ทิศบูรพาแห่งพระราชวังต้าหมิง ลึกเข้าไปภายในตำหนักหมิงเสียงกงของรัชทายาทหมิงเฉิง
หน้าประตูบานใหญ่ของห้องชั้นนอก มีขันทีประจำตำหนักยืนรอรับใช้พร้อมนางกำนัลติดตามขนาบข้างซ้ายขวา
ทุกคนอยู่ในกิริยายืนนิ่งก้มหน้าคล้ายหุ่นไม้ ถัดออกไปไม่ไกลมีทหารยามยืนนิ่งประหนึ่งศิลาเรียงราย
ท่ามกลางความมืดสลัวที่เงียบสงบ ปลายเท้าแผ่วเบาแต่มั่นคงเดินเรียบเรื่อยมาตามทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินสีดำ
เจ้าของปลายเท้าเป็นร่างสูงสง่าในอาภรณ์ราชองครักษ์
เขาพาใบหน้าหล่อเหลาเยื้องย่างมาที่หน้าห้องส่วนตัวของรัชทายาทหมิงเฉิง
ชายหนุ่มคือคนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของรัชทายาทต้าหมิงผู้นี้ที่ได้รับสิทธิพิเศษให้เข้าห้องต้องห้ามได้
เจ้าของใบหน้างดงามในอาภรณ์ราชองครักษ์หยุดยืนอยู่หน้าประตูด้วยท่าทางนิ่งสงบ เพียงครู่ก็เอ่ยปากด้วยเส้นเสียงราบเรียบกับขันทีหน้าห้อง “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด คืนนี้ข้าจะอยู่รอรับใช้รัชทายาทเอง”
ขันทีและนางกำนัลค้อมศีรษะแล้วพากันเดินไปอย่างเงียบเชียบทันที
คล้อยหลังบ่าวไพร่ ร่างสูงจึงเปิดประตูแล้วปิดลงแผ่วเบาก่อนจะหายลับไปอย่างเงียบงัน
ภายในห้องมืดสลัว เสียงทุ่มต่ำเอ่ยขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด
“พระองค์เป็นถึงรัชทายาท เหตุใดชอบไปร่อนเร่ที่กลางป่าเสียหลายวันพ่ะย่ะค่ะ”
หมิงเฉิงได้ยินเช่นนั้นก็หันหน้าไปมองด้วยแววตาเย็นเยียบ เลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “แล้วเหตุใดองครักษ์เฝ้าวังเช่นเจ้า ต้องยุ่งเรื่องของข้า ไม่ทราบ!”
ผู้ถูกตอกกลับนอกจากไม่สะทกสะท้าน ยังมีรอยยิ้มบางเจือจางฉาบทับใบหน้างามสง่า อย่างรู้เท่าทัน
ทำให้รัชทายาทต้าหมิงมีสีหน้าทมึงทึงทันที
“ทำตามหน้าที่ของตนเองให้ดีก็พอ!” หมิงเฉิงคำรามเสียงลอดไรฟันพลางหมุนกายสูงใหญ่มานั่งลงที่โต๊ะกลมตัวหนึ่งที่อยู่ถัดจากชั้นหนังสือไม่ไกลนัก
ราชองครักษ์ผู้นี้ยังเย้าไม่หยุด “ข้าย่อมทำหน้าที่ของตนเองได้ดีพอ ไม่เคยแอบไปตามหาหญิงใดถึงแดนไกล” เขาไม่มีความเกรงกลัวในแววตาต่ออีกฝ่ายที่ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมน่ายำเกรงทุกขณะ
หมิงเฉิงยังคงท่าทางเรียบเฉย ไร้อารมณ์อันใดออกมาให้เห็นทางสีหน้ามีเพียงแววตาเย็นชาที่ฉาบทับด้วยไอโทสะร้อนกรุ่น
“ข้าไม่ควรเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟัง! ให้ตาย!” ชายหนุ่มบดกรามเปล่งเสียงทุ้มห้าวออกมาอย่างเดือดดาล
นอกจากยังคงไว้ซึ่งสีหน้าราบเรียบไม่สะทกสะท้านอันใดทั้งนั้น ราชองครักษ์หนุ่มยังถือวิสาสะ นั่งลงที่โต๊ะตัวเดียวกันกับรัชทายาทหนุ่มแล้วเอ่ยเสียงเบา “เอาน่า! เราสองไม่เคยมีความลับต่อกันมิใช่หรือไร?”
