ท่ามกลางม่านมืดจากนภาแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณกลิ่นอายดำทะมึนเย็นยะเยือกจากร่างแกร่งยิ่งเข้มข้นขึ้นทุกขณะ เพิ่มความหนาวเหน็บราวเกล็ดน้ำแข็งฉาบทับด้วยหิมะ เย็นเสียยิ่งกว่าเย็นทุกขณะจิตครั้งแรกในชีวิตของชายหนุ่มอย่างหมิงเฉิง ผู้ได้รับฉายาว่ารัชทายาททมิฬผู้น่าทรงพลังน่ากลัวไปทุกหย่อมหญ้า ใครเห็นเป็นต้องหลบตา ทุกคนต่างพากันหวาดผวาครั่นคร้ามยำเกรงแต่ยามนี้กลับถูกสตรีแน่งน้อยนางหนึ่งกล่าวโทษได้อย่างน่าอาย!เจ้าสาวบอกเจ้าบ่าวว่ากำลังถูกทำโทษให้รอการเข้าหอหลายชั่วยามอย่างทรมาน อันเป็นการทำโทษที่ไร้ความผิดซึ่งนั่นย่อมหมายถึงว่า เจ้าบ่าวไร้ความรับผิดชอบต่อการเข้าหอในคืนแต่งงาน แต่กลับโยนความผิดให้เจ้าสาวอย่างไม่น่าให้อภัยเรียกได้ว่าเป็นบุรุษที่ใจคอคับแคบอย่างที่สุดเมื่อหมิงเฉิงได้ยินคำตัดพ้อโยนความผิดใส่หน้าอย่างไม่กลัวตายของสตรีน่าตายตรงหน้าในยามนี้ โทสะพลันปะทุสุมอก ไอสังหารพลันพวยพุ่งอัดแน่นไปทุกอณูเขาสามารถจับกระชากแน่งน้อยไร้ยางอายตรงหน้าให้ลอยกระเด็นไปไกลเพียงแค่พลิกฝ่ามือ หากนางเอ่ยวาจาสามหาวอีกเพียงประโยคเดียวทันใดนั้น แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาบนร่างระหงของโฉมสะคราญที่คุกเข่าร่ายมารยา
บนเตียงนอนมีเงาร่างอรชรเปื้อนเลือดเรือนกายที่กำลังเจ็บปวดกำลังส่องแสงสีทองเรืองรองนัยน์ตาแวววาวสีเขียวมรกตแลดูน่ากลัวผิดแผกแปลกจากมนุษย์หยูเสวี่ยได้เห็นก็ตกใจนักหญิงสาวมิได้ตกใจที่เห็นอีกฝ่ายมีแสงประหลาด รูปลักษณ์เปลี่ยนไป สีผมเปลี่ยนสีตาเปลี่ยนเช่นนั้น หากแต่รู้สึกตกใจที่มีเลือดไหลออกจากปากของโม๋เอ๋อร์ต่างหากเป็นไปได้ว่าโม๋เอ๋อร์ต้องพิษ!ดวงเนตรงามพลันหรี่เล็กแคบแล้วหันไปมองอาหารมงคลบนโต๊ะสีแดงกลางห้อง บนนั้นเหลือเพียงจานเปล่า เพราะโม๋เอ๋อร์กินเข้าไปจนหมดหยูเสวี่ยพลันเบิกตากว้าง เข้าใจทุกสิ่งในทันใดหญิงสาวรีบเอื้อมมือไปปลดผ้าม่านรอบเตียงลงอย่างเร็ว เพื่อปกปิดโม๋เอ๋อร์เอาไว้อย่างมิดชิด แล้วเดินมาที่โต๊ะเพื่อเพ่งพิศพินิจมองหมายวิเคราะห์อย่างละเอียดเป็นไปได้ว่า มีคนต้องการให้พระชายาและรัชทายาทตายด้วยกันในคืนเข้าหอ หลังจากร่วมดื่มและกินอาหารมงคลเหล่านี้เพื่อผลประโยชน์สูงสุดแห่งขั้วอำนาจราชสำนัก ได้กำจัดรัชทายาทและขั้วอำนาจบ้านโหวในคราเดียวหรือหากใครคนใดคนหนึ่งตายเพียงฝ่ายเดียวก็สามารถสั่นคลอนขั้วอำนาจได้ไม่น้อยหากรัชทายาทตายฝ่ายเดียว เป้าหมายคือเล่นงานคนตระกูลโหวและเส้นสายที่เก
