที่กลางลานกว้างยามนี้ กระบวนท่าแรกของการปะทะได้เริ่มขึ้นแล้ว หมิงเหอตวัดดาบวิบวับตัดฉับได้แต่ลม เมื่อหมิงเฉิงรู้ทันและเบี่ยงตัวหลบได้ว่องไวปราดเปรียว เสี้ยวเวลาเดียวกันนั้น เว่ยหลุนก็ถลันขึ้นหน้า พร้อมหอกเหล็กพุ่งปลายแหลมคมรวดเร็ว หมายจ้วงแทงให้ตรงจุดอันตราย แม้ไม่ตายก็เจ็บสาหัสได้ ทว่าหมิงเฉิงล้วนถนัดปัดกวาดคล่องแคล่ว เพียงปลายหอกอีกฝ่ายแหวกอากาศมา ปลายทวนเขาก็สกัดจนกระเด็นไปทั้งคนทั้งหอกแล้ว แม่ทัพอีกสามคนล้วนมีอาวุธที่เลือกสรรอย่างดี ไม่ว่ากระบี่ ดาบ ตะขอด้ามยาว พวกเขาพุ่งตัวมาราวลูกธนูหลุดจากแหล่ง สะบัดอาวุธในมือพลิ้วไหว ขับเคลื่อนปราณผสานเพลงยุทธ์ได้ดีเยี่ยมเปี่ยมพลังมหาศาลเสียงเคร้งคร้างตีกระทบกันดังกึกก้อง ทวนเหล็กไหลในมือหมิงเฉิงสามารถรุกรับได้ทุกกระบวนท่า ทุกศาสตราวุธที่พุ่งมาพร้อมกันล้วนสิ้นลายเมื่อเจอเขาเกล็ดหิมะพัดคลุ้งยุ่งเหยิง เมื่อทั้งหมดต่างร่ายเพลงยุทธ์พลังศึกใส่กันพร้อมพรั่ง เสียงกระแทกเหล็กดังลั่นไม่ขาดสายร่างบุรุษทั้งหลายต่างทะยานขึ้นลง สลับปัดป่ายว่องไว รุกรับประสาน กระแทกกระทั้น หลบหลีกปราดเป
ชั่วจังหวะที่สายตาจับจ้องเพียงสามี แสงแดดก็ดี หิมะก็ดี ล้วนสะท้อนร่างแกร่งทรงพลังของเขาจนเกิดความแวววาวเปล่งประกายเจิดจ้า พาหัวใจเต้นตึกตักรุ่มร้อนหนักหนาทว่าพริบตานั้น โม๋เอ๋อร์เพียงสังเกตได้ ว่ามีสิ่งหนึ่งพุ่งปรี่ไปที่หมิงเฉิง สิ่งนั้นพุ่งปราด ราวกับเป็นเพียงสายลมโชยวูบเดียว ผ่านหน้าไป มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้นหากแต่โม๋เอ๋อร์ย่อมมองเห็นสิ่งนั้นคือเข็มปริศนานับสิบเล่ม พุ่งทะลวงยังทิศทางหนึ่งและเป้าหมายคือหมิงเฉิง…ก่อนคิดการอื่นใด หญิงสาวเพียงเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ เข็มทุกเล่มพลันอ่อนยวบแล้วสลายหายไปในพริบตานางมิรู้ว่าคืออันใด มาจากทิศใด แต่หากปล่อยเอาไว้ย่อมทิ่มแทงสามีนาง กระทั่งขัดขวางการต่อสู้ร่ายกระบวนท่าอันสง่างามทรงเสน่ห์มนต์มารของเขาได้ซึ่งนางไม่อาจยอม...คนกำลังเหม่อมองอยู่ มิรู้หรือไร?โม๋เอ๋อร์นับว่าเป็นสตรีที่เอาแต่ใจยิ่ง!โดยเฉพาะเรื่องของหมิงเฉิง...หลังจากปล่อยเข็มอาบยาพิษไปแล้วหมิงเยวี๋ยนเพียงรอผลลับ ทว่าผลกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง เข็มพิษเหล่านั้นล้วนอันตรธานหายไปได้อย่างไร?ชายหนุ่มนึกฉงนงงงวย ทว่าหาใช่พวกขลาดเขลาที่ยอมแพ้ง่ายดาย ยิ่งมิใช่เสียเวลาปล่อยโอกาสงามๆ ยามนี้