หมิงเฉิงยังคงคำรามเสียงขรึม “ข้าให้เจ้าอยู่เงียบๆ มิใช่ให้มาสนใจเรื่องส่วนตัวของข้า อย่าริทำนอกเรื่อง”
อีกคราที่ผู้ถูกต่อว่ากลับมิได้นำพาอันใด เขาเพียงยกกาน้ำชาขึ้นมารินใส่ถ้วยแล้วยื่นให้อีกฝ่าย ก่อนจะค้อมศีรษะเล็กน้อยพลางเอ่ยปากเสียงเรียบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า
“กระหม่อมย่อมทำตามพระประสงค์แห่งองค์รัชทายาทหมิงเฉิงพ่ะย่ะค่ะ”
หมิงเฉิงแค่นเสียงต่ำเย็นเยียบในลำคอคราหนึ่งอย่างไม่ถือสาก่อนยกชาขึ้นจิบ ทว่าสายตาคมกริบยังจับจ้องที่วงหน้าหล่อเหลาของชายตรงหน้า
ทั้งสองนั่งดื่มชาพลางสนทนาด้วยรูปประโยคที่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่เข้าใจ ถึงความรู้สึกและความสัมพันธ์ลึกลับระหว่างกัน
ด้วยรูปการที่เห็นว่ารัชทายาทหมิงเฉิงมีราชองครักษ์คนสนิทที่ปกป้องเขาด้วยชีวิตนั้น แท้จริงแล้วคือรัชทายาทหมิงเฉิงต่างหากที่เป็นฝ่ายปกป้ององครักษ์ของตนเองเสมอมา
ศึกรบแต่ละครา กลยุทธ์พิชิตเหล่าศัตรูแต่ละครั้ง ล้วนเป็นหมิงเฉิงที่นำทัพขึ้นหน้าอย่างอาจหาญเปี่ยมพลังเต็มไปด้วยความสามารถไร้ขีดจำกัด เขาเป็นนักรบมังกร เป็นพยัคฆ์คำรามราวราชันย์แห่งขุมนรก
ในขณะที่ราชองครักษ์ของเขาผู้นี้ลอบเป็นกุนซือผู้ฉลาดปราดเปรื่องอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ เป็นผู้คุมบังเหียนเดินหมากทางการเมืองที่แท้จริง
ทั้งสองร่วมรับร่วมรุกเส้นทางสายนี้ ชนิดที่เรียกได้ว่า น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ไม่มีเจ้าย่อมไม่มีข้า มาเนิ่นนาน
องครักษ์หนุ่มผู้นี้หรือแท้จริงก็คือ หมิงจิน
หมิงจินคือโอรสลำดับที่สี่แห่งต้าหมิง สายเลือดหนึ่งเดียวของเจียงฮองเฮา
ย้อนกลับไปเมื่อสิบแปดปีก่อน ยามที่หมิงจินถือกำเนิดจากฮองเฮาเจียงเฟิ่ง เด็กน้อยถูกปองร้ายหมายมาดถึงชีวิตในวันแรกคลอด โชคดีที่นางกำนัลอาวุโสที่เป็นแม่นมของหมิงเฉิงแอบล่วงรู้เข้า นางจึงร่วมมือกับหมิงเฉิงลอบตลบหลังสับเปลี่ยนทารกออกมาได้ทันท่วงที
ยามนั้นรอบกายไร้คนที่ไว้ใจได้ ทั้งสองไม่กล้าปริปากบอกผู้ใดทั้งสิ้น แม้แต่ฮองเฮาที่ยามนั้นเสียเลือดมากจนหมดสติเพราะคลอดบุตร และฮ่องเต้ที่ราชกิจรัดตัว
ในเสี้ยวเวลาแห่งความเป็นความตาย หมิงเฉิงแม้ยังเยาว์วัย หากแต่บุญคุณของฮองเฮาที่ช่วยเลี้ยงดูยามไร้มารดา ทำให้เขาไม่อาจขลาดเขลาแม้พริบตาเดียว
เขาจึงอาจหาญเกินวัยมากโข ช่วยชีวิตโอรสน้อยผู้นี้เอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด โดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
ส่วนแผนการของคนร้ายที่เข้าใจว่าโอรสของฮองเฮาสิ้นชีพไป ก็ปล่อยให้พวกมันเข้าใจผิดคิดว่าลุล่วงด้วยดีต่อไป
ทว่าต่อมาข่าวกลับแพร่สะพัดว่าแท้จริงแล้วเป็นเพราะริษยาของหมิงเฉิง ที่ไม่ต้องการให้ฮองเฮามีโอรสที่แท้จริงเป็นของตนเอง จึงคิดกำจัดทารกตัวน้อยอย่างโหดเหี้ยมไร้ปรานี เพื่อที่ว่าเขาจะได้เป็นโอรสหนึ่งเดียวของฮองเฮาสืบไป
ซึ่งเดิมทีหมิงเฉิงก็หาได้ใส่ใจ เพราะมันมิใช่ความจริง หลักฐานความผิดอันใดก็ล้วนไร้ความหมายในสายตาเขา
หากคาดไม่ผิด ก็คงเป็นหนึ่งในแผนการของคนร้ายที่ประสงค์ยิงธนูดอกเดียวได้เหยี่ยวมากกว่าหนึ่งตัวก็เท่านั้น
แต่ทว่าข่าวนั้นกลับทำฮองเฮาที่เสียใจเรื่องการตายของบุตรชายเป็นทุนเดิมยิ่งเพิ่มความเสียใจยิ่งขึ้น ถึงขั้นนอนซมบนแท่นบรรทม และเอาแต่ละเมอว่าไม่เชื่อเด็ดขาด
หมิงเฉิงจึงตัดสินใจบอกความจริงเพียงฮองเฮาแต่โดยดี
