เจียงฮองเฮาคือพี่สาวของมารดาที่แท้จริงของหมิงเฉิง ซึ่งเป็นสนมชั้นกุ้ยเฟย สิ้นชีพไปหลังจากให้กำเนิดหมิงเฉิงเพียงไม่นาน สาเหตุล้วนมาจากริษยาของสตรีวังหลังอันถูกความโปรดปรานของฮ่องเต้กระตุ้นเจียงฮองเฮาไร้บุตรธิดา และหมิงเฉิงคือหลานชายแท้ๆ พระนางจึงรับหมิงเฉิงมาดูแลด้วยองค์เองอย่างดีเสมอมากระทั่งพระนางตั้งครรภ์มังกรเป็นของตนเอง ก็ยังคงรักทะนุถนอมหมิงเฉิงไม่เสื่อมคลายเมื่อได้ฟังความจริงจากปากของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาจึงคล้ายกับได้ยินเสียงสวรรค์ด้วยเหตุนี้คำครหาและเคลือบแคลงสงสัยในตัวหมิงเฉิง จึงได้ฮองเฮาลอบปกป้องอย่างลับๆ จนเขาเติบใหญ่ และเพื่อที่แผนการตลบหลังศัตรูจะได้ดำเนินต่อไป ทั้งยังไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น พระนางจึงเงียบเชียบที่สุด หาได้โจ่งแจ้งไม่น้ำพระทัยของฮ่องเต้ยากแท้หยั่งถึง ความรู้สึกนึกคิดล้วนเกินคาดเดาในทุกสิ่ง ฮองเฮากับหมิงเฉิงจึงร่วมกันปกปิดเรื่องของทายาทน้อยเอาไว้ได้อย่างแนบเนียนเสมอมาความลับนี้จึงรู้เพียงสี่คน คือฮองเฮา หมิงเฉิง แม่นมเฒ่า และตัวหมิงจินเอง เพื่อรอเวลาที่เหมาะสมมอบบัลลังก์มังกรให้แก่เจ้าของที่แท้จริงตามกฎมณเฑียรบาลแห่งต้าหมิง ตำแหน่งรัชทายาทอันเป็
สามเดือนหลังจากถูกเคี่ยวกรำให้กลายเป็นสตรีดีพร้อมสำหรับออกเรือนด้วยไม่ต้องการให้เกิดเหตุใดผิดพลาดก่อนถึงวันแต่งงาน วั่นหรงจึงแอบรับโม๋เอ๋อร์เป็นบุตรสาวบุญธรรมอย่างลับๆ หาได้เปิดเผยออกไป เพราะอาจถูกคัดค้านจนเสียแผนการ ทั้งนี้ยังเป็นเกราะป้องกันชั้นหนึ่งอย่างดี หากเกิดเหตุใดผิดพลาดขึ้นหลังจากแต่งงาน เรื่องนี้อาจจะสามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้ อย่างน้อยก็คงไม่ต้องถึงขั้นประหารเก้าชั่วโคตรกระมังโหวฮูหยินรู้ดีแก่ใจว่า เรื่องนี้นับเป็นการหลอกลวงเบื้องสูงอย่างสาหัส มีโทษถึงตาย ประหารทั้งตระกูล แต่นางก็ยังยอมเสี่ยงโดยไม่กลัวเกรงอาญาแผ่นดิน ด้วยรักบุตรสาวเหลือเกินขอเพียงรัชทายาทหมิงเฉิงหลงใหลในตัวโม๋เอ๋อร์ก็เท่านั้นวั่นหรงลอบฝึกปรือบ่มเพาะโม๋เอ๋อร์อย่างเข้มงวดจนมั่นใจว่าเสน่หานวลนางร้ายกาจเข้าขั้น จึงรู้สึกพึงพอใจมากเมื่องานมงคลเกิดขึ้นตามกำหนดการ โดยไม่มีคลาดเคลื่อนเลยแม้แต่น้อย ฤกษ์งามยามอยู่บ้านเจ้าสาว มีสายตาหลายคู่จากคนบ้านโหว ไม่ว่าจะเป็นนายท่านโหว ฮูหยินรอง ฮูหยินสาม และอนุงดงามทุกนาง ยังมีบุตรธิดาอีกหลายคน ที่คอยจับจ้องด้วยริษยาโม๋เอ๋อร์จึงอยู่ไกลๆ ไม่เข้าใกล้พิธี ส่วนหยูเสวี่ยก็ทำต