พลบค่ำ อากาศหนาวเย็นยิ่งกว่ายามกลางวัน บรรยากาศภายในหุบเขาวังเวงยิ่ง ทว่ารอบด้านกลับคึกคักครื้นเครง มีโคมไฟสาดส่องให้แสงสว่างไปทั่วกระโจมที่พักต่างๆ ล้วนแบ่งแยกชายหญิง ไม่เว้นแม้แต่สามีภรรยา องค์ชายกับชายา องค์จักรพรรดิกับพระสนมกฎระเบียบย่อมเป็นเช่นนี้ เพราะฮ่องเต้ทรงพาพระสนมคนโปรดมาถึงสามคน องค์ชายยังพาอนุชายามาด้วยมากกว่าหนึ่งคน หมิงเฉิงกับโม๋เอ๋อร์จึงต้องแยกกระโจมกันแต่โดยดี ไม่อาจทำตามแต่ใจเหมือนดั่งที่นั่งชมการประลองในยามกลางวันได้อีกแล้วยามนี้สี่ทิศโดยรอบ ทหารส่วนใหญ่ทำหน้าที่เวรยามอยู่ไกลๆ บ้างเดินสำรวจ บ้างยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้ พวกที่เหลือพากันล้อมวง มีกองไฟอยู่ตรงกลาง บ้างร่ำสุรา บ้างหยอกล้อบ้าระห่ำยังมีบางกลุ่มที่สุมหัวแทบจะชนกัน หัวเราะฮ่าฮ่า ปากก็กล่าวว่า มาๆ วางเงินๆ สูงต่ำข้าแทง ถึงตาเจ้าแล้ว...นอกจากเหล่าทหาร ยังมีบรรดานางกำนัล ในตำแหน่งต่างๆ พากันเดินขวักไขว่เพื่อรับใช้เจ้านายราชนิกุลที่เป็นบุรุษ นั่งเสวนากันในกระโจมหลัก ร่วมโต๊ะอาหารและดื่มเหล้าด้วยกัน ส่วนราชนิกุลฝ่ายสตรี ต่างพากันพักผ่อนแยกย้าย ในกระโจมของแต่ละคน ล้วนไม่ยุ่งเกี่ยวเมื่อเป็นเช่นนี้ โม๋เอ๋อร์จึงนั่
คำโปรยแหงนหน้ามองจันทรา พินิจฟ้าดาราเร้นเดือนเพ็ญจันทร์งามเด่น ทว่าบีบเคล้นรัดรึงใจคืนนั้นก็เช่นนี้ จันทร์ดวงนี้สว่างไสวครั้นตื่นมาแล้วหลับไปเห็นเพียงเจ้าดั่งเงาใจ เร้นจันทรา...*********ครั้งที่แต่งงานกัน ท่านก็ไม่ยอมร่วมหอยั่วยวนเท่าใด ก็ไม่เคยได้ผลเผยโฉมต่อหน้า ท่านก็ไม่เคยยลข้าอดทนเนิ่นนาน ให้ท่านเหลียวแลแล้วเหตุใดจู่ๆท่านจึงกลายเป็นปีศาจราคะ จับข้ากดไม่ยอมปล่อยเล่า!******บทนำดินแดนสามภพทุกสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นภพสวรรค์ ภพมนุษย์ ภพปรโลก มีตำนานเล่าขานมากมาย ทั้งเรื่องปีศาจและเทพเซียน ล้วนเล่าขานได้น่าอัศจรรย์ใจทว่ากลับไม่มีใครพบเห็นเทพและปีศาจจริงๆ จึงมิรู้ได้ว่าตำนานเหล่านั้นจริงเท็จเท่าใด สวรรค์นรกมีจริงไหมใดๆ ล้วนเหนือความคาดหมาย ในความไม่รู้นั้นกลับมีสรรพสิ่งเหนือสามัญมากมายนับไม่ถ้วนหนึ่งในนั้นมีเรื่องหนึ่งที่เป็นความรักลึกซึ้งตราตรึงใจ ของผู้ที่ถูกเรียกว่า เทพปีศาจ (โม๋กุ่ยเสิน)[1][1]魔鬼神 Móguǐ shén เทพปีศาจ*********อารัมภบทนางมีนามว่าโม๋เอ๋อร์ แซ่เฉิน เกิดและเติบโตในป่าใหญ่อันลึกลับได้สิบสองปี กระทั่งมีระดู เข้าสู่วัยสมสู่สืบพันธุ์ นางจึงตัดสินใจออกจาก
นานมาแล้วมีชายหญิงคู่หนึ่งที่เกิดรักกันเหนือสามัญผิดธรรมชาติฝ่ายหญิงเป็นเทพเป็นเซียน หรือเป็นมารเป็นปีศาจก็ไม่อาจทราบ และบางทีอาจจะเป็นมากกว่านั้น หากแต่ฝ่ายชายกลับเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่มีดีหน้าตางดงามนับเป็นเอกบุรุษทั้งสองรักกันได้อย่างไรก็ไม่แน่ชัด รู้เพียงว่ารักกันมาก และหลบเร้นซ่อนกายคล้ายสายลมไร้ร่องรอยมิอาจค้นพบเรื่องราวจบเพียงเท่านั้น