ร่างสูงสง่ายังคงยืนทอดอารมณ์อยู่นิ่งๆ รับแสงจันทร์สาดส่องตรงริมหน้าต่างอยู่เงียบๆ
ชั่วจังหวะนั้น สายตาคมปลาบพลันเหลือบไปเห็นเงาสองสายอยู่มุมไกล ใบหน้าหล่อเหลาที่เย็นชาจึงเคร่งขรึมทันใด
เมื่อเงาหนึ่งในสองที่เห็น เป็นสตรีในชุดสีแดงมงคลกำลังเดินพล่านไปทั่วตำหนักบูรพา
เรือนหลักส่วนตัวของหมิงเฉิงใหญ่โตและมีสองชั้น ตำแหน่งที่ชายหนุ่มยืนอยู่คือชั้นสอง เป็นห้องที่อยู่ในมุมสูงซึ่งมองเห็นบริเวณตำหนักได้รอบทิศทาง
และยามนี้เขาก็เห็นเจ้าสาวที่เป็นพระชายา กำลังเดินไปเดินมา ประหนึ่งแมวป่าออกหากินยามราตรี
ท่าทางเดินไปเดินมาคล้ายกำลังตามหาคนนั่นคืออันใด?
นางควรนั่งอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ในเรือนหอมิใช่หรือไร?
เรียวคิ้วคมเข้มพลันขมวดเข้าหากัน ดวงเนตรคมดำหรี่เล็กแคบลงอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นได้ชัดว่า สตรีในชุดเจ้าสาวกำลังออกตามหาเขาที่เป็นเจ้าบ่าว
ไม่ว่าสตรีนางใด หากเขาไม่พึงใจและไม่เข้าหา ก็ไม่ควรเพ่นพ่านออกมาตามหาเขา
นี่คือกฎ!
จังหวะที่หมิงเฉิงกำลังเพ่งมองพระชายาอย่างเดือดดาล ฉับพลันนั้นนางก็ตวัดสายตาฉับขึ้นมองเขา
ดวงตากลมโตทอประกายวาวระยับล้อแสงจันทรายามสบตาอยู่ชั่วขณะ ปากสีแดงชาดของนางขยับคลี่ยิ้มกว้าง ก่อนจะเปล่งเสียงดังว่า
“นั่น! เจอตัวแล้ว”
“...”
ชายหนุ่มให้นึกแปลกใจ เขายืนอยู่ในห้องมืดสลัวริมหน้าต่างชั้นสองของเรือนใหญ่ แต่นางอยู่ชั้นล่างห่างออกไปกลางทางเดิน
แต่นางกลับรับรู้และมองเห็นเขา!?
เบื้องล่างบนพื้นดินที่ปูทับด้วยศิลาอ่อนสีดำแผ่นใหญ่โรยด้วยหินสีขาวก้อนเล็กเรียงรายเดินสบายเท้า
ท่างกลางความมืดสลัวใต้แสงจันทร์ที่สาดฉาย
โม๋เอ๋อร์ในอาภรณ์สีแดงสดรีบหมุนกายเดินไปอีกทาง ตามประสาทสัมผัสอันฉับไวของตน ที่จับเป้าหมายได้ไม่มีพลาด“พระชายา โปรดใจเย็นเถิดเพคะ” หยูเสวี่ยเรียกขานอีกฝ่ายได้อย่างแนบเนียนไม่มีตกหล่น ถึงแม้ในใจจะร้อนรุ่มเต็มที
หญิงสาวย่อมรู้จักนิสัยใจคอของคนที่อยู่ด้วยกันตลอดสามปีที่ผ่านมา
โม๋เอ๋อร์เป็นคนน่ารักสดใส ซื่อสัตย์จริงใจ ยึดถือคำสั่งสอนเหนือสิ่งใด แต่ติดตรงที่ใจเร็วไปสักนิด การใคร่ครวญยั้งคิดอยู่ในระดับน่าเป็นห่วง เพราะอย่างนี้ หยูเสวี่ยจึงไม่อาจห่างกายโม๋เอ๋อร์ได้แม้ครึ่งก้าว
“เราควรไปนั่งรอรัชทายาทที่ห้องหออย่างสงบเสงี่ยมนะเพคะ” คุณหนูในชุดสาวใช้เอ่ยย้ำกับเจ้าสาวแห่งค่ำคืนเสียงนุ่ม
โม๋เอ๋อร์ยังคงจ้องมองเงาร่างสูงใหญ่บนชั้นสองของเรือนตรงหน้า ถึงแม้จะค่อนข้างไกลเพราะอยู่สูง และเห็นหน้าตาไม่ชัดเจนสักเท่าไหร่ หากแต่ก็แน่ใจว่าเขาคือเจ้าบ่าวไม่ผิดแน่
บุรุษทั้งสูงใหญ่และหล่อเหลาออกปานนั้น แลดูดำทะมึนแผ่กลิ่นอายสังหารเข้มข้นตลอดเวลา เขาคล้ายบิดาของนางไปทุกส่วน โม๋เอ๋อร์พลันหรี่ตาวิเคราะห์แล้วเอ่ยเสียงเย็น
“มิใช่ว่าเจ้าบ่าวของข้ากำลังพลอดรักกับอนุอีกเรือนหนึ่งอย่างที่ได้ยินจากปากสาวใช้หรอกหรือ พวกเรายังไม่ทันเดินไปทางเรือนอนุเลย เหตุใดเขาจึงยืนเป็นหุ่นศิลาแกร่งอยู่ตรงนั้นเล่า”
หยูเสวี่ยได้ฟังก็งุนงง “อะไรหรือ?”
