นานมาแล้วมีชายหญิงคู่หนึ่งที่เกิดรักกันเหนือสามัญผิดธรรมชาติ
ฝ่ายหญิงเป็นเทพเป็นเซียน หรือเป็นมารเป็นปีศาจก็ไม่อาจทราบ และบางทีอาจจะเป็นมากกว่านั้น หากแต่ฝ่ายชายกลับเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่มีดีหน้าตางดงามนับเป็นเอกบุรุษ
ทั้งสองรักกันได้อย่างไรก็ไม่แน่ชัด รู้เพียงว่ารักกันมาก และหลบเร้นซ่อนกายคล้ายสายลมไร้ร่องรอยมิอาจค้นพบ
เรื่องราวจบเพียงเท่านั้น ไม่มีจุดเริ่มต้นและไร้จุดสิ้นสุดให้ผู้เล่าและผู้ฟังได้เกิดอารมณ์ใคร่รู้อยากฟังหรืออยากเล่าต่อ
เนิ่นนานผ่านไปก็สลายคล้ายม่านหมอกกลางสายลมหนาวที่พัดมาเพียงวูบเดียวเท่านั้น
เพราะคู่รักคู่นี้ ที่เป็นเพียงความฝันอันเลือนราง หนึ่งในเรื่องเล่าขานนับหมื่นพัน กลับไม่อาจครองคู่กันดังใจหมาย
เหตุจากฝ่ายหญิงถูกจับตัวกลับไปยังดินแดนลี้ลับตามกฎสวรรค์บัญญัตินรก ทิ้งไว้เพียงฝ่ายชายให้เลี้ยงดูบุตรสาวจนรู้ความได้เจ็ดปี ก็ต้านพิษแห่งคำนึงคิดถึงภรรยารักจนทนไม่ไหว ตรอมใจตายไปในที่สุด ทิ้งทายาทสาวเหนือสามัญหนึ่งนางเอาไว้กลางป่าใหญ่ให้ใช้ชีวิตเพียงเดียวดาย
ใดๆ ล้วนเหนือคาดฝัน บุตรสาวตัวน้อยผู้นั้นแท้จริงแล้วเป็นถึงโม๋กุ่ยเสิน ในคราบมนุษย์ นามว่า โม๋เอ๋อร์ หรือเฉินโม๋
แซ่เฉินคือแซ่ของบิดา หากแต่เด็กสาวจำต้องปิดบังแซ่ ตามความต้องการของบิดา และนามเรียกขานสั้นๆ ว่าโม๋[1]นี้ แท้จริงเพียงตอกย้ำถึงความรักเหนือธรรมชาติก็เท่านั้น
หลังจากสิ้นบิดา เด็กสาวก็มีชีวิตท่ามกลางสรรพสัตว์ในป่าพนาไพร ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้อยน่ารักหรือสัตว์ใหญ่น่ากลัวนางล้วนชาชิน
ด้วยความเป็นมนุษย์เลือดผสมมีพลังปราณไม่ธรรมดา ความสามารถมิได้ด้อย นางจึงอยู่อย่างไม่ลำบากเลยสักนิด
เพราะเหล่าสัตว์ป่าล้วนเชื่อฟัง สรรพสิ่งเร้นลับล้วนไม่กล้าเหิมเกริมต่อนาง
แต่กระนั้นคำสั่งเสียสำคัญก่อนลาจากของบิดายังติดตรึง
‘พลังวิเศษใดๆ ล้วนนำภัย จงเก็บงำเอาไว้มิอาจเผย’
โม๋เอ๋อร์พึงระลึกเสมอเหมือนยันต์คุ้มภัยมิให้ตนผยอง
ทว่านางกลับไม่เข้าใจเลยสักนิด
แน่นอนว่านางไม่เคยผยองในพลังเร้นลับเหนือสามัญของตนเอง แต่การมิให้นำมาใช้เพื่อความอยู่รอดจะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า!
หากเป็นเช่นนี้มิเท่ากับว่า มีปากไม่ให้พูด มีลิ้นมิให้ชิมรส มีตากลับมิให้จ้องมอง มิใช่หรือไร? ทรมานยิ่ง!
เด็กน้อยได้แต่ทำหน้ายู่ยับย่นบ่นงึมงำกับตนเองในใจ ยามลอยตัวพลิ้วไหวท่องเที่ยวอย่างซุกซนไปทั่วผืนป่า กระโดดข้ามเขาลูกหนึ่งโผล่อีกลูกหนึ่ง บางทีก็ดำน้ำหยอกล้อหมู่มัจฉา เหินเวหากลั่นแกล้งมวลวิหคนกเหยี่ยวพญาอินทรีย์
กระทั่งอายุได้เจ็ดหนาว โม๋เอ๋อร์กำลังเดินเล่นกลางป่ารกชัฏที่เต็มไปด้วยภยันตรายรอบด้าน ที่มีเพียงนางเท่านั้นเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน
อันตรายใดๆ เด็กน้อยล้วนพึงใจ เพราะทำให้นางได้ซุกซนอย่างเต็มที่
ชั่วจังหวะที่เดินบ้างกระโดดบ้างอย่างรื่นเริงมาตามทาง สายตากลมโตเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง นอนจมกองเลือดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เรือนร่างเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะน่าเกลียดน่ากลัว เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเผยเนื้อหนังที่มีกระดูกสีขาวโผล่ออกมา
ไม่ว่าจะเป็นช่วงไหล่ แผงอก และเรียวขา ล้วนมีเนื้อขาดวิ่นกระดูกโผล่พ้นน่าสะพรึง โดยเฉพาะใต้ราวนมมีซี่โครงหักออกมาให้เห็นชัดเจน
ทั่วตัวเขามีรอยแผลจากของมีคมและเขี้ยวของสัตว์ร้ายผสมปนเป แลดูอนาถยิ่งนัก
โม๋เอ๋อร์กวาดสายตาไปทั่วบริเวณ พบว่ารอบกายเขาเต็มไปด้วยฝูงหมาป่ากำลังจ้องเขม็งด้วยสายตาแววแดงนับสิบตัว กำลังแยกเขี้ยวคำรามน้ำลายไหลยืด ปลายเท้าของพวกมันค่อยๆ ย่างกรายเข้าหาชายผู้นั้นช้าๆ