นางกับโม๋เอ๋อร์กินนอนด้วยกันมาตลอดสามปี ทุกสิ่งคือตัวตนที่แท้จริง หาได้เสแสร้งไม่ แต่การพลั้งเผลอย่อมต้องมีแรกเริ่มอาหารที่ปนเปื้อน โม๋เอ๋อร์ก็มักจะกินได้อย่างมีความสุข บอกว่ารสชาติดีแม้แต่อาหารที่มีแมลงตกใส่ โม๋เอ๋อร์ยังกินได้หน้าตาเฉย ทั้งยังบอกอีกว่ากินบ่อยตอนอยู่ในป่าใหญ่หลายคราผ่านมา นางที่ถูกแกล้งจนล้มป่วยนอนซมโม๋เอ๋อร์ก็แอบมุดมาใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันเพื่อลอบปล่อยกระแสปราณเย็นช่วยนางยามหลับใหลหลายครั้งเข้า นางก็เริ่มรู้ตัวและเริ่มสงสัยจึงตัดสินใจแกล้งป่วย ทำทีเป็นหลับสนิท เพื่อให้โม๋เอ๋อร์ช่วยเหลือในจังหวะที่โม๋เอ๋อร์ไม่ทันตั้งตัวนางตื่นขึ้นมาแล้วถามตามตรงมิให้หลบเลี่ยง และก็ได้คำตอบตามตรงเช่นกันโม๋เอ๋อร์คือโม๋กุ่ยเสิน เทพปีศาจครึ่งมนุษย์มารดาเป็นเทพปีศาจ ส่วนบิดาเป็นมนุษย์ธรรมดาประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับความรักของทั้งสอง โม๋เอ๋อร์ล้วนเล่าให้นางฟังโดยไม่ปิดบังว่ามารดาถูกกฎสวรรค์ดึงตัวแยกวิญญาณกลับสู่นรกภูมิ สิ้นสลายหายไปกลายเป็นหมอกควันเมื่อครั้งที่ให้กำเนิดโม๋เอ๋อร์ส่วนบิดานั้นกัดฟันเลี้ยงดูโม๋เอ๋อร์ได้เพียงเจ็ดปีก็ตรอมใจสิ้นชีพไปด้วยคิดถึงหญิงคนรักโม๋เอ๋อร์จึงอยู่เพี
แสงแดดยามเช้าลอดผ่านช่องหน้าต่างลงมานางกำนัลอาวุโสและสาวใช้ติดตามอีกสองคนเดินเข้ามาพร้อมอ่างน้ำผ้าสะอาด และเสื้อผ้าแพรพรรณหรูหรา แล้วยืนส่งสายตาแห่งความเจ้าระเบียบตรงมา หากแต่ยังต้องพ่ายให้กับสายตาหยั่งเชิงและไม่ยินยอมให้ใครล่วงล้ำอาณาเขตส่วนพระองค์ หรือความเป็นส่วนตัวของพระชายาหยูเสวี่ยยืนมองทุกคนด้วยอาการนิ่งสงบ สายตาสยบทุกคนได้ไม่ยากเย็นในตำแหน่งสาวใช้คนสนิทของพระชายา นางสามารถทำตัวเย่อหยิ่งน่ายำเกรงได้ ไม่นับว่าแปลกอันใดนางกำนัลและสาวใช้ทั้งหลายจำต้องพ่ายแล้วเดินจากไปจนหมด ไม่กล้าส่งเสียงรบกวนอันใดทั้งสิ้นหลังจากทุกสิ่งถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ และอยู่กันเพียงสองคน โม๋เอ๋อร์ที่ยังคงหลับอย่างสบายใจบนเตียงนอนกว้างขวางอบอุ่น ก็ถูกปลุกขึ้นให้มาล้างหน้าแต่งตัว“ขอนอนอีกมิได้หรือ?” หญิงสาวบ่นพึมพำยามถูกมือของหยูเสวี่ยฉุดดึงให้เดินไปเช็ดหน้าบ้วนปาก แล้วนั่งลงตรงโต๊ะเครื่องแป้ง“ไม่ได้ๆ ยามนี้เจ้าเป็นพระชายาแล้ว ต้องออกไปรับการคารวะจากบรรดาอนุชายาของรัชทายาท ตามกฎระเบียบมิอาจหลีกเลี่ยง” หยูเสวี่ยกล่าวเตือนสติอีกฝ่าย พลางช่วยสางผมให้อย่างเบามือโม๋เอ๋อร์ทำหน้ายู่ แต่ก็ไม่คิดขัดข