มิใช่เพียงหยูเสวี่ยฝ่ายเดียวที่กำลังคิดการณ์ปกป้องโม๋เอ๋อร์อยู่หากแต่โม๋เอ๋อร์เองก็กำลังคิดการณ์เช่นเดียวกันหญิงสาวพร้อมเชื่อฟังและปกป้องทุกคนอยู่แล้ว เพราะทั้งวั่นหรงและหยูเสวี่ยคือครอบครัวของนางนี่นาอีกอย่าง เรื่องการแต่งงานนี่ก็ไม่เห็นจะยากเลยสักนิด เพียงแค่ทำตามคำแนะนำทุกสิ่งจากฮูหยินที่สรุปได้เพียงสามคำยั่วยวน เจ้าเล่ห์ และสมสู่นางเคยเห็นสัตว์ป่าสมสู่กันบ่อยไป ไม่ว่าจะเป็นหมูป่า กวาง เก้ง ลิง นก ส่วนปลายังไม่เคยดำน้ำลงไปดูเสียทีหญิงสาวเหลือบตามองผ่านผ้าคลุมหน้าไปที่คานด้านบนของเรือนหอ ในใจก็ครุ่นคิดอีกว่าหากจะสมสู่เยี่ยงลิงที่โหนอยู่บนต้นไม้คงไม่เหมาะเช่นนั้นแล้วแค่นอนราบบนเตียงนอนตามภาพในตำราที่โหวฮูหยินเปิดให้ดูก็พอกระมังหึหึ! ยากที่ใด?โม๋เอ๋อร์นั่งหัวเราะอยู่ในใจภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีแดงเนิ่นนานผ่านไป เปลวเทียนเริ่มอ่อนแสง หากแต่เจ้าบ่าวก็ยังไม่ปรากฏกายเสียทีโม๋เอ๋อร์จึงทนมิได้อีกต่อไป“คุณหนู ข้าหิวแล้ว”หยูเสวี่ยได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตาโต รีบปรามเสียงเบา“จุ๊ๆ เจ้าต้องเรียกข้าว่าเสี่ยวโม๋ ห้ามเรียกว่าคุณหนูนะ ส่วนข้าก็จะเรียกเจ้าว่าพระชายา อย่าลืมข้อนี้เชียว”หญิงสาว
ที่หน้าประตูเรือนชั้นนอกของเรือนหอรอบด้านยังคงเป็นค่ำคืนยามราตรี หากแต่กลับสว่างไสวยิ่งนัก ด้วยโคมไฟสีมงคลยังคงส่องแสงอยู่เต็มไปหมดใบหน้างดงามโดดเด่นของโม๋เอ๋อร์หันซ้ายแลขวา มองหาเป้าหมายแห่งตนอย่างแน่วแน่มั่นคงเจ้าบ่าวอยู่หนใด จงมาเข้าหอกับข้าเดี๋ยวนี้!!!หญิงสาวคิดในใจอย่างหมายมาด ดวงเนตรกลมโตสดใสทอประกายกระหายวาบทันใดนั้นพลันมีเสียงกระซิบหนึ่งดังเล็ดลอดออกมาจากมุมเฉลียงของเรือน“ข้ารู้สึกน่าเห็นใจพระชายาเหลือเกิน” เสียงนั้นเป็นเสียงของสตรี นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังออกว่า เวทนาอย่างแท้จริง“ทำไมหรือ?” อีกเสียงหนึ่งเอ่ยถามเสียงเบาหวิว“คืนนี้เป็นคืนมงคลแท้ๆ แต่รัชทายาทเลือกเดินเข้าเรือนอนุแทนเข้าหอกับเจ้าสาวนี่ปะไร”“โอว...”“เมื่อครู่ข้าเดินผ่าน เห็นเงาเลือนรางของรัชทายาทกับอนุนางนั้นแนบชิดสนิทสนมยิ่ง”“อา...”ถึงแม้เสียงสนทนาจะแผ่วเบา และอยู่ในมุมลับตา หากแต่โม๋เอ๋อร์กลับได้ยินชัดเจนยิ่งหยูเสวี่ยก็ได้ยินเช่นกัน ช่วงพิธีการหลังจากเปลี่ยนตัวกับโม๋เอ๋อร์ นางที่เป็นเพียงสาวใช้อยู่รอบนอก ได้มีโอกาสพินิจ ทุกสิ่งและทุกคนภายในงาน ได้เห็นรัชทายาทหมิงเฉิงเต็มสองตาหญิงสาวไม่อาจไม่ยอมรั