เจียงฮองเฮาคือพี่สาวของมารดาที่แท้จริงของหมิงเฉิง ซึ่งเป็นสนมชั้นกุ้ยเฟย สิ้นชีพไปหลังจากให้กำเนิดหมิงเฉิงเพียงไม่นาน สาเหตุล้วนมาจากริษยาของสตรีวังหลังอันถูกความโปรดปรานของฮ่องเต้กระตุ้นเจียงฮองเฮาไร้บุตรธิดา และหมิงเฉิงคือหลานชายแท้ๆ พระนางจึงรับหมิงเฉิงมาดูแลด้วยองค์เองอย่างดีเสมอมากระทั่งพระนางตั้งครรภ์มังกรเป็นของตนเอง ก็ยังคงรักทะนุถนอมหมิงเฉิงไม่เสื่อมคลายเมื่อได้ฟังความจริงจากปากของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาจึงคล้ายกับได้ยินเสียงสวรรค์ด้วยเหตุนี้คำครหาและเคลือบแคลงสงสัยในตัวหมิงเฉิง จึงได้ฮองเฮาลอบปกป้องอย่างลับๆ จนเขาเติบใหญ่ และเพื่อที่แผนการตลบหลังศัตรูจะได้ดำเนินต่อไป ทั้งยังไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น พระนางจึงเงียบเชียบที่สุด หาได้โจ่งแจ้งไม่น้ำพระทัยของฮ่องเต้ยากแท้หยั่งถึง ความรู้สึกนึกคิดล้วนเกินคาดเดาในทุกสิ่ง ฮองเฮากับหมิงเฉิงจึงร่วมกันปกปิดเรื่องของทายาทน้อยเอาไว้ได้อย่างแนบเนียนเสมอมาความลับนี้จึงรู้เพียงสี่คน คือฮองเฮา หมิงเฉิง แม่นมเฒ่า และตัวหมิงจินเอง เพื่อรอเวลาที่เหมาะสมมอบบัลลังก์มังกรให้แก่เจ้าของที่แท้จริงตามกฎมณเฑียรบาลแห่งต้าหมิง ตำแหน่งรัชทายาทอันเป็
สามเดือนหลังจากถูกเคี่ยวกรำให้กลายเป็นสตรีดีพร้อมสำหรับออกเรือนด้วยไม่ต้องการให้เกิดเหตุใดผิดพลาดก่อนถึงวันแต่งงาน วั่นหรงจึงแอบรับโม๋เอ๋อร์เป็นบุตรสาวบุญธรรมอย่างลับๆ หาได้เปิดเผยออกไป เพราะอาจถูกคัดค้านจนเสียแผนการ ทั้งนี้ยังเป็นเกราะป้องกันชั้นหนึ่งอย่างดี หากเกิดเหตุใดผิดพลาดขึ้นหลังจากแต่งงาน เรื่องนี้อาจจะสามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้ อย่างน้อยก็คงไม่ต้องถึงขั้นประหารเก้าชั่วโคตรกระมังโหวฮูหยินรู้ดีแก่ใจว่า เรื่องนี้นับเป็นการหลอกลวงเบื้องสูงอย่างสาหัส มีโทษถึงตาย ประหารทั้งตระกูล แต่นางก็ยังยอมเสี่ยงโดยไม่กลัวเกรงอาญาแผ่นดิน ด้วยรักบุตรสาวเหลือเกินขอเพียงรัชทายาทหมิงเฉิงหลงใหลในตัวโม๋เอ๋อร์ก็เท่านั้นวั่นหรงลอบฝึกปรือบ่มเพาะโม๋เอ๋อร์อย่างเข้มงวดจนมั่นใจว่าเสน่หานวลนางร้ายกาจเข้าขั้น จึงรู้สึกพึงพอใจมากเมื่องานมงคลเกิดขึ้นตามกำหนดการ โดยไม่มีคลาดเคลื่อนเลยแม้แต่น้อย ฤกษ์งามยามอยู่บ้านเจ้าสาว มีสายตาหลายคู่จากคนบ้านโหว ไม่ว่าจะเป็นนายท่านโหว ฮูหยินรอง ฮูหยินสาม และอนุงดงามทุกนาง ยังมีบุตรธิดาอีกหลายคน ที่คอยจับจ้องด้วยริษยาโม๋เอ๋อร์จึงอยู่ไกลๆ ไม่เข้าใกล้พิธี ส่วนหยูเสวี่ยก็ทำต
มิใช่เพียงหยูเสวี่ยฝ่ายเดียวที่กำลังคิดการณ์ปกป้องโม๋เอ๋อร์อยู่หากแต่โม๋เอ๋อร์เองก็กำลังคิดการณ์เช่นเดียวกันหญิงสาวพร้อมเชื่อฟังและปกป้องทุกคนอยู่แล้ว เพราะทั้งวั่นหรงและหยูเสวี่ยคือครอบครัวของนางนี่นาอีกอย่าง เรื่องการแต่งงานนี่ก็ไม่เห็นจะยากเลยสักนิด เพียงแค่ทำตามคำแนะนำทุกสิ่งจากฮูหยินที่สรุปได้เพียงสามคำยั่วยวน เจ้าเล่ห์ และสมสู่นางเคยเห็นสัตว์ป่าสมสู่กันบ่อยไป ไม่ว่าจะเป็นหมูป่า กวาง เก้ง ลิง นก ส่วนปลายังไม่เคยดำน้ำลงไปดูเสียทีหญิงสาวเหลือบตามองผ่านผ้าคลุมหน้าไปที่คานด้านบนของเรือนหอ ในใจก็ครุ่นคิดอีกว่าหากจะสมสู่เยี่ยงลิงที่โหนอยู่บนต้นไม้คงไม่เหมาะเช่นนั้นแล้วแค่นอนราบบนเตียงนอนตามภาพในตำราที่โหวฮูหยินเปิดให้ดูก็พอกระมังหึหึ! ยากที่ใด?โม๋เอ๋อร์นั่งหัวเราะอยู่ในใจภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีแดงเนิ่นนานผ่านไป เปลวเทียนเริ่มอ่อนแสง หากแต่เจ้าบ่าวก็ยังไม่ปรากฏกายเสียทีโม๋เอ๋อร์จึงทนมิได้อีกต่อไป“คุณหนู ข้าหิวแล้ว”หยูเสวี่ยได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตาโต รีบปรามเสียงเบา“จุ๊ๆ เจ้าต้องเรียกข้าว่าเสี่ยวโม๋ ห้ามเรียกว่าคุณหนูนะ ส่วนข้าก็จะเรียกเจ้าว่าพระชายา อย่าลืมข้อนี้เชียว”หญิงสาว
