ท่ามกลางแสงจันทร์ลออนวลส่องแสงเรืองรอง ชายหนุ่มและหญิงสาว ผู้เป็นเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวแห่งค่ำคืน กำลังยืนมองหน้ากันเงียบงัน เกิดเป็นภาพงดงามดั่งภาพฝันคล้ายมายาภายใต้เดือนเพ็ญ
ฝ่ายหนึ่งเป็นสตรีงามพิลาศน่ารักสดใสดวงตากลมโตดุจดาราสะท้อนวารี
ส่วนอีกฝ่ายเป็นชายงามรูปร่างสูงใหญ่ แลดูเย็นชาผสานความทรงพลังโหดเหี้ยมดำทมิฬน่ากลัว
หากแต่โม๋เอ๋อร์หาได้ยำเกรงอันใดแม้แต่น้อย นางค่อยๆ เอ่ยเสียงฉ่ำใส กะพริบตาเบาๆ เพื่อร่ายกลอนหวานตามที่ฝึกปรือ
“เพียงแรกพบและสบตา พาดวงใจถวิลหามิขลาดเขลา”
“...”
หญิงสาวร่ายกลอนที่จำได้ขึ้นใจเพื่อบอกรักอีกฝ่ายตามที่ได้ฝึกฝนมาเนิ่นนานตลอดสามเดือน โดยไม่สนใจคนฟังที่ยามนี้หางคิ้วเริ่มกระตุก จากนั้นก็เริ่มเปิดประเด็นถามทันที หมายให้เขาไปเข้าหอแต่โดยดี ห้ามหนีกันไป
“เหตุใดพระองค์ไม่ไปเข้าห้องหอกับหม่อมฉันเล่าเพคะ เราแต่งงานกันแล้วนะเพคะ และคืนนี้ก็คือคืนอันเป็นมหามงคล มีค่าเทียบเท่ากับทองพันชั่ง อ๊ะ! แล้วเหตุใดจึงใส่ชุดดำเช่นนั้น ชุดแดงของท่าน ไยไม่ใส่เล่า!”
หญิงสาวถูกขัดเกลาเกี่ยวกับคำพูดจาอย่างรู้กาลเทศะมาแล้วอย่างดีเยี่ยม จึงกล่าวได้อย่างนอบน้อมและถูกต้องทุกคำ หากแต่คำถามตรงไปตรงมาและตรงประเด็นเสียยิ่งกว่าอะไรนั่น ทำเอาทุกชีวิตที่ได้ยินถึงกับเบิกตามอง
หยูเสวี่ยถึงกับกลั้นใจคล้ายจะเป็นลม
หมิงจินบนต้นไม้ยังลืมตัวเบือนหน้าหนีซ่อนรอยยิ้มขบขัน
ใบหน้าคมคายของหมิงเฉิงที่เคร่งขรึมอยู่แต่เดิม พลันมืดครึ้มในฉับพลัน หางคิ้วเข้มกระตุกเพิ่มขึ้น
ความเลอโฉมของสตรีตรงหน้า หาได้นำพาให้หัวใจแกร่งของหมิงเฉิงหวั่นไหวแต่อย่างใด ไม่แม้แต่จะคิดพินิจมองนางให้ละเอียด ว่าเหมือนใครหรือไม่ เพราะสนใจเพียงประโยคที่นางเอ่ย
นั่นคือการบังอาจต่อว่ากันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นจากสตรีนางใดมาก่อน
“ข้าจักพอใจเข้าหอหรือไม่ มันก็เรื่องของข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์ถาม!” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเย็นชา แผ่กลิ่นอายดำทะมึนแลดูทมิฬมากขึ้นทุกที
หากผู้อื่นเห็นเข้า คงรู้สึกถึงแรงกดดันประหนึ่งถูกแช่อยู่ในปักษ์แห่งน้ำค้างแข็งจนขาดอากาศหายใจ เกิดอาการใกล้ตายร่อมร่อเป็นแน่ หากแต่โม๋เอ๋อร์กลับเอียงหน้าน้อยๆ มองตาใส ถามตามสัตย์