ร่างสูงสง่ายังคงยืนทอดอารมณ์อยู่นิ่งๆ รับแสงจันทร์สาดส่องตรงริมหน้าต่างอยู่เงียบๆชั่วจังหวะนั้น สายตาคมปลาบพลันเหลือบไปเห็นเงาสองสายอยู่มุมไกล ใบหน้าหล่อเหลาที่เย็นชาจึงเคร่งขรึมทันใดเมื่อเงาหนึ่งในสองที่เห็น เป็นสตรีในชุดสีแดงมงคลกำลังเดินพล่านไปทั่วตำหนักบูรพาเรือนหลักส่วนตัวของหมิงเฉิงใหญ่โตและมีสองชั้น ตำแหน่งที่ชายหนุ่มยืนอยู่คือชั้นสอง เป็นห้องที่อยู่ในมุมสูงซึ่งมองเห็นบริเวณตำหนักได้รอบทิศทางและยามนี้เขาก็เห็นเจ้าสาวที่เป็นพระชายา กำลังเดินไปเดินมา ประหนึ่งแมวป่าออกหากินยามราตรีท่าทางเดินไปเดินมาคล้ายกำลังตามหาคนนั่นคืออันใด?นางควรนั่งอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ในเรือนหอมิใช่หรือไร?เรียวคิ้วคมเข้มพลันขมวดเข้าหากัน ดวงเนตรคมดำหรี่เล็กแคบลงอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นได้ชัดว่า สตรีในชุดเจ้าสาวกำลังออกตามหาเขาที่เป็นเจ้าบ่าวไม่ว่าสตรีนางใด หากเขาไม่พึงใจและไม่เข้าหา ก็ไม่ควรเพ่นพ่านออกมาตามหาเขานี่คือกฎ!จังหวะที่หมิงเฉิงกำลังเพ่งมองพระชายาอย่างเดือดดาล ฉับพลันนั้นนางก็ตวัดสายตาฉับขึ้นมองเขาดวงตากลมโตทอประกายวาวระยับล้อแสงจันทรายามสบตาอยู่ชั่วขณะ ปากสีแดงชาดของนางขยับคลี่ยิ้มกว้าง ก่อ
ท่ามกลางราตรีกาลอันเงียบเชียบ ใต้แสงจันทราสีนวลบางเบาบนต้นไม้ข้างเรือนหลักห่างออกไปไม่ไกลนัก บุรุษหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งนั่งชันเข่าหนึ่งข้าง พิงแผ่นหลังกว้างกับลำต้นของไม้ใหญ่ ในมือมีเหยือกหยกเนื้อดีบรรจุเหล้ารสล้ำ เขายกขึ้นดื่มทั้งเหยือกโดยไม่ใช้จอก ร่างแกร่งในอาภรณ์ราชองครักษ์รู้สึกร้อนวาบยามเหล้าเข้าปากแล้วไหลลงท้อง รสชาติไม่เลว... เขากำลังดื่มด่ำกับค่ำคืนมงคลของพี่ชายที่ได้แต่งพระชายาทว่าชั่วจังหวะที่เขากำลังปล่อยใจไปกับราตรีเดือนเพ็ญ ก็บังเอิญได้เห็นและได้ยินสตรีสองคนที่เบื้องล่างชัดเจนหมิงจินคือบุรุษบนต้นไม้ มองเห็นทั้งสองจากมุมลับตาและสังเกตพวกนางมาครู่หนึ่งแล้วคนหนึ่งหัวเราะคิกคักท่าทางสนุกสนานซุกซนร่าเริงส่วนอีกคนท่าทางสุขุมนุ่มนวลไว้เชิงสิ่งที่หมิงจินรับรู้ได้ไม่ยากเย็น คือคุณหนูผู้เป็นเจ้าสาวมีรูปโฉมงดงามมากนางมีใบหน้าเรียวเล็ก ดวงตากลมโตกระจ่างใสภายใต้แพขนตางามงอน ริมฝีปากแต้มสีชาดเล็กบางแต่อวบอิ่มแลดูเย้ายวนใจ ผิวพรรณขาวเนียนดังหยกสลักชั้นดี ท่าทียามเยื้องกรายสง่างามไปทุกส่วน งดงามไร้ที่ติ ไม่ว่าผู้ใดได้ยลย่อมหายใจผิดไปหนึ่งจังหวะแน่นอนว่ารูปลักษณ์เช่นนี้ นับว่าไม่แป
ท่ามกลางแสงจันทร์ลออนวลส่องแสงเรืองรอง ชายหนุ่มและหญิงสาว ผู้เป็นเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวแห่งค่ำคืน กำลังยืนมองหน้ากันเงียบงัน เกิดเป็นภาพงดงามดั่งภาพฝันคล้ายมายาภายใต้เดือนเพ็ญฝ่ายหนึ่งเป็นสตรีงามพิลาศน่ารักสดใสดวงตากลมโตดุจดาราสะท้อนวารีส่วนอีกฝ่ายเป็นชายงามรูปร่างสูงใหญ่ แลดูเย็นชาผสานความทรงพลังโหดเหี้ยมดำทมิฬน่ากลัวหากแต่โม๋เอ๋อร์หาได้ยำเกรงอันใดแม้แต่น้อย นางค่อยๆ เอ่ยเสียงฉ่ำใส กะพริบตาเบาๆ เพื่อร่ายกลอนหวานตามที่ฝึกปรือ“เพียงแรกพบและสบตา พาดวงใจถวิลหามิขลาดเขลา”“...”