บ่งบอกได้ดีว่า ชายผู้นั้นกำลังจะตกเป็นเหยื่อให้เจ้าพวกหมาป่าได้เขมือบเคี้ยวเล่นในอีกไม่กี่ชั่วอึดใจ
โม๋เอ๋อร์ยืนมองด้วยสายตาเฉียบคม เห็นชายผู้นั้นจ้องมองฝูงหมาป่าด้วยดวงตาอาบโลหิต ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงต่อกรใดๆ
แน่นอนว่าเขายังไม่ตาย แต่ลมหายใจรวยรินเยี่ยงคนใกล้ประตูปรโลกพร้อมเหยียบเข้าปากผีย่อมไม่อาจช่วยเหลือตนเองได้ในยามนี้ ทำให้โม๋เอ๋อร์ไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้
แม้จะมีคำสั่งเสียของบิดารัดรึง แต่เด็กน้อยไม่ชอบการฆ่าฟันหรือสังหารใคร และความตายเป็นเรื่องน่ากลัวที่สุด นางไม่อาจปล่อยให้ชายผู้นี้ตายต่อหน้า ถึงจะมิรู้ได้ว่าเขาเป็นบุตรใคร แต่หากเขาตายไปบิดามารดาคงเสียใจแย่
โม๋เอ๋อร์จึงปล่อยพลังปราณกระแสเย็นสายหนึ่งออกมา พลางสืบเท้าเข้าหาฝูงหมาป่าตัวใหญ่ช้าๆ ใช้สายตาคู่งามปรามสัตว์ร้ายตามวิสัย
กลิ่นอายแห่งมัจจุราชของผืนป่าแผ่กำจายจากร่างเล็กไปทั่วบริเวณ ทั้งกดดันทั้งน่ากลัว ไม่มีสัตว์ป่าใดสักตัวกล้าต่อกร
ร่างระหงบอบบางในชุดคลุมขนจิ้งจอกเงินแบบทั้งตัว ค่อยๆ เดินเข้ามาทางหนุ่มน้อยโชกเลือด เหล่าหมาป่าทมิฬล้วนหลบทาง เหลือตรงกลางให้แน่งน้อยได้สืบเท้า
พวกมันพากันเก็บเขี้ยวแหลมคมเอาไว้ในปากยาวยื่น เหลือเพียงลิ้นเปียกชุ่มน้ำลายที่ไหลเป็นทาง แล้วพากันแหงนหน้าเห่าหอนโหยหวนชวนผวา
แม้มิใช่ยามราตรีอันมืดมิดแต่ทุกชีวิตท่ามกลางป่ารกทึบกลับตกอยู่ในความมืดสลัวหนาวเหน็บ โม๋เอ๋อร์ในอาภรณ์ล้ำค่าที่มิได้ใช้เงินซื้อหากำลังเยื้องกรายเข้าใกล้ชายปริศนา ด้วยกิริยาเย็นเยียบสยบสัตว์ร้ายอยู่หมัด เมื่อเดินมาถึงร่างโชกเลือดใต้ต้นไม้ เด็กน้อยก็ยอบกายลงแล้วก้มมองเด็กหนุ่มด้วยท่าทางซุกซนน่ารัก
แววตาคมที่แสนจะอ่อนแรงของเขาพลันสะท้อนเงาใบหน้าเรียวเล็กใสซื่อดวงตากลมโตอยู่ในนั้น
โม๋เอ๋อร์ยกยิ้มพริ้มเพรา นัยน์ตาสีดำขลับพลันเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกตเจิดจรัสงดงาม เส้นผมเรียบลื่นสีดำสนิทที่ปล่อยสยายเคลียไหล่มน ค่อยๆ เปล่งประกายเจิดจ้าคล้ายมีแสงทองเรืองรองโอบล้อม
เด็กสาวเอื้อมมือขึ้นมาแตะเบาๆ ที่ไหล่เขา ส่งผลให้ชายผู้นั้นหอบหายใจแรงเฮือกหนึ่ง หนังตาพลันหนักอึ้งแล้วค่อยๆ ปิดลงก่อนจะหลับไปอย่างช้าๆ
เมื่ออีกฝ่ายสิ้นสติ เด็กน้อยจึงปล่อยพลังปรานสายหนึ่งห่อหุ้มร่างบอบช้ำชุ่มเลือด หมายบรรเทาอาการบาดเจ็บเจียนตายของเขา
เพียงชั่วก้านธูป อวัยวะภายในที่บอบช้ำจนมีลิ่มเลือดเกาะแน่นปิดกั้นเลือดลมจนติดขัด ก็ค่อยๆ คลายตัวสลายออกไป ยังผลลมหายใจเจ้าของร่างกลับมาเป็นปกติ กระดูกที่หักงอผิดรูปทรงก็ค่อยๆ คืนรูปหดกลับเข้าไปยังตำแหน่งเดิม เนื้อเว้าแหว่งไปก็ค่อยถือกำเนิดใหม่ กลายเป็นแผลเป็นขรุขระเท่านั้น
แม้ผิวพรรณอาจจะไม่ราบเรียบงดงามดังเดิม แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยทิ้งเอาไว้แล้วกลายเป็นอักเสบติดเชื้อเกิดเน่าเฟะมีหนอนชอนไช
โม๋เอ๋อร์ใช้พลังที่มีช่วยเขาได้เพียงเท่านี้ ด้วยเพราะยังเป็นเพียงเด็กน้อยไม่ประสา พลังอันใดยังไม่มากพอทั้งสิ้น
แต่แค่นี้ชายตรงหน้าก็ไม่ต้องตายแล้ว
เขาเหลือเพียงคราบเลือดและความอ่อนเพลียก็เท่านั้น
เด็กน้อยถอดเอาสร้อยเถาวัลย์เหนียวที่ผูกเขี้ยวราชสีห์จากคอตนมาแขวนให้เขา แล้วจากไปไม่หวนคืน
นางไม่จำเป็นต้องรอให้เขาตื่น แล้วนำส่งออกนอกป่า เพราะเขี้ยวราชสีห์ที่ห้อยคอเขาก็เพียงพอแล้วสำหรับการคุ้มภัย ส่วนเขี้ยวใหม่นางหาเอาเมื่อใดก็ย่อมได้
นางเดินทางต่อด้วยความอิ่มเอมใจที่ได้ทำดี แต่ทว่ากลับเศร้าใจเมื่อนึกถึงบิดา ถ้าตอนนั้นนางใช้พลังรักษาบิดาของนางได้คงดี แต่บิดานางกล่าวว่า โรคทางใจต้องรักษาด้วยใจ ส่วนพลังของนางรักษาได้เพียงทางกายภายนอกก็เท่านั้น
เด็กน้อยได้ฟังก็ไม่เข้าใจอันใดทั้งสิ้น
โรคทางใจอันใดกันหนอที่ทำให้บิดาร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือดอยู่ทุกค่ำเช้า...