ที่หน้าประตูเรือนชั้นนอกของเรือนหอรอบด้านยังคงเป็นค่ำคืนยามราตรี หากแต่กลับสว่างไสวยิ่งนัก ด้วยโคมไฟสีมงคลยังคงส่องแสงอยู่เต็มไปหมดใบหน้างดงามโดดเด่นของโม๋เอ๋อร์หันซ้ายแลขวา มองหาเป้าหมายแห่งตนอย่างแน่วแน่มั่นคงเจ้าบ่าวอยู่หนใด จงมาเข้าหอกับข้าเดี๋ยวนี้!!!หญิงสาวคิดในใจอย่างหมายมาด ดวงเนตรกลมโตสดใสทอประกายกระหายวาบทันใดนั้นพลันมีเสียงกระซิบหนึ่งดังเล็ดลอดออกมาจากมุมเฉลียงของเรือน“ข้ารู้สึกน่าเห็นใจพระชายาเหลือเกิน” เสียงนั้นเป็นเสียงของสตรี นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังออกว่า เวทนาอย่างแท้จริง“ทำไมหรือ?” อีกเสียงหนึ่งเอ่ยถามเสียงเบาหวิว“คืนนี้เป็นคืนมงคลแท้ๆ แต่รัชทายาทเลือกเดินเข้าเรือนอนุแทนเข้าหอกับเจ้าสาวนี่ปะไร”“โอว...”“เมื่อครู่ข้าเดินผ่าน เห็นเงาเลือนรางของรัชทายาทกับอนุนางนั้นแนบชิดสนิทสนมยิ่ง”“อา...”ถึงแม้เสียงสนทนาจะแผ่วเบา และอยู่ในมุมลับตา หากแต่โม๋เอ๋อร์กลับได้ยินชัดเจนยิ่งหยูเสวี่ยก็ได้ยินเช่นกัน ช่วงพิธีการหลังจากเปลี่ยนตัวกับโม๋เอ๋อร์ นางที่เป็นเพียงสาวใช้อยู่รอบนอก ได้มีโอกาสพินิจ ทุกสิ่งและทุกคนภายในงาน ได้เห็นรัชทายาทหมิงเฉิงเต็มสองตาหญิงสาวไม่อาจไม่ยอมรั
ร่างสูงสง่ายังคงยืนทอดอารมณ์อยู่นิ่งๆ รับแสงจันทร์สาดส่องตรงริมหน้าต่างอยู่เงียบๆชั่วจังหวะนั้น สายตาคมปลาบพลันเหลือบไปเห็นเงาสองสายอยู่มุมไกล ใบหน้าหล่อเหลาที่เย็นชาจึงเคร่งขรึมทันใดเมื่อเงาหนึ่งในสองที่เห็น เป็นสตรีในชุดสีแดงมงคลกำลังเดินพล่านไปทั่วตำหนักบูรพาเรือนหลักส่วนตัวของหมิงเฉิงใหญ่โตและมีสองชั้น ตำแหน่งที่ชายหนุ่มยืนอยู่คือชั้นสอง เป็นห้องที่อยู่ในมุมสูงซึ่งมองเห็นบริเวณตำหนักได้รอบทิศทางและยามนี้เขาก็เห็นเจ้าสาวที่เป็นพระชายา กำลังเดินไปเดินมา ประหนึ่งแมวป่าออกหากินยามราตรีท่าทางเดินไปเดินมาคล้ายกำลังตามหาคนนั่นคืออันใด?นางควรนั่งอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ในเรือนหอมิใช่หรือไร?เรียวคิ้วคมเข้มพลันขมวดเข้าหากัน ดวงเนตรคมดำหรี่เล็กแคบลงอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นได้ชัดว่า สตรีในชุดเจ้าสาวกำลังออกตามหาเขาที่เป็นเจ้าบ่าวไม่ว่าสตรีนางใด หากเขาไม่พึงใจและไม่เข้าหา ก็ไม่ควรเพ่นพ่านออกมาตามหาเขานี่คือกฎ!จังหวะที่หมิงเฉิงกำลังเพ่งมองพระชายาอย่างเดือดดาล ฉับพลันนั้นนางก็ตวัดสายตาฉับขึ้นมองเขาดวงตากลมโตทอประกายวาวระยับล้อแสงจันทรายามสบตาอยู่ชั่วขณะ ปากสีแดงชาดของนางขยับคลี่ยิ้มกว้าง ก่อ
ท่ามกลางราตรีกาลอันเงียบเชียบ ใต้แสงจันทราสีนวลบางเบาบนต้นไม้ข้างเรือนหลักห่างออกไปไม่ไกลนัก บุรุษหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งนั่งชันเข่าหนึ่งข้าง พิงแผ่นหลังกว้างกับลำต้นของไม้ใหญ่ ในมือมีเหยือกหยกเนื้อดีบรรจุเหล้ารสล้ำ เขายกขึ้นดื่มทั้งเหยือกโดยไม่ใช้จอก ร่างแกร่งในอาภรณ์ราชองครักษ์รู้สึกร้อนวาบยามเหล้าเข้าปากแล้วไหลลงท้อง รสชาติไม่เลว... เขากำลังดื่มด่ำกับค่ำคืนมงคลของพี่ชายที่ได้แต่งพระชายาทว่าชั่วจังหวะที่เขากำลังปล่อยใจไปกับราตรีเดือนเพ็ญ ก็บังเอิญได้เห็นและได้ยินสตรีสองคนที่เบื้องล่างชัดเจนหมิงจินคือบุรุษบนต้นไม้ มองเห็นทั้งสองจากมุมลับตาและสังเกตพวกนางมาครู่หนึ่งแล้วคนหนึ่งหัวเราะคิกคักท่าทางสนุกสนานซุกซนร่าเริงส่วนอีกคนท่าทางสุขุมนุ่มนวลไว้เชิงสิ่งที่หมิงจินรับรู้ได้ไม่ยากเย็น คือคุณหนูผู้เป็นเจ้าสาวมีรูปโฉมงดงามมากนางมีใบหน้าเรียวเล็ก ดวงตากลมโตกระจ่างใสภายใต้แพขนตางามงอน ริมฝีปากแต้มสีชาดเล็กบางแต่อวบอิ่มแลดูเย้ายวนใจ ผิวพรรณขาวเนียนดังหยกสลักชั้นดี ท่าทียามเยื้องกรายสง่างามไปทุกส่วน งดงามไร้ที่ติ ไม่ว่าผู้ใดได้ยลย่อมหายใจผิดไปหนึ่งจังหวะแน่นอนว่ารูปลักษณ์เช่นนี้ นับว่าไม่แป