ไม่มีจุดเริ่มต้นและไร้จุดสิ้นสุดให้ผู้เล่าและผู้ฟังได้เกิดอารมณ์ใคร่รู้อยากฟังหรืออยากเล่าต่อเนิ่นนานผ่านไปก็สลายคล้ายม่านหมอกกลางสายลมหนาวที่พัดมาเพียงวูบเดียวเท่านั้นเพราะคู่รักคู่นี้ ที่เป็นเพียงความฝันอันเลือนราง หนึ่งในเรื่องเล่าขานนับหมื่นพัน กลับไม่อาจครองคู่กันดังใจหมายเหตุจากฝ่ายหญิงถูกจับตัวกลับไปยังดินแดนลี้ลับตามกฎสวรรค์บัญญัตินรก ทิ้งไว้เพียงฝ่ายชายให้เลี้ยงดูบุตรสาวจนรู้ความได้เจ็ดปี ก็ต้านพิษแห่งคำนึงคิดถึงภรรยารักจนทนไม่ไหว ตรอมใจตายไปในที่สุด ทิ้งทายาทสาวเหนือสามัญหนึ่งนางเอาไว้กลางป่าใหญ่ให้ใช้ชีวิตเพียงเดียวดายใดๆ ล้วนเหนือคาดฝัน บุตรสาวตัวน้อยผู้นั้นแท้จริงแล้วเป็นถึงโม๋กุ่ยเสิน ในคราบมนุษย์ นามว่า โม๋เอ๋อร์ หรือเฉินโม
ห้าปีต่อมา...โม๋เอ๋อร์ในวัยสิบสองปีเริ่มมีอาการผิดปกติบางประการกับร่างกาย นางเป็นไข้หวัดอาการประหลาด ร่างกายอ่อนแอเพราะลมปราณและหลอดเลือดเปิด ทำให้ความร้อนความเย็นจากภายนอกเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายและลึกกว่าที่เคยปกติอาการไข้หวัดก็แค่ปวดหัวตัวร้อน ครั่นเนื้อครั่นตัว ไอจามน้ำมูกไหล แต่ครานี้นางกลับมีอาการแปลกไป เดี๋ยวมีไข้ตัวร้อน เพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นหนาวสั่นตัวเย็น สลับกันไปมาอยากอยู่เงียบๆ ไม่อยากอาหาร ปากขมคอแห้ง มีความร้อนเย็นสลับไปสลับมา รู้สึกรุ่มร้อนไปหมดระหว่างที่ย่ำแย่ด้วยอาการหวัดประหลาด ก็เจ็บท้องมาก ทั้งยังมีเลือดออกจากส่วนสงวนทำให้หว่างขาแดงฉานจนน่ากลัวแน่นอนว่าโม๋เอ๋อร์ไม่รู้ว่าที่เป็นอยู่เรียกว่า การมีระดู และไข้หวัดที่เป็นก็คือไข้ทับระดู[1]แต่ต่อมานางก็เริ่มระลึกได้จากการสังเกตสัตว์ป่าเพศเมียบางประเภท ไม่ว่าจะเป็นลิงป่า หมาป่า ที่ส่วนสงวนของพวกมันมีลักษณะบวมและมีเลือดออก เฉกเช่นนางในยามนี้ และต่อมาพวกมันก็มีการสมสู่กับเพศตรงข้าม แล้วก็ให้กำเนิดทายาทตัวน้อยจนเต็มผืนป่าโม๋เอ๋อร์พลันเข้าใจในทันใด นางจึงเบิกตาโตอ้าปากค้างตะลึงงันครู่ใหญ่หนอนน้อยในดักแด้กลายร่างเป็
พลบค่ำจนดึกดื่นในคืนเพ็ญ จันทร์งามเด่นกลางนภาโม๋เอ๋อร์ยังไม่ทันออกนอกป่าเสียงสายหนึ่งพลันดังแว่วมา เป็นเสียงคล้ายโลหะกระทบกัน ดังเคร้งคร้างไปทั่ว โม๋เอ๋อร์มิได้นึกหวาดกลัว เพียงแต่นึกแปลกใจว่ามันคือเสียงอันใดด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามวัย สาวน้อยจึงเดินลัดเลาะพงไพรไปตามเสียงนั้นเมื่อแหวกพงหญ้าหนาทึบออกกว้าง เบื้องหน้าในระยะสายตา ฝ่าความมืดสลัวท่ามกลางแสงจันทร์สาดส่องไปทั่ว จึงได้เห็นเป็นกลุ่มของชายฉกรรจ์ตัวใหญ่จำนวนหลายคน กำลังต่อสู้กันอยู่อย่างบ้าคลั่งดุเดือดผ่านไปครู่หนึ่ง ชายพวกนั้นก็พากันล้มตายระเนระนาด เศษซากร่างกายกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่ว