มีสตรีประมาณสี่คนกำลังนินทาโม๋เอ๋อร์ว่า“เมื่อคืนรัชทายาทไม่ยอมเข้าห้องหอเพื่อร่วมเรียงเคียงหมอนตามพิธี พระชายาจึงเดินออกจากเรือนหอมาอาละวาดและเกิดมีปากเสียงกับรัชทายาทจนร้องไห้วิ่งกลับเข้าเรือนตนแทบไม่ทัน” จบประโยคก็ได้ยินเสียงหัวเราะแว่วหวานเบาๆ“ตื่นเช้ามายังได้ข่าวอีกว่า อาหารมงคลเมื่อยามค่ำคืนเหลือเพียงถ้วยเปล่าออกมา”“เห็นได้ชัดว่า พระชายาเสียใจจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกินขนมบนโต๊ะจนหมดไม่มีเหลือ ไม่สนใจพิธีการเลย”“สตรียามเศร้าโศกก็เช่นนี้ การกินเป็นวิธีที่ดีที่สุด”พวกนางนินทาได้อารมณ์เป็นอย่างมาก ทั้งสมเพชและขบขันผสมผสานอย่างลงตัวโม๋เอ๋อร์หาได้ใส่ใจว่าสตรีเหล่านี้จะเสแสร้งคุยเรื่องใดกัน หากแต่สิ่งที่นางสนใจในยามนี้นั้น คือน้ำเสียงที่พวกนางใช้ จังหวะในการพูด เส้นเสียงยามเอ่ย กระแสลมหายใจยามหัวเราะและมิใช่เพียงเสียงหวานแว่วเจื้อยแจ้วของเหล่าอนุชายาเท่านั้นที่โม๋เอ๋อร์สนใจอา...นั่นอย่างไรเล่า! กระแสเสียงเช่นเดียวกับเส้นเสียงกระซิบที่มุมเฉลียงเมื่อคืนเสียงของบ่าวรับใช้ข้างกายของเหล่าสนมชายาเหล่านั้น โม๋เอ๋อร์ก็จำแนกได้เป็นอย่างดี ว่าเสียงใดที่นางได้ยินเมื่อยามค่ำคืนที่ผ่านมา
รัชทายาทหมิงเฉิงอายุยี่สิบห้าปี แต่งบรรดาชายาเข้าตำหนักบูรพาสิบคน มีชายารองและชายาสามครบครันแต่ละนางมีชาติตระกูลมิได้ต่ำต้อย เรียกได้ว่าเป็นคุณหนูสูงส่งกันทุกคนบรรยากาศภายในห้องโถงกลางเรือนชิงเยว่แห่งนี้ จึงเต็มไปด้วยมวลบุปผานานาพรรณที่คล้ายกับมีชีวิตกระนั้นแลดูงดงามหลากสีสันละลานตาด้วยเสื้อผ้าแพรพรรนที่พวกนางใส่ ราวกลีบบุปผาบานสะพรั่งประหนึ่งจะไม่มีวันโรยราเต็มไปหมดมวลผกาผุดพรายแลชั่วร้าย เกิดเป็นป่าบุปผาปีศาจร่านราคีโม๋เอ๋อร์คิดชื่นชมเป็นคำกลอนในใจ ยามพาเรือนร่างระเหิดระหงของตนเดินกรีดกรายนวยนาดเข้ามาในห้องโถงคำว่าปีศาจสำหรับนาง หาใช่คำดูถูกด่าทอ เพราะคำว่าปีศาจไม่มีอะไรไม่ดี แต่ตรงกันข้าม นางรู้สึกชมชอบสตรีเหล่านี้จึงเปรียบพวกนางเป็นปีศาจแสนน่ารัก คำว่าร่านราคีล้วนเป็นคำชมโม๋เอ๋อร์พาเรือนร่างของตนในอาภรณ์สีแดงสดลวดลายหงส์เหินเมฆาเคลื่อน พลิ้วไหวแช่มช้ายามก้าวขาน้อยๆ เยื้องย่างเข้าประตูห้องโถงมาแสงแดดเจิดจ้าส่องตามไล่หลังร่างอรชรของนาง เกิดเป็นภาพมายาราวกับนางเป็นเทพธิดาหงส์เพลิงเจิดจรัสปรากฏในครรลองสายตาของสตรีทุกคนสายตาราบเรียบไร้ระลอกคลื่นของโม๋เอ๋อร์มองกราดทุกคนในห้องโถ
ที่เอ่ยเช่นนี้ก็เพื่อให้หยูเสวี่ยจับสังเกตสีหน้าหาทางจับผิดคนที่คิดวางยานางเมื่อคืนในที่นี้ต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่ตกใจกับความแข็งแรงทนทานหนังเหนียวของนาง จนเผยพิรุธออกมาทางสายตาโม๋เอ๋อร์ยังคงเปล่งวาจาวางอำนาจต่อเนื่องว่า “พี่สาวแต่ละคนช่างงดงามบาดตาข้าเหลือเกิน”ในคำพูดประโยคนี้ หญิงสาวจงใจใส่คำว่าบาดตาให้ฟังแล้วรู้ว่า อนุชายาไม่ควรแต่งกายงดงามเกินไป และยิ่งไม่ควรโดดเด่นเหนือพระชายาเอกเยี่ยงนางสายตากลมโตที่นิ่งสงบราวก้นทะเลลึกมองกราดทุกคนไปทั่วอีกครั้ง โม๋เอ๋อร์เห็นอนุแต่ละนางแต่งกายงดงามจริงๆ มิรู้ได้ว่าจักแต่งมาให้ชายใดได้ชม ในเมื่อในห้องนี้ มีแต่สตรีนี่นาดูเถิด...