ท่ามกลางแสงจันทร์ลออนวลส่องแสงเรืองรอง ชายหนุ่มและหญิงสาว ผู้เป็นเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวแห่งค่ำคืน กำลังยืนมองหน้ากันเงียบงัน เกิดเป็นภาพงดงามดั่งภาพฝันคล้ายมายาภายใต้เดือนเพ็ญฝ่ายหนึ่งเป็นสตรีงามพิลาศน่ารักสดใสดวงตากลมโตดุจดาราสะท้อนวารีส่วนอีกฝ่ายเป็นชายงามรูปร่างสูงใหญ่ แลดูเย็นชาผสานความทรงพลังโหดเหี้ยมดำทมิฬน่ากลัวหากแต่โม๋เอ๋อร์หาได้ยำเกรงอันใดแม้แต่น้อย นางค่อยๆ เอ่ยเสียงฉ่ำใส กะพริบตาเบาๆ เพื่อร่ายกลอนหวานตามที่ฝึกปรือ“เพียงแรกพบและสบตา พาดวงใจถวิลหามิขลาดเขลา”“...”หญิงสาวร่ายกลอนที่จำได้ขึ้นใจเพื่อบอกรักอีกฝ่ายตามที่ได้ฝึกฝนมาเนิ่นนานตลอดสามเดือน โดยไม่สนใจคนฟังที่ยามนี้หางคิ้วเริ่มกระตุก จากนั้นก็เริ่มเปิดประเด็นถามทันที หมายให้เขาไปเข้าหอแต่โดยดี ห้ามหนีกันไป“เหตุใดพระองค์ไม่ไปเข้าห้องหอกับหม่อมฉันเล่าเพคะ เราแต่งงานกันแล้วนะเพคะ และคืนนี้ก็คือคืนอันเป็นมหามงคล มีค่าเทียบเท่ากับทองพันชั่ง อ๊ะ! แล้วเหตุใดจึงใส่ชุดดำเช่นนั้น ชุดแดงของท่าน ไยไม่ใส่เล่า!”หญิงสาวถูกขัดเกลาเกี่ยวกับคำพูดจาอย่างรู้กาลเทศะมาแล้วอย่างดีเยี่ยม จึงกล่าวได้อย่างนอบน้อมและถูกต้องทุกคำ หากแต่คำถามตร
ท่ามกลางม่านมืดจากนภาแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณกลิ่นอายดำทะมึนเย็นยะเยือกจากร่างแกร่งยิ่งเข้มข้นขึ้นทุกขณะ เพิ่มความหนาวเหน็บราวเกล็ดน้ำแข็งฉาบทับด้วยหิมะ เย็นเสียยิ่งกว่าเย็นทุกขณะจิตครั้งแรกในชีวิตของชายหนุ่มอย่างหมิงเฉิง ผู้ได้รับฉายาว่ารัชทายาททมิฬผู้น่าทรงพลังน่ากลัวไปทุกหย่อมหญ้า ใครเห็นเป็นต้องหลบตา ทุกคนต่างพากันหวาดผวาครั่นคร้ามยำเกรงแต่ยามนี้กลับถูกสตรีแน่งน้อยนางหนึ่งกล่าวโทษได้อย่างน่าอาย!เจ้าสาวบอกเจ้าบ่าวว่ากำลังถูกทำโทษให้รอการเข้าหอหลายชั่วยามอย่างทรมาน อันเป็นการทำโทษที่ไร้ความผิดซึ่งนั่นย่อมหมายถึงว่า เจ้าบ่าวไร้ความรับผิดชอบต่อการเข้าหอในคืนแต่งงาน แต่กลับโยนความผิดให้เจ้าสาวอย่างไม่น่าให้อภัยเรียกได้ว่าเป็นบุรุษที่ใจคอคับแคบอย่างที่สุดเมื่อหมิงเฉิงได้ยินคำตัดพ้อโยนความผิดใส่หน้าอย่างไม่กลัวตายของสตรีน่าตายตรงหน้าในยามนี้ โทสะพลันปะทุสุมอก ไอสังหารพลันพวยพุ่งอัดแน่นไปทุกอณูเขาสามารถจับกระชากแน่งน้อยไร้ยางอายตรงหน้าให้ลอยกระเด็นไปไกลเพียงแค่พลิกฝ่ามือ หากนางเอ่ยวาจาสามหาวอีกเพียงประโยคเดียวทันใดนั้น แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาบนร่างระหงของโฉมสะคราญที่คุกเข่าร่ายมารยา
มารดาของโม๋เอ๋อร์หาใช่มนุษย์สามัญแต่เป็นถึงมหาเทพปีศาจ ส่วนบิดานั้นเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง โม๋เอ๋อร์จึงเป็นโม๋กุ่ยเสินครึ่งมนุษย์หลังจากมารดาให้กำเนิดโม๋เอ๋อร์ไม่นาน พลังซ่อนเร้นยามคลอดบุตรจึงมิอาจปิดบัง ในที่สุดก็ถูกเจอตัวจากมหาเทพปีศาจและภูตนรก มารดาจึงถูกจับตัวกลับไปยังสถานที่ที่จากมาเมื่อคนหนึ่งสิ้นสลาย อีกคนก็ไม่อาจอยู่ได้ สิ้นใจตายด้วยเด็ดเดี่ยวตรอมตรม บิดาของโม๋เอ๋อร์จึงตรอมใจตายตามไปหลังจากนั้นเจ็ดปี ทิ้งโม๋เอ๋อร์ให้อยู่เพียงลำพังในป่าใหญ่ พร้อมคำสั่งเสียเฉียบขาดว่าให้โม๋เอ๋อร์อยู่โลกมนุษย์ต่อไป ด้วยรู้ดีแก่ใจว่าบุตรสาวที่เป็นครึ่งมนุษย์เทพปีศาจมิอาจอยู่ที่ใดได้ ไม่ว่าสวรรค์หรือนรก มีเพียงต้องอยู่บนภพมนุษย์เท่านั้นโม๋เอ๋อร์ที่เป็นเพียงมนุษย์ครึ่งปีศาจ หาใช่มหาเทพปีศาจเฉกเช่นมารดา หากถูกสูบลงนรกจักต้องสลายหายไปคล้ายหมอกควัน กายหยาบกายทิพอันใดล้วนไม่อาจเป็นได้ทั้งนั้นและสิ่งสำคัญที่สามารถทำให้โม๋เอ๋อร์ดำเนินชีวิตต่อไปได้ นั่นก็คือห้ามฆ่าใครจนถูกล่วงรู้ตัวตน ผสานอีกสิ่งที่สำคัญเหนือกว่าเพื่อที่นางจะยืนหยัดต่อไปได้ นั่นคือพลังหยินหยาง...โม๋เอ๋อร์ซึ่งเกิดเป็นสตรีมีความอ่อนโยน ความ