“พระองค์ไม่พอใจหม่อมฉันหรือเพคะ? เพราะเหตุใด? แต่หม่อมฉันมั่นใจว่ายังมิได้ทำสิ่งใดผิดนี่นา หม่อมฉันนั่งรอพระองค์อยู่ในห้องหออย่างสงบเสงี่ยมเนิ่นนานแล้ว แต่พระองค์ก็ยังไม่ปรากฏกายเสียที” คำพูดนางยังคงตรงไปตรงมา ทุกสิ่งย่อมมีเหตุผล ทุกคนก็เช่นนี้ จะชั่วจะดีย่อมมีเหตุผลทั้งสิ้น
แต่กระนั้นสิ่งหนึ่งที่โหวฮูหยินสอนสั่งนางจนจำได้ขึ้นใจ ก็คือ สิ่งเดียวในใต้หล้าที่ไร้เหตุผลที่สุด ก็คือบุรุษสูงศักดิ์
โม๋เอ๋อร์จึงหยุดประโยคเพียงเท่านี้ แล้วลอบสังเกตสีหน้าบุรุษสูงศักดิ์ซึ่งขึ้นชื่อว่าไร้เหตุผลที่สุดตรงหน้าแวบหนึ่ง
เพียงแวบเดียวเท่านั้นที่ดวงตากลมโตลอบพินิจ ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายน่ากลัวบางประการจากร่างแกร่งในชุดสีดำสนิท
แน่นอนว่าโม๋เอ๋อร์มิได้กริ่งเกรง ความกลัวเป็นเช่นไรนางไม่รู้จักหรอก ตรงกันข้ามนางกลับชอบ เพราะเหมือนได้เจอบิดา
หากแต่คำสอนสั่งของผู้อาวุโสเช่นวั่นหรงเป็นสิ่งที่ผู้น้อยต้องเชื่อฟังและทำตามมิให้ขาดตกบกพร่อง การนอบน้อมในวันนี้เพื่อการยั่วยวนได้ในวันหน้า
หญิงสาวจึงเดินเข้าหาร่างสูงสง่าอีกเล็กน้อย เพื่อยอบกายคุกเข่าลงตรงหน้า แล้วกล่าวเสียงแว่วหวานอย่างออดอ้อนสำนึกผิดเต็มที่ว่า
“หากหม่อมฉันทำสิ่งใดผิดพลาดไป ขอพระองค์โปรดอภัยด้วยเพคะ หม่อมฉันมิรู้จริงๆ ว่าทำสิ่งใดผิดกันแน่ แต่การนั่งรอเจ้าบ่าวในคืนเข้าหออย่างเดียวดายอยู่หลายชั่วยาม นับเป็นความทรมานจากการทำโทษที่สมควรแล้วเพคะ”
ไม่พูดเปล่า นางยังบีบน้ำตาเล็กน้อยจนมีน้ำสีใสไหลกลิ้งลงมาตามพวงแก้มนวลนุ่มจนชุ่มชื้น ประหนึ่งเม็ดมุกร่วงหล่นอย่างงดงาม จนใบหน้าแดงก่ำ น่าเวทนายิ่ง
โม๋เอ๋อร์ในยามนี้ คล้ายเทพธิดาสาวจำแลงอยู่ใต้แสงจันทร์งาม แลดูเย้ายวนเป็นที่สุด
ไม่ว่าชายใดได้ยล ต้องใจเต้นระส่ำรุนแรง แทบจะยอบกายลงเพื่อพยุงนางไปปลอบโยน และกระทำการอย่างรักใคร่ทะนุถนอมไม่เสื่อมคลาย ทั้งวันทั้งคืน!
หากแต่หมิงเฉิงได้เห็นเช่นนั้นก็ยิ่งมีสีหน้าดำทะมึน สายตาคมกริบมองนางตรงหน้าอย่างเย็นชา รอบกายแผ่กลิ่นอายเย็นเยียบปานน้ำแข็งยอดภูผาพร้อมถล่มลงมาทับคนตาย
แน่นอนว่าหมิงเฉิงรับรู้ได้ไม่ยากเย็น ว่านางตรงหน้ากำลังร่ายมารยา!
นางกำลังกล่าวโทษเขาผู้เป็นเจ้าบ่าวและบีบบังคับกันเพื่อเข้าหอได้อย่างหน้าไม่อาย!