----[1] 魔 Mó มายากลหรือเวทมนตร์
ห้าปีต่อมา...โม๋เอ๋อร์ในวัยสิบสองปีเริ่มมีอาการผิดปกติบางประการกับร่างกาย นางเป็นไข้หวัดอาการประหลาด ร่างกายอ่อนแอเพราะลมปราณและหลอดเลือดเปิด ทำให้ความร้อนความเย็นจากภายนอกเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายและลึกกว่าที่เคยปกติอาการไข้หวัดก็แค่ปวดหัวตัวร้อน ครั่นเนื้อครั่นตัว ไอจามน้ำมูกไหล แต่ครานี้นางกลับมีอาการแปลกไป เดี๋ยวมีไข้ตัวร้อน เพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นหนาวสั่นตัวเย็น สลับกันไปมาอยากอยู่เงียบๆ ไม่อยากอาหาร ปากขมคอแห้ง มีความร้อนเย็นสลับไปสลับมา รู้สึกรุ่มร้อนไปหมดระหว่างที่ย่ำแย่ด้วยอาการหวัดประหลาด ก็เจ็บท้องมาก ทั้งยังมีเลือดออกจากส่วนสงวนทำให้หว่างขาแดงฉานจนน่ากลัวแน่นอนว่าโม๋เอ๋อร์ไม่รู้ว่าที่เป็นอยู่เรียกว่า การมีระดู และไข้หวัดที่เป็นก็คือไข้ทับระดู[1]แต่ต่อมานางก็เริ่มระลึกได้จากการสังเกตสัตว์ป่าเพศเมียบางประเภท ไม่ว่าจะเป็นลิงป่า หมาป่า ที่ส่วนสงวนของพวกมันมีลักษณะบวมและมีเลือดออก เฉกเช่นนางในยามนี้ และต่อมาพวกมันก็มีการสมสู่กับเพศตรงข้าม แล้วก็ให้กำเนิดทายาทตัวน้อยจนเต็มผืนป่าโม๋เอ๋อร์พลันเข้าใจในทันใด นางจึงเบิกตาโตอ้าปากค้างตะลึงงันครู่ใหญ่หนอนน้อยในดักแด้กลายร่างเป็
พลบค่ำจนดึกดื่นในคืนเพ็ญ จันทร์งามเด่นกลางนภาโม๋เอ๋อร์ยังไม่ทันออกนอกป่าเสียงสายหนึ่งพลันดังแว่วมา เป็นเสียงคล้ายโลหะกระทบกัน ดังเคร้งคร้างไปทั่ว โม๋เอ๋อร์มิได้นึกหวาดกลัว เพียงแต่นึกแปลกใจว่ามันคือเสียงอันใดด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามวัย สาวน้อยจึงเดินลัดเลาะพงไพรไปตามเสียงนั้นเมื่อแหวกพงหญ้าหนาทึบออกกว้าง เบื้องหน้าในระยะสายตา ฝ่าความมืดสลัวท่ามกลางแสงจันทร์สาดส่องไปทั่ว จึงได้เห็นเป็นกลุ่มของชายฉกรรจ์ตัวใหญ่จำนวนหลายคน กำลังต่อสู้กันอยู่อย่างบ้าคลั่งดุเดือดผ่านไปครู่หนึ่ง ชายพวกนั้นก็พากันล้มตายระเนระนาด เศษซากร่างกายกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่ว ไม่มีผู้ใดรอดสักคน ลักษณะการเข่นฆ่า คือเจ้าตายข้าม้วย ตกตายตามกันเมื่อพายุโลหิตสงบลง คงเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณของชายทั้งหลาย โม๋เอ๋อร์แน่ใจ รอเพียงสัตว์ร้ายในป่าลึก ได้กลิ่นคาวคละคลุ้งเหล่านี้ พวกมันก็พร้อมจะออกจากรังมารุมขย้ำ ฉีกทึ้งเนื้อหนังอันโอชาอย่างหิวกระหาย แน่นอนว่า เจ้าพวกที่นอนตายสนิทและยังที่ตายไม่สนิทก็จะกลายเป็นอาหารของพวกมันเมื่อคิดได้เช่นนั้น เด็กสาวจึงตัดสินใจเดินเข้าไปสำรวจสักครา ดูทีว่ายังม
โม๋เอ๋อร์เดินทางต่อ โดยไม่นึกใส่ใจเหตุการณ์ก่อนหน้ากระทั่งเช้าตรู่วันต่อมา ได้เจอกับขบวนเดินทางของคนกลุ่มหนึ่ง กำลังหยุดพักกินอาหารกลางทางริมชายป่า เด็กสาวจึงเดินเข้าหาแล้วมองอย่างโง่งมครู่ใหญ่อาหารที่พวกเขากินล้วนแปลกตา กลิ่นหอมยิ่ง การแต่งกายก็หลากหลาย งดงามเหลือเกิน โดยเฉพาะสตรีสองคนที่นั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนในขบวน ได้ยินการเรียกขานว่าฮูหยินใหญ่กับคุณหนูรองโม๋เอ๋อร์ยืนนิ่งกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าซีดเซียวเอียงไปมาน้อยๆ มองทุกสิ่งอย่างชอบใจนางเป็นสตรีผู้หนึ่งจึงชมชอบของสวยงามอย่างมิอาจห้ามได้ และอาหารกรุ่นกลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายไหลก็รบกวนจิตใจเหลือเกินแต่แน่นอนว่านางมิใช่หมาป่าหิวโซที่เก็บอารมณ์มิได้ ถึงกับต้องพุ่งใส่อย่างหิวกระหาย ขนาดปราณเทพพลังมารนางยังกักเก็บเอาไว้ได้เป็นอย่างดี นับประสาอันใดกับอาการเช่นนี้เด็กสาวนึกกระหยิ่งยิ้มย่องลำพองกับตนเองเงียบๆ แต่ทว่าสีหน้ากลับเผยออกมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสายตาพราวระยับที่จับจ้อง มุมปากที่ยกยิ้มพึงใจ และจมูกเรียวเล็กที่ขยับเบาๆ เพื่อสูดดมหน้าตาสัตย์ซื่อและท่าทางไร้เดียงสาของเด็กสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากกลุ่มขบวนเดินทาง ทำเอาฮูหยินใหญ่และคุณหน