บางคนประโคมใส่เครื่องประดับจนศีรษะเอียง คอแทบหัก บางคนใส่ผ้าโปร่งบางเห็นถึงเนื้อเนียนด้านในโดยไม่สนใจอากาศหนาวเย็นยามเช้า บางคนใส่เสื้อคอลึกโล่งกว้าง มองเห็นเนินอกกลมกลึงล้นทะลัก ลำคอระหงขาวผ่องอา...เป็นไปได้ว่าพวกนางต้องการใส่มาโอ้อวดกันระหว่างสตรี ว่าหน้าอกของข้าใหญ่กว่าหน้าอกเจ้า ลำคอของข้าขาวเนียนกว่าของเจ้า ปิ่นข้าสวยกว่า สร้อยข้ายาวกว่าอืม...ดูๆ ไปแล้ว พวกนางก็งดงามมากจริงๆ มนุษย์เพศเมียเป็นสิ่งที่สวรรค์ประทา
บนตำแหน่งประธานในห้องโถงยังคงมีสตรีงามพิลาศเลิศล้ำในอาภรณ์สีแดงหงส์เหิน นั่งอยู่ด้วยสีหน้าหยิ่งยโสบ้าอำนาจ นัยน์ตาเย็นเยียบกดข่มผู้คน“อ้อ...” โม๋เอ๋อร์ลากเสียงยาวชวนเสียวไส้ แล้วเอ่ยอีกหนึ่งประโยคว่า“เมื่อคืนข้าได้ยินจากปากบ่าวไพร่ว่า รัชทายาททรงไปค้างที่เรือนอนุชายานางหนึ่ง จึงเป็นเหตุให้การเข้าหอเมื่อคืน...”นางหยุดวาจาแค่นั้นแล้วไล่สายตาไปหยุดอยู่ที่สตรีงดงามในอาภรณ์สีชมพูสดใสท่าทางอ่อนหวานมากนางหนึ่ง ซึ่งมีสาวใช้เจ้าของกระแสเสียงกระซิบเมื่อคืนยอบกายอยู่ข้างๆโม๋เอ๋อร์มองไปทางสตรีผู้นั้นนิ่งๆ แล้วเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “คงเป็นเรือนพี่สาวท่านนี้สินะ! ริ้วรอยฝากรักตรงลำคอ ช่างงดงามยิ่ง!”ทุกคนในห้องโถงพลันมองตามสายตาของพระชายาเป็นตาเดียวกัน สตรีชุดชมพูถึงกับตกใจนางมีนามว่าฉีซิ่ว เข้ามาในวังแห่งนี้เมื่อสามปีที่แล้ว นับเป็นระยะเวลาถึงหนึ่งพันเก้าสิบห้าราตรี แต่เคยมีโอกาสได้ปรนนิบัติรัชทายาทครั้งหนึ่ง เพียงคืนแรกคืนเดียวที่เข้ามาในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามฉีซิ่วเป็นสตรีที่งดงามมาก วงหน้าละมุนตากิริยาละมุนใจ ผิวพรรณเนียนละเอียดลออ เนื้อตัวหอมกรุ่นเป็นเอกลักษณ์ ท่วงท่ามีจริตแช
เมื่อสิ้นเสียงเหล่าสัตว์ร้าย สิ้นความโกลาหลวุ่นวาย ความสงบจึงกลับเข้ามาอีกครั้งความเคลือบแคลงสงสัยเกี่ยวกับสัตว์ป่าจำนวนมากที่เข้ามาทำร้ายองค์รัชทายาทถูกอาบไล้ไปทั่วบริเวณ แต่กระนั้นฮ่องเต้ต้าหมิง ก็ทรงทำได้เพียงเรียกรวมทุกคนเข้าร่วมหารือในกระโจมหลักเหล่าองค์ชาย แม่ทัพใหญ่และทหารกล้าอีกหลายนายเข้าร่วมประชุมเคร่งเครียด เร่งหาสาเหตุต้นตอและวิธีรับมือกับสัตว์ป่าในวันรุ่งในใจทุกคนเริ่มหวาดหวั่นว่าการที่พวกเขามาล่าสัตว์ในครานี้ ตัวพวกเขาเองอาจจะกลายเป็นฝ่ายถูกสัตว์ล่าเสียมากกว่าหมิงเฉิงที่กำลังยืนนิ่งขรึมอยู่กลางลาน