วันเวลาผ่านไปรวดเร็วประหนึ่งสายธาราเชี่ยวกราก
โม๋เอ๋อร์ปีนี้อายุครบสิบห้าปี หยูเสวี่ยก็เช่นกัน บัดนี้สตรีทั้งสองเติบโตเต็มวัยเป็นสาวงามสะพรั่งสะคราญโฉมยิ่ง
โม๋เอ๋อร์มีดวงตากลมโตใสกระจ่าง ผิวขาวราวหิมะ ใบหน้าเรียวเล็ก รอยยิ้มพริ้มเพรา ท่าทางใสซื่อ นิสัยซุกซน
หยูเสวี่ยมีดวงตาเรียวงาม ใบหน้าขาวพิสุทธิ์ผุดผ่อง ท่าทางบอบบาง กิริยาอ่อนหวาน นิสัยเรียบร้อย จิตใจดี
หลังจากพ้นพิธีปักปิ่นของบุตรสาว เรื่องที่วั่นหรงหวาดหวั่นมาโดยตลอดก็มาเยือน นั่นก็คือสมรสพระราชทาน
สกุลโหวเป็นตระกูลใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขามากมายไปทั่วแคว้น ทั้งยังแข็งแกร่งยิ่งนักในราชสำนัก ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับหนุนหลังเชื้อพระวงศ์
คราก่อนบุตรสาวคนโตของวั่นหรงต้องเดินทางไกลไปแต่งให้อ๋องหนุ่มที่มีอนุชายาอยู่แล้วถึงสามคน ครานี้บุตรสาวคนรองของนางต้องแต่งให้องค์รัชทายาท ที่มีอนุชายาอยู่แล้วจนเต็มตำหนักบูรพา ในภายภาคหน้าก็ยังจะต้องขึ้นเป็นฮองเฮาเมื่อสวามีขึ้นเป็นฮ่องเต้ รับสนมอีกนับร้อยพันในทุกสามปี
เช่นนี้จะไม่ให้วั่นหรงเป็นห่วงหยูเสวี่ยผู้อ่อนโยนบอบบางได้อย่างไร
องค์รัชทายาทแห่งต้าหมิงผู้นี้ได้รับฉายาว่าไท่จื่อทมิฬ มีประวัติอันหยาบช้าที่น่าหวาดผวากริ่งเกรงยิ่ง
หมิงเฉิงผู้นี้ มิได้เป็นโอรสที่แท้จริงของฮองเฮา หากแต่เป็นโอรสของลูกพี่ลูกน้องของฮองเฮาที่เป็นหวงกุ้ยเฟย เมื่อครั้งที่หมิงเฉิงในวัยเยาว์สิ้นมารดาก็มาอยู่ในการดูแลของฮองเฮา จากนั้นยังเป็นอสรพิษแว้งกัดอย่างเลือดเย็น เมื่อฮองเฮาทรงตั้งครรภ์บุตรของตนเองและทรงให้กำเนิดโอรสในที่สุด แต่สุดท้ายโอรสน้อยก็สิ้นชีพไปตั้งแต่แบเบาะ เรื่องนี้เป็นที่ครหาไปทั่ว หากแต่กลับไร้ซึ่งหลักฐานเอาผิด
หมิงเฉิงผู้นี้จึงลอยนวลอย่างไม่สะทกสะท้านอันใดทั้งสิ้น เพราะทุกสิ่งเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ยิ่งนานวันเข้าก็ไม่มีผู้ใดกล้าเคลือบแคลงสงสัยหากอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างสงบสุข
หมิงเฉิงมักจะยกพลถล่มพวกต่างแคว้นรอบชายแดนจนล่มสลาย กำราบเผ่าป่าเถื่อนอย่างโหดร้ายยิ่งกว่าพญามัจจุราช ประหนึ่งนักรบอาบโลหิตที่ผุดออกมาจากขุมนรกก็ไม่ปาน
เขาเป็นบุรุษสูงศักดิ์ที่ถูกขนานนามได้น่ากลัวถึงเพียงนั้น ทั้งโหดเหี้ยมและเย็นชา ไร้ความปรานีแม้แต่สตรี จักเป็นชายที่รักหยกถนอมบุปผาได้อย่างไร ถึงแม้จะรูปงามท่าทางองอาจกร้าวแกร่งเปี่ยมเสน่ห์ แต่แล้วอย่างไรเล่า! ในเมื่อเขามีสตรีวังหลังมากมายยิ่งกว่าสามีของนางเสียอีก
โหวเซินนั้น ถึงแม้จะเจ้าชู้และไม่รักนางที่เป็นภรรยาเอก แต่เขาก็ให้เกียรติเสมอมา เขาเป็นอัครเสนาบดี ทำงานฝ่ายบุ๋น ท่าทางสุขุมนุ่มนวลเป็นบัณฑิตทรงภูมิ แม้ไม่รักแต่ก็ไม่เคยรังแก
วั่นหรงให้นึกปวดใจนัก ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าบุตรสาวของตนคงไม่พ้นแต่งงานกับเชื้อพระวงศ์ แต่เหตุใดไม่แต่งกับองค์ชายผู้อ่อนแอ หรืออ๋องนอกสายตา ทำไมต้องแต่งกับบุรุษใจทมิฬอย่างรัชทายาทหมิงเฉิงกันเล่า?