ไม่มีผู้ใดรอดสักคน ลักษณะการเข่นฆ่า คือเจ้าตายข้าม้วย ตกตายตามกันเมื่อพายุโลหิตสงบลง คงเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณของชายทั้งหลาย โม๋เอ๋อร์แน่ใจ รอเพียงสัตว์ร้ายในป่าลึก ได้กลิ่นคาวคละคลุ้งเหล่านี้ พวกมันก็พร้อมจะออกจากรังมารุมขย้ำ ฉีกทึ้งเนื้อหนังอันโอชาอย่างหิวกระหาย แน่นอนว่า เจ้าพวกที่นอนตายสนิทและยังที่ตายไม่สนิทก็จะกลายเป็นอาหารของพวกมันเมื่อคิดได้เช่นนั้น เด็กสาวจึงตัดสินใจเดินเข้าไปสำรวจสักครา ดูทีว่ายังม
โม๋เอ๋อร์เดินทางต่อ โดยไม่นึกใส่ใจเหตุการณ์ก่อนหน้ากระทั่งเช้าตรู่วันต่อมา ได้เจอกับขบวนเดินทางของคนกลุ่มหนึ่ง กำลังหยุดพักกินอาหารกลางทางริมชายป่า เด็กสาวจึงเดินเข้าหาแล้วมองอย่างโง่งมครู่ใหญ่อาหารที่พวกเขากินล้วนแปลกตา กลิ่นหอมยิ่ง การแต่งกายก็หลากหลาย งดงามเหลือเกิน โดยเฉพาะสตรีสองคนที่นั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนในขบวน ได้ยินการเรียกขานว่าฮูหยินใหญ่กับคุณหนูรองโม๋เอ๋อร์ยืนนิ่งกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าซีดเซียวเอียงไปมาน้อยๆ มองทุกสิ่งอย่างชอบใจนางเป็นสตรีผู้หนึ่งจึงชมชอบของสวยงามอย่างมิอาจห้ามได้ และอาหารกรุ่นกลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายไหลก็รบกวนจิตใจเหลือเกินแต่แน่นอนว่านางมิใช่หมาป่าหิวโซที่เก็บอารมณ์มิได้ ถึงกับต้องพุ่งใส่อย่างหิวกระหาย ขนาดปราณเทพพลังมารนางยังกักเก็บเอาไว้ได้เป็นอย่างดี นับประสาอันใดกับอาการเช่นนี้เด็กสาวนึกกระหยิ่งยิ้มย่องลำพองกับตนเองเงียบๆ แต่ทว่าสีหน้ากลับเผยออกมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสายตาพราวระยับที่จับจ้อง มุมปากที่ยกยิ้มพึงใจ และจมูกเรียวเล็กที่ขยับเบาๆ เพื่อสูดดมหน้าตาสัตย์ซื่อและท่าทางไร้เดียงสาของเด็กสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากกลุ่มขบวนเดินทาง ทำเอาฮูหยินใหญ่และคุณหน
พลบค่ำ อากาศหนาวเย็นยิ่งกว่ายามกลางวัน บรรยากาศภายในหุบเขาวังเวงยิ่ง ทว่ารอบด้านกลับคึกคักครื้นเครง มีโคมไฟสาดส่องให้แสงสว่างไปทั่วกระโจมที่พักต่างๆ ล้วนแบ่งแยกชายหญิง ไม่เว้นแม้แต่สามีภรรยา องค์ชายกับชายา องค์จักรพรรดิกับพระสนมกฎระเบียบย่อมเป็นเช่นนี้ เพราะฮ่องเต้ทรงพาพระสนมคนโปรดมาถึงสามคน องค์ชายยังพาอนุชายามาด้วยมากกว่าหนึ่งคน หมิงเฉิงกับโม๋เอ๋อร์จึงต้องแยกกระโจมกันแต่โดยดี ไม่อาจทำตามแต่ใจเหมือนดั่งที่นั่งชมการประลองในยามกลางวันได้อีกแล้วยามนี้สี่ทิศโดยรอบ ทหารส่วนใหญ่ทำหน้าที่เวรยามอยู่ไกลๆ บ้างเดินสำรวจ บ้างยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้ พวกที่เหลือพากันล้อมวง มีกองไฟอยู่ตรงกลาง บ้างร่ำสุรา บ้างหยอกล้อบ้าระห่ำยังมีบางกลุ่มที่สุมหัวแทบจะชนกัน หัวเราะฮ่าฮ่า ปากก็กล่าวว่า มาๆ วางเงินๆ สูงต่ำข้าแทง ถึงตาเจ้าแล้ว...