สีหน้าเย็นเยียบ ประหนึ่งวิญญาณลอยไปไกลก่อนหน้า ยังถูกตามตัวมาร่วมหารือเช่นกัน ด้วยตัวเขานั้นคือหัวข้อใหญ่แห่งการประชุม พื้นที่โล่งภายในกระโจมหลัก มีขุนศึกทั้งบุ๋นบู๊กำลังยืนรวมตัวกันด้วยท่าทีเคร่งเครียด เบื้องหน้าของพวกเขาคือองค์จักรพรรดิต้าหมิงประทับนั่งเหนือสุด ด้านซ้ายและขวาของพระองค์คือองค์ชายทั้งสอง หมิงเหอ และหมิงเฉิงบุรุษชุดครามเปื้อนเลือดสัตว์ป่ายังคงนั่งนิ่งเงียบงัน ปราศจากวาจาแม้ครึ่งคำ ทั้งๆ ที่หัวข้อหารือของทุกคนในกระโจมคือเรื่องของเขา ใบหน้าหล่อเหลาของ
ความกลัววูบหนึ่งในแบบที่ไม่เคยเป็นกับใคร พลันเกิดขึ้นกับสตรีเช่นโม๋เอ๋อร์ ในจังหวะเดียวกันที่เงาร่างอรชรพลันสาดแสงแวบหนึ่ง แล้ววาบหายไปเพียงเสี้ยวอึดใจ ผ้าม่านกระโจมพลันเปิดสะบัด ร่างแกร่งพลันพุ่งพรวดเข้ามาหมิงเฉิงวิ่งถลาเข้าหารวดเร็ว ทันได้เห็นแสงสีทองวูบไหวในอากาศ เพียงเสี้ยวเวลาเท่านั้น ร่างสูงยืนนิ่ง เรียวตาเบิกกว้าง ใบหน้าแข็งค้าง ริมฝีปากเปล่งเรียกคราหนึ่ง“หนวี่เอ๋อร์...”บุรุษยืนเคว้ง มองโดยรอบภายในกระโจม ลำตัวแข็งเกร็ง ชะงักนิ่งเงียบงันนามหนวี่เอ๋อร์นี้ ล้วนมาจากเซียนหนวี่และหนวี่เสินที่หมิงเฉิงมั่นใจเหลือเกิน ว่านางสูงส่งเทียมฟ้าหาใช่สตรีธรรมดา ในความรู้สึกหมิงเฉิงหมุนกายวิ่งออกนอกกระโจม สองตาคมปลาบกวาดมองไปทั่วบริเวณ ไม่สนใจเหล่าทหารที่กำลังโกลาหลวุ่นวายกับการกำจัดซากสัตว์ป่าที่ล้มตายก่อนหน้าสองเท้าก้าวฉับๆ ไปทิศทางหนึ่ง เมื่อเห็นนางกำนัลเดินผ่านก็เรียกมา แล้วถามหาพระชายาของตน“พระชายาตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ร่ำไห้เสียขวัญยิ่ง ยามนี้อยู่ในกระโจม บ่าวหลายคนไปอยู่เป็นเพื่อนแล้วเพคะ”นั่นคือคำตอบของนางกำนัลก่อนยอบกายแล้วล่าถอยไปหมิงเฉิงได้แต่ยืนอึ้ง เงียบงันอยู่เช่
ลานโล่งเยื้องด้านหน้ากระโจมขององค์รัชทายาทเหล่าสัตว์ป่าดุร้ายยังคงกระโจนขึ้นหน้าแบบไม่คิดชีวิต ทุกตัวไม่สนใจคมดาบของทหารคนใด เอาแต่ขู่คำรามกรรโชกรุนแรง แล้วพุ่งทะยานเข้าใส่ เพียงหมิงเฉิงผู้เดียวรัชทายาทหนุ่มแค่นเสียงสบถในลำคอ เงื้อดาบขึ้นหน้าฟาดฟันไม่มียั้งทว่าในเสี้ยวเวลานั้นเอง เหล่าสัตว์ร้ายหิวกระหายคล้ายกับได้สติฉับพลัน ดวงตาสีแดงเพลิงของพวกมันพลันเบิกกว้างถลึงมองค้างทั้งเสือร้ายและหมาป่าต่างพากันชะงักงันกลางอากาศ ก่อนจะทิ้งร่างกระแทกพื้น ทุกตัวดิ่งร่วงลงต่ำราวห่าฝนกะทันหันร่างของสัตว์ใหญ่ตกกระทบพื้นดินดังพลั่กพลั่กติดต่อกัน จากนั้นพวกมันก็ตะลึงลานก่อนร้องโหยหวนคล้ายเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัส แล้วรีบปัดป่ายสี่ขาลนลานลุกขึ้นวิ่งหนีออกไปคนละทิศละทาง ประหนึ่งหนูเจอราชสีห์ หวาดกลัวสุดชีวิตเสียงสวบสาบครืนครืนเกิดขึ้นจากฝีเท้ามากมายของเหล่าสัตว์ร้ายที่คล้ายกับหนีตาย เพียงพริบตา เหล่าสัตว์ป่าล้วนหายไปในความมืดมิดของผืนป่า ประหนึ่งลมพัดโหมหอบใหญ่หมิงเฉิงตะลึงในใจ เรียวคิ้วคมกระตุกวูบ สัมผัสได้ถึงไอเย็นที่คุ้นเคย จากทางด้านหลัง ที่กระโจมนั่นแน่งน้อย!