เป็นความจริงที่ว่า ประสาทสัมผัสและสายตาของโม๋เอ๋อร์ดีเสียยิ่งกว่าดี หยูเสวี่ยจึงไม่เห็นหมิงเฉิงบนชั้นสองที่ห่างออกไป
เรือนของรัชทายาทกับพระชายาอยู่ใกล้กันมาก จึงมิใช่เรื่องแปลก หากจะเดินไม่กี่ก้าว ก็ผ่านมาทางนี้แล้ว
โม๋เอ๋อร์จึงหันมากระซิบบอกหยูเสวี่ย
“รัชทายาทอยู่ที่เรือนหลังนี้” นางวาดนิ้วเรียวชี้ไปยังทิศที่กำลังกล่าว “มิได้อยู่ที่เรือนของอนุใด”
หยูเสวี่ยได้ฟังก็พยักหน้าเข้าใจทันที แล้วช่วยวิเคราะห์
“เช่นนั้นก็คงเป็นแผนการเล่นเล่ห์ของสตรีวังหลังของที่นี่เพื่อข่มขวัญเรา หรือไม่ก็อาจจะเป็นการจงใจของรัชทายาทเอง เพื่อข่มขู่มิให้สกุลโหวเกิดย่ามใจหรือเหิมเกริม”
“อ้อ...” โม๋เอ๋อร์พยักหน้ากระจ่างแจ้งแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“แน่นอนว่าข้าไม่ย่ามใจหรือเหิมเกริม แต่ความโปรดปรานจากรัชทายาทเป็นสิ่งที่ข้าปรารถนายิ่ง” จบคำก็ยกยิ้มซุกซน
หยูเสวี่ยอดมิได้ที่จะยิ้มตาม
ทั้งสองจึงยืนกระซิบกันไปมา จนลืมเป้าหมายที่กำลังตามหาไปเสียสนิท
ท่ามกลางราตรีกาลอันเงียบเชียบ ใต้แสงจันทราสีนวลบางเบาบนต้นไม้ข้างเรือนหลักห่างออกไปไม่ไกลนัก บุรุษหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งนั่งชันเข่าหนึ่งข้าง พิงแผ่นหลังกว้างกับลำต้นของไม้ใหญ่ ในมือมีเหยือกหยกเนื้อดีบรรจุเหล้ารสล้ำ เขายกขึ้นดื่มทั้งเหยือกโดยไม่ใช้จอก ร่างแกร่งในอาภรณ์ราชองครักษ์รู้สึกร้อนวาบยามเหล้าเข้าปากแล้วไหลลงท้อง รสชาติไม่เลว... เขากำลังดื่มด่ำกับค่ำคืนมงคลของพี่ชายที่ได้แต่งพระชายาทว่าชั่วจังหวะที่เขากำลังปล่อยใจไปกับราตรีเดือนเพ็ญ ก็บังเอิญได้เห็นและได้ยินสตรีสองคนที่เบื้องล่างชัดเจนหมิงจินคือบุรุษบนต้นไม้ มองเห็นทั้งสองจากมุมลับตาและสังเกตพวกนางมาครู่หนึ่งแล้วคนหนึ่งหัวเราะคิกคักท่าทางสนุกสนานซุกซนร่าเริงส่วนอีกคนท่าทางสุขุมนุ่มนวลไว้เชิงสิ่งที่หมิงจินรับรู้ได้ไม่ยากเย็น คือคุณหนูผู้เป็นเจ้าสาวมีรูปโฉมงดงามมากนางมีใบหน้าเรียวเล็ก ดวงตากลมโตกระจ่างใสภายใต้แพขนตางามงอน ริมฝีปากแต้มสีชาดเล็กบางแต่อวบอิ่มแลดูเย้ายวนใจ ผิวพรรณขาวเนียนดังหยกสลักชั้นดี ท่าทียามเยื้องกรายสง่างามไปทุกส่วน งดงามไร้ที่ติ ไม่ว่าผู้ใดได้ยลย่อมหายใจผิดไปหนึ่งจังหวะแน่นอนว่ารูปลักษณ์เช่นนี้ นับว่าไม่แป
ท่ามกลางแสงจันทร์ลออนวลส่องแสงเรืองรอง ชายหนุ่มและหญิงสาว ผู้เป็นเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวแห่งค่ำคืน กำลังยืนมองหน้ากันเงียบงัน เกิดเป็นภาพงดงามดั่งภาพฝันคล้ายมายาภายใต้เดือนเพ็ญฝ่ายหนึ่งเป็นสตรีงามพิลาศน่ารักสดใสดวงตากลมโตดุจดาราสะท้อนวารีส่วนอีกฝ่ายเป็นชายงามรูปร่างสูงใหญ่ แลดูเย็นชาผสานความทรงพลังโหดเหี้ยมดำทมิฬน่ากลัวหากแต่โม๋เอ๋อร์หาได้ยำเกรงอันใดแม้แต่น้อย นางค่อยๆ เอ่ยเสียงฉ่ำใส กะพริบตาเบาๆ เพื่อร่ายกลอนหวานตามที่ฝึกปรือ“เพียงแรกพบและสบตา พาดวงใจถวิลหามิขลาดเขลา”“...”หญิงสาวร่ายกลอนที่จำได้ขึ้นใจเพื่อบอกรักอีกฝ่ายตามที่ได้ฝึกฝนมาเนิ่นนานตลอดสามเดือน โดยไม่สนใจคนฟังที่ยามนี้หางคิ้วเริ่มกระตุก จากนั้นก็เริ่มเปิดประเด็นถามทันที หมายให้เขาไปเข้าหอแต่โดยดี ห้ามหนีกันไป“เหตุใดพระองค์ไม่ไปเข้าห้องหอกับหม่อมฉันเล่าเพคะ เราแต่งงานกันแล้วนะเพคะ และคืนนี้ก็คือคืนอันเป็นมหามงคล มีค่าเทียบเท่ากับทองพันชั่ง อ๊ะ! แล้วเหตุใดจึงใส่ชุดดำเช่นนั้น ชุดแดงของท่าน ไยไม่ใส่เล่า!”หญิงสาวถูกขัดเกลาเกี่ยวกับคำพูดจาอย่างรู้กาลเทศะมาแล้วอย่างดีเยี่ยม จึงกล่าวได้อย่างนอบน้อมและถูกต้องทุกคำ หากแต่คำถามตร