อีกคราที่หมิงจินซึ่งแอบมองอยู่ต้องเบือนหน้าหนีจนคอแทบหมุน เพื่อกลั้นยิ้มอย่างสุดชีวิต
มิคาดคิดว่าพระชายาจักอาจหาญถึงเพียงนี้
ในขณะที่หยูเสวี่ยรีบคุกเข่าตามโม๋เอ๋อร์ เพราะมิอาจยืนค้ำศีรษะเจ้านายก็ใกล้หมดลมล้มพับไปกับพื้นดินเต็มที
ท่านแม่ของนางช่างสอนสั่งโม๋เอ๋อร์ได้ดีเหลือเกิน...
ท่ามกลางม่านมืดจากนภาแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณกลิ่นอายดำทะมึนเย็นยะเยือกจากร่างแกร่งยิ่งเข้มข้นขึ้นทุกขณะ เพิ่มความหนาวเหน็บราวเกล็ดน้ำแข็งฉาบทับด้วยหิมะ เย็นเสียยิ่งกว่าเย็นทุกขณะจิตครั้งแรกในชีวิตของชายหนุ่มอย่างหมิงเฉิง ผู้ได้รับฉายาว่ารัชทายาททมิฬผู้น่าทรงพลังน่ากลัวไปทุกหย่อมหญ้า ใครเห็นเป็นต้องหลบตา ทุกคนต่างพากันหวาดผวาครั่นคร้ามยำเกรงแต่ยามนี้กลับถูกสตรีแน่งน้อยนางหนึ่งกล่าวโทษได้อย่างน่าอาย!เจ้าสาวบอกเจ้าบ่าวว่ากำลังถูกทำโทษให้รอการเข้าหอหลายชั่วยามอย่างทรมาน อันเป็นการทำโทษที่ไร้ความผิดซึ่งนั่นย่อมหมายถึงว่า เจ้าบ่าวไร้ความรับผิดชอบต่อการเข้าหอในคืนแต่งงาน แต่กลับโยนความผิดให้เจ้าสาวอย่างไม่น่าให้อภัยเรียกได้ว่าเป็นบุรุษที่ใจคอคับแคบอย่างที่สุดเมื่อหมิงเฉิงได้ยินคำตัดพ้อโยนความผิดใส่หน้าอย่างไม่กลัวตายของสตรีน่าตายตรงหน้าในยามนี้ โทสะพลันปะทุสุมอก ไอสังหารพลันพวยพุ่งอัดแน่นไปทุกอณูเขาสามารถจับกระชากแน่งน้อยไร้ยางอายตรงหน้าให้ลอยกระเด็นไปไกลเพียงแค่พลิกฝ่ามือ หากนางเอ่ยวาจาสามหาวอีกเพียงประโยคเดียวทันใดนั้น แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาบนร่างระหงของโฉมสะคราญที่คุกเข่าร่ายมารยา
บนเตียงนอนมีเงาร่างอรชรเปื้อนเลือดเรือนกายที่กำลังเจ็บปวดกำลังส่องแสงสีทองเรืองรองนัยน์ตาแวววาวสีเขียวมรกตแลดูน่ากลัวผิดแผกแปลกจากมนุษย์หยูเสวี่ยได้เห็นก็ตกใจนักหญิงสาวมิได้ตกใจที่เห็นอีกฝ่ายมีแสงประหลาด รูปลักษณ์เปลี่ยนไป สีผมเปลี่ยนสีตาเปลี่ยนเช่นนั้น หากแต่รู้สึกตกใจที่มีเลือดไหลออกจากปากของโม๋เอ๋อร์ต่างหากเป็นไปได้ว่าโม๋เอ๋อร์ต้องพิษ!ดวงเนตรงามพลันหรี่เล็กแคบแล้วหันไปมองอาหารมงคลบนโต๊ะสีแดงกลางห้อง บนนั้นเหลือเพียงจานเปล่า เพราะโม๋เอ๋อร์กินเข้าไปจนหมดหยูเสวี่ยพลันเบิกตากว้าง เข้าใจทุกสิ่งในทันใดหญิงสาวรีบเอื้อมมือไปปลดผ้าม่านรอบเตียงลงอย่างเร็ว เพื่อปกปิดโม๋เอ๋อร์เอาไว้อย่างมิดชิด แล้วเดินมาที่โต๊ะเพื่อเพ่งพิศพินิจมองหมายวิเคราะห์อย่างละเอียดเป็นไปได้ว่า