นอกจากเหล่าทหาร ยังมีบรรดานางกำนัล ในตำแหน่งต่างๆ พากันเดินขวักไขว่เพื่อรับใช้เจ้านายราชนิกุลที่เป็นบุรุษ นั่งเสวนากันในกระโจมหลัก ร่วมโต๊ะอาหารและดื่มเหล้าด้วยกัน ส่วนราชนิกุลฝ่ายสตรี ต่างพากันพักผ่อนแยกย้าย ในกระโจมของแต่ละคน ล้วนไม่ยุ่งเกี่ยวเมื่อเป็นเช่นนี้ โม๋เอ๋อร์จึงนั่
ชั่วจังหวะที่สายตาจับจ้องเพียงสามี แสงแดดก็ดี หิมะก็ดี ล้วนสะท้อนร่างแกร่งทรงพลังของเขาจนเกิดความแวววาวเปล่งประกายเจิดจ้า พาหัวใจเต้นตึกตักรุ่มร้อนหนักหนาทว่าพริบตานั้น โม๋เอ๋อร์เพียงสังเกตได้ ว่ามีสิ่งหนึ่งพุ่งปรี่ไปที่หมิงเฉิง สิ่งนั้นพุ่งปราด ราวกับเป็นเพียงสายลมโชยวูบเดียว ผ่านหน้าไป มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้นหากแต่โม๋เอ๋อร์ย่อมมองเห็นสิ่งนั้นคือเข็มปริศนานับสิบเล่ม พุ่งทะลวงยังทิศทางหนึ่งและเป้าหมายคือหมิงเฉิง…ก่อนคิดการอื่นใด หญิงสาวเพียงเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ เข็มทุกเล่มพลันอ่อนยวบแล้วสลายหายไปในพริบตานางมิรู้ว่าคืออันใด มาจากทิศใด แต่หากปล่อยเอาไว้ย่อมทิ่มแทงสามีนาง กระทั่งขัดขวางการต่อสู้ร่ายกระบวนท่าอันสง่างามทรงเสน่ห์มนต์มารของเขาได้ซึ่งนางไม่อาจยอม...คนกำลังเหม่อมองอยู่ มิรู้หรือไร?โม๋เอ๋อร์นับว่าเป็นสตรีที่เอาแต่ใจยิ่ง!โดยเฉพาะเรื่องของหมิงเฉิง...หลังจากปล่อยเข็มอาบยาพิษไปแล้วหมิงเยวี๋ยนเพียงรอผลลับ ทว่าผลกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง เข็มพิษเหล่านั้นล้วนอันตรธานหายไปได้อย่างไร?ชายหนุ่มนึกฉงนงงงวย ทว่าหาใช่พวกขลาดเขลาที่ยอมแพ้ง่ายดาย ยิ่งมิใช่เสียเวลาปล่อยโอกาสงามๆ ยามนี้
ทั่วบริเวณเงียบกริบ ผืนธงใหญ่สะบัดพลิ้ว สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องอยู่ที่กลางลานกว้างยามนี้ กระบวนท่าแรกของการปะทะได้เริ่มขึ้นแล้ว หมิงเหอตวัดดาบวิบวับตัดฉับได้แต่ลม เมื่อหมิงเฉิงรู้ทันและเบี่ยงตัวหลบได้ว่องไวปราดเปรียว เสี้ยวเวลาเดียวกันนั้น เว่ยหลุนก็ถลันขึ้นหน้า พร้อมหอกเหล็กพุ่งปลายแหลมคมรวดเร็ว หมายจ้วงแทงให้ตรงจุดอันตราย แม้ไม่ตายก็เจ็บสาหัสได้ ทว่าหมิงเฉิงล้วนถนัดปัดกวาดคล่องแคล่ว เพียงปลายหอกอีกฝ่ายแหวกอากาศมา ปลายทวนเขาก็สกัดจนกระเด็นไปทั้งคนทั้งหอกแล้ว แม่ทัพอีกสามคนล้วนมีอาวุธที่เลือกสรรอย่างดี ไม่ว่ากระบี่ ดาบ ตะขอด้ามยาว พวกเขาพุ่งตัวมาราวลูกธนูหลุดจากแหล่ง สะบัดอาวุธในมือพลิ้วไหว ขับเคลื่อนปราณผสานเพลงยุทธ์ได้ดีเยี่ยมเปี่ยมพลังมหาศาลเสียงเคร้งคร้างตีกระทบกันดังกึกก้อง ทวนเหล็กไหลในมือหมิงเฉิงสามารถรุกรับได้ทุกกระบวนท่า ทุกศาสตราวุธที่พุ่งมาพร้อมกันล้วนสิ้นลายเมื่อเจอเขาเกล็ดหิมะพัดคลุ้งยุ่งเหยิง เมื่อทั้งหมดต่างร่ายเพลงยุทธ์พลังศึกใส่กันพร้อมพรั่ง เสียงกระแทกเหล็กดังลั่นไม่ขาดสายร่างบุรุษทั้งหลายต่างทะยานขึ้นลง สลับปัดป่ายว่องไว รุกรับประสาน กระแทกกระทั้น หลบหลีกปราดเป