“เขามานานแล้วหรือ?” แล้วรู้หรือไม่ว่าข้าไม่อยู่ในห้องประโยคหลังโม๋เอ๋อร์มิได้ถามออกมา ทว่าใช้สายตาสื่อความนัยแทน หยูเสวี่ยย่อมเข้าใจ จึงกระซิบตอบเสียงเบาหวิว“พระชายาทรงอ่อนเพลียจึงนอนหลับไป ขอเวลาเตรียมตัวสักเล็กน้อย”นั่นคือคำตอบที่หยูเสวี่ยตอบขันทีหน้าประตูห้องเมื่อสองเค่อที่ผ่านมา เพื่อสื่อความนัยให้สายตาที่ถูกส่งมาจากโม๋เอ๋อร์เมื่อได้รับรู้คำตอบแล้วเป็นอย่างดี โม๋เอ๋อร์จึงบอกกล่าวให้หยูเสวี่ยพักผ่อนให้หายดีอยู่ที่นี่ ไม่ต้องตามออกมา ประเดี๋ยวจะต้องลมเย็นจนล้มพับไป ก่อนจะทำทีเป็นคนที่ถูกปลุกจากนิทรา ทำหน้าง่วงตาปรือ ยามเปิดประตูห้องออกไปหาบุรุษหนุ่มรูปงามผู้เป็นสามี…ภายใต้แสงเทียนสีเหลืองนวลสตรีในอาภรณ์บางเบาสีแดงสด ขับเน้นเรือนร่างระหงอรชรสมส่วนอวบอูมอิ่มน้ำ ดวงตาหรี่ปรือหวานล้ำเพราะถูกปลุกจากนิทรากลางคัน พลันปรากฏในครรลองสายตาของผู้คนนอกห้องความงดงามประหนึ่งน้ำผึ้งหยาดหยดอยู่กลางเปลวเพลิงแห่งเสน่หาร้อนแรงของโม๋เอ๋อร์ ที่ใครเห็นเป็นต้องตกตะลึงพรึงเพริด แม้แต่ขันทีที่ไร้ซึ่งอารมณ์ซับซ้อนยังลืมหายใจไปชั่วขณะ สาวใช้ที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องชั้นนอกยังมองไม่วางตาความเลอโฉมพิลาศล้ำ
เมื่อมองเห็นเรือนร่างสูงใหญ่สง่างามแผ่อำนาจบารมีมากล้นของชายผู้เป็นสามีนอกจากไม่กลัวเกรงหรือตระหนกอกสั่นหวาดหวั่นอันใด โม๋เอ๋อร์กลับรู้สึกดีใจยิ่งนักเขามาหานางถึงในเรือนเชียวหรือ?ชั่วขณะที่หญิงสาวกำลังปลื้มปริ่ม เสียงกระซิบพลันดังจากในมุมมืด“พระชายา...เปลี่ยนชุดก่อน!”เจ้าของเสียงคือหยูเสวี่ย นางรีบเคลื่อนกายเข้ามุมอับพร้อมส่งเสียงเอ่ยเตือนโม๋เอ๋อร์อย่างร้อนรน เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังอยู่ในสภาพชุดดำสนิทเยี่ยงผู้ร้ายเช่นนั้นถึงแม้จะมั่นใจในฝีมืออันชั่วร้าย หากแต่ใครมาเห็นเข้าคงยากจะหลุดพ้นจากการถูกสงสัยเป็นแน่โม๋เอ๋อร์พลันฉุกคิดได้ จึงรีบหมุนกายไปเปลี่ยนชุดสีดำออกแล้วสวมชุดพลิ้วไหวสีขาวบางเบา เห็นเนินอกรำไร ใส่ใจในการยั่วยวนเต็มที่หญิงสาวหมุนตัวอยู่หน้ากระจกหนึ่งรอบ นึกลังเลขึ้นมา ระหว่างชุดสีขาวกับชุดสีแดงใส่ชุดใดดี?ทันใดนั้น โม๋เอ๋อร์ก็คิดได้ นางรีบถอดชุดสีขาวออกแล้วสวมชุดสีแดงที่มีเนื้อผ้าโปร่งบางโล่งใสแทนชุดนี้ช่วยขับผิวขาวดั่งหิมะให้สว่างสดใสไปทั่วเรือนร่าง ราวกับว่าเนื้อนวลเปล่งปลั่งจะทะลุออกมานอกชุดเบาบางได้กระนั้นเรียวแขนขาวผ่องนวลเสลา กระทั่งเรียวขาเนียนกระจ่างยังเห็นได้
เมื่อลงทัณฑ์เจ้าของห้องและสาวใช้จนพอใจ โม๋เอ๋อร์เพียงเปรยเสียงเรียบว่า“จงหยุดสิ่งที่คิดจะทำ หากต้องการอยู่อย่างสงบเฉกเช่นวันวาน...” ความหมายก็คือจงอยู่ในห้องหับห้ามออกมาทำระยำอีกเด็ดขาด!