ภายในห้องหนังสือเรือนของฮูหยินใหญ่แห่งจวนโหว
โม๋เอ๋อร์กับหยูเสวี่ยกำลังนั่งเดินหมากกันอย่างสนุกสนาน สตรีทั้งสองหัวเราะเสียงใสอย่างรื่นเริง บรรยากาศอบอวลไปด้วยความชื่นมื่นของเด็กสาวงดงามวัยสะพรั่ง
วั่นหรงได้แต่ยืนมองทั้งสองด้วยสีหน้าเศร้าหมอง ใต้ตาดำคล้ำด้วยนอนไม่หลับมาหลายคืน นางเหม่อลอยจับจ้องใบหน้าบุตรสาวนิ่งนาน ก่อนจะค่อยๆ กวาดสายตามองโม๋เอ๋อร์อย่างพิจารณาอย่างลึกซึ้ง
โม๋เอ๋อร์เป็นสตรีที่งดงามยิ่งนัก แม้แต่หยูเสวี่ยยังไม่อาจเทียบเคียง
ความคิดนี้ วั่นหรงหาได้ริษยาความงามของโม๋เอ๋อร์แทนบุตรสาวไม่ หากแต่ความใจกว้างและความใจแคบกำลังตีกันสับสนปนเป
เป็นความจริงที่ว่า นางรักและถนอมบุตรสาวของนางกว่าผู้ใด และนางก็เหมือนมารดาทั่วไป ที่ต้องการให้บุตรสาวเป็นคนว่านอนสอนง่าย ได้แต่งงานไปมีครอบครัวแสนสุข
และก็เป็นความจริงอีกเช่นกันว่า บุตรสาวของนางทั้งรักและเคารพนางเหนือผู้ใด ไม่ว่านางต้องการให้บุตรสาวทำสิ่งใด ล้วนไม่เคยได้รับการปฏิเสธเลยสักครา
เช่นนั้นแล้ว นางขอเห็นแก่ตัวเพื่อความสุขของบุตรสาวอันเป็นที่รักได้หรือไม่?
เมื่อคิดวกไปวนมา ในที่สุดวั่นหรงก็ตัดสินใจ…
ภายในห้องส่วนตัวด้านในที่ลึกที่สุดของตัวเรือนโม๋เอ๋อร์ถูกเรียกเข้ามาเพียงผู้เดียว หญิงสาวนั่งคุกเข่าต่อหน้าวั่นหรงอย่างงุนงงเป็นที่สุดนางทำอันใดผิดไปหรือไร แต่นางไม่เคยสำแดงฤทธิ์เดชใส่ผู้ใดเลยนี่นาหญิงสาวเอียงหน้าเล็กน้อยกลอกตาไปมาอย่างไม่เข้าใจในชีวิตการถูกฮูหยินใหญ่เรียกเข้ามาพบเป็นการส่วนตัวเพียงลำพัง นั่งจ้องหน้ากันเพียงสองต่อสอง ทำนางอดหวาดหวั่นมิได้นางนับถือฮูหยินใหญ่ประหนึ่งมารดา จึงไม่แปลกหากนางจะเกรงใจเป็นอย่างมาก ไม่กล้าล่วงเกินเลยแม้แต่น้อยหมาแมวหากได้ข้าวได้น้ำย่อมซื่อสัตย์สุดชีวิตอยู่เหย้าเฝ้าเรือนยินดีรับใช้ตลอดไปบุญคุณแค่เพียงน้ำหยดย่อมทดแทนด้วยน้ำทั้งทะเลสาบโม๋เอ๋อร์แม้โง่เขลา แต่เรื่องนี้อย่าได้ดูเบานางเชียวแต่สิ่งไม่คาดคิดพลันบังเกิด เมื่อวั่นหรงคุกเข่าลงตรงหน้าของโม๋เอ๋อร์หญิงสาวให้รู้สึกตกใจนัก “ฮูหยินใหญ่ ท่านจะทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ? คุกเข่าให้ข้าทำไม?”วั่นหรงถามเสียงเบา “โม๋เอ๋อร์ ข้าดูแลเจ้าดีหรือไม่?”โม๋เอ๋อร์พยักหน้าตอบรับ “ดีเจ้าค่ะ”“แล้วข้าเลี้ยงดูเจ้าขาดตกบกพร่องสิ่งใดหรือไม่?”หญิงสาวรีบส่ายหน้า “ไม่เลยเจ้าค่ะ”ฮูหยินใหญ่ได้ฟังเช่นนั้นก็พยักหน้าพ
พระราชวังหลวงของต้าหมิงนับได้ว่าใหญ่โตมากนักมีตำหนักขององค์จักรพรรดิที่งดงามใหญ่โตกินพื้นที่กว้างขวาง ประกอบได้ด้วยตำหนักน้อยใหญ่และเรือนอีกมากมายล้อมรอบทว่าที่ห่างออกมาจากพระราชวังชั้นในส่วนพระองค์ก็ใหญ่โตและกว้างขวางไม่แพ้กันก็คือทิศบูรพาของพระราชวังภายในตำหนักบูรพา ลึกเข้าไปยังเรือนหลักของตำหนัก หมิงเสียงกง หนึ่งในสถานที่ส่วนพระองค์ของรัชทายาทหมิงเฉิงบนที่นั่งอันโออ่าลวดลายประณีตสีทองอร่าม มีเรือนร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำสนิทแผ่บารมีของผู้สูงศักดิ์ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติเขาเพียงนั่งนิ่งๆ ไร้การเคลื่อนไหว ทว่าท่าทางทรงพลังน่าเกรงขามกลับแผ่กลิ่นอายสังหารเป็นวงกว้างอยู่รอบด้าน