หญิงสาวร่ายกลอนที่จำได้ขึ้นใจเพื่อบอกรักอีกฝ่ายตามที่ได้ฝึกฝนมาเนิ่นนานตลอดสามเดือน โดยไม่สนใจคนฟังที่ยามนี้หางคิ้วเริ่มกระตุก จากนั้นก็เริ่มเปิดประเด็นถามทันที หมายให้เขาไปเข้าหอแต่โดยดี ห้ามหนีกันไป“เหตุใดพระองค์ไม่ไปเข้าห้องหอกับหม่อมฉันเล่าเพคะ เราแต่งงานกันแล้วนะเพคะ และคืนนี้ก็คือคืนอันเป็นมหามงคล มีค่าเทียบเท่ากับทองพันชั่ง อ๊ะ! แล้วเหตุใดจึงใส่ชุดดำเช่นนั้น ชุดแดงของท่าน ไยไม่ใส่เล่า!”หญิงสาวถูกขัดเกลาเกี่ยวกับคำพูดจาอย่างรู้กาลเทศะมาแล้วอย่างดีเยี่ยม จึงกล่าวได้อย่างนอบน้อมและถูกต้องทุกคำ หากแต่คำถามตร
ท่ามกลางม่านมืดจากนภาแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณกลิ่นอายดำทะมึนเย็นยะเยือกจากร่างแกร่งยิ่งเข้มข้นขึ้นทุกขณะ เพิ่มความหนาวเหน็บราวเกล็ดน้ำแข็งฉาบทับด้วยหิมะ เย็นเสียยิ่งกว่าเย็นทุกขณะจิตครั้งแรกในชีวิตของชายหนุ่มอย่างหมิงเฉิง ผู้ได้รับฉายาว่ารัชทายาททมิฬผู้น่าทรงพลังน่ากลัวไปทุกหย่อมหญ้า ใครเห็นเป็นต้องหลบตา ทุกคนต่างพากันหวาดผวาครั่นคร้ามยำเกรงแต่ยามนี้กลับถูกสตรีแน่งน้อยนางหนึ่งกล่าวโทษได้อย่างน่าอาย!เจ้าสาวบอกเจ้าบ่าวว่ากำลังถูกทำโทษให้รอการเข้าหอหลายชั่วยามอย่างทรมาน อันเป็นการทำโทษที่ไร้ความผิดซึ่งนั่นย่อมหมายถึงว่า เจ้าบ่าวไร้ความรับผิดชอบต่อการเข้าหอในคืนแต่งงาน แต่กลับโยนความผิดให้เจ้าสาวอย่างไม่น่าให้อภัยเรียกได้ว่าเป็นบุรุษที่ใจคอคับแคบอย่างที่สุดเมื่อหมิงเฉิงได้ยินคำตัดพ้อโยนความผิดใส่หน้าอย่างไม่กลัวตายของสตรีน่าตายตรงหน้าในยามนี้ โทสะพลันปะทุสุมอก ไอสังหารพลันพวยพุ่งอัดแน่นไปทุกอณูเขาสามารถจับกระชากแน่งน้อยไร้ยางอายตรงหน้าให้ลอยกระเด็นไปไกลเพียงแค่พลิกฝ่ามือ หากนางเอ่ยวาจาสามหาวอีกเพียงประโยคเดียวทันใดนั้น แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาบนร่างระหงของโฉมสะคราญที่คุกเข่าร่ายมารยา
เมื่อสิ้นเสียงเหล่าสัตว์ร้าย สิ้นความโกลาหลวุ่นวาย ความสงบจึงกลับเข้ามาอีกครั้งความเคลือบแคลงสงสัยเกี่ยวกับสัตว์ป่าจำนวนมากที่เข้ามาทำร้ายองค์รัชทายาทถูกอาบไล้ไปทั่วบริเวณ แต่กระนั้นฮ่องเต้ต้าหมิง ก็ทรงทำได้เพียงเรียกรวมทุกคนเข้าร่วมหารือในกระโจมหลักเหล่าองค์ชาย แม่ทัพใหญ่และทหารกล้าอีกหลายนายเข้าร่วมประชุมเคร่งเครียด เร่งหาสาเหตุต้นตอและวิธีรับมือกับสัตว์ป่าในวันรุ่งในใจทุกคนเริ่มหวาดหวั่นว่าการที่พวกเขามาล่าสัตว์ในครานี้ ตัวพวกเขาเองอาจจะกลายเป็นฝ่ายถูกสัตว์ล่าเสียมากกว่าหมิงเฉิงที่กำลังยืนนิ่งขรึมอยู่กลางลาน สีหน้าเย็นเยียบ ประหนึ่งวิญญาณลอยไปไกลก่อนหน้า ยังถูกตามตัวมาร่วมหารือเช่นกัน ด้วยตัวเขานั้นคือหัวข้อใหญ่แห่งการประชุม พื้นที่โล่งภายในกระโจมหลัก มีขุนศึกทั้งบุ๋นบู๊กำลังยืนรวมตัวกันด้วยท่าทีเคร่งเครียด เบื้องหน้าของพวกเขาคือองค์จักรพรรดิต้าหมิงประทับนั่งเหนือสุด ด้านซ้ายและขวาของพระองค์คือองค์ชายทั้งสอง หมิงเหอ และหมิงเฉิงบุรุษชุดครามเปื้อนเลือดสัตว์ป่ายังคงนั่งนิ่งเงียบงัน ปราศจากวาจาแม้ครึ่งคำ ทั้งๆ ที่หัวข้อหารือของทุกคนในกระโจมคือเรื่องของเขา ใบหน้าหล่อเหลาของ
ความกลัววูบหนึ่งในแบบที่ไม่เคยเป็นกับใคร พลันเกิดขึ้นกับสตรีเช่นโม๋เอ๋อร์ ในจังหวะเดียวกันที่เงาร่างอรชรพลันสาดแสงแวบหนึ่ง แล้ววาบหายไปเพียงเสี้ยวอึดใจ ผ้าม่านกระโจมพลันเปิดสะบัด ร่างแกร่งพลันพุ่งพรวดเข้ามาหมิงเฉิงวิ่งถลาเข้าหารวดเร็ว ทันได้เห็นแสงสีทองวูบไหวในอากาศ เพียงเสี้ยวเวลาเท่านั้น ร่างสูงยืนนิ่ง เรียวตาเบิกกว้าง ใบหน้าแข็งค้าง ริมฝีปากเปล่งเรียกคราหนึ่ง“หนวี่เอ๋อร์...”บุรุษยืนเคว้ง มองโดยรอบภายในกระโจม ลำตัวแข็งเกร็ง ชะงักนิ่งเงียบงันนามหนวี่เอ๋อร์นี้ ล้วนมาจากเซียนหนวี่และหนวี่เสินที่หมิงเฉิงมั่นใจเหลือเกิน ว่านางสูงส่งเทียมฟ้าหาใช่สตรีธรรมดา ในความรู้สึกหมิงเฉิงหมุนกายวิ่งออกนอกกระโจม สองตาคมปลาบกวาดมองไปทั่วบริเวณ ไม่สนใจเหล่าทหารที่กำลังโกลาหลวุ่นวายกับการกำจัดซากสัตว์ป่าที่ล้มตายก่อนหน้าสองเท้าก้าวฉับๆ ไปทิศทางหนึ่ง เมื่อเห็นนางกำนัลเดินผ่านก็เรียกมา แล้วถามหาพระชายาของตน“พระชายาตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ร่ำไห้เสียขวัญยิ่ง ยามนี้อยู่ในกระโจม บ่าวหลายคนไปอยู่เป็นเพื่อนแล้วเพคะ”นั่นคือคำตอบของนางกำนัลก่อนยอบกายแล้วล่าถอยไปหมิงเฉิงได้แต่ยืนอึ้ง เงียบงันอยู่เช่
ลานโล่งเยื้องด้านหน้ากระโจมขององค์รัชทายาทเหล่าสัตว์ป่าดุร้ายยังคงกระโจนขึ้นหน้าแบบไม่คิดชีวิต ทุกตัวไม่สนใจคมดาบของทหารคนใด เอาแต่ขู่คำรามกรรโชกรุนแรง แล้วพุ่งทะยานเข้าใส่ เพียงหมิงเฉิงผู้เดียวรัชทายาทหนุ่มแค่นเสียงสบถในลำคอ เงื้อดาบขึ้นหน้าฟาดฟันไม่มียั้งทว่าในเสี้ยวเวลานั้นเอง เหล่าสัตว์ร้ายหิวกระหายคล้ายกับได้สติฉับพลัน ดวงตาสีแดงเพลิงของพวกมันพลันเบิกกว้างถลึงมองค้างทั้งเสือร้ายและหมาป่าต่างพากันชะงักงันกลางอากาศ ก่อนจะทิ้งร่างกระแทกพื้น ทุกตัวดิ่งร่วงลงต่ำราวห่าฝนกะทันหันร่างของสัตว์ใหญ่ตกกระทบพื้นดินดังพลั่กพลั่กติดต่อกัน จากนั้นพวกมันก็ตะลึงลานก่อนร้องโหยหวนคล้ายเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัส แล้วรีบปัดป่ายสี่ขาลนลานลุกขึ้นวิ่งหนีออกไปคนละทิศละทาง ประหนึ่งหนูเจอราชสีห์ หวาดกลัวสุดชีวิตเสียงสวบสาบครืนครืนเกิดขึ้นจากฝีเท้ามากมายของเหล่าสัตว์ร้ายที่คล้ายกับหนีตาย เพียงพริบตา เหล่าสัตว์ป่าล้วนหายไปในความมืดมิดของผืนป่า ประหนึ่งลมพัดโหมหอบใหญ่หมิงเฉิงตะลึงในใจ เรียวคิ้วคมกระตุกวูบ สัมผัสได้ถึงไอเย็นที่คุ้นเคย จากทางด้านหลัง ที่กระโจมนั่นแน่งน้อย!ชายหนุ่มไม่รอช้า ไม่สนใจผู้ใด
เมื่อพวกมันกระโจนเข้าใกล้ในระยะประชิด หมิงเฉิงก็ยกดาบหนาหนักในมือขึ้นอย่างไม่ครั่นคร้าม ฟาดฟันสัตว์ป่าหิวกระหายจนกระเด็นไปไกล เลือดสีแดงฉานสาดกระจาย เหม็นคาวคละคลุ้ง ตลบอบอวลชวนสะอิดสะเอียนหนึ่งตัวปลิวไป สองตัวละลิ่วตาม สองแขนปัดป่ายซ้ายขวาด้วยท่วงท่าทรงพลัง ความอำมหิตเกิดขึ้นพริบตาหมิงเฉิงล้วนสังหารเจ้าเดรัจฉานได้หฤโหดยิ่งนักชั่วจังหวะที่เหล่าสัตว์ร้ายกำลังรุมขย้ำบุรุษสูงศักดิ์ บรรดาทหารก็พากันขึ้นหน้า โอบล้อมเข้าหา พร้อมอาวุธเข้าช่วยเหลือ ทุกคนกล้าหาญขึ้นมาก เมื่อเห็นองค์รัชทายาทน่ากลัวยิ่งกว่าพวกสัตว์ป่าทั้งหลายทว่า...เหมือนมันยังไม่หมดง่ายๆเหล่าสัตว์ร้ายจากมุมมืดในป่าใหญ่ คล้ายกับมีจำนวนมากมายมหาศาล ฆ่าให้ตายอย่างไรก็ไม่หมดเสียทีบัดนี้ พลันมีเสียงเคลื่อนตัวสวบสาบแหวกหญ้าพุ่งปราดจากทุกสารทิศ อึดใจก็รวมตัวกันแล้วเกิดเสียงครืนๆ จากในป่าลึก เสียงนั้นคือการเคลื่อนตัวของสัตว์ฝูงหนึ่ง สวบสาบแหวกหญ้าพุ่งปราดจากทุกสารทิศจนรวมตัวกัน แล้วเกิดเสียงครืนๆ จากในป่าลึกดังเข้ามาใกล้ทุกที ทั้งคำราม ขู่กรรโชก เห่าหอน ดังลั่นไปทั่วไม่นาน...แสงสีแดงน่ากลัวมากมายพลันเกิดขึ้นพรึบปานหิ่งห้อยฤดูร้อ
เหล่าทหารกล้าพร้อมอาวุธกระชับแน่นในมือ รุมล้อมเหล่าสัตว์ร้ายอีกชั้นหนึ่ง ทุกคนเหงื่อซึมพร่างพราวที่ขมับซ้ายขวา ริมฝีปากแห้งผาก สองตาทุกคู่จ้องเขม็ง ไม่กล้ากะพริบ พยายามโอบโดยรอบบริเวณ เพื่อกระชับพื้นที่ ทว่าไม่อาจเข้าหาหมิงเฉิงได้แต่อย่างใดฮ่องเต้ เหล่าสนม องค์ชายรอง และพระชายาคนอื่นๆ ต่างได้รับการคุ้มกันห่างออกมา ทุกคนทำได้เพียงมองไปทางกระโจมของหมิงเฉิงอย่างหวาดหวั่นขวัญผวา แตกตื่นตกใจในแววตา เนื้อตัวสั่นเทาไม่หยุดเห็นได้ชัดว่าไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนเลยสักครั้งทั้งหมดพากันยืนอย่างสงบ เงียบเชียบกันทุกคน ไม่กล้าพูดจา ไม่กล้าแม้แต่จะขยับปลายเท้าเบื้องหน้าของพวกเขา คือบุรุษชุดครามเพียงหนึ่งเดียว ยืนตระหง่านอย่างสงบ ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา รอบกายแผ่กำจายความเย็นเยียบออกมา ทว่ากลับแผ่ซ่านความร้อนระอุ ใกล้ปะทุจุดเดือด หมิงเฉิงยังคงสงบนิ่งท่ามกลางเหล่าสัตว์ร้ายมากมายที่กำลังคลุ้มคลั่งหลายสิบตัว พวกมันพากันแยกเขี้ยว ดวงตาแดงก่ำพร้อมเดือดดาล ห้อมล้อมเพียงรัชทายาทแค่หนึ่งเดียว ในขณะที่รอบด้านคือทหารดำทะมึน ที่ห้อมล้อมหยั่งเชิงสัตว์ร้าย หมายมิให้กล้ำกราย ทว่ากลับมิกล้าเข้าใกล้ลมเหมันต