แน่นอนว่า สตรีทั้งสองได้อยู่กันอย่างสงบอย่างที่สุดหญิงสาวกล่าวจบก็อันตรธานหายวูบไป ดั่งปีศาจร้ายภูตผีนรกผุดมาทักทายจากห้วงอเวจีเพียงชั่วครู่สองนายบ่าวพลันสิ้นสติในทันทีเช่นกัน ไม่แน่ว่าตื่นมาอีกทีครานี้ ทุกอย่างในชีวิตอาจจะเปลี่ยนไปโม๋เอ๋อร์นั้น หาได้ล่วงรู้แผนการอันซับซ้อนของสตรีสองนางในเรือนแห่งนี้ไม่ รู้เพียงว่าพวกนางมีความผิดที่บังอาจทำร้ายกันขั้นรุนแรง ถึงขนาดหมายปลิดชีวิตคนเช่นผักปลาคราแรกวางยานางในคืนเข้าหอก็ช่างเถิดแต่หากมองหยูเสวี่ยเป็นเพียงคนไร้ค่า นึกอยากฆ่าก็ฆ่าได้ง่ายๆ โม๋เอ๋อร์จึงไม่อาจออมมือได้หญิงสาวใจดีถอนพิษให้เสี่ยวเถาเพราะไม่ต้องการให้มีการสืบสาวให้วุ่นวาย จนอาจจะพาลมาถึงหยูเสวี่ยและตัวนางที่นั่งร่วมสนทนาในศาลายามบ่ายและเรื่องราวเชื่อมโยงไม่อาจจบสิ้นลงได้ง่าย ต้องถูกสอบสวนประปราย ปราศจากความสงบสุขใดๆทั้งหมดนี้เพราะยาพิษในกายของเสี่ยวเถานั้น อาจจะชักนำให้หยูเสวี่ยถูกลากมาเก
อวี่เยียนและเสี่ยวเถากะพริบตาจนเจ็บร้าว แล้วร่ำร้องแบบไร้เสียงอีกคราว่าปีศาจ!พวกนางทำได้เพียงกรีดร้องในใจอย่างบ้าคลั่ง ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเปล่งเสียงออกมามิได้โม๋เอ๋อร์ค่อยๆ เยื้องกรายเข้าหาสตรีตีสองหน้าช้าๆนางยกยิ้มเย็นชาแผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกชวนหนาวเหน็บถึงขั้วกระดูกออกมา ดวงเนตรสีเขียวคู่งามเย็นเยียบราวน้ำแข็งตกผลึก พร้อมฝังลึกในครรลองสายตาผู้พบเห็นผู้ได้จับจ้อง เป็นต้องจดจำไปจนวันตายอย่างทรมานรอบกายสีทองเรืองรองแผ่กลิ่นสาบสางน่าสะอิดสะเอียนชวนสะท้านพรั่นพรึงตลบอบอวลไปทั่วห้อง ร่างบอบบางสีแดงเพลิงแผ่กลิ่นอายดำทะมึนราวกับหลุดออกมาจากขุมนรกอเวจีของหลุมที่ลึกที่สุดโม๋เอ๋อร์ในยามนี้ หาใช้พระชายาผู้งดงามอีกต่อไป หากแต่เป็นรูปกายอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้จักทั้งนั้นเส้นเสียงเยียบเย็นลากยาวชวนผวาราวหิมะพันปีบนยอดเขาแทงทะลุเมฆาค่อยๆ ดังออกมาจากริมฝีปากจิ้มลิ้ม“ข้ามิได้ชื่นชอบการฆ่าใคร...”ความหมายของรูปประโยคและการกระทำช่างขัดแย้งกันเหลือเกิน โม๋เอ๋อร์กล่าวจบยังยกยิ้มบริสุทธิ์อ่อนหวานแลดูน่ารัก ทว่ากลับมองแล้วให้ความรู้สึกน่าขนหัวลุกชวนสะพรึงยิ่งนักอวี่เยียนและเสี่ยวเถายิ่งเบิกต
เมื่อได้ยินคำตอบ เสี่ยวเถาถึงกับงุนงง แต่ครู่เดียวเท่านั้น ก็พลันกระจ่างแจ้งในใจ เมื่อร่างกายเริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกตินางกำลังรู้สึกถึงความทรมานสายหนึ่งเริ่มคืบคลานเข้าใกล้ ภายในเริ่มรุ่มร้อน ฝ่ามือเริ่มสั่นเทา สายตาเริ่มพร่าเลือน“มะ...หมายความว่า...ย่ะ...อย่างไรเจ้าคะ”เสี่ยวเถาพยายามถามอย่างยากลำบาก ลมหายใจติดขัด ลูกนัยน์ตาแดงก่ำเลื่อนจากใบหน้าเจ้านายลงมองขนมและน้ำชาตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง เมื่อคำตอบที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงรอยยิ้มหวานล้ำและดวงตาฉ่ำเย็นของผู้เป็นนายอวี่เยียนยังคงนั่งมองเสี่ยวเถาอย่างใจเย็น นางวางหนังสือลงแล้วเอียงหน้าน้อยๆ มองสาวใช้คนสนิทอยู่เงียบๆ ท่าทียังคงเป็นปกติเฉกเช่นหญิงสาวผู้เปี่ยมเมตตาปรานีทว่า...เสี้ยวขณะนั้น พลันมีสิ่งไม่คาดฝันบังเกิดอวี่เยียนที่นั่งอยู่บนตั่งด้วยท่าทางดั่งนางพญาผู้รื่นรมย์กลับกระตุกร่างตนจนตัวลอยขึ้นไปบนคานเรือน คล้ายถูกกระชากโดยฝ่ามือปริศนาเสี่ยวเถาที่ร่างกายปวดร้าวกลับค่อยๆ หายปวดระบมอย่างน่าแปลกใจ แต่ยังคงชาหนึบไม่อาจขยับเขยื้อนได้ นางจึงทำได้เพียงใช้สายตาจับจ้องที่นายสาวเบื้องหน้านิ่งงัน มิสามารถเอ่ยอันใดออกมาได้ทั้งนั้นภายในห