ใบหน้าหล่อเหลาผุดรอยยิ้มเย็นชา เอ่ยปากเสียงต่ำว่า “ในเมื่อพี่รองต้องการ น้องสามย่อมยินดี”กล่าวจบเพียงยกฝ่ามือหนาผายออกด้านข้างลำตัว รองแม่ทัพผู้รู้ใจในทุกสนามรบก็รีบถลาขึ้นหน้านำทวนเหล็กไหลมายื่นส่งให้ แล้วล่าถอยไปร่างใหญ่ยืนนิ่งสูงตระหง่านดุจปราการแกร่ง หมิงเฉิงกำทวนเหล็กหนาหนักเอาไว้แน่นด้วยมือเดียว ยกขึ้นสูงเล็กน้อย สายตาเย็นเยียบ สีหน้าราบเรียบไม่แปรเปลี่ยน แล้วกระแทกทวนเหล็กลงพื้นเสียงดัง ‘ตึง’ แผ่นดินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนพลันถูกกะเทาะจนปริแตกเป็นทางยาว เกล็ดหิมะร่วงกราวลงช่องแคบไป สะเทือนถึงปลายเท้าของหมิงเหอ เว่ยหลุน และแม่ทัพอีกสามคน ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ทุกสายตามองหมิงเฉิงเงียบงัน เปล่งวาจาไม่ออกสักคน ร่างสูงเคยยืนเคร่งขรึมพร้อมทวนเหล็กในท่านี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน บนหลังอาชายิ่งถนัดถนี่ยามควบขี่ประจัญบาน ความทรงพลังของเขาผสานเข้ากับเหล็กกล้าในมือมาแล้วหลายครายามสู้ศึกแต่ละครั้งมักจะทำให้ทั้งม้าทั้งคนฝ่ายศัตรูกระเด็นไปไกลหลายจั้ง คนพวกนั้นมีร่างกายที่ฉีกขาดแหลกเหลวในพริบตาเดียว เลือดแดงฉานสาดกระจายไปทั่วอากาศ แผ่ขยายเป็นวงกว้างได้อย่างน่ากลัว แม่ทัพสามคนที่ถูกช
การประลองฝีมือของเหล่าบุรุษเริ่มเปลี่ยนไปจากทุกปีเดิมทียามผู้กล้าประชันกัน หมิงเฉิงมักจะนั่งอยู่เงียบๆ ประหนึ่งศิลาหนาหนักไม่ขยับไปทางใดเขาเพียงดื่มเหล้าเคล้าบรรยากาศอันเย็นเยียบท่ามกลางเหมันต์ ราวราชันย์แห่งผืนป่ากำลังนิทราดวงตาเรียวคมอันมืดดำลึกลับเพียงมองสำรวจทุกผู้คนอย่างเฉยชา ใบหน้าหล่อเหลาไร้อารมณ์ร่วมในทุกครั้งไปทว่าวันนี้ เขากลับตื่นผงาดลุกขึ้นมา ถอดเสื้อคลุมตัวหนาสีดำออกไป เผยเพียงเสื้อสีครามที่มีกล้ามเนื้อนูนเด่นรำไร อวดโฉมสง่างามต่อธารกำนัลในแบบที่ไม่เคยทำ แล้วย่างกรายพาร่างสูงใหญ่มายืนโดดเด่นอยู่กลางลานกว้าง ออกคำสั่งท้าประลองกับผู้กล้าทุกคนอย่างเหี้ยมเกรียม และแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดกล้าขัดคำสั่งเลยสักคน แต่ละคนจึงตั้งท่าเตรียมพร้อมประจัญบาน ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างประสานเสียงร่างกายงามสง่าอันสูงค่าขององค์รัชทายาทหนุ่มผู้นี้ แน่นอนว่าหากใครได้มีโอกาสประลองฝีมือด้วย นับได้ว่ามีวาสนา ไม่เสียชาติเกิดโดยแท้ แค่เขาไม่พลั้งมือฆ่าก็นับว่าเป็นบุญยิ่งผู้คนที่นั่งรอบนอกพลันหรี่ตา มองหมิงเฉิงอย่างครุ่นคิดหากมีคนซ้อนแผนคิดสังหารยามนี้ มิใช่เลวร้ายหรือไร?หมิงเฉิงย่อมรู้แจ้งทุกความ