เวลาผ่านไป…จากหนึ่งวันเป็นหนึ่งเดือน จากหนึ่งเดือนก็ล่วงเลยมาหนึ่งปีโม๋เอ๋อร์รู้สึกได้ว่า การตัดสินใจออกจากป่ามาในครานี้เป็นสิ่งที่ดีเหลือเกิน นางคิดไม่ผิดเลยสักนิดเพราะว่านางได้เจอสหายเปี่ยมไมตรีอย่างหยูเสวี่ย และท่านป้าเปี่ยมเมตตาอย่างวั่นหรงทั้งสองดูแลนางอย่างดีเลิศ พวกเขามอบเสื้อผ้าสวยงามมากมาย มีอาหารรสล้ำให้กินไม่เคยขาด นางมีความสุขมาก ถึงแม้ว่าชุดที่นางสวมจะงดงามไม่เท่าชุดของหยูเสวี่ย แต่นางก็หาได้ขัดเคืองไม่ ด้วยมิใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อยอันใดทั้งนั้น และยิ่งไม่คิดมากกับเรื่องหยุมหยิมเยี่ยงนี้ แค่ไม่ต้องทนสวมชุดจิ้งจอกขนเงิน ชุดหนังเสือ ขนห่านป่า หรือแม้กระทั่งหางนกยูง ก็พอแล้วจวนโหวแห่งนี้ใหญ่โตโอ่อ่า เครื่องเรือนครบครัน ทั้งยังสะอาดสะอ้าน มีผู้คนอาศัยอยู่รวมกันเยอะแยะเต็มไปหมดไม่เหมือนกลางป่าที่นางจากมา ที่นั่นมีแต่สัตว์ป่าดุร้าย คุยด้วยไม่รู้เรื่อง อาหารก็ไม่อร่อย เสื้อผ้าแพรพรรณก็ไม่มีโม๋เอ๋อร์ชอบชีวิตในเมืองยิ่งนัก ไม่คิดกลับป่าแน่นอน...รอยยิ้มพึงใจประดับตรงมุมปากของเด็กสาวตลอดเวลา นางกำลังเดินเล่นในสวนดอกไม้อยู่กับหยูเสวี่ยเหมือนเช่นทุกวัน สร้างรอยยิ้มละมุนละไมประดั
วันเวลาผ่านไปรวดเร็วประหนึ่งสายธาราเชี่ยวกรากโม๋เอ๋อร์ปีนี้อายุครบสิบห้าปี หยูเสวี่ยก็เช่นกัน บัดนี้สตรีทั้งสองเติบโตเต็มวัยเป็นสาวงามสะพรั่งสะคราญโฉมยิ่งโม๋เอ๋อร์มีดวงตากลมโตใสกระจ่าง ผิวขาวราวหิมะ ใบหน้าเรียวเล็ก รอยยิ้มพริ้มเพรา ท่าทางใสซื่อ นิสัยซุกซนหยูเสวี่ยมีดวงตาเรียวงาม ใบหน้าขาวพิสุทธิ์ผุดผ่อง ท่าทางบอบบาง กิริยาอ่อนหวาน นิสัยเรียบร้อย จิตใจดีหลังจากพ้นพิธีปักปิ่นของบุตรสาว เรื่องที่วั่นหรงหวาดหวั่นมาโดยตลอดก็มาเยือน นั่นก็คือสมรสพระราชทานสกุลโหวเป็นตระกูลใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขามากมายไปทั่วแคว้น ทั้งยังแข็งแกร่งยิ่งนักในราชสำนัก ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับหนุนหลังเชื้อพระวงศ์คราก่อนบุตรสาวคนโตของวั่นหรงต้องเดินทางไกลไปแต่งให้อ๋องหนุ่มที่มีอนุชายาอยู่แล้วถึงสามคน ครานี้บุตรสาวคนรองของนางต้องแต่งให้องค์รัชทายาท ที่มีอนุชายาอยู่แล้วจนเต็มตำหนักบูรพา ในภายภาคหน้าก็ยังจะต้องขึ้นเป็นฮองเฮาเมื่อสวามีขึ้นเป็นฮ่องเต้ รับสนมอีกนับร้อยพันในทุกสามปีเช่นนี้จะไม่ให้วั่นหรงเป็นห่วงหยูเสวี่ยผู้อ่อนโยนบอบบางได้อย่างไรองค์รัชทายาทแห่งต้าหมิงผู้นี้ได้รับฉายาว่าไท่จื่อทมิฬ มีประวัติอันห
ภายในห้องส่วนตัวด้านในที่ลึกที่สุดของตัวเรือนโม๋เอ๋อร์ถูกเรียกเข้ามาเพียงผู้เดียว หญิงสาวนั่งคุกเข่าต่อหน้าวั่นหรงอย่างงุนงงเป็นที่สุดนางทำอันใดผิดไปหรือไร แต่นางไม่เคยสำแดงฤทธิ์เดชใส่ผู้ใดเลยนี่นาหญิงสาวเอียงหน้าเล็กน้อยกลอกตาไปมาอย่างไม่เข้าใจในชีวิตการถูกฮูหยินใหญ่เรียกเข้ามาพบเป็นการส่วนตัวเพียงลำพัง นั่งจ้องหน้ากันเพียงสองต่อสอง ทำนางอดหวาดหวั่นมิได้นางนับถือฮูหยินใหญ่ประหนึ่งมารดา จึงไม่แปลกหากนางจะเกรงใจเป็นอย่างมาก ไม่กล้าล่วงเกินเลยแม้แต่น้อยหมาแมวหากได้ข้าวได้น้ำย่อมซื่อสัตย์สุดชีวิตอยู่เหย้าเฝ้าเรือนยินดีรับใช้ตลอดไปบุญคุณแค่เพียงน้ำหยดย่อมทดแทนด้วยน้ำทั้งทะเลสาบโม๋เอ๋อร์แม้โง่เขลา แต่เรื่องนี้อย่าได้ดูเบานางเชียวแต่สิ่งไม่คาดคิดพลันบังเกิด เมื่อวั่นหรงคุกเข่าลงตรงหน้าของโม๋เอ๋อร์หญิงสาวให้รู้สึกตกใจนัก “ฮูหยินใหญ่ ท่านจะทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ? คุกเข่าให้ข้าทำไม?”วั่นหรงถามเสียงเบา “โม๋เอ๋อร์ ข้าดูแลเจ้าดีหรือไม่?”โม๋เอ๋อร์พยักหน้าตอบรับ “ดีเจ้าค่ะ”“แล้วข้าเลี้ยงดูเจ้าขาดตกบกพร่องสิ่งใดหรือไม่?”หญิงสาวรีบส่ายหน้า “ไม่เลยเจ้าค่ะ”ฮูหยินใหญ่ได้ฟังเช่นนั้นก็พยักหน้าพ