ท่ามกลางม่านมืดจากนภาแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณกลิ่นอายดำทะมึนเย็นยะเยือกจากร่างแกร่งยิ่งเข้มข้นขึ้นทุกขณะ เพิ่มความหนาวเหน็บราวเกล็ดน้ำแข็งฉาบทับด้วยหิมะ เย็นเสียยิ่งกว่าเย็นทุกขณะจิตครั้งแรกในชีวิตของชายหนุ่มอย่างหมิงเฉิง ผู้ได้รับฉายาว่ารัชทายาททมิฬผู้น่าทรงพลังน่ากลัวไปทุกหย่อมหญ้า ใครเห็นเป็นต้องหลบตา ทุกคนต่างพากันหวาดผวาครั่นคร้ามยำเกรงแต่ยามนี้กลับถูกสตรีแน่งน้อยนางหนึ่งกล่าวโทษได้อย่างน่าอาย!เจ้าสาวบอกเจ้าบ่าวว่ากำลังถูกทำโทษให้รอการเข้าหอหลายชั่วยามอย่างทรมาน อันเป็นการทำโทษที่ไร้ความผิดซึ่งนั่นย่อมหมายถึงว่า เจ้าบ่าวไร้ความรับผิดชอบต่อการเข้าหอในคืนแต่งงาน แต่กลับโยนความผิดให้เจ้าสาวอย่างไม่น่าให้อภัยเรียกได้ว่าเป็นบุรุษที่ใจคอคับแคบอย่างที่สุดเมื่อหมิงเฉิงได้ยินคำตัดพ้อโยนความผิดใส่หน้าอย่างไม่กลัวตายของสตรีน่าตายตรงหน้าในยามนี้ โทสะพลันปะทุสุมอก ไอสังหารพลันพวยพุ่งอัดแน่นไปทุกอณูเขาสามารถจับกระชากแน่งน้อยไร้ยางอายตรงหน้าให้ลอยกระเด็นไปไกลเพียงแค่พลิกฝ่ามือ หากนางเอ่ยวาจาสามหาวอีกเพียงประโยคเดียวทันใดนั้น แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาบนร่างระหงของโฉมสะคราญที่คุกเข่าร่ายมารยา
บนเตียงนอนมีเงาร่างอรชรเปื้อนเลือดเรือนกายที่กำลังเจ็บปวดกำลังส่องแสงสีทองเรืองรองนัยน์ตาแวววาวสีเขียวมรกตแลดูน่ากลัวผิดแผกแปลกจากมนุษย์หยูเสวี่ยได้เห็นก็ตกใจนักหญิงสาวมิได้ตกใจที่เห็นอีกฝ่ายมีแสงประหลาด รูปลักษณ์เปลี่ยนไป สีผมเปลี่ยนสีตาเปลี่ยนเช่นนั้น หากแต่รู้สึกตกใจที่มีเลือดไหลออกจากปากของโม๋เอ๋อร์ต่างหากเป็นไปได้ว่าโม๋เอ๋อร์ต้องพิษ!ดวงเนตรงามพลันหรี่เล็กแคบแล้วหันไปมองอาหารมงคลบนโต๊ะสีแดงกลางห้อง บนนั้นเหลือเพียงจานเปล่า เพราะโม๋เอ๋อร์กินเข้าไปจนหมดหยูเสวี่ยพลันเบิกตากว้าง เข้าใจทุกสิ่งในทันใดหญิงสาวรีบเอื้อมมือไปปลดผ้าม่านรอบเตียงลงอย่างเร็ว เพื่อปกปิดโม๋เอ๋อร์เอาไว้อย่างมิดชิด แล้วเดินมาที่โต๊ะเพื่อเพ่งพิศพินิจมองหมายวิเคราะห์อย่างละเอียดเป็นไปได้ว่า มีคนต้องการให้พระชายาและรัชทายาทตายด้วยกันในคืนเข้าหอ หลังจากร่วมดื่มและกินอาหารมงคลเหล่านี้เพื่อผลประโยชน์สูงสุดแห่งขั้วอำนาจราชสำนัก ได้กำจัดรัชทายาทและขั้วอำนาจบ้านโหวในคราเดียวหรือหากใครคนใดคนหนึ่งตายเพียงฝ่ายเดียวก็สามารถสั่นคลอนขั้วอำนาจได้ไม่น้อยหากรัชทายาทตายฝ่ายเดียว เป้าหมายคือเล่นงานคนตระกูลโหวและเส้นสายที่เก
นางกับโม๋เอ๋อร์กินนอนด้วยกันมาตลอดสามปี ทุกสิ่งคือตัวตนที่แท้จริง หาได้เสแสร้งไม่ แต่การพลั้งเผลอย่อมต้องมีแรกเริ่มอาหารที่ปนเปื้อน โม๋เอ๋อร์ก็มักจะกินได้อย่างมีความสุข บอกว่ารสชาติดีแม้แต่อาหารที่มีแมลงตกใส่ โม๋เอ๋อร์ยังกินได้หน้าตาเฉย ทั้งยังบอกอีกว่ากินบ่อยตอนอยู่ในป่าใหญ่หลายคราผ่านมา นางที่ถูกแกล้งจนล้มป่วยนอนซมโม๋เอ๋อร์ก็แอบมุดมาใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันเพื่อลอบปล่อยกระแสปราณเย็นช่วยนางยามหลับใหลหลายครั้งเข้า