โม๋เอ๋อร์ออกคำสั่งเสียงนุ่มตามเห็นสมควร เพราะว่านางไม่อาจพุ่งตัวออกไปว่องไวให้ใครผิดสังเกตเอาได้เมื่อนางกำนัลทั้งสองคนพากันวิ่งออกไปตามคำสั่ง โม๋เอ๋อร์จึงรีบลุกจากเตียงแล้วสวมชุดคลุมสีชมพูสดใส ปล่อยผมยาวสยายเคลียไหล่ เพราะไม่มีเวลารวบมัด จากนั้นก็เดินตามนางกำนัลไปชั่วอึดใจ นางกำนัลทั้งสองก็วิ่งกลับมาหาโม๋เอ๋อร์ แล้วรีบเล่าความให้ฟังว่า“เรียนพระชายา มีสัตว์ร้ายกลุ่มหนึ่งกำลังรุมทำร้ายองค์รัชทายาทเพคะ ได้ยินทหารเล่าว่า เมื่อช่วงหัวค่ำ รัชทายาทเดินเข้าไปในป่า แล้วกลับออกมา จากนั้น...”โม๋เอ๋อร์ไม่เสียเวลารอฟังจนจบ นางรีบสาวเท้าขึ้นหน้า ทว่านางกำนัลยังคงตามติดเพื่อบอกเล่าต่อความว่า“พวกทหารพากันสงสัยว่าองค์รัชทายาทเข้าป่าไปทำไม แต่บัดนี้ ทุกคนล้วนกระจ่างแจ้งแล้ว”นางกำนัลอีกคนรีบเอ่ยเสริม “พระองค์อาจจะจงใจเข้าไปนำสิ่งของสำคัญในป่าลึกออกมาเป็นแน่ อาจเป็นหินปีศาจ วารีพิฆาต บุปผาสวรรค์ ผลไม้เทพ พวกสัตว์ร้ายจึงตามมาทวงคืน” โม๋เอ๋อร์ปราศจากวาจา นั่นมันคำสันนิษฐานอันใด?ด้วยแน่ใจว่าหมิงเฉิงมิใช่คนโลภ และยิ่งมั่นใจ ว่าเจ้าสิ่งของเหล่านั้น มิใช่ผู้ใดจักหยิบเอามาได้โดยง่ายบ้าไปแล้ว...กระโจม
พลบค่ำ อากาศหนาวเย็นยิ่งกว่ายามกลางวัน บรรยากาศภายในหุบเขาวังเวงยิ่ง ทว่ารอบด้านกลับคึกคักครื้นเครง มีโคมไฟสาดส่องให้แสงสว่างไปทั่วกระโจมที่พักต่างๆ ล้วนแบ่งแยกชายหญิง ไม่เว้นแม้แต่สามีภรรยา องค์ชายกับชายา องค์จักรพรรดิกับพระสนมกฎระเบียบย่อมเป็นเช่นนี้ เพราะฮ่องเต้ทรงพาพระสนมคนโปรดมาถึงสามคน องค์ชายยังพาอนุชายามาด้วยมากกว่าหนึ่งคน หมิงเฉิงกับโม๋เอ๋อร์จึงต้องแยกกระโจมกันแต่โดยดี ไม่อาจทำตามแต่ใจเหมือนดั่งที่นั่งชมการประลองในยามกลางวันได้อีกแล้วยามนี้สี่ทิศโดยรอบ ทหารส่วนใหญ่ทำหน้าที่เวรยามอยู่ไกลๆ บ้างเดินสำรวจ บ้างยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้ พวกที่เหลือพากันล้อมวง มีกองไฟอยู่ตรงกลาง บ้างร่ำสุรา บ้างหยอกล้อบ้าระห่ำยังมีบางกลุ่มที่สุมหัวแทบจะชนกัน หัวเราะฮ่าฮ่า ปากก็กล่าวว่า มาๆ วางเงินๆ สูงต่ำข้าแทง ถึงตาเจ้าแล้ว...นอกจากเหล่าทหาร ยังมีบรรดานางกำนัล ในตำแหน่งต่างๆ พากันเดินขวักไขว่เพื่อรับใช้เจ้านายราชนิกุลที่เป็นบุรุษ นั่งเสวนากันในกระโจมหลัก ร่วมโต๊ะอาหารและดื่มเหล้าด้วยกัน ส่วนราชนิกุลฝ่ายสตรี ต่างพากันพักผ่อนแยกย้าย ในกระโจมของแต่ละคน ล้วนไม่ยุ่งเกี่ยวเมื่อเป็นเช่นนี้ โม๋เอ๋อร์จึงนั่