การท้าประลองดำเนินต่อไปเป็นคู่ๆ ทุกคนล้วนมีรูปร่างที่กำยำล่ำสัน ท่วงท่าแคล่วคล่อง กร้าวแกร่งห้าวหาญ ทั้งยังวาดกระบวนท่าร่ายดาบฟาดกระบี่ได้งดงามยิ่ง พลิ้วเหลือเกินโม๋เอ๋อร์นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าพวกบุรุษจะต่อสู้กันด้วยท่าทางปานเทพธิดาเช่นนี้ พวกเขาฝึกวรยุทธ์ด้วยความรื่นรมย์โดยแท้ ประหนึ่งสาวงามกระนั้นตัวนางก็เคยฝึกร่ายรำ แต่มันยากมาก ไม่สนุกเลยสักนิด รอชมผู้อื่นสนุกกว่ามากนัก อืม...พวกเขาใช้กระบวนท่าเช่นนี้ฆ่ากัน แล้วอีกฝ่ายจะตายหรือไม่หนอ อ้อ...คงตายกระมัง ดาบคมกริบปานนั้น!อา...พวกบุรุษมักเป็นเช่นนี้ ดูดียิ่งนัก!เทพปีศาจโม๋กุ่ยเสินผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ เพียงเลิกคิ้วผู้อื่นก็พิการตลอดชีวิต แต่กลับมิเคยได้ฆ่าใคร จึงไม่ค่อยจะเข้าใจการเข่นฆ่าของพวกมนุษย์สักเท่าไหร่ยามจ้องมองการประลองของบุรุษที่กลางสนาม โม๋เอ๋อร์จึงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยเหม่อลอยไปถึงไหนต่อไหน ดวงตาคู่งามจึงสดใสเปล่งประกายวาวระยับคล้ายกับประทับใจมากหมิงเฉิงให้นึกขุ่นเคือง เรียวคิ้วขมวดแน่น สีหน้าบึ้งตึง ก่อนเอียงหน้ากระซิบที่ริมหูชายา ปล่อยลมร้อนผ่าวใส่นางว่า“จงจับตาดูข้าให้ดี สามีเจ้าย่อมเก่งกล้ากว่าผู้ใด”กล่าวจบก็ลุกข
วันนี้เป็นวันแรกที่โม๋เอ๋อร์ได้ปรากฏกายต่อธารกำนัลอันประกอบไปด้วยบุคคลแห่งราชสำนักนับร้อยทันทีที่ร่างระหงงามงอนในอาภรณ์สีหวานขับสีผิวขาวผ่องดวงตากลมโตสดใสล้อแสงตะวันกำลังเยื้องกรายแช่มช้าเคียงข้างสวามี พลันนั้นดวงตาทุกคู่ล้วนตื่นตะลึงหลายคนตีเข่าตนเองฉาดใหญ่ ในใจลอบคิดไปในทิศทางเดียวกันว่า มิน่าเล่า! รัชทายาทถึงโปรดปรานหนักหนา นางงดงามปานนางฟ้าถึงเพียงนี้...ฮ่องเต้หมิงเองยังทรงแปลกพระทัยไม่น้อย พระองค์คาดไม่ถึงว่าสตรีสกุลโหวจะงามพิลาศล้ำถึงเพียงนี้ นับว่าไม่แปลก หากเฉิงเอ๋อร์จักอดใจไม่ไหว ข่มเหงกันทั้งคืน จนนางต้องร่ำไห้เช่นนั้น!คำสันนิษฐานเหล่านั้นล้วนผิดมหันต์ต่อบุรุษเช่นหมิงเฉิง เพราะความงามล้ำเลิศอันใดล้วนไม่เป็นผลกับเขา มีเพียงสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวตัวเขา คือแน่งน้อยวันวาน เจ้าของนัยน์ตาสีเขียวมรกตและปราณเย็นที่คุ้นเคยโม๋เอ๋อร์ล้วนมีทั้งหมด และพลั้งเผลอเผยออกมาบ่อยครั้งกระทั่งหมิงเฉิงยังไม่อาจเข้าใจ ว่าเหตุใดเขาจึงปักใจเชื่อว่าเป็นนาง ทว่าเขากลับไม่กล้าถาม ด้วยกลัวเหลือเกินกับคำตอบที่อาจจะได้รับ ว่านางไม่ใช่...ทั้งสองเดินเคียงข้างกันอย่างงามสง่าสมเป็นคู่ยวนยาง ที่ฟ้าประ