นางก็เริ่มรู้ตัวและเริ่มสงสัยจึงตัดสินใจแกล้งป่วย ทำทีเป็นหลับสนิท เพื่อให้โม๋เอ๋อร์ช่วยเหลือในจังหวะที่โม๋เอ๋อร์ไม่ทันตั้งตัวนางตื่นขึ้นมาแล้วถามตามตรงมิให้หลบเลี่ยง และก็ได้คำตอบตามตรงเช่นกันโม๋เอ๋อร์คือโม๋กุ่ยเสิน เทพปีศาจครึ่งมนุษย์มารดาเป็นเทพปีศาจ ส่วนบิดาเป็นมนุษย์ธรรมดาประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับความรักของทั้งสอง โม๋เอ๋อร์ล้วนเล่าให้นางฟังโดยไม่ปิดบังว่ามารดาถูกกฎสวรรค์ดึงตัวแยกวิญญาณกลับสู่นรกภูมิ สิ้นสลายหายไปกลายเป็นหมอกควันเมื่อครั้งที่ให้กำเนิดโม๋เอ๋อร์ส่วนบิดานั้นกัดฟันเลี้ยงดูโม๋เอ๋อร์ได้เพียงเจ็ดปีก็ตรอมใจสิ้นชีพไปด้วยคิดถึงหญิงคนรักโม๋เอ๋อร์จึงอยู่เพี
แสงแดดยามเช้าลอดผ่านช่องหน้าต่างลงมานางกำนัลอาวุโสและสาวใช้ติดตามอีกสองคนเดินเข้ามาพร้อมอ่างน้ำผ้าสะอาด และเสื้อผ้าแพรพรรณหรูหรา แล้วยืนส่งสายตาแห่งความเจ้าระเบียบตรงมา หากแต่ยังต้องพ่ายให้กับสายตาหยั่งเชิงและไม่ยินยอมให้ใครล่วงล้ำอาณาเขตส่วนพระองค์ หรือความเป็นส่วนตัวของพระชายาหยูเสวี่ยยืนมองทุกคนด้วยอาการนิ่งสงบ สายตาสยบทุกคนได้ไม่ยากเย็นในตำแหน่งสาวใช้คนสนิทของพระชายา นางสามารถทำตัวเย่อหยิ่งน่ายำเกรงได้ ไม่นับว่าแปลกอันใดนางกำนัลและสาวใช้ทั้งหลายจำต้องพ่ายแล้วเดินจากไปจนหมด ไม่กล้าส่งเสียงรบกวนอันใดทั้งสิ้นหลังจากทุกสิ่งถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ และอยู่กันเพียงสองคน โม๋เอ๋อร์ที่ยังคงหลับอย่างสบายใจบนเตียงนอนกว้างขวางอบอุ่น ก็ถูกปลุกขึ้นให้มาล้างหน้าแต่งตัว“ขอนอนอีกมิได้หรือ?” หญิงสาวบ่นพึมพำยามถูกมือของหยูเสวี่ยฉุดดึงให้เดินไปเช็ดหน้าบ้วนปาก แล้วนั่งลงตรงโต๊ะเครื่องแป้ง“ไม่ได้ๆ ยามนี้เจ้าเป็นพระชายาแล้ว ต้องออกไปรับการคารวะจากบรรดาอนุชายาของรัชทายาท ตามกฎระเบียบมิอาจหลีกเลี่ยง” หยูเสวี่ยกล่าวเตือนสติอีกฝ่าย พลางช่วยสางผมให้อย่างเบามือโม๋เอ๋อร์ทำหน้ายู่ แต่ก็ไม่คิดขัดข
มีสตรีประมาณสี่คนกำลังนินทาโม๋เอ๋อร์ว่า“เมื่อคืนรัชทายาทไม่ยอมเข้าห้องหอเพื่อร่วมเรียงเคียงหมอนตามพิธี พระชายาจึงเดินออกจากเรือนหอมาอาละวาดและเกิดมีปากเสียงกับรัชทายาทจนร้องไห้วิ่งกลับเข้าเรือนตนแทบไม่ทัน” จบประโยคก็ได้ยินเสียงหัวเราะแว่วหวานเบาๆ“ตื่นเช้ามายังได้ข่าวอีกว่า อาหารมงคลเมื่อยามค่ำคืนเหลือเพียงถ้วยเปล่าออกมา”“เห็นได้ชัดว่า พระชายาเสียใจจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกินขนมบนโต๊ะจนหมดไม่มีเหลือ ไม่สนใจพิธีการเลย”“สตรียามเศร้าโศกก็เช่นนี้ การกินเป็นวิธีที่ดีที่สุด”พวกนางนินทาได้อารมณ์เป็นอย่างมาก ทั้งสมเพชและขบขันผสมผสานอย่างลงตัวโม๋เอ๋อร์หาได้ใส่ใจว่าสตรีเหล่านี้จะเสแสร้งคุยเรื่องใดกัน หากแต่สิ่งที่นางสนใจในยามนี้นั้น คือน้ำเสียงที่พวกนางใช้ จังหวะในการพูด เส้นเสียงยามเอ่ย กระแสลมหายใจยามหัวเราะและมิใช่เพียงเสียงหวานแว่วเจื้อยแจ้วของเหล่าอนุชายาเท่านั้นที่โม๋เอ๋อร์สนใจอา...นั่นอย่างไรเล่า! กระแสเสียงเช่นเดียวกับเส้นเสียงกระซิบที่มุมเฉลียงเมื่อคืนเสียงของบ่าวรับใช้ข้างกายของเหล่าสนมชายาเหล่านั้น โม๋เอ๋อร์ก็จำแนกได้เป็นอย่างดี ว่าเสียงใดที่นางได้ยินเมื่อยามค่ำคืนที่ผ่านมา