พระราชวังหลวงของต้าหมิงนับได้ว่าใหญ่โตมากนักมีตำหนักขององค์จักรพรรดิที่งดงามใหญ่โตกินพื้นที่กว้างขวาง ประกอบได้ด้วยตำหนักน้อยใหญ่และเรือนอีกมากมายล้อมรอบทว่าที่ห่างออกมาจากพระราชวังชั้นในส่วนพระองค์ก็ใหญ่โตและกว้างขวางไม่แพ้กันก็คือทิศบูรพาของพระราชวังภายในตำหนักบูรพา ลึกเข้าไปยังเรือนหลักของตำหนัก หมิงเสียงกง หนึ่งในสถานที่ส่วนพระองค์ของรัชทายาทหมิงเฉิงบนที่นั่งอันโออ่าลวดลายประณีตสีทองอร่าม มีเรือนร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำสนิทแผ่บารมีของผู้สูงศักดิ์ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติเขาเพียงนั่งนิ่งๆ ไร้การเคลื่อนไหว ทว่าท่าทางทรงพลังน่าเกรงขามกลับแผ่กลิ่นอายสังหารเป็นวงกว้างอยู่รอบด้าน สร้างความหวาดหวั่นสั่นสะพรึงให้เหล่าบริวารเกินพรรณนาใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยไรหนวดเขียวครึ้ม เสริมให้เกิดความดำทะมึนหนาวเหน็บปกคลุมไปทั่วบริเวณดวงตาเรียวดำลึกล้ำทอประกายเฉียบคมตลอดเวลา ยามมองกราดเพียงแวบเดียวก็แผ่รังสีชั่วร้ายออกมา บ่งบอกได้ถึงอันตรายไร้ขีดจำกัด ทำเอาบ่าวไพร่พากันขนลุกเสียวสันหลังวาบหมิงเฉิงโบกมือเบาๆ เพื่อไล่ขันทีออกไปอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากฟังคำรายงานเกี่ยวกับการส่งอนุหลายนางเข้าวังม
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตัวเขาในวัยสิบเจ็ดปีได้มีโอกาสออกท่องเที่ยวนอกวังหลวงแบบส่วนตัว มิคาดว่าครานั้นจะเป็นกลอุบายให้ผู้ร้ายส่งนักฆ่านับร้อยล่าสังหารเขา ในขณะที่เขามีองครักษ์ติดตามเพียงไม่กี่คนพวกมันต้อนเขาให้จนมุมไร้หนทางรอด กระทั่งเขาต้องหนีตายเข้าไปในป่าใหญ่รกทึบอันเร้นลับอับชื้น เจอกับฝูงหมาป่าตัวโตเขี้ยวใหญ่พวกมันได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งของเขาที่ได้รับจากคมดาบฝ่ายศัตรู จึงรุมขย้ำเขาจนเลือดสาด เกือบสิ้นลมหายใจอยู่ใต้ต้นไม้เย็นเยียบเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หมิงเฉิงก็ค่อยๆ หลับตา นำพาความมืดมิดเข้าแทนที่แสงสลัวเลือนรางภายในห้องอาบน้ำแม้ม่านตาดำถูกเปลือกตาปกคลุมจนสิ้น หากแต่ห้วงคำนึงยังคงเห็นภาพของสตรีนางน้อยในชุดจิ้งจอกขนเงินบางทีอาจนางมิใช่สตรีธรรมดา ทั้งยังไม่แน่ว่าอาจจะเป็นหนวี่เสิน[1]แต่เมื่อได้ไตร่ตรองให้ดี ชายหนุ่มก็แน่ใจว่าเด็กน้อยนางนั้นมิใช่ภูตผี เพราะลมหายใจกรุ่นร้อนที่รินรดยามก้มหน้ามองเขา และฝ่ามืออบอุ่นที่แตะไหล่ของเขา ล้วนบ่งบอกได้ดีว่านางเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง ทว่าพลังลมปราณเหนือสามัญเยี่ยงนั่นคืออันใดเขายังไม่แน่ใจหลายวันที่มีชีวิตรอดออกมาจากป่าทึบ หลายปีที่มีชีวิต