ชายหนุ่มไม่รอช้า ไม่สนใจผู้ใด
เมื่อพวกมันกระโจนเข้าใกล้ในระยะประชิด หมิงเฉิงก็ยกดาบหนาหนักในมือขึ้นอย่างไม่ครั่นคร้าม ฟาดฟันสัตว์ป่าหิวกระหายจนกระเด็นไปไกล เลือดสีแดงฉานสาดกระจาย เหม็นคาวคละคลุ้ง ตลบอบอวลชวนสะอิดสะเอียนหนึ่งตัวปลิวไป สองตัวละลิ่วตาม สองแขนปัดป่ายซ้ายขวาด้วยท่วงท่าทรงพลัง ความอำมหิตเกิดขึ้นพริบตาหมิงเฉิงล้วนสังหารเจ้าเดรัจฉานได้หฤโหดยิ่งนักชั่วจังหวะที่เหล่าสัตว์ร้ายกำลังรุมขย้ำบุรุษสูงศักดิ์ บรรดาทหารก็พากันขึ้นหน้า โอบล้อมเข้าหา พร้อมอาวุธเข้าช่วยเหลือ ทุกคนกล้าหาญขึ้นมาก เมื่อเห็นองค์รัชทายาทน่ากลัวยิ่งกว่าพวกสัตว์ป่าทั้งหลายทว่า...เหมือนมันยังไม่หมดง่ายๆเหล่าสัตว์ร้ายจากมุมมืดในป่าใหญ่ คล้ายกับมีจำนวนมากมายมหาศาล ฆ่าให้ตายอย่างไรก็ไม่หมดเสียทีบัดนี้ พลันมีเสียงเคลื่อนตัวสวบสาบแหวกหญ้าพุ่งปราดจากทุกสารทิศ อึดใจก็รวมตัวกันแล้วเกิดเสียงครืนๆ จากในป่าลึก เสียงนั้นคือการเคลื่อนตัวของสัตว์ฝูงหนึ่ง สวบสาบแหวกหญ้าพุ่งปราดจากทุกสารทิศจนรวมตัวกัน แล้วเกิดเสียงครืนๆ จากในป่าลึกดังเข้ามาใกล้ทุกที ทั้งคำราม ขู่กรรโชก เห่าหอน ดังลั่นไปทั่วไม่นาน...แสงสีแดงน่ากลัวมากมายพลันเกิดขึ้นพรึบปานหิ่งห้อยฤดูร้อ
เหล่าทหารกล้าพร้อมอาวุธกระชับแน่นในมือ รุมล้อมเหล่าสัตว์ร้ายอีกชั้นหนึ่ง ทุกคนเหงื่อซึมพร่างพราวที่ขมับซ้ายขวา ริมฝีปากแห้งผาก สองตาทุกคู่จ้องเขม็ง ไม่กล้ากะพริบ พยายามโอบโดยรอบบริเวณ เพื่อกระชับพื้นที่ ทว่าไม่อาจเข้าหาหมิงเฉิงได้แต่อย่างใดฮ่องเต้ เหล่าสนม องค์ชายรอง และพระชายาคนอื่นๆ ต่างได้รับการคุ้มกันห่างออกมา ทุกคนทำได้เพียงมองไปทางกระโจมของหมิงเฉิงอย่างหวาดหวั่นขวัญผวา แตกตื่นตกใจในแววตา เนื้อตัวสั่นเทาไม่หยุดเห็นได้ชัดว่าไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนเลยสักครั้งทั้งหมดพากันยืนอย่างสงบ เงียบเชียบกันทุกคน ไม่กล้าพูดจา ไม่กล้าแม้แต่จะขยับปลายเท้าเบื้องหน้าของพวกเขา คือบุรุษชุดครามเพียงหนึ่งเดียว ยืนตระหง่านอย่างสงบ ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา รอบกายแผ่กำจายความเย็นเยียบออกมา ทว่ากลับแผ่ซ่านความร้อนระอุ ใกล้ปะทุจุดเดือด หมิงเฉิงยังคงสงบนิ่งท่ามกลางเหล่าสัตว์ร้ายมากมายที่กำลังคลุ้มคลั่งหลายสิบตัว พวกมันพากันแยกเขี้ยว ดวงตาแดงก่ำพร้อมเดือดดาล ห้อมล้อมเพียงรัชทายาทแค่หนึ่งเดียว ในขณะที่รอบด้านคือทหารดำทะมึน ที่ห้อมล้อมหยั่งเชิงสัตว์ร้าย หมายมิให้กล้ำกราย ทว่ากลับมิกล้าเข้าใกล้ลมเหมันต