รัชทายาทหมิงเฉิงอายุยี่สิบห้าปี แต่งบรรดาชายาเข้าตำหนักบูรพาสิบคน มีชายารองและชายาสามครบครันแต่ละนางมีชาติตระกูลมิได้ต่ำต้อย เรียกได้ว่าเป็นคุณหนูสูงส่งกันทุกคนบรรยากาศภายในห้องโถงกลางเรือนชิงเยว่แห่งนี้ จึงเต็มไปด้วยมวลบุปผานานาพรรณที่คล้ายกับมีชีวิตกระนั้นแลดูงดงามหลากสีสันละลานตาด้วยเสื้อผ้าแพรพรรนที่พวกนางใส่ ราวกลีบบุปผาบานสะพรั่งประหนึ่งจะไม่มีวันโรยราเต็มไปหมดมวลผกาผุดพรายแลชั่วร้าย เกิดเป็นป่าบุปผาปีศาจร่านราคีโม๋เอ๋อร์คิดชื่นชมเป็นคำกลอนในใจ ยามพาเรือนร่างระเหิดระหงของตนเดินกรีดกรายนวยนาดเข้ามาในห้องโถงคำว่าปีศาจสำหรับนาง หาใช่คำดูถูกด่าทอ เพราะคำว่าปีศาจไม่มีอะไรไม่ดี แต่ตรงกันข้าม นางรู้สึกชมชอบสตรีเหล่านี้จึงเปรียบพวกนางเป็นปีศาจแสนน่ารัก คำว่าร่านราคีล้วนเป็นคำชมโม๋เอ๋อร์พาเรือนร่างของตนในอาภรณ์สีแดงสดลวดลายหงส์เหินเมฆาเคลื่อน พลิ้วไหวแช่มช้ายามก้าวขาน้อยๆ เยื้องย่างเข้าประตูห้องโถงมาแสงแดดเจิดจ้าส่องตามไล่หลังร่างอรชรของนาง เกิดเป็นภาพมายาราวกับนางเป็นเทพธิดาหงส์เพลิงเจิดจรัสปรากฏในครรลองสายตาของสตรีทุกคนสายตาราบเรียบไร้ระลอกคลื่นของโม๋เอ๋อร์มองกราดทุกคนในห้องโถ
ใกล้ยามเที่ยงวัน นภากว้างไร้หมู่เมฆลอยเคลื่อน ตะวันฉายจึงแผดแสงแรงกล้าหมิงเฉิงจึงเปรยกับเจียงฮองเฮาว่าควรกลับตำหนักส่วนพระองค์ เพื่อพักผ่อนถนอมพระวรกาย เขาจะได้พาใครบางคนกลับวังบูรพาเสียทีทว่าผู้ถูกห่วงใยเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปเพียงต้องการอยู่กับลูกชายอีกสักหน่อยและยามนี้ ก็ให้รู้สึกอยากมีลูกสาวสักคนเจียงเฟิ่งกำลังชื่นชอบการสนทนากับโม๋เอ๋อร์ยิ่งนัก ดวงตากลมโตพิสุทธิ์สดใส กอปรกับกิริยาน่ารักไร้เดียงสา แม้แต่สตรีด้วยกันที่ได้ชื่อว่าเย็นชาเหลือเกิน ยังหัวใจละลาย คล้ายกับได้สายน้ำเย็นฉ่ำของอีกฝ่ายรินรดจนชุ่มชื่นโพรงอก“วันนี้ อยู่ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันเป็นเพื่อนแม่ก่อนเถิด” สุรเสียงนุ่มนวลตรัสอย่างเป็นกันเองกับคนงามด้านซ้ายที่ประคองมือกันไปตามทางเดินกลางอุทยาน“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ” โม๋เอ๋อร์มีหรือจะปฏิเสธอาหารเลิศรส นางรีบตอบรับเสียงใส “หากเสด็จแม่มิได้ชักชวน เกรงว่าหม่อมฉันจะเป็นฝ่ายเสียมารยาทเอ่ยปากขอร้องเสียแล้ว”เจ้าแห่งวังหลังถึงกับแย้มสรวล “เจ้านี่นะ!”รอยยิ้มสว่างจ้ายังคงประดับใบหน้าเรียวเล็กจนผู้จ้องมองรู้สึกแสบตาไปหมด ดวงตาคู่คมของหมิงเฉิงเข้มลึกสุดจะหยั่ง ทั้งยังรู้สึกไม
ภายในศาลาริมบึงขนาดใหญ่ การสนทนาระหว่างสตรีดำเนินอีกเพียงครู่ชิงเฟยจึงกล่าวลาแล้วล่าถอยออกไป พร้อมธิดาตัวน้อยและนางกำนัลคนสนิทร่างสูงของหมิงเฉิงยังคงถูกตรึงนิ่งขึงอยู่กับที่ ไร้ซึ่งผู้ใดสังเกตเห็น มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้เขาเห็นนางกำนัลคนสนิทที่มากับชิงเฟยมีนัยน์ตาสีเขียว และมิใช่เพียงชั่ววูบเดียว ทว่าหลายชั่วลมหายใจเลยก็ว่าได้สตรีนางนี้มีใบหน้าเรียวยาว ผิวขาวราวหิมะ ถึงแม้จะอยู่ในชุดสีครามอ่อนจางของตำแหน่งนางกำนัล หากแต่กลับสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบกดข่มผู้คน นางพยายามหลุบตาหลบเลี่ยง หากแต่เขาก็ยังมองได้ทันท่วงที และเห็นชัดเจนดินแดนทั้งสามภพภูมินั้น มีสวรรค์และนรกแยกกันมิอาจบรรจบ เหล่าทวยเทพและปีศาจต่างก็แยกกันอยู่มิอาจค้นพบมีเพียงภพมนุษย์เท่านั้น ที่เหล่าภูตผีและปีศาจร้ายต่างเผ่าพันธุ์ อาศัยอยู่แบบแทรกซึมทั่วไปหมดมนุษย์หรือสรรพสัตว์ ที่ต้องการละทางโลกเพื่อเป็นเซียน บำเพ็ญเพียรบารมีจนถึงขั้นได้เป็นเซียนก็ยังอาศัยอยู่ในภพนี้มนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่มีจิตใจใฝ่อกุศล บำเพ็ญเพียรเพื่อมีพลังที่ชั่วร้ายจนกลายเป็นมาร แม้กระทั่งเทพหรือเซียน ถ้ามีจิตใจชั่วร้ายก็กลายเป็นมาร พวกนี้ก็อยู่