โม๋เอ๋อร์ออกคำสั่งเสียงนุ่มตามเห็นสมควร เพราะว่านางไม่อาจพุ่งตัวออกไปว่องไวให้ใครผิดสังเกตเอาได้เมื่อนางกำนัลทั้งสองคนพากันวิ่งออกไปตามคำสั่ง โม๋เอ๋อร์จึงรีบลุกจากเตียงแล้วสวมชุดคลุมสีชมพูสดใส ปล่อยผมยาวสยายเคลียไหล่ เพราะไม่มีเวลารวบมัด จากนั้นก็เดินตามนางกำนัลไปชั่วอึดใจ นางกำนัลทั้งสองก็วิ่งกลับมาหาโม๋เอ๋อร์ แล้วรีบเล่าความให้ฟังว่า“เรียนพระชายา มีสัตว์ร้ายกลุ่มหนึ่งกำลังรุมทำร้ายองค์รัชทายาทเพคะ ได้ยินทหารเล่าว่า เมื่อช่วงหัวค่ำ รัชทายาทเดินเข้าไปในป่า แล้วกลับออกมา จากนั้น...”โม๋เอ๋อร์ไม่เสียเวลารอฟังจนจบ นางรีบสาวเท้าขึ้นหน้า ทว่านางกำนัลยังคงตามติดเพื่อบอกเล่าต่อความว่า“พวกทหารพากันสงสัยว่าองค์รัชทายาทเข้าป่าไปทำไม แต่บัดนี้ ทุกคนล้วนกระจ่างแจ้งแล้ว”นางกำนัลอีกคนรีบเอ่ยเสริม “พระองค์อาจจะจงใจเข้าไปนำสิ่งของสำคัญในป่าลึกออกมาเป็นแน่ อาจเป็นหินปีศาจ วารีพิฆาต บุปผาสวรรค์ ผลไม้เทพ พวกสัตว์ร้ายจึงตามมาทวงคืน” โม๋เอ๋อร์ปราศจากวาจา นั่นมันคำสันนิษฐานอันใด?ด้วยแน่ใจว่าหมิงเฉิงมิใช่คนโลภ และยิ่งมั่นใจ ว่าเจ้าสิ่งของเหล่านั้น มิใช่ผู้ใดจักหยิบเอามาได้โดยง่ายบ้าไปแล้ว...กระโจม
พลบค่ำ อากาศหนาวเย็นยิ่งกว่ายามกลางวัน บรรยากาศภายในหุบเขาวังเวงยิ่ง ทว่ารอบด้านกลับคึกคักครื้นเครง มีโคมไฟสาดส่องให้แสงสว่างไปทั่วกระโจมที่พักต่างๆ ล้วนแบ่งแยกชายหญิง ไม่เว้นแม้แต่สามีภรรยา องค์ชายกับชายา องค์จักรพรรดิกับพระสนมกฎระเบียบย่อมเป็นเช่นนี้ เพราะฮ่องเต้ทรงพาพระสนมคนโปรดมาถึงสามคน องค์ชายยังพาอนุชายามาด้วยมากกว่าหนึ่งคน หมิงเฉิงกับโม๋เอ๋อร์จึงต้องแยกกระโจมกันแต่โดยดี ไม่อาจทำตามแต่ใจเหมือนดั่งที่นั่งชมการประลองในยามกลางวันได้อีกแล้วยามนี้สี่ทิศโดยรอบ ทหารส่วนใหญ่ทำหน้าที่เวรยามอยู่ไกลๆ บ้างเดินสำรวจ บ้างยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้ พวกที่เหลือพากันล้อมวง มีกองไฟอยู่ตรงกลาง บ้างร่ำสุรา บ้างหยอกล้อบ้าระห่ำยังมีบางกลุ่มที่สุมหัวแทบจะชนกัน หัวเราะฮ่าฮ่า ปากก็กล่าวว่า มาๆ วางเงินๆ สูงต่ำข้าแทง ถึงตาเจ้าแล้ว...นอกจากเหล่าทหาร ยังมีบรรดานางกำนัล ในตำแหน่งต่างๆ พากันเดินขวักไขว่เพื่อรับใช้เจ้านายราชนิกุลที่เป็นบุรุษ นั่งเสวนากันในกระโจมหลัก ร่วมโต๊ะอาหารและดื่มเหล้าด้วยกัน ส่วนราชนิกุลฝ่ายสตรี ต่างพากันพักผ่อนแยกย้าย ในกระโจมของแต่ละคน ล้วนไม่ยุ่งเกี่ยวเมื่อเป็นเช่นนี้ โม๋เอ๋อร์จึงนั่
ชั่วจังหวะที่สายตาจับจ้องเพียงสามี แสงแดดก็ดี หิมะก็ดี ล้วนสะท้อนร่างแกร่งทรงพลังของเขาจนเกิดความแวววาวเปล่งประกายเจิดจ้า พาหัวใจเต้นตึกตักรุ่มร้อนหนักหนาทว่าพริบตานั้น โม๋เอ๋อร์เพียงสังเกตได้ ว่ามีสิ่งหนึ่งพุ่งปรี่ไปที่หมิงเฉิง สิ่งนั้นพุ่งปราด ราวกับเป็นเพียงสายลมโชยวูบเดียว ผ่านหน้าไป มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้นหากแต่โม๋เอ๋อร์ย่อมมองเห็นสิ่งนั้นคือเข็มปริศนานับสิบเล่ม พุ่งทะลวงยังทิศทางหนึ่งและเป้าหมายคือหมิงเฉิง…ก่อนคิดการอื่นใด หญิงสาวเพียงเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ เข็มทุกเล่มพลันอ่อนยวบแล้วสลายหายไปในพริบตานางมิรู้ว่าคืออันใด มาจากทิศใด แต่หากปล่อยเอาไว้ย่อมทิ่มแทงสามีนาง กระทั่งขัดขวางการต่อสู้ร่ายกระบวนท่าอันสง่างามทรงเสน่ห์มนต์มารของเขาได้ซึ่งนางไม่อาจยอม...คนกำลังเหม่อมองอยู่ มิรู้หรือไร?โม๋เอ๋อร์นับว่าเป็นสตรีที่เอาแต่ใจยิ่ง!โดยเฉพาะเรื่องของหมิงเฉิง...หลังจากปล่อยเข็มอาบยาพิษไปแล้วหมิงเยวี๋ยนเพียงรอผลลับ ทว่าผลกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง เข็มพิษเหล่านั้นล้วนอันตรธานหายไปได้อย่างไร?ชายหนุ่มนึกฉงนงงงวย ทว่าหาใช่พวกขลาดเขลาที่ยอมแพ้ง่ายดาย ยิ่งมิใช่เสียเวลาปล่อยโอกาสงามๆ ยามนี้