ไม่นาน ...บรรดาทหารชั้นผู้น้อยก็วิ่งแถวเรียงรายมายืนโอบล้อมแท่นประทับชั่วคราวที่กลางลานกว้าง แต่ละคนยืนเป็นระเบียบราวกับผนังผาสูงตระหง่าน เปลี่ยนพื้นหญ้าธรรมดาที่ปกคลุมด้วยละอองหิมะสีขาวให้กลายเป็นสนามประลองขนาดย่อม เพื่อให้เหล่าเชื้อพระวงศ์ได้ทดสอบฝีมือของทหารกล้าในอาณัติเมื่อบรรดาขุนนางระดับขุนศึกเดินทางมานั่งลงยังตำแหน่งของตนเอง การสนทนาปราศรัยจึงเกิดขึ้นอื้ออึงอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเสียงแหลมเล็กของขันทีก็ดังขึ้น เพื่อประกาศการดำเนินเสด็จขององค์จักรพรรดิและเหล่าเชื้อพระวงศ์ท้ายขบวนของราชนิกุลคนอื่นๆ ตรงทางเดินเข้าลานประลอง หมิงเฉิงในอาภรณ์สีดำตัวยาวคาดลายเมฆาทองคำเคลื่อนคล้อยที่ไหล่ซ้ายขวาแลดูลึกลับน่าค้นหา พาร่างสูงใหญ่สง่างามราศีเหนือหมู่มวลเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโม๋เอ๋อร์ดวงตาคมดำอันลึกล้ำไร้ก้นบึ้งให้หยั่งถึง จ้องมองชายาของตนนิ่งนาน สบประสานดวงตากลมโตสดใสอย่างต้องการดึงดูดอีกฝ่ายให้หลงเสน่ห์เพียงเขาหลายวันที่ไม่เจอหน้า มิคาดว่านางจะงามขึ้นถึงเพียงนี้เป็นความจริงที่รัชทายาทหนุ่มผู้หล่อเหลาทรงพลังยังคงไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่าผู้ที่ถูกดึงดูดจนตกบ่วงเสน่หาเป็นตัวเขาเอง มิใช่สตรีตรงห
ช่วงใกล้สิ้นปีในฤดูกาลอันหนาวเหน็บอย่างนี้มักจะมีกิจกรรมที่เหล่าเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงโปรดปราน และจัดขึ้นเป็นประเพณีสำคัญประจำปีเป็นพิธีบูชาบรรพบุรุษและเทพเจ้า เพื่อขอให้มีโชคมีลาภ ชีวิตยืนยาว หลีกเลี่ยงภัยพิบัติและได้รับความเป็นสิริมงคลนั่นก็คือพิธีการล่าสัตว์ซึ่งมักจะจัดขึ้นในทุกๆ ปีช่วงเดือนสิบหรือเดือนสิบเอ็ดเป็นต้นไปเมื่อม่านหมอกยามรุ่งสางจางไปมากโข ดวงตะวันฉายแสงไปทั่วนภาในวันที่ ‘สิบห้าเดือนสิบเอ็ด’ ขบวนพยุหยาตราจึงตั้งแถวเรียงรายอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่ภายในคณะเดินทางไปร่วมพิธีล่าสัตว์อันศักดิ์สิทธิ์ประจำปีนี้ มีเชื้อพระวงศ์ราชนิกุลมากมาย พร้อมทั้งบรรดาขุนนางขั้นต่างๆ และเหล่าทหารยศน้อยยศใหญ่พากันเดินทางไกลไปเป็นขบวนโม๋เอ๋อร์ได้ร่วมประเพณีนี้เช่นกัน ในฐานะราชนิกุลหญิงผู้หนึ่งซึ่งเป็นถึงพระชายาในองค์รัชทายาท นางได้นั่นรถม้าคันใหญ่ ภายในตกแต่งประณีต มีคั่งแทนตั่ง มีตู้เป็นชั้นไม้สลักแสนวิจิตร ด้านในมีของกินมากมาย สะดวกสบายเหลือเกินหญิงสาวนั่งอยู่ด้านในคนเดียว เพราะว่าวันนี้หยูเสวี่ยมิได้มาด้วยกัน โม๋เอ๋อร์เห็นอีกฝ่ายกำลังวิ่งวุ่นเล่นสนุกอันใดกับองครักษ์จินมิทราบได้ จึงปล่อยไปเช