ยามทิวาตะวันเคลื่อนแสงแดดกล้า ขบวนเสด็จของเจียงฮองเฮาจึงเลือกที่จะเดินไปนั่งจิบชาในศาลากลางสวนบุปผชาติ รอบด้านล้วนงดงาม เบื้องหน้าคือบึงบัวหลากสีที่โต๊ะกลมกลางศาลา โม๋เอ๋อร์ดูแลรินน้ำชาให้แม่สามีอย่างนอบน้อม เจียงเฟิ่งรับการปรนนิบัติจากลูกสะใภ้อย่างยินดี สตรีทั้งสองแย้มยิ้มให้กันอย่างชื่นมื่นเปี่ยมไมตรีในขณะที่หมิงเฉิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่นิ่งๆ ที่ริมศาลาด้านบึงบัว ทำตัวเป็นบุตรชายที่ดีและสามีผู้ใจเย็นรอคอยภรรยากินขนมจิบชาอย่างอดทนที่ด้านนอกศาลา ถัดจากกลุ่มนางกำนัลและขันทีที่ยืนเรียงรายอย่างสงบเพื่อรอรับใช้ มีเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยดังขึ้น เสียงนั้นเรียกสายตาของคนในศาลาได้ทันทีเมื่อทุกคนในศาลาหันไปมองทางต้นเสียง จึงได้เห็นเป็นสตรีงดงามนางหนึ่งในอาภรณ์สีชิงพลิ้วไหวประดับปิ่นหรูหรา แต่งหน้าสีหวาน ใบหน้าโฉมสะคราญแขวนรอยยิ้มละมุนตา ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวานนอบน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมากนางเดินนวยนาดแช่มช้ามาทางศาลา พร้อมนางกำนัลคนสนิทที่อุ้มเด็กน้อยน่ารักไม่ห่างกายนางคือพระสนมชิงเฟย นามชิงจิ้งชิงเฟยผู้นี้ เดิมทีเป็นคุณหนูผู้โดดเด่นที่สุดแห่งสกุลชิง และมักจะเข้าร่วมงานวังหลวงทุกครั้งไม่เคยข
เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฮองเฮาจึงผินพระพักตร์ปรายสายพระเนตรมาทางองค์รัชทายาทบ้าง ทว่ากลับเห็นท่าทางเย็นชาแววตาเย็นเยียบกิริยาห่างเหินกับชายาโหว ก็ให้นึกแปลกพระทัยแต่กระนั้นก็คิดเพียงว่าจะไม่ยุ่งเรื่องยิบย่อยของบุตรชาย เพียงปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง พระนางเพียงกระทำตามแผนการของหมิงจินกับสาวใช้คนงาม ที่ขอให้แสดงความโปรดปรานต่อธิดาโหวให้เป็นที่ประจักษ์ก็เท่านั้นชั่วจังหวะที่กำลังสงสัยในอากัปกิริยาอันน่าครั่นคร้ามของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาพลันได้ยินเสียงหวานใสของสตรีด้านซ้ายกล่าวพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพราว่า“หม่อมฉันย่อมทำเพื่อเสด็จแม่เพคะ และจะมาหาบ่อยๆ ไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวแน่ๆ” โม๋เอ๋อร์กล่าวจากใจจริง กิริยาวาจาล้วนน่ารักสดใส ไร้การเสแสร้งทั้งสิ้นเจียงฮองเฮาแย้มสรวล “ดียิ่ง ดีจริงๆ”“เพคะ” โม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มละมุน กิริยาหมดจดพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดวงตากลมโตพิสุจธิ์สดใส เผยความดีใจที่ได้มีมารดาเพิ่มอีกหนึ่งคนทว่าใบหน้าหล่อเหลาของหมิงเฉิงยิ่งดำทะมึนนึกขัดใจ หากเขาต้องพาชายาโหวเข้าวังบ่อยๆ ได้อึดอัดตายพอดีต่อหน้าเสด็จแม่จักทำอันใดตามแต่ใจได้ที่ใด?ความไม่พอใจฉายวาบผ่านแววตาคม สีหน้าเผยคว