มีคนต้องการให้พระชายาและรัชทายาทตายด้วยกันในคืนเข้าหอ หลังจากร่วมดื่มและกินอาหารมงคลเหล่านี้เพื่อผลประโยชน์สูงสุดแห่งขั้วอำนาจราชสำนัก ได้กำจัดรัชทายาทและขั้วอำนาจบ้านโหวในคราเดียวหรือหากใครคนใดคนหนึ่งตายเพียงฝ่ายเดียวก็สามารถสั่นคลอนขั้วอำนาจได้ไม่น้อยหากรัชทายาทตายฝ่ายเดียว เป้าหมายคือเล่นงานคนตระกูลโหวและเส้นสายที่เก
นางกับโม๋เอ๋อร์กินนอนด้วยกันมาตลอดสามปี ทุกสิ่งคือตัวตนที่แท้จริง หาได้เสแสร้งไม่ แต่การพลั้งเผลอย่อมต้องมีแรกเริ่มอาหารที่ปนเปื้อน โม๋เอ๋อร์ก็มักจะกินได้อย่างมีความสุข บอกว่ารสชาติดีแม้แต่อาหารที่มีแมลงตกใส่ โม๋เอ๋อร์ยังกินได้หน้าตาเฉย ทั้งยังบอกอีกว่ากินบ่อยตอนอยู่ในป่าใหญ่หลายคราผ่านมา นางที่ถูกแกล้งจนล้มป่วยนอนซมโม๋เอ๋อร์ก็แอบมุดมาใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันเพื่อลอบปล่อยกระแสปราณเย็นช่วยนางยามหลับใหลหลายครั้งเข้า นางก็เริ่มรู้ตัวและเริ่มสงสัยจึงตัดสินใจแกล้งป่วย ทำทีเป็นหลับสนิท เพื่อให้โม๋เอ๋อร์ช่วยเหลือในจังหวะที่โม๋เอ๋อร์ไม่ทันตั้งตัวนางตื่นขึ้นมาแล้วถามตามตรงมิให้หลบเลี่ยง และก็ได้คำตอบตามตรงเช่นกันโม๋เอ๋อร์คือโม๋กุ่ยเสิน เทพปีศาจครึ่งมนุษย์มารดาเป็นเทพปีศาจ ส่วนบิดาเป็นมนุษย์ธรรมดาประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับความรักของทั้งสอง โม๋เอ๋อร์ล้วนเล่าให้นางฟังโดยไม่ปิดบังว่ามารดาถูกกฎสวรรค์ดึงตัวแยกวิญญาณกลับสู่นรกภูมิ สิ้นสลายหายไปกลายเป็นหมอกควันเมื่อครั้งที่ให้กำเนิดโม๋เอ๋อร์ส่วนบิดานั้นกัดฟันเลี้ยงดูโม๋เอ๋อร์ได้เพียงเจ็ดปีก็ตรอมใจสิ้นชีพไปด้วยคิดถึงหญิงคนรักโม๋เอ๋อร์จึงอยู่เพี
แสงแดดยามเช้าลอดผ่านช่องหน้าต่างลงมานางกำนัลอาวุโสและสาวใช้ติดตามอีกสองคนเดินเข้ามาพร้อมอ่างน้ำผ้าสะอาด และเสื้อผ้าแพรพรรณหรูหรา แล้วยืนส่งสายตาแห่งความเจ้าระเบียบตรงมา หากแต่ยังต้องพ่ายให้กับสายตาหยั่งเชิงและไม่ยินยอมให้ใครล่วงล้ำอาณาเขตส่วนพระองค์ หรือความเป็นส่วนตัวของพระชายาหยูเสวี่ยยืนมองทุกคนด้วยอาการนิ่งสงบ สายตาสยบทุกคนได้ไม่ยากเย็นในตำแหน่งสาวใช้คนสนิทของพระชายา นางสามารถทำตัวเย่อหยิ่งน่ายำเกรงได้ ไม่นับว่าแปลกอันใดนางกำนัลและสาวใช้ทั้งหลายจำต้องพ่ายแล้วเดินจากไปจนหมด ไม่กล้าส่งเสียงรบกวนอันใดทั้งสิ้นหลังจากทุกสิ่งถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ และอยู่กันเพียงสองคน โม๋เอ๋อร์ที่ยังคงหลับอย่างสบายใจบนเตียงนอนกว้างขวางอบอุ่น