ชั่วจังหวะที่สายตาจับจ้องเพียงสามี แสงแดดก็ดี หิมะก็ดี ล้วนสะท้อนร่างแกร่งทรงพลังของเขาจนเกิดความแวววาวเปล่งประกายเจิดจ้า พาหัวใจเต้นตึกตักรุ่มร้อนหนักหนาทว่าพริบตานั้น โม๋เอ๋อร์เพียงสังเกตได้ ว่ามีสิ่งหนึ่งพุ่งปรี่ไปที่หมิงเฉิง สิ่งนั้นพุ่งปราด ราวกับเป็นเพียงสายลมโชยวูบเดียว ผ่านหน้าไป มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้นหากแต่โม๋เอ๋อร์ย่อมมองเห็นสิ่งนั้นคือเข็มปริศนานับสิบเล่ม พุ่งทะลวงยังทิศทางหนึ่งและเป้าหมายคือหมิงเฉิง…ก่อนคิดการอื่นใด หญิงสาวเพียงเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ เข็มทุกเล่มพลันอ่อนยวบแล้วสลายหายไปในพริบตานางมิรู้ว่าคืออันใด มาจากทิศใด แต่หากปล่อยเอาไว้ย่อมทิ่มแทงสามีนาง กระทั่งขัดขวางการต่อสู้ร่ายกระบวนท่าอันสง่างามทรงเสน่ห์มนต์มารของเขาได้ซึ่งนางไม่อาจยอม...คนกำลังเหม่อมองอยู่ มิรู้หรือไร?โม๋เอ๋อร์นับว่าเป็นสตรีที่เอาแต่ใจยิ่ง!โดยเฉพาะเรื่องของหมิงเฉิง...หลังจากปล่อยเข็มอาบยาพิษไปแล้วหมิงเยวี๋ยนเพียงรอผลลับ ทว่าผลกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง เข็มพิษเหล่านั้นล้วนอันตรธานหายไปได้อย่างไร?ชายหนุ่มนึกฉงนงงงวย ทว่าหาใช่พวกขลาดเขลาที่ยอมแพ้ง่ายดาย ยิ่งมิใช่เสียเวลาปล่อยโอกาสงามๆ ยามนี้
ทั่วบริเวณเงียบกริบ ผืนธงใหญ่สะบัดพลิ้ว สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องอยู่ที่กลางลานกว้างยามนี้ กระบวนท่าแรกของการปะทะได้เริ่มขึ้นแล้ว หมิงเหอตวัดดาบวิบวับตัดฉับได้แต่ลม เมื่อหมิงเฉิงรู้ทันและเบี่ยงตัวหลบได้ว่องไวปราดเปรียว เสี้ยวเวลาเดียวกันนั้น เว่ยหลุนก็ถลันขึ้นหน้า พร้อมหอกเหล็กพุ่งปลายแหลมคมรวดเร็ว หมายจ้วงแทงให้ตรงจุดอันตราย แม้ไม่ตายก็เจ็บสาหัสได้ ทว่าหมิงเฉิงล้วนถนัดปัดกวาดคล่องแคล่ว เพียงปลายหอกอีกฝ่ายแหวกอากาศมา ปลายทวนเขาก็สกัดจนกระเด็นไปทั้งคนทั้งหอกแล้ว แม่ทัพอีกสามคนล้วนมีอาวุธที่เลือกสรรอย่างดี ไม่ว่ากระบี่ ดาบ ตะขอด้ามยาว พวกเขาพุ่งตัวมาราวลูกธนูหลุดจากแหล่ง สะบัดอาวุธในมือพลิ้วไหว ขับเคลื่อนปราณผสานเพลงยุทธ์ได้ดีเยี่ยมเปี่ยมพลังมหาศาลเสียงเคร้งคร้างตีกระทบกันดังกึกก้อง ทวนเหล็กไหลในมือหมิงเฉิงสามารถรุกรับได้ทุกกระบวนท่า ทุกศาสตราวุธที่พุ่งมาพร้อมกันล้วนสิ้นลายเมื่อเจอเขาเกล็ดหิมะพัดคลุ้งยุ่งเหยิง เมื่อทั้งหมดต่างร่ายเพลงยุทธ์พลังศึกใส่กันพร้อมพรั่ง เสียงกระแทกเหล็กดังลั่นไม่ขาดสายร่างบุรุษทั้งหลายต่างทะยานขึ้นลง สลับปัดป่ายว่องไว รุกรับประสาน กระแทกกระทั้น หลบหลีกปราดเป