ในวันนี้เจียงฮองเฮาทรงเรียกองค์รัชทายาทและพระชายามาจิบชาชมบุปผาพร้อมทั้งพาเดินเที่ยวให้ทั่ววัง ตามความประสงค์ทางสายตาของหมิงจินที่เชื่อฟังสาวใช้คนงามเหลือเกินซึ่งอันที่จริงพระนางก็มีความต้องการที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วเมื่อทราบข่าวราชโองการของฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วเรื่องนี้นับได้ว่าหนักหนาพอควร สำหรับโอรสที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท ขั้วอำนาจซึ่งเป็นฐานที่มั่นถูกสั่นคลอนเช่นนั้น มิใช่เพียงรักษาตำหนักบูรพาลำบาก หากแต่ยังอาจสร้างความบาดหมางได้ไม่ยาก นับจากนี้การลอบสังหารคงมีตามมามากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากหลายสกุลที่ถูกส่งคืนคงแค้นเคืองไม่น้อยแน่นอนว่าฝีมือของหมิงเฉิงไม่น่าห่วงในเรื่องนี้ เพียงแต่เจียงฮองเฮาก็ไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตจนเกินไปหมิงจินก็เช่นกัน กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้ เขาได้หลับสบายสักคืนหรือไม่?พระมารดาแห่งต้าหมิงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยยามถูกโม๋เอ๋อร์จับประคองมือซ้ายพาเดินเล่นไปตามทางเดินของอุทยานหลวง ด้านขวายังมีหมิงเฉิงเดินตระหง่านดำทะมึนมาด้วยกัน ท่าทางของรัชทายาทหนุ่มในยามนี้ แม้สูงส่งงามสง่าแต่ทว่าเปี่ยมพลังกดข่มเขย่าขวัญผู้คนไปทั่ววันนี้นับได้ว่าอากาศด
เจียงฮองเฮามองตามแผ่นหลังของสองชายหญิงเงียบๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะตรัสออกมาทางสวี่กูกูที่ยืนอย่างสงบเยื้องไปทางด้านหลังอยู่เพียงลำพัง ปราศจากผู้อื่นนอกจากนาง“เจ้าคงเห็นแล้ว ว่าลูกๆ ของข้าน่าเป็นห่วงปานใด”สวี่กูกูคือแม่นมของหมิงเฉิงในอดีต ที่รับรู้เรื่องราวอันเป็นความลับทุกสิ่ง จึงมิใช่เรื่องแปลกหากเจียงเฟิ่งจักเปิดเผยตามตรงกับอีกฝ่าย “เรื่องเส้นสายราชสำนัก หรือขั้วอำนาจใดๆ ล้วนไม่ยากหากข้าจะช่วย ทว่าเรื่องอื่นๆ เล่า”สวี่กูกูค้อมตัวกล่าวอย่างนอบน้อมแต่ตรงไปตรงมา ด้วยเข้าใจความห่วงใยที่มากล้นเกินจำเป็นของเจ้านาย“ทูลฮองเฮา เรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว เราควรปล่อยไปตามโชคชะตานำพาเพคะ ขออย่าทรงกังวลจนเกินไป”“จะดีหรือ?” เจียงเฟิ่งไม่แน่ใจ “ข้าไม่ต้องช่วยจริงหรือ?”“ย่อมดีเพคะ เรื่องเหล่านี้ เราสองคนที่ไม่เคยประสบย่อมไม่เข้าใจนะเพคะ”เจียงเฟิ่งพลันเงียบงันปราศจากถ้อยวาจา ด้วยไม่อาจเห็นต่าง เพราะว่านางกับสวี่กูกูเติบโตมาด้วยกันกระทั่งเข้าวังและไม่เคยเจอเรื่องรักใคร่เลยสักครั้งในชีวิตจริงๆการยื่นมือช่วยในบางเรื่อง อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีถึงแม้เจียงเฟิ่งจักได้แต่งงาน ทว่าการมีสามีของนางล้