โม๋เอ๋อร์ออกคำสั่งเสียงนุ่มตามเห็นสมควร เพราะว่านางไม่อาจพุ่งตัวออกไปว่องไวให้ใครผิดสังเกตเอาได้เมื่อนางกำนัลทั้งสองคนพากันวิ่งออกไปตามคำสั่ง โม๋เอ๋อร์จึงรีบลุกจากเตียงแล้วสวมชุดคลุมสีชมพูสดใส ปล่อยผมยาวสยายเคลียไหล่ เพราะไม่มีเวลารวบมัด จากนั้นก็เดินตามนางกำนัลไปชั่วอึดใจ นางกำนัลทั้งสองก็วิ่งกลับมาหาโม๋เอ๋อร์ แล้วรีบเล่าความให้ฟังว่า“เรียนพระชายา มีสัตว์ร้ายกลุ่มหนึ่งกำลังรุมทำร้ายองค์รัชทายาทเพคะ ได้ยินทหารเล่าว่า เมื่อช่วงหัวค่ำ รัชทายาทเดินเข้าไปในป่า แล้วกลับออกมา จากนั้น...”โม๋เอ๋อร์ไม่เสียเวลารอฟังจนจบ นางรีบสาวเท้าขึ้นหน้า ทว่านางกำนัลยังคงตามติดเพื่อบอกเล่าต่อความว่า“พวกทหารพากันสงสัยว่าองค์รัชทายาทเข้าป่าไปทำไม แต่บัดนี้ ทุกคนล้วนกระจ่างแจ้งแล้ว”นางกำนัลอีกคนรีบเอ่ยเสริม “พระองค์อาจจะจงใจเข้าไปนำสิ่งของสำคัญในป่าลึกออกมาเป็นแน่ อาจเป็นหินปีศาจ วารีพิฆาต บุปผาสวรรค์ ผลไม้เทพ พวกสัตว์ร้ายจึงตามมาทวงคืน” โม๋เอ๋อร์ปราศจากวาจา นั่นมันคำสันนิษฐานอันใด?ด้วยแน่ใจว่าหมิงเฉิงมิใช่คนโลภ และยิ่งมั่นใจ ว่าเจ้าสิ่งของเหล่านั้น มิใช่ผู้ใดจักหยิบเอามาได้โดยง่ายบ้าไปแล้ว...กระโจม
พลบค่ำ อากาศหนาวเย็นยิ่งกว่ายามกลางวัน บรรยากาศภายในหุบเขาวังเวงยิ่ง ทว่ารอบด้านกลับคึกคักครื้นเครง มีโคมไฟสาดส่องให้แสงสว่างไปทั่วกระโจมที่พักต่างๆ ล้วนแบ่งแยกชายหญิง ไม่เว้นแม้แต่สามีภรรยา องค์ชายกับชายา องค์จักรพรรดิกับพระสนมกฎระเบียบย่อมเป็นเช่นนี้ เพราะฮ่องเต้ทรงพาพระสนมคนโปรดมาถึงสามคน องค์ชายยังพาอนุชายามาด้วยมากกว่าหนึ่งคน หมิงเฉิงกับโม๋เอ๋อร์จึงต้องแยกกระโจมกันแต่โดยดี ไม่อาจทำตามแต่ใจเหมือนดั่งที่นั่งชมการประลองในยามกลางวันได้อีกแล้วยามนี้สี่ทิศโดยรอบ ทหารส่วนใหญ่ทำหน้าที่เวรยามอยู่ไกลๆ บ้างเดินสำรวจ บ้างยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้ พวกที่เหลือพากันล้อมวง มีกองไฟอยู่ตรงกลาง บ้างร่ำสุรา บ้างหยอกล้อบ้าระห่ำยังมีบางกลุ่มที่สุมหัวแทบจะชนกัน หัวเราะฮ่าฮ่า ปากก็กล่าวว่า มาๆ วางเงินๆ สูงต่ำข้าแทง ถึงตาเจ้าแล้ว...นอกจากเหล่าทหาร ยังมีบรรดานางกำนัล ในตำแหน่งต่างๆ พากันเดินขวักไขว่เพื่อรับใช้เจ้านายราชนิกุลที่เป็นบุรุษ นั่งเสวนากันในกระโจมหลัก ร่วมโต๊ะอาหารและดื่มเหล้าด้วยกัน ส่วนราชนิกุลฝ่ายสตรี ต่างพากันพักผ่อนแยกย้าย ในกระโจมของแต่ละคน ล้วนไม่ยุ่งเกี่ยวเมื่อเป็นเช่นนี้ โม๋เอ๋อร์จึงนั่