ก็ถูกปลุกขึ้นให้มาล้างหน้าแต่งตัว“ขอนอนอีกมิได้หรือ?” หญิงสาวบ่นพึมพำยามถูกมือของหยูเสวี่ยฉุดดึงให้เดินไปเช็ดหน้าบ้วนปาก แล้วนั่งลงตรงโต๊ะเครื่องแป้ง“ไม่ได้ๆ ยามนี้เจ้าเป็นพระชายาแล้ว ต้องออกไปรับการคารวะจากบรรดาอนุชายาของรัชทายาท ตามกฎระเบียบมิอาจหลีกเลี่ยง” หยูเสวี่ยกล่าวเตือนสติอีกฝ่าย พลางช่วยสางผมให้อย่างเบามือโม๋เอ๋อร์ทำหน้ายู่ แต่ก็ไม่คิดขัดข
มีสตรีประมาณสี่คนกำลังนินทาโม๋เอ๋อร์ว่า“เมื่อคืนรัชทายาทไม่ยอมเข้าห้องหอเพื่อร่วมเรียงเคียงหมอนตามพิธี พระชายาจึงเดินออกจากเรือนหอมาอาละวาดและเกิดมีปากเสียงกับรัชทายาทจนร้องไห้วิ่งกลับเข้าเรือนตนแทบไม่ทัน” จบประโยคก็ได้ยินเสียงหัวเราะแว่วหวานเบาๆ“ตื่นเช้ามายังได้ข่าวอีกว่า อาหารมงคลเมื่อยามค่ำคืนเหลือเพียงถ้วยเปล่าออกมา”“เห็นได้ชัดว่า พระชายาเสียใจจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกินขนมบนโต๊ะจนหมดไม่มีเหลือ ไม่สนใจพิธีการเลย”“สตรียามเศร้าโศกก็เช่นนี้ การกินเป็นวิธีที่ดีที่สุด”พวกนางนินทาได้อารมณ์เป็นอย่างมาก ทั้งสมเพชและขบขันผสมผสานอย่างลงตัวโม๋เอ๋อร์หาได้ใส่ใจว่าสตรีเหล่านี้จะเสแสร้งคุยเรื่องใดกัน หากแต่สิ่งที่นางสนใจในยามนี้นั้น คือน้ำเสียงที่พวกนางใช้ จังหวะในการพูด เส้นเสียงยามเอ่ย กระแสลมหายใจยามหัวเราะและมิใช่เพียงเสียงหวานแว่วเจื้อยแจ้วของเหล่าอนุชายาเท่านั้นที่โม๋เอ๋อร์สนใจอา...นั่นอย่างไรเล่า! กระแสเสียงเช่นเดียวกับเส้นเสียงกระซิบที่มุมเฉลียงเมื่อคืนเสียงของบ่าวรับใช้ข้างกายของเหล่าสนมชายาเหล่านั้น โม๋เอ๋อร์ก็จำแนกได้เป็นอย่างดี ว่าเสียงใดที่นางได้ยินเมื่อยามค่ำคืนที่ผ่านมา
รัชทายาทหมิงเฉิงอายุยี่สิบห้าปี แต่งบรรดาชายาเข้าตำหนักบูรพาสิบคน มีชายารองและชายาสามครบครันแต่ละนางมีชาติตระกูลมิได้ต่ำต้อย เรียกได้ว่าเป็นคุณหนูสูงส่งกันทุกคนบรรยากาศภายในห้องโถงกลางเรือนชิงเยว่แห่งนี้ จึงเต็มไปด้วยมวลบุปผานานาพรรณที่คล้ายกับมีชีวิตกระนั้นแลดูงดงามหลากสีสันละลานตาด้วยเสื้อผ้าแพรพรรนที่พวกนางใส่ ราวกลีบบุปผาบานสะพรั่งประหนึ่งจะไม่มีวันโรยราเต็มไปหมดมวลผกาผุดพรายแลชั่วร้าย เกิดเป็นป่าบุปผาปีศาจร่านราคีโม๋เอ๋อร์คิดชื่นชมเป็นคำกลอนในใจ ยามพาเรือนร่างระเหิดระหงของตนเดินกรีดกรายนวยนาดเข้ามาในห้องโถงคำว่าปีศาจสำหรับนาง หาใช่คำดูถูกด่าทอ เพราะคำว่าปีศาจไม่มีอะไรไม่ดี แต่ตรงกันข้าม นางรู้สึกชมชอบสตรีเหล่านี้จึงเปรียบพวกนางเป็นปีศาจแสนน่ารัก