ทั่วบริเวณเงียบกริบ ผืนธงใหญ่สะบัดพลิ้ว สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องอยู่ที่กลางลานกว้างยามนี้ กระบวนท่าแรกของการปะทะได้เริ่มขึ้นแล้ว หมิงเหอตวัดดาบวิบวับตัดฉับได้แต่ลม เมื่อหมิงเฉิงรู้ทันและเบี่ยงตัวหลบได้ว่องไวปราดเปรียว เสี้ยวเวลาเดียวกันนั้น เว่ยหลุนก็ถลันขึ้นหน้า พร้อมหอกเหล็กพุ่งปลายแหลมคมรวดเร็ว หมายจ้วงแทงให้ตรงจุดอันตราย แม้ไม่ตายก็เจ็บสาหัสได้ ทว่าหมิงเฉิงล้วนถนัดปัดกวาดคล่องแคล่ว เพียงปลายหอกอีกฝ่ายแหวกอากาศมา ปลายทวนเขาก็สกัดจนกระเด็นไปทั้งคนทั้งหอกแล้ว แม่ทัพอีกสามคนล้วนมีอาวุธที่เลือกสรรอย่างดี ไม่ว่ากระบี่ ดาบ ตะขอด้ามยาว พวกเขาพุ่งตัวมาราวลูกธนูหลุดจากแหล่ง สะบัดอาวุธในมือพลิ้วไหว ขับเคลื่อนปราณผสานเพลงยุทธ์ได้ดีเยี่ยมเปี่ยมพลังมหาศาลเสียงเคร้งคร้างตีกระทบกันดังกึกก้อง ทวนเหล็กไหลในมือหมิงเฉิงสามารถรุกรับได้ทุกกระบวนท่า ทุกศาสตราวุธที่พุ่งมาพร้อมกันล้วนสิ้นลายเมื่อเจอเขาเกล็ดหิมะพัดคลุ้งยุ่งเหยิง เมื่อทั้งหมดต่างร่ายเพลงยุทธ์พลังศึกใส่กันพร้อมพรั่ง เสียงกระแทกเหล็กดังลั่นไม่ขาดสายร่างบุรุษทั้งหลายต่างทะยานขึ้นลง สลับปัดป่ายว่องไว รุกรับประสาน กระแทกกระทั้น หลบหลีกปราดเป
ใบหน้าหล่อเหลาผุดรอยยิ้มเย็นชา เอ่ยปากเสียงต่ำว่า “ในเมื่อพี่รองต้องการ น้องสามย่อมยินดี”กล่าวจบเพียงยกฝ่ามือหนาผายออกด้านข้างลำตัว รองแม่ทัพผู้รู้ใจในทุกสนามรบก็รีบถลาขึ้นหน้านำทวนเหล็กไหลมายื่นส่งให้ แล้วล่าถอยไปร่างใหญ่ยืนนิ่งสูงตระหง่านดุจปราการแกร่ง หมิงเฉิงกำทวนเหล็กหนาหนักเอาไว้แน่นด้วยมือเดียว ยกขึ้นสูงเล็กน้อย สายตาเย็นเยียบ สีหน้าราบเรียบไม่แปรเปลี่ยน แล้วกระแทกทวนเหล็กลงพื้นเสียงดัง ‘ตึง’ แผ่นดินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนพลันถูกกะเทาะจนปริแตกเป็นทางยาว เกล็ดหิมะร่วงกราวลงช่องแคบไป สะเทือนถึงปลายเท้าของหมิงเหอ เว่ยหลุน และแม่ทัพอีกสามคน ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ทุกสายตามองหมิงเฉิงเงียบงัน เปล่งวาจาไม่ออกสักคน ร่างสูงเคยยืนเคร่งขรึมพร้อมทวนเหล็กในท่านี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน บนหลังอาชายิ่งถนัดถนี่ยามควบขี่ประจัญบาน ความทรงพลังของเขาผสานเข้ากับเหล็กกล้าในมือมาแล้วหลายครายามสู้ศึกแต่ละครั้งมักจะทำให้ทั้งม้าทั้งคนฝ่ายศัตรูกระเด็นไปไกลหลายจั้ง คนพวกนั้นมีร่างกายที่ฉีกขาดแหลกเหลวในพริบตาเดียว เลือดแดงฉานสาดกระจายไปทั่วอากาศ แผ่ขยายเป็นวงกว้างได้อย่างน่ากลัว แม่ทัพสามคนที่ถูกช
การประลองฝีมือของเหล่าบุรุษเริ่มเปลี่ยนไปจากทุกปีเดิมทียามผู้กล้าประชันกัน หมิงเฉิงมักจะนั่งอยู่เงียบๆ ประหนึ่งศิลาหนาหนักไม่ขยับไปทางใดเขาเพียงดื่มเหล้าเคล้าบรรยากาศอันเย็นเยียบท่ามกลางเหมันต์ ราวราชันย์แห่งผืนป่ากำลังนิทราดวงตาเรียวคมอันมืดดำลึกลับเพียงมองสำรวจทุกผู้คนอย่างเฉยชา ใบหน้าหล่อเหลาไร้อารมณ์ร่วมในทุกครั้งไปทว่าวันนี้ เขากลับตื่นผงาดลุกขึ้นมา ถอดเสื้อคลุมตัวหนาสีดำออกไป เผยเพียงเสื้อสีครามที่มีกล้ามเนื้อนูนเด่นรำไร อวดโฉมสง่างามต่อธารกำนัลในแบบที่ไม่เคยทำ แล้วย่างกรายพาร่างสูงใหญ่มายืนโดดเด่นอยู่กลางลานกว้าง ออกคำสั่งท้าประลองกับผู้กล้าทุกคนอย่างเหี้ยมเกรียม และแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดกล้าขัดคำสั่งเลยสักคน แต่ละคนจึงตั้งท่าเตรียมพร้อมประจัญบาน ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างประสานเสียงร่างกายงามสง่าอันสูงค่าขององค์รัชทายาทหนุ่มผู้นี้ แน่นอนว่าหากใครได้มีโอกาสประลองฝีมือด้วย นับได้ว่ามีวาสนา ไม่เสียชาติเกิดโดยแท้ แค่เขาไม่พลั้งมือฆ่าก็นับว่าเป็นบุญยิ่งผู้คนที่นั่งรอบนอกพลันหรี่ตา มองหมิงเฉิงอย่างครุ่นคิดหากมีคนซ้อนแผนคิดสังหารยามนี้ มิใช่เลวร้ายหรือไร?หมิงเฉิงย่อมรู้แจ้งทุกความ
การท้าประลองดำเนินต่อไปเป็นคู่ๆ ทุกคนล้วนมีรูปร่างที่กำยำล่ำสัน ท่วงท่าแคล่วคล่อง กร้าวแกร่งห้าวหาญ ทั้งยังวาดกระบวนท่าร่ายดาบฟาดกระบี่ได้งดงามยิ่ง พลิ้วเหลือเกินโม๋เอ๋อร์นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าพวกบุรุษจะต่อสู้กันด้วยท่าทางปานเทพธิดาเช่นนี้ พวกเขาฝึกวรยุทธ์ด้วยความรื่นรมย์โดยแท้ ประหนึ่งสาวงามกระนั้นตัวนางก็เคยฝึกร่ายรำ แต่มันยากมาก ไม่สนุกเลยสักนิด รอชมผู้อื่นสนุกกว่ามากนัก อืม...พวกเขาใช้กระบวนท่าเช่นนี้ฆ่ากัน แล้วอีกฝ่ายจะตายหรือไม่หนอ อ้อ...คงตายกระมัง ดาบคมกริบปานนั้น!อา...พวกบุรุษมักเป็นเช่นนี้ ดูดียิ่งนัก!เทพปีศาจโม๋กุ่ยเสินผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ เพียงเลิกคิ้วผู้อื่นก็พิการตลอดชีวิต แต่กลับมิเคยได้ฆ่าใคร จึงไม่ค่อยจะเข้าใจการเข่นฆ่าของพวกมนุษย์สักเท่าไหร่ยามจ้องมองการประลองของบุรุษที่กลางสนาม โม๋เอ๋อร์จึงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยเหม่อลอยไปถึงไหนต่อไหน ดวงตาคู่งามจึงสดใสเปล่งประกายวาวระยับคล้ายกับประทับใจมากหมิงเฉิงให้นึกขุ่นเคือง เรียวคิ้วขมวดแน่น สีหน้าบึ้งตึง ก่อนเอียงหน้ากระซิบที่ริมหูชายา ปล่อยลมร้อนผ่าวใส่นางว่า“จงจับตาดูข้าให้ดี สามีเจ้าย่อมเก่งกล้ากว่าผู้ใด”กล่าวจบก็ลุกข
วันนี้เป็นวันแรกที่โม๋เอ๋อร์ได้ปรากฏกายต่อธารกำนัลอันประกอบไปด้วยบุคคลแห่งราชสำนักนับร้อยทันทีที่ร่างระหงงามงอนในอาภรณ์สีหวานขับสีผิวขาวผ่องดวงตากลมโตสดใสล้อแสงตะวันกำลังเยื้องกรายแช่มช้าเคียงข้างสวามี พลันนั้นดวงตาทุกคู่ล้วนตื่นตะลึงหลายคนตีเข่าตนเองฉาดใหญ่ ในใจลอบคิดไปในทิศทางเดียวกันว่า มิน่าเล่า! รัชทายาทถึงโปรดปรานหนักหนา นางงดงามปานนางฟ้าถึงเพียงนี้...ฮ่องเต้หมิงเองยังทรงแปลกพระทัยไม่น้อย พระองค์คาดไม่ถึงว่าสตรีสกุลโหวจะงามพิลาศล้ำถึงเพียงนี้ นับว่าไม่แปลก หากเฉิงเอ๋อร์จักอดใจไม่ไหว ข่มเหงกันทั้งคืน จนนางต้องร่ำไห้เช่นนั้น!คำสันนิษฐานเหล่านั้นล้วนผิดมหันต์ต่อบุรุษเช่นหมิงเฉิง เพราะความงามล้ำเลิศอันใดล้วนไม่เป็นผลกับเขา มีเพียงสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวตัวเขา คือแน่งน้อยวันวาน เจ้าของนัยน์ตาสีเขียวมรกตและปราณเย็นที่คุ้นเคยโม๋เอ๋อร์ล้วนมีทั้งหมด และพลั้งเผลอเผยออกมาบ่อยครั้งกระทั่งหมิงเฉิงยังไม่อาจเข้าใจ ว่าเหตุใดเขาจึงปักใจเชื่อว่าเป็นนาง ทว่าเขากลับไม่กล้าถาม ด้วยกลัวเหลือเกินกับคำตอบที่อาจจะได้รับ ว่านางไม่ใช่...ทั้งสองเดินเคียงข้างกันอย่างงามสง่าสมเป็นคู่ยวนยาง ที่ฟ้าประ
ไม่นาน ...บรรดาทหารชั้นผู้น้อยก็วิ่งแถวเรียงรายมายืนโอบล้อมแท่นประทับชั่วคราวที่กลางลานกว้าง แต่ละคนยืนเป็นระเบียบราวกับผนังผาสูงตระหง่าน เปลี่ยนพื้นหญ้าธรรมดาที่ปกคลุมด้วยละอองหิมะสีขาวให้กลายเป็นสนามประลองขนาดย่อม เพื่อให้เหล่าเชื้อพระวงศ์ได้ทดสอบฝีมือของทหารกล้าในอาณัติเมื่อบรรดาขุนนางระดับขุนศึกเดินทางมานั่งลงยังตำแหน่งของตนเอง การสนทนาปราศรัยจึงเกิดขึ้นอื้ออึงอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเสียงแหลมเล็กของขันทีก็ดังขึ้น เพื่อประกาศการดำเนินเสด็จขององค์จักรพรรดิและเหล่าเชื้อพระวงศ์ท้ายขบวนของราชนิกุลคนอื่นๆ ตรงทางเดินเข้าลานประลอง หมิงเฉิงในอาภรณ์สีดำตัวยาวคาดลายเมฆาทองคำเคลื่อนคล้อยที่ไหล่ซ้ายขวาแลดูลึกลับน่าค้นหา พาร่างสูงใหญ่สง่างามราศีเหนือหมู่มวลเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโม๋เอ๋อร์ดวงตาคมดำอันลึกล้ำไร้ก้นบึ้งให้หยั่งถึง จ้องมองชายาของตนนิ่งนาน สบประสานดวงตากลมโตสดใสอย่างต้องการดึงดูดอีกฝ่ายให้หลงเสน่ห์เพียงเขาหลายวันที่ไม่เจอหน้า มิคาดว่านางจะงามขึ้นถึงเพียงนี้เป็นความจริงที่รัชทายาทหนุ่มผู้หล่อเหลาทรงพลังยังคงไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่าผู้ที่ถูกดึงดูดจนตกบ่วงเสน่หาเป็นตัวเขาเอง มิใช่สตรีตรงห