คืนนี้จันทรางามเด่น สุกสกาวสว่างไสวไปทั่วนภาพาแสงสีขาวนวลสาดส่องไปทั่วตำหนักบูรพาทว่าเงาดำวูบไวประหนึ่งสายลมวูบผ่านเพียงเสี้ยวเวลา กลับนำความหนาวเหน็บประหนึ่งเป็นคืนเดือนมืดกลางเหมันต์กระนั้นทหารยามที่เดินตรวจตราโดยรอบพลันชะงักเท้าเล็กน้อย รู้สึกขนหัวลุกอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อแหงนมองท้องฟ้าก็เห็นดวงจันทร์เร้นดารางดงามดี ดวงโตกลมนวล ตราตรึงยิ่ง!ชื่นชมจันทราเสร็จก็ก้มหน้าเดินยามต่อไป รอบกายล้วนปกติดีทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดผิดสังเกตเลยแม้แต่น้อย แสงนวลจากฟากฟ้าช่วยให้การเดินยามสะดวกดีเหลือเกิน เห็นทุกสิ่งรอบด้านชัดเจนไปหมดด้านนอกหน้าต่างของเรือนชายาสามนามอวี่เยียนทั้งทหารยามและบ่าวไพร่ทั้งหลายเดินทำงานกันตามปกติ ยามนี้ยังไม่ดึกมากนัก หลายคนยังไม่มีสิทธิ์ได้นอนหลับพักผ่อนแต่อย่างใดเจ้าของเรือนนั่งอ่านหนังสือธรรมะด้วยท่าทีสงบปรานีอยู่บนตั่งตัวยาวในจังหวะนั้นเสี่ยวเถาก็รีบรุดเข้าห้องมาแล้วลงกลอนประตูอย่างแน่นหนา ก่อนจะเดินมาปิดหน้าต่างทุกบาน จนไร้ช่องว่างใดภายในห้องส่วนตัวด้านในของเรือน“เป็นอย่างไรบ้าง?” อวี่เยี่ยนถามเสียงเย็นไปทางสาวใช้คนสนิทถึงเรื่องที่ให้อีกฝ่ายไปสืบความเคลื่อนไหวใ
โม๋เอ๋อร์ตกตะลึงยิ่งนัก นางเพียรสังเกตตนเองอยู่ตลอดยามนั่งอยู่ในศาลา ว่าถูกวางยาหรือไม่หากมียาในขนมตัวนางเองย่อมปวดแสบปวดร้อน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่รู้สึกผิดปกติอันใดมิคาดว่าเป้าหมายกลับมิใช่ตัวนาง หากแต่เป็นหยูเสวี่ยเกินไปแล้ว....ม่านมืดพลันคลี่คลุมในแววตากลมใส ความซื่อบริสุทธิ์พลันอันตรธานหายไปแน่นอนว่าโม๋เอ๋อร์หาใช่สตรีดีงาม ทั้งยังโหดเหี้ยมอำมหิตเกินกว่าใครจักคาดคิดถึงแม้ว่าความสดใสไร้เดียงสานางมีเสมอ ทั้งยังคิดกับผู้อื่นอย่างบริสุทธิ์ใจมากมายหากแต่ต้องมิใช่กับคนที่คิดจะทำร้ายหยูเสวี่ย!หญิงสาวรีบเดินเข้าหาร่างอรชรที่บัดนี้นอนบิดตัวด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าขาวผ่องมีเหงื่อเกาะพราว“เจ้าใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อเหยื่อ!”โม๋เอ๋อร์เอ่ยเสียงต่ำอย่างรู้ทันคนบนเตียงหยูเสวี่ยกัดฟันตอบอย่างติดขัด“ข้า...แค่รินน้ำชา...นานไป...หน่อย”“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้” โม๋เอ๋อร์ยังคงตัดพ้อ“ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า” หยูเสวี่ยฝืนต่อคำอีกประโยค ก่อนจะบิดตัวเร่าๆ อยู่บนเตียงนอน มีเลือดไหลออกจากดวงตา จมูก ใบหู และปากเดิมทีหยูเสวี่ยคิดพาโม๋เอ๋อร์เดินเที่ยวเท่านั้น เพื่อที่นางจะได้สำรวจพื้นที่ให้ทั่วเข้
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนเข้ายามอิ่ว[1] ทั้งหมดจึงได้แยกย้ายกลับเรือนตนคล้อยหลังพระชายาเอกกับสาวใช้คนสนิท อวี่เยียนที่เดินห่างออกมาเล็กน้อยก็ยกยิ้มเย็นเยียบแวบหนึ่ง เสี่ยวเถาเองก็ก้มหน้าหลุบตาเดินตามนายสาวอย่างเยือกเย็นไม่ต่างกัน ทั้งสองลอบส่งสายตาสื่อควายนัยแห่งความเลือดเย็นออกมามีเพียงพวกนางเท่านั้นที่เข้าใจกันและกันเมื่อถึงเรือนส่วนตัว ลึกเข้าไปในห้องชั้นในที่มีเพียงพวกนางสองนายบ่าว เสียงกระซิบกระซาบพลันบังเกิด“สำเร็จหรือไม่?”เส้นเสียงเย็นใสเบาหวิวเอ่ยถามสาวใช้คนสนิททันทีที่เข้าห้องปิดประตูลั่นดาลลงกลอน“เรียบร้อยเจ้าค่ะ” เสี่ยวเถากระซิบตอบ “บ่าวแอบป้ายยาพิษที่ขอบถ้วยน้ำชาของเสี่ยวโม๋ ยามที่นางลุกขึ้นไปรินน้ำชา ต่อให้หลังเกิดเหตุสลดว่ามีสาวใช้ต้องพิษจนตาย และขนมน้ำชาถูกตรวจสอบจนวุ่นวาย ก็หาได้พบสิ่งใดที่ขอบถ้วยไม่ เพราะยาพิษนี้ถูกน้ำชาชะล้างเข้าปากเสี่ยวโม๋ไปแล้วจนสิ้น และผู้ต้องสงสัยย่อมเป็นเจ้าของชากับขนมเจ้าค่ะ”“ดีมาก” อวี่เยียนยกยิ้มหวานเปรยอีกว่า “ข้าสังเกตว่าพระชายามิได้มีสมองสักเท่าไหร่ หากแต่สาวใช้ข้างกายกลับดูเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ตัดแขนตัดขาพระชายาไปได้เยี่ยงนี้ ที่เหลือก็ไม่