คำว่าร่านราคีล้วนเป็นคำชมโม๋เอ๋อร์พาเรือนร่างของตนในอาภรณ์สีแดงสดลวดลายหงส์เหินเมฆาเคลื่อน พลิ้วไหวแช่มช้ายามก้าวขาน้อยๆ เยื้องย่างเข้าประตูห้องโถงมาแสงแดดเจิดจ้าส่องตามไล่หลังร่างอรชรของนาง เกิดเป็นภาพมายาราวกับนางเป็นเทพธิดาหงส์เพลิงเจิดจรัสปรากฏในครรลองสายตาของสตรีทุกคนสายตาราบเรียบไร้ระลอกคลื่นของโม๋เอ๋อร์มองกราดทุกคนในห้องโถ
ที่เอ่ยเช่นนี้ก็เพื่อให้หยูเสวี่ยจับสังเกตสีหน้าหาทางจับผิดคนที่คิดวางยานางเมื่อคืนในที่นี้ต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่ตกใจกับความแข็งแรงทนทานหนังเหนียวของนาง จนเผยพิรุธออกมาทางสายตาโม๋เอ๋อร์ยังคงเปล่งวาจาวางอำนาจต่อเนื่องว่า “พี่สาวแต่ละคนช่างงดงามบาดตาข้าเหลือเกิน”ในคำพูดประโยคนี้ หญิงสาวจงใจใส่คำว่าบาดตาให้ฟังแล้วรู้ว่า อนุชายาไม่ควรแต่งกายงดงามเกินไป และยิ่งไม่ควรโดดเด่นเหนือพระชายาเอกเยี่ยงนางสายตากลมโตที่นิ่งสงบราวก้นทะเลลึกมองกราดทุกคนไปทั่วอีกครั้ง โม๋เอ๋อร์เห็นอนุแต่ละนางแต่งกายงดงามจริงๆ มิรู้ได้ว่าจักแต่งมาให้ชายใดได้ชม ในเมื่อในห้องนี้ มีแต่สตรีนี่นาดูเถิด...บางคนประโคมใส่เครื่องประดับจนศีรษะเอียง คอแทบหัก บางคนใส่ผ้าโปร่งบางเห็นถึงเนื้อเนียนด้านในโดยไม่สนใจอากาศหนาวเย็นยามเช้า บางคนใส่เสื้อคอลึกโล่งกว้าง มองเห็นเนินอกกลมกลึงล้นทะลัก ลำคอระหงขาวผ่องอา...เป็นไปได้ว่าพวกนางต้องการใส่มาโอ้อวดกันระหว่างสตรี ว่าหน้าอกของข้าใหญ่กว่าหน้าอกเจ้า ลำคอของข้าขาวเนียนกว่าของเจ้า ปิ่นข้าสวยกว่า สร้อยข้ายาวกว่าอืม...ดูๆ ไปแล้ว พวกนางก็งดงามมากจริงๆ มนุษย์เพศเมียเป็นสิ่งที่สวรรค์ประทา
บนตำแหน่งประธานในห้องโถงยังคงมีสตรีงามพิลาศเลิศล้ำในอาภรณ์สีแดงหงส์เหิน นั่งอยู่ด้วยสีหน้าหยิ่งยโสบ้าอำนาจ นัยน์ตาเย็นเยียบกดข่มผู้คน“อ้อ...” โม๋เอ๋อร์ลากเสียงยาวชวนเสียวไส้ แล้วเอ่ยอีกหนึ่งประโยคว่า“เมื่อคืนข้าได้ยินจากปากบ่าวไพร่ว่า รัชทายาททรงไปค้างที่เรือนอนุชายานางหนึ่ง จึงเป็นเหตุให้การเข้าหอเมื่อคืน...”นางหยุดวาจาแค่นั้นแล้วไล่สายตาไปหยุดอยู่ที่สตรีงดงามในอาภรณ์สีชมพูสดใสท่าทางอ่อนหวานมากนางหนึ่ง ซึ่งมีสาวใช้เจ้าของกระแสเสียงกระซิบเมื่อคืนยอบกายอยู่ข้างๆโม๋เอ๋อร์มองไปทางสตรีผู้นั้นนิ่งๆ แล้วเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “คงเป็นเรือนพี่สาวท่านนี้สินะ! ริ้วรอยฝากรักตรงลำคอ ช่างงดงามยิ่ง!”ทุกคนในห้