ชั่วจังหวะที่สายตาจับจ้องเพียงสามี แสงแดดก็ดี หิมะก็ดี ล้วนสะท้อนร่างแกร่งทรงพลังของเขาจนเกิดความแวววาวเปล่งประกายเจิดจ้า พาหัวใจเต้นตึกตักรุ่มร้อนหนักหนาทว่าพริบตานั้น โม๋เอ๋อร์เพียงสังเกตได้ ว่ามีสิ่งหนึ่งพุ่งปรี่ไปที่หมิงเฉิง สิ่งนั้นพุ่งปราด ราวกับเป็นเพียงสายลมโชยวูบเดียว ผ่านหน้าไป มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้นหากแต่โม๋เอ๋อร์ย่อมมองเห็นสิ่งนั้นคือเข็มปริศนานับสิบเล่ม พุ่งทะลวงยังทิศทางหนึ่งและเป้าหมายคือหมิงเฉิง…ก่อนคิดการอื่นใด หญิงสาวเพียงเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ เข็มทุกเล่มพลันอ่อนยวบแล้วสลายหายไปในพริบตานางมิรู้ว่าคืออันใด มาจากทิศใด แต่หากปล่อยเอาไว้ย่อมทิ่มแทงสามีนาง กระทั่งขัดขวางการต่อสู้ร่ายกระบวนท่าอันสง่างามทรงเสน่ห์มนต์มารของเขาได้ซึ่งนางไม่อาจยอม...คนกำลังเหม่อมองอยู่ มิรู้หรือไร?โม๋เอ๋อร์นับว่าเป็นสตรีที่เอาแต่ใจยิ่ง!โดยเฉพาะเรื่องของหมิงเฉิง...หลังจากปล่อยเข็มอาบยาพิษไปแล้วหมิงเยวี๋ยนเพียงรอผลลับ ทว่าผลกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง เข็มพิษเหล่านั้นล้วนอันตรธานหายไปได้อย่างไร?ชายหนุ่มนึกฉงนงงงวย ทว่าหาใช่พวกขลาดเขลาที่ยอมแพ้ง่ายดาย ยิ่งมิใช่เสียเวลาปล่อยโอกาสงามๆ ยามนี้
ทั่วบริเวณเงียบกริบ ผืนธงใหญ่สะบัดพลิ้ว สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องอยู่ที่กลางลานกว้างยามนี้ กระบวนท่าแรกของการปะทะได้เริ่มขึ้นแล้ว หมิงเหอตวัดดาบวิบวับตัดฉับได้แต่ลม เมื่อหมิงเฉิงรู้ทันและเบี่ยงตัวหลบได้ว่องไวปราดเปรียว เสี้ยวเวลาเดียวกันนั้น เว่ยหลุนก็ถลันขึ้นหน้า พร้อมหอกเหล็กพุ่งปลายแหลมคมรวดเร็ว หมายจ้วงแทงให้ตรงจุดอันตราย แม้ไม่ตายก็เจ็บสาหัสได้ ทว่าหมิงเฉิงล้วนถนัดปัดกวาดคล่องแคล่ว เพียงปลายหอกอีกฝ่ายแหวกอากาศมา ปลายทวนเขาก็สกัดจนกระเด็นไปทั้งคนทั้งหอกแล้ว แม่ทัพอีกสามคนล้วนมีอาวุธที่เลือกสรรอย่างดี ไม่ว่ากระบี่ ดาบ ตะขอด้ามยาว พวกเขาพุ่งตัวมาราวลูกธนูหลุดจากแหล่ง สะบัดอาวุธในมือพลิ้วไหว ขับเคลื่อนปราณผสานเพลงยุทธ์ได้ดีเยี่ยมเปี่ยมพลังมหาศาลเสียงเคร้งคร้างตีกระทบกันดังกึกก้อง ทวนเหล็กไหลในมือหมิงเฉิงสามารถรุกรับได้ทุกกระบวนท่า ทุกศาสตราวุธที่พุ่งมาพร้อมกันล้วนสิ้นลายเมื่อเจอเขาเกล็ดหิมะพัดคลุ้งยุ่งเหยิง เมื่อทั้งหมดต่างร่ายเพลงยุทธ์พลังศึกใส่กันพร้อมพรั่ง เสียงกระแทกเหล็กดังลั่นไม่ขาดสายร่างบุรุษทั้งหลายต่างทะยานขึ้นลง สลับปัดป่ายว่องไว รุกรับประสาน กระแทกกระทั้น หลบหลีกปราดเป