ระยะทางจากตำหนักบูรพามายังตำหนักฉีหยางกงนับได้ว่าไกลมากทว่าวันนี้กลับรู้สึกเหมือนใกล้กว่าที่เคย หมิงเฉิงยังมิทันได้ซึมซับไอเย็นจากร่างนุ่มสักเท่าไหร่ก็ถึงเสียแล้วอ้อมกอดอุ่นพลันคลายออก ความร้อนวาบพลันจางหาย โม๋เอ๋อร์รู้สึกถึงความเย็นไหลผ่านร่างกายเมื่อวงแขนกำยำของสามีปลดออกไปความเสียดายบางประการจึงบังเกิดกับพวกเขาโดยมิได้นัดหมาย หญิงสาวถึงกับเม้มปากแน่น ในขณะที่ชายหนุ่มถึงกับลอบขบกรามทั้งสองพากันจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะลงจากรถม้าอย่างงามสง่าเฉกเช่นชนชั้นสูงปกติ หาได้มีพิรุธอันใดไม่ขณะนี้เป็นเวลายามสาย อากาศแจ่มใส แมกไม้ร่มรื่น แสงแดดอ่อนจาง ทางเดินเข้าตำหนักงดงามจับตา ชายผ้าของสองสามีภรรยาถูกสายลมโชยผ่านพัดพลิ้วเกี่ยวประสาน ประหนึ่งเป็นผ้าผืนเดียวกันตั้งแต่ย่างเท้าก้าวใดมิทราบได้ ที่ทั้งคู่เดินใกล้กันมาก โดยไม่รู้ตัวภายในห้องโถงรับแขก ที่แท่นประทับสลักทองคำเจียงฮองเฮายังคงนิ่งเงียบเพื่อฟังวาจานุ่มหวานของสาวใช้นางหนึ่งที่นั่งเคียงข้างกับองครักษ์หนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้านล่าง สองชายหญิงช่วยกันร้องช่วยกันรับอยู่หลายประโยค พูดจาส่งกันไปมาอย่างเปิดเผย
ไม่นานเลยกับการนั่งเป็นตุ๊กตาให้นางกำนัลช่วยกันประโคมเครื่องแต่งกายให้โม๋เอ๋อร์เดินกรีดกรายแช่มช้า พาร่างระหงในอาภรณ์สีสันสดใสลวดลายดอกไห่ถังตัดกับฤดูเหมันต์ได้อย่างลงตัว มาหยุดยืนอยู่นิ่งๆ ที่ข้างรถม้า สายตากวาดมองไปรอบๆ ไม่เห็นร่างสูงของสามี ก็ให้นึกแปลกใจแค่ไม่ยอมร่วมหอด้วยเมื่อคืน เขากลับแง่งอนหลบหน้าหลบตากันถึงเพียงนี้ สงสัยอยากได้อนุชายากลับมาใจจะขาดอา...แล้วนางต้องยอมหรือไม่?คำตอบคือ ไม่!หญิงสาวปราศจากความสนใจชายผู้แง่งอน รีบรับการจับประคองจากนางกำนัลขึ้นไปบนรถม้าด้วยกิริยาแช่มช้อยทว่าทันทีที่ทหารเปิดผ้าม่านให้ ดวงเนตรกลมใสพลันเห็นเงาร่างดำทะมึนที่คล้ายเมฆหมอกก่อนพายุโหมกระหน่ำนั่งตระหง่านอยู่ในนั้น โม๋เอ๋อร์ยังมิทันได้ตั้งตัวเตรียมใจ ก็ถูกฉุดรั้งเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว มือหนาของอีกฝ่ายจับกระชับข้อมือนางดึงเข้าหาแล้วโอบรอบเอวบางให้นั่งบนหน้าขาความว่องไวในกระบวนท่า พาให้คนงามตะลึงงันโม๋เอ๋อร์ตัวแข็งทื่อ ร่างนุ่มนิ่งค้างซ้อนอยู่บนร่างหนา รับรู้เพียงความอุ่นร้อนวาบผ่าน โอบล้อมร่างนางทั้งหมด“เหตุใดเมื่อคืนไม่ยอมเข้าหอ” เส้นเสียงทุ้มต่ำดังเล็ดลอดจากริมฝีปากได้รูป พ่นลมร้
น้ำค้างพราวระยับบนยอดหญ้า แสงแรกอรุณรุ่งเบิกฟ้า ส่องสว่างไปทั่วนภาโม๋เอ๋อร์ลุกขึ้นแต่งตัวงดงามตั้งแต่ฟ้าสาง แล้วนั่งจิบชาอุ่นอยู่กลางโถงเรือนอย่างเดียวดาย รอบกายไม่มีใครเลยสักคนหญิงสาวนั่งเท้าคาง นัยน์ตาหรี่ปรือ เนื่องจากเมื่อคืนยังมิได้นอนเลยจนป่านนี้เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะต้องคอยระแวดระวังชายผู้หนึ่งซึ่งเป็นสามี มิให้เขาได้เข้ามาเพื่อร่วมหอกับภรรยาเช่นนางหึ! ไม่ว่าสตรีนางใด ก็ไม่มีสิทธิ์กลับมาทั้งนั้น! เพราะว่านางจะไม่เข้าหอกับเขาเด็ดขาด…โม๋เอ๋อร์ประกาศกร้าวในใจ ดวงตาทอประกายเด็ดเดี่ยว เหลียวมองหลังอย่างระแวดระวัง ว่าถูกสามีตามติดหรือไม่ปรากฏว่าไม่มี ...มิรู้ได้ว่าเขาหายไปทางใด?หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ไล่มองไปทั่วห้องโถง เห็นมีนางกำนัลยืนอยู่หน้าห้องแค่สองคน นอกนั้นไม่มีใครเลยมิคาดว่าหยูเสวี่ยก็หายไปเช่นกัน ตั้งแต่เมื่อคืนกระทั่งยามนี้ก็ยังไม่เจออีกฝ่ายเลย เห็นเพียงจดหมายแผ่นหนึ่งวางเอาไว้ที่โต๊ะหัวเตียง มีข้อความบอกว่าต้องเร่งจัดการเรื่องราวบางประการ มิให้นางต้องเป็นห่วง ทำตัวตามปกติไปก่อน และต้องไม่ยอมเข้าหอกับรัชทายาทตำแหน่งประธานในโถงใหญ่ บนโต๊ะมีอาหารเช้าชุดหนึ่ง เหนื