สร้างความหวาดหวั่นสั่นสะพรึงให้เหล่าบริวารเกินพรรณนาใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยไรหนวดเขียวครึ้ม เสริมให้เกิดความดำทะมึนหนาวเหน็บปกคลุมไปทั่วบริเวณดวงตาเรียวดำลึกล้ำทอประกายเฉียบคมตลอดเวลา ยามมองกราดเพียงแวบเดียวก็แผ่รังสีชั่วร้ายออกมา บ่งบอกได้ถึงอันตรายไร้ขีดจำกัด ทำเอาบ่าวไพร่พากันขนลุกเสียวสันหลังวาบหมิงเฉิงโบกมือเบาๆ เพื่อไล่ขันทีออกไปอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากฟังคำรายงานเกี่ยวกับการส่งอนุหลายนางเข้าวังม
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตัวเขาในวัยสิบเจ็ดปีได้มีโอกาสออกท่องเที่ยวนอกวังหลวงแบบส่วนตัว มิคาดว่าครานั้นจะเป็นกลอุบายให้ผู้ร้ายส่งนักฆ่านับร้อยล่าสังหารเขา ในขณะที่เขามีองครักษ์ติดตามเพียงไม่กี่คนพวกมันต้อนเขาให้จนมุมไร้หนทางรอด กระทั่งเขาต้องหนีตายเข้าไปในป่าใหญ่รกทึบอันเร้นลับอับชื้น เจอกับฝูงหมาป่าตัวโตเขี้ยวใหญ่พวกมันได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งของเขาที่ได้รับจากคมดาบฝ่ายศัตรู จึงรุมขย้ำเขาจนเลือดสาด เกือบสิ้นลมหายใจอยู่ใต้ต้นไม้เย็นเยียบเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หมิงเฉิงก็ค่อยๆ หลับตา นำพาความมืดมิดเข้าแทนที่แสงสลัวเลือนรางภายในห้องอาบน้ำแม้ม่านตาดำถูกเปลือกตาปกคลุมจนสิ้น หากแต่ห้วงคำนึงยังคงเห็นภาพของสตรีนางน้อยในชุดจิ้งจอกขนเงินบางทีอาจนางมิใช่สตรีธรรมดา ทั้งยังไม่แน่ว่าอาจจะเป็นหนวี่เสิน[1]แต่เมื่อได้ไตร่ตรองให้ดี ชายหนุ่มก็แน่ใจว่าเด็กน้อยนางนั้นมิใช่ภูตผี เพราะลมหายใจกรุ่นร้อนที่รินรดยามก้มหน้ามองเขา และฝ่ามืออบอุ่นที่แตะไหล่ของเขา ล้วนบ่งบอกได้ดีว่านางเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง ทว่าพลังลมปราณเหนือสามัญเยี่ยงนั่นคืออันใดเขายังไม่แน่ใจหลายวันที่มีชีวิตรอดออกมาจากป่าทึบ หลายปีที่มีชีวิต
ทิศบูรพาแห่งพระราชวังต้าหมิง ลึกเข้าไปภายในตำหนักหมิงเสียงกงของรัชทายาทหมิงเฉิงหน้าประตูบานใหญ่ของห้องชั้นนอก มีขันทีประจำตำหนักยืนรอรับใช้พร้อมนางกำนัลติดตามขนาบข้างซ้ายขวาทุกคนอยู่ในกิริยายืนนิ่งก้มหน้าคล้ายหุ่นไม้ ถัดออกไปไม่ไกลมีทหารยามยืนนิ่งประหนึ่งศิลาเรียงรายท่ามกลางความมืดสลัวที่เงียบสงบ ปลายเท้าแผ่วเบาแต่มั่นคงเดินเรียบเรื่อยมาตามทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินสีดำเจ้าของปลายเท้าเป็นร่างสูงสง่าในอาภรณ์ราชองครักษ์เขาพาใบหน้าหล่อเหลาเยื้องย่างมาที่หน้าห้องส่วนตัวของรัชทายาทหมิงเฉิงชายหนุ่มคือคนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของรัชทายาทต้าหมิงผู้นี้ที่ได้รับสิทธิพิเศษให้เข้าห้องต้องห้ามได้เจ้าของใบหน้างดงามในอาภรณ์ราชองครักษ์หยุดยืนอยู่หน้าประตูด้วยท่าทางนิ่งสงบ เพียงครู่ก็เอ่ยปากด้วยเส้นเสียงราบเรียบกับขันทีหน้าห้อง “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด คืนนี้ข้าจะอยู่รอรับใช้รัชทายาทเอง”ขันทีและนางกำนัลค้อมศีรษะแล้วพากันเดินไปอย่างเงียบเชียบทันทีคล้อยหลังบ่าวไพร่ ร่างสูงจึงเปิดประตูแล้วปิดลงแผ่วเบาก่อนจะหายลับไปอย่างเงียบงันภายในห้องมืดสลัว เสียงทุ่มต่ำเอ่ยขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด“พระองค์เป็นถึง
เจียงฮองเฮาคือพี่สาวของมารดาที่แท้จริงของหมิงเฉิง ซึ่งเป็นสนมชั้นกุ้ยเฟย สิ้นชีพไปหลังจากให้กำเนิดหมิงเฉิงเพียงไม่นาน สาเหตุล้วนมาจากริษยาของสตรีวังหลังอันถูกความโปรดปรานของฮ่องเต้กระตุ้นเจียงฮองเฮาไร้บุตรธิดา และหมิงเฉิงคือหลานชายแท้ๆ พระนางจึงรับหมิงเฉิงมาดูแลด้วยองค์เองอย่างดีเสมอมากระทั่งพระนางตั้งครรภ์มังกรเป็นของตนเอง ก็ยังคงรักทะนุถนอมหมิงเฉิงไม่เสื่อมคลายเมื่อได้ฟังความจริงจากปากของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาจึงคล้ายกับได้ยินเสียงสวรรค์ด้วยเหตุนี้คำครหาและเคลือบแคลงสงสัยในตัวหมิงเฉิง จึงได้ฮองเฮาลอบปกป้องอย่างลับๆ จนเขาเติบใหญ่ และเพื่อที่แผนการตลบหลังศัตรูจะได้ดำเนินต่อไป ทั้งยังไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น พระนางจึงเงียบเชียบที่สุด หาได้โจ่งแจ้งไม่น้ำพระทัยของฮ่องเต้ยากแท้หยั่งถึง ความรู้สึกนึกคิดล้วนเกินคาดเดาในทุกสิ่ง ฮองเฮากับหมิงเฉิงจึงร่วมกันปกปิดเรื่องของทายาทน้อยเอาไว้ได้อย่างแนบเนียนเสมอมาความลับนี้จึงรู้เพียงสี่คน คือฮองเฮา หมิงเฉิง แม่นมเฒ่า และตัวหมิงจินเอง เพื่อรอเวลาที่เหมาะสมมอบบัลลังก์มังกรให้แก่เจ้าของที่แท้จริงตามกฎมณเฑียรบาลแห่งต้าหมิง ตำแหน่งรัชทายาทอันเป็
สามเดือนหลังจากถูกเคี่ยวกรำให้กลายเป็นสตรีดีพร้อมสำหรับออกเรือนด้วยไม่ต้องการให้เกิดเหตุใดผิดพลาดก่อนถึงวันแต่งงาน วั่นหรงจึงแอบรับโม๋เอ๋อร์เป็นบุตรสาวบุญธรรมอย่างลับๆ หาได้เปิดเผยออกไป เพราะอาจถูกคัดค้านจนเสียแผนการ ทั้งนี้ยังเป็นเกราะป้องกันชั้นหนึ่งอย่างดี หากเกิดเหตุใดผิดพลาดขึ้นหลังจากแต่งงาน เรื่องนี้อาจจะสามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้ อย่างน้อยก็คงไม่ต้องถึงขั้นประหารเก้าชั่วโคตรกระมังโหวฮูหยินรู้ดีแก่ใจว่า เรื่องนี้นับเป็นการหลอกลวงเบื้องสูงอย่างสาหัส มีโทษถึงตาย ประหารทั้งตระกูล แต่นางก็ยังยอมเสี่ยงโดยไม่กลัวเกรงอาญาแผ่นดิน ด้วยรักบุตรสาวเหลือเกินขอเพียงรัชทายาทหมิงเฉิงหลงใหลในตัวโม๋เอ๋อร์ก็เท่านั้นวั่นหรงลอบฝึกปรือบ่มเพาะโม๋เอ๋อร์อย่างเข้มงวดจนมั่นใจว่าเสน่หานวลนางร้ายกาจเข้าขั้น จึงรู้สึกพึงพอใจมากเมื่องานมงคลเกิดขึ้นตามกำหนดการ โดยไม่มีคลาดเคลื่อนเลยแม้แต่น้อย ฤกษ์งามยามอยู่บ้านเจ้าสาว มีสายตาหลายคู่จากคนบ้านโหว ไม่ว่าจะเป็นนายท่านโหว ฮูหยินรอง ฮูหยินสาม และอนุงดงามทุกนาง ยังมีบุตรธิดาอีกหลายคน ที่คอยจับจ้องด้วยริษยาโม๋เอ๋อร์จึงอยู่ไกลๆ ไม่เข้าใกล้พิธี ส่วนหยูเสวี่ยก็ทำต
มิใช่เพียงหยูเสวี่ยฝ่ายเดียวที่กำลังคิดการณ์ปกป้องโม๋เอ๋อร์อยู่หากแต่โม๋เอ๋อร์เองก็กำลังคิดการณ์เช่นเดียวกันหญิงสาวพร้อมเชื่อฟังและปกป้องทุกคนอยู่แล้ว เพราะทั้งวั่นหรงและหยูเสวี่ยคือครอบครัวของนางนี่นาอีกอย่าง เรื่องการแต่งงานนี่ก็ไม่เห็นจะยากเลยสักนิด เพียงแค่ทำตามคำแนะนำทุกสิ่งจากฮูหยินที่สรุปได้เพียงสามคำยั่วยวน เจ้าเล่ห์ และสมสู่นางเคยเห็นสัตว์ป่าสมสู่กันบ่อยไป ไม่ว่าจะเป็นหมูป่า กวาง เก้ง ลิง นก ส่วนปลายังไม่เคยดำน้ำลงไปดูเสียทีหญิงสาวเหลือบตามองผ่านผ้าคลุมหน้าไปที่คานด้านบนของเรือนหอ ในใจก็ครุ่นคิดอีกว่าหากจะสมสู่เยี่ยงลิงที่โหนอยู่บนต้นไม้คงไม่เหมาะเช่นนั้นแล้วแค่นอนราบบนเตียงนอนตามภาพในตำราที่โหวฮูหยินเปิดให้ดูก็พอกระมังหึหึ! ยากที่ใด?โม๋เอ๋อร์นั่งหัวเราะอยู่ในใจภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีแดงเนิ่นนานผ่านไป เปลวเทียนเริ่มอ่อนแสง หากแต่เจ้าบ่าวก็ยังไม่ปรากฏกายเสียทีโม๋เอ๋อร์จึงทนมิได้อีกต่อไป“คุณหนู ข้าหิวแล้ว”หยูเสวี่ยได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตาโต รีบปรามเสียงเบา“จุ๊ๆ เจ้าต้องเรียกข้าว่าเสี่ยวโม๋ ห้ามเรียกว่าคุณหนูนะ ส่วนข้าก็จะเรียกเจ้าว่าพระชายา อย่าลืมข้อนี้เชียว”หญิงสาว
ที่หน้าประตูเรือนชั้นนอกของเรือนหอรอบด้านยังคงเป็นค่ำคืนยามราตรี หากแต่กลับสว่างไสวยิ่งนัก ด้วยโคมไฟสีมงคลยังคงส่องแสงอยู่เต็มไปหมดใบหน้างดงามโดดเด่นของโม๋เอ๋อร์หันซ้ายแลขวา มองหาเป้าหมายแห่งตนอย่างแน่วแน่มั่นคงเจ้าบ่าวอยู่หนใด จงมาเข้าหอกับข้าเดี๋ยวนี้!!!หญิงสาวคิดในใจอย่างหมายมาด ดวงเนตรกลมโตสดใสทอประกายกระหายวาบทันใดนั้นพลันมีเสียงกระซิบหนึ่งดังเล็ดลอดออกมาจากมุมเฉลียงของเรือน“ข้ารู้สึกน่าเห็นใจพระชายาเหลือเกิน” เสียงนั้นเป็นเสียงของสตรี นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังออกว่า เวทนาอย่างแท้จริง“ทำไมหรือ?” อีกเสียงหนึ่งเอ่ยถามเสียงเบาหวิว“คืนนี้เป็นคืนมงคลแท้ๆ แต่รัชทายาทเลือกเดินเข้าเรือนอนุแทนเข้าหอกับเจ้าสาวนี่ปะไร”“โอว...”“เมื่อครู่ข้าเดินผ่าน เห็นเงาเลือนรางของรัชทายาทกับอนุนางนั้นแนบชิดสนิทสนมยิ่ง”“อา...”ถึงแม้เสียงสนทนาจะแผ่วเบา และอยู่ในมุมลับตา หากแต่โม๋เอ๋อร์กลับได้ยินชัดเจนยิ่งหยูเสวี่ยก็ได้ยินเช่นกัน ช่วงพิธีการหลังจากเปลี่ยนตัวกับโม๋เอ๋อร์ นางที่เป็นเพียงสาวใช้อยู่รอบนอก ได้มีโอกาสพินิจ ทุกสิ่งและทุกคนภายในงาน ได้เห็นรัชทายาทหมิงเฉิงเต็มสองตาหญิงสาวไม่อาจไม่ยอมรั
ความกลัววูบหนึ่งในแบบที่ไม่เคยเป็นกับใคร พลันเกิดขึ้นกับสตรีเช่นโม๋เอ๋อร์ ในจังหวะเดียวกันที่เงาร่างอรชรพลันสาดแสงแวบหนึ่ง แล้ววาบหายไปเพียงเสี้ยวอึดใจ ผ้าม่านกระโจมพลันเปิดสะบัด ร่างแกร่งพลันพุ่งพรวดเข้ามาหมิงเฉิงวิ่งถลาเข้าหารวดเร็ว ทันได้เห็นแสงสีทองวูบไหวในอากาศ เพียงเสี้ยวเวลาเท่านั้น ร่างสูงยืนนิ่ง เรียวตาเบิกกว้าง ใบหน้าแข็งค้าง ริมฝีปากเปล่งเรียกคราหนึ่ง“หนวี่เอ๋อร์...”บุรุษยืนเคว้ง มองโดยรอบภายในกระโจม ลำตัวแข็งเกร็ง ชะงักนิ่งเงียบงันนามหนวี่เอ๋อร์นี้ ล้วนมาจากเซียนหนวี่และหนวี่เสินที่หมิงเฉิงมั่นใจเหลือเกิน ว่านางสูงส่งเทียมฟ้าหาใช่สตรีธรรมดา ในความรู้สึกหมิงเฉิงหมุนกายวิ่งออกนอกกระโจม สองตาคมปลาบกวาดมองไปทั่วบริเวณ ไม่สนใจเหล่าทหารที่กำลังโกลาหลวุ่นวายกับการกำจัดซากสัตว์ป่าที่ล้มตายก่อนหน้าสองเท้าก้าวฉับๆ ไปทิศทางหนึ่ง เมื่อเห็นนางกำนัลเดินผ่านก็เรียกมา แล้วถามหาพระชายาของตน“พระชายาตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ร่ำไห้เสียขวัญยิ่ง ยามนี้อยู่ในกระโจม บ่าวหลายคนไปอยู่เป็นเพื่อนแล้วเพคะ”นั่นคือคำตอบของนางกำนัลก่อนยอบกายแล้วล่าถอยไปหมิงเฉิงได้แต่ยืนอึ้ง เงียบงันอยู่เช่
ลานโล่งเยื้องด้านหน้ากระโจมขององค์รัชทายาทเหล่าสัตว์ป่าดุร้ายยังคงกระโจนขึ้นหน้าแบบไม่คิดชีวิต ทุกตัวไม่สนใจคมดาบของทหารคนใด เอาแต่ขู่คำรามกรรโชกรุนแรง แล้วพุ่งทะยานเข้าใส่ เพียงหมิงเฉิงผู้เดียวรัชทายาทหนุ่มแค่นเสียงสบถในลำคอ เงื้อดาบขึ้นหน้าฟาดฟันไม่มียั้งทว่าในเสี้ยวเวลานั้นเอง เหล่าสัตว์ร้ายหิวกระหายคล้ายกับได้สติฉับพลัน ดวงตาสีแดงเพลิงของพวกมันพลันเบิกกว้างถลึงมองค้างทั้งเสือร้ายและหมาป่าต่างพากันชะงักงันกลางอากาศ ก่อนจะทิ้งร่างกระแทกพื้น ทุกตัวดิ่งร่วงลงต่ำราวห่าฝนกะทันหันร่างของสัตว์ใหญ่ตกกระทบพื้นดินดังพลั่กพลั่กติดต่อกัน จากนั้นพวกมันก็ตะลึงลานก่อนร้องโหยหวนคล้ายเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัส แล้วรีบปัดป่ายสี่ขาลนลานลุกขึ้นวิ่งหนีออกไปคนละทิศละทาง ประหนึ่งหนูเจอราชสีห์ หวาดกลัวสุดชีวิตเสียงสวบสาบครืนครืนเกิดขึ้นจากฝีเท้ามากมายของเหล่าสัตว์ร้ายที่คล้ายกับหนีตาย เพียงพริบตา เหล่าสัตว์ป่าล้วนหายไปในความมืดมิดของผืนป่า ประหนึ่งลมพัดโหมหอบใหญ่หมิงเฉิงตะลึงในใจ เรียวคิ้วคมกระตุกวูบ สัมผัสได้ถึงไอเย็นที่คุ้นเคย จากทางด้านหลัง ที่กระโจมนั่นแน่งน้อย!ชายหนุ่มไม่รอช้า ไม่สนใจผู้ใด
เมื่อพวกมันกระโจนเข้าใกล้ในระยะประชิด หมิงเฉิงก็ยกดาบหนาหนักในมือขึ้นอย่างไม่ครั่นคร้าม ฟาดฟันสัตว์ป่าหิวกระหายจนกระเด็นไปไกล เลือดสีแดงฉานสาดกระจาย เหม็นคาวคละคลุ้ง ตลบอบอวลชวนสะอิดสะเอียนหนึ่งตัวปลิวไป สองตัวละลิ่วตาม สองแขนปัดป่ายซ้ายขวาด้วยท่วงท่าทรงพลัง ความอำมหิตเกิดขึ้นพริบตาหมิงเฉิงล้วนสังหารเจ้าเดรัจฉานได้หฤโหดยิ่งนักชั่วจังหวะที่เหล่าสัตว์ร้ายกำลังรุมขย้ำบุรุษสูงศักดิ์ บรรดาทหารก็พากันขึ้นหน้า โอบล้อมเข้าหา พร้อมอาวุธเข้าช่วยเหลือ ทุกคนกล้าหาญขึ้นมาก เมื่อเห็นองค์รัชทายาทน่ากลัวยิ่งกว่าพวกสัตว์ป่าทั้งหลายทว่า...เหมือนมันยังไม่หมดง่ายๆเหล่าสัตว์ร้ายจากมุมมืดในป่าใหญ่ คล้ายกับมีจำนวนมากมายมหาศาล ฆ่าให้ตายอย่างไรก็ไม่หมดเสียทีบัดนี้ พลันมีเสียงเคลื่อนตัวสวบสาบแหวกหญ้าพุ่งปราดจากทุกสารทิศ อึดใจก็รวมตัวกันแล้วเกิดเสียงครืนๆ จากในป่าลึก เสียงนั้นคือการเคลื่อนตัวของสัตว์ฝูงหนึ่ง สวบสาบแหวกหญ้าพุ่งปราดจากทุกสารทิศจนรวมตัวกัน แล้วเกิดเสียงครืนๆ จากในป่าลึกดังเข้ามาใกล้ทุกที ทั้งคำราม ขู่กรรโชก เห่าหอน ดังลั่นไปทั่วไม่นาน...แสงสีแดงน่ากลัวมากมายพลันเกิดขึ้นพรึบปานหิ่งห้อยฤดูร้อ
เหล่าทหารกล้าพร้อมอาวุธกระชับแน่นในมือ รุมล้อมเหล่าสัตว์ร้ายอีกชั้นหนึ่ง ทุกคนเหงื่อซึมพร่างพราวที่ขมับซ้ายขวา ริมฝีปากแห้งผาก สองตาทุกคู่จ้องเขม็ง ไม่กล้ากะพริบ พยายามโอบโดยรอบบริเวณ เพื่อกระชับพื้นที่ ทว่าไม่อาจเข้าหาหมิงเฉิงได้แต่อย่างใดฮ่องเต้ เหล่าสนม องค์ชายรอง และพระชายาคนอื่นๆ ต่างได้รับการคุ้มกันห่างออกมา ทุกคนทำได้เพียงมองไปทางกระโจมของหมิงเฉิงอย่างหวาดหวั่นขวัญผวา แตกตื่นตกใจในแววตา เนื้อตัวสั่นเทาไม่หยุดเห็นได้ชัดว่าไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนเลยสักครั้งทั้งหมดพากันยืนอย่างสงบ เงียบเชียบกันทุกคน ไม่กล้าพูดจา ไม่กล้าแม้แต่จะขยับปลายเท้าเบื้องหน้าของพวกเขา คือบุรุษชุดครามเพียงหนึ่งเดียว ยืนตระหง่านอย่างสงบ ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา รอบกายแผ่กำจายความเย็นเยียบออกมา ทว่ากลับแผ่ซ่านความร้อนระอุ ใกล้ปะทุจุดเดือด หมิงเฉิงยังคงสงบนิ่งท่ามกลางเหล่าสัตว์ร้ายมากมายที่กำลังคลุ้มคลั่งหลายสิบตัว พวกมันพากันแยกเขี้ยว ดวงตาแดงก่ำพร้อมเดือดดาล ห้อมล้อมเพียงรัชทายาทแค่หนึ่งเดียว ในขณะที่รอบด้านคือทหารดำทะมึน ที่ห้อมล้อมหยั่งเชิงสัตว์ร้าย หมายมิให้กล้ำกราย ทว่ากลับมิกล้าเข้าใกล้ลมเหมันต
โม๋เอ๋อร์ออกคำสั่งเสียงนุ่มตามเห็นสมควร เพราะว่านางไม่อาจพุ่งตัวออกไปว่องไวให้ใครผิดสังเกตเอาได้เมื่อนางกำนัลทั้งสองคนพากันวิ่งออกไปตามคำสั่ง โม๋เอ๋อร์จึงรีบลุกจากเตียงแล้วสวมชุดคลุมสีชมพูสดใส ปล่อยผมยาวสยายเคลียไหล่ เพราะไม่มีเวลารวบมัด จากนั้นก็เดินตามนางกำนัลไปชั่วอึดใจ นางกำนัลทั้งสองก็วิ่งกลับมาหาโม๋เอ๋อร์ แล้วรีบเล่าความให้ฟังว่า“เรียนพระชายา มีสัตว์ร้ายกลุ่มหนึ่งกำลังรุมทำร้ายองค์รัชทายาทเพคะ ได้ยินทหารเล่าว่า เมื่อช่วงหัวค่ำ รัชทายาทเดินเข้าไปในป่า แล้วกลับออกมา จากนั้น...”โม๋เอ๋อร์ไม่เสียเวลารอฟังจนจบ นางรีบสาวเท้าขึ้นหน้า ทว่านางกำนัลยังคงตามติดเพื่อบอกเล่าต่อความว่า“พวกทหารพากันสงสัยว่าองค์รัชทายาทเข้าป่าไปทำไม แต่บัดนี้ ทุกคนล้วนกระจ่างแจ้งแล้ว”นางกำนัลอีกคนรีบเอ่ยเสริม “พระองค์อาจจะจงใจเข้าไปนำสิ่งของสำคัญในป่าลึกออกมาเป็นแน่ อาจเป็นหินปีศาจ วารีพิฆาต บุปผาสวรรค์ ผลไม้เทพ พวกสัตว์ร้ายจึงตามมาทวงคืน” โม๋เอ๋อร์ปราศจากวาจา นั่นมันคำสันนิษฐานอันใด?ด้วยแน่ใจว่าหมิงเฉิงมิใช่คนโลภ และยิ่งมั่นใจ ว่าเจ้าสิ่งของเหล่านั้น มิใช่ผู้ใดจักหยิบเอามาได้โดยง่ายบ้าไปแล้ว...กระโจม
พลบค่ำ อากาศหนาวเย็นยิ่งกว่ายามกลางวัน บรรยากาศภายในหุบเขาวังเวงยิ่ง ทว่ารอบด้านกลับคึกคักครื้นเครง มีโคมไฟสาดส่องให้แสงสว่างไปทั่วกระโจมที่พักต่างๆ ล้วนแบ่งแยกชายหญิง ไม่เว้นแม้แต่สามีภรรยา องค์ชายกับชายา องค์จักรพรรดิกับพระสนมกฎระเบียบย่อมเป็นเช่นนี้ เพราะฮ่องเต้ทรงพาพระสนมคนโปรดมาถึงสามคน องค์ชายยังพาอนุชายามาด้วยมากกว่าหนึ่งคน หมิงเฉิงกับโม๋เอ๋อร์จึงต้องแยกกระโจมกันแต่โดยดี ไม่อาจทำตามแต่ใจเหมือนดั่งที่นั่งชมการประลองในยามกลางวันได้อีกแล้วยามนี้สี่ทิศโดยรอบ ทหารส่วนใหญ่ทำหน้าที่เวรยามอยู่ไกลๆ บ้างเดินสำรวจ บ้างยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้ พวกที่เหลือพากันล้อมวง มีกองไฟอยู่ตรงกลาง บ้างร่ำสุรา บ้างหยอกล้อบ้าระห่ำยังมีบางกลุ่มที่สุมหัวแทบจะชนกัน หัวเราะฮ่าฮ่า ปากก็กล่าวว่า มาๆ วางเงินๆ สูงต่ำข้าแทง ถึงตาเจ้าแล้ว...นอกจากเหล่าทหาร ยังมีบรรดานางกำนัล ในตำแหน่งต่างๆ พากันเดินขวักไขว่เพื่อรับใช้เจ้านายราชนิกุลที่เป็นบุรุษ นั่งเสวนากันในกระโจมหลัก ร่วมโต๊ะอาหารและดื่มเหล้าด้วยกัน ส่วนราชนิกุลฝ่ายสตรี ต่างพากันพักผ่อนแยกย้าย ในกระโจมของแต่ละคน ล้วนไม่ยุ่งเกี่ยวเมื่อเป็นเช่นนี้ โม๋เอ๋อร์จึงนั่
ชั่วจังหวะที่สายตาจับจ้องเพียงสามี แสงแดดก็ดี หิมะก็ดี ล้วนสะท้อนร่างแกร่งทรงพลังของเขาจนเกิดความแวววาวเปล่งประกายเจิดจ้า พาหัวใจเต้นตึกตักรุ่มร้อนหนักหนาทว่าพริบตานั้น โม๋เอ๋อร์เพียงสังเกตได้ ว่ามีสิ่งหนึ่งพุ่งปรี่ไปที่หมิงเฉิง สิ่งนั้นพุ่งปราด ราวกับเป็นเพียงสายลมโชยวูบเดียว ผ่านหน้าไป มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้นหากแต่โม๋เอ๋อร์ย่อมมองเห็นสิ่งนั้นคือเข็มปริศนานับสิบเล่ม พุ่งทะลวงยังทิศทางหนึ่งและเป้าหมายคือหมิงเฉิง…ก่อนคิดการอื่นใด หญิงสาวเพียงเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ เข็มทุกเล่มพลันอ่อนยวบแล้วสลายหายไปในพริบตานางมิรู้ว่าคืออันใด มาจากทิศใด แต่หากปล่อยเอาไว้ย่อมทิ่มแทงสามีนาง กระทั่งขัดขวางการต่อสู้ร่ายกระบวนท่าอันสง่างามทรงเสน่ห์มนต์มารของเขาได้ซึ่งนางไม่อาจยอม...คนกำลังเหม่อมองอยู่ มิรู้หรือไร?โม๋เอ๋อร์นับว่าเป็นสตรีที่เอาแต่ใจยิ่ง!โดยเฉพาะเรื่องของหมิงเฉิง...หลังจากปล่อยเข็มอาบยาพิษไปแล้วหมิงเยวี๋ยนเพียงรอผลลับ ทว่าผลกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง เข็มพิษเหล่านั้นล้วนอันตรธานหายไปได้อย่างไร?ชายหนุ่มนึกฉงนงงงวย ทว่าหาใช่พวกขลาดเขลาที่ยอมแพ้ง่ายดาย ยิ่งมิใช่เสียเวลาปล่อยโอกาสงามๆ ยามนี้
ทั่วบริเวณเงียบกริบ ผืนธงใหญ่สะบัดพลิ้ว สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องอยู่ที่กลางลานกว้างยามนี้ กระบวนท่าแรกของการปะทะได้เริ่มขึ้นแล้ว หมิงเหอตวัดดาบวิบวับตัดฉับได้แต่ลม เมื่อหมิงเฉิงรู้ทันและเบี่ยงตัวหลบได้ว่องไวปราดเปรียว เสี้ยวเวลาเดียวกันนั้น เว่ยหลุนก็ถลันขึ้นหน้า พร้อมหอกเหล็กพุ่งปลายแหลมคมรวดเร็ว หมายจ้วงแทงให้ตรงจุดอันตราย แม้ไม่ตายก็เจ็บสาหัสได้ ทว่าหมิงเฉิงล้วนถนัดปัดกวาดคล่องแคล่ว เพียงปลายหอกอีกฝ่ายแหวกอากาศมา ปลายทวนเขาก็สกัดจนกระเด็นไปทั้งคนทั้งหอกแล้ว แม่ทัพอีกสามคนล้วนมีอาวุธที่เลือกสรรอย่างดี ไม่ว่ากระบี่ ดาบ ตะขอด้ามยาว พวกเขาพุ่งตัวมาราวลูกธนูหลุดจากแหล่ง สะบัดอาวุธในมือพลิ้วไหว ขับเคลื่อนปราณผสานเพลงยุทธ์ได้ดีเยี่ยมเปี่ยมพลังมหาศาลเสียงเคร้งคร้างตีกระทบกันดังกึกก้อง ทวนเหล็กไหลในมือหมิงเฉิงสามารถรุกรับได้ทุกกระบวนท่า ทุกศาสตราวุธที่พุ่งมาพร้อมกันล้วนสิ้นลายเมื่อเจอเขาเกล็ดหิมะพัดคลุ้งยุ่งเหยิง เมื่อทั้งหมดต่างร่ายเพลงยุทธ์พลังศึกใส่กันพร้อมพรั่ง เสียงกระแทกเหล็กดังลั่นไม่ขาดสายร่างบุรุษทั้งหลายต่างทะยานขึ้นลง สลับปัดป่ายว่องไว รุกรับประสาน กระแทกกระทั้น หลบหลีกปราดเป
ใบหน้าหล่อเหลาผุดรอยยิ้มเย็นชา เอ่ยปากเสียงต่ำว่า “ในเมื่อพี่รองต้องการ น้องสามย่อมยินดี”กล่าวจบเพียงยกฝ่ามือหนาผายออกด้านข้างลำตัว รองแม่ทัพผู้รู้ใจในทุกสนามรบก็รีบถลาขึ้นหน้านำทวนเหล็กไหลมายื่นส่งให้ แล้วล่าถอยไปร่างใหญ่ยืนนิ่งสูงตระหง่านดุจปราการแกร่ง หมิงเฉิงกำทวนเหล็กหนาหนักเอาไว้แน่นด้วยมือเดียว ยกขึ้นสูงเล็กน้อย สายตาเย็นเยียบ สีหน้าราบเรียบไม่แปรเปลี่ยน แล้วกระแทกทวนเหล็กลงพื้นเสียงดัง ‘ตึง’ แผ่นดินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนพลันถูกกะเทาะจนปริแตกเป็นทางยาว เกล็ดหิมะร่วงกราวลงช่องแคบไป สะเทือนถึงปลายเท้าของหมิงเหอ เว่ยหลุน และแม่ทัพอีกสามคน ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ทุกสายตามองหมิงเฉิงเงียบงัน เปล่งวาจาไม่ออกสักคน ร่างสูงเคยยืนเคร่งขรึมพร้อมทวนเหล็กในท่านี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน บนหลังอาชายิ่งถนัดถนี่ยามควบขี่ประจัญบาน ความทรงพลังของเขาผสานเข้ากับเหล็กกล้าในมือมาแล้วหลายครายามสู้ศึกแต่ละครั้งมักจะทำให้ทั้งม้าทั้งคนฝ่ายศัตรูกระเด็นไปไกลหลายจั้ง คนพวกนั้นมีร่างกายที่ฉีกขาดแหลกเหลวในพริบตาเดียว เลือดแดงฉานสาดกระจายไปทั่วอากาศ แผ่ขยายเป็นวงกว้างได้อย่างน่ากลัว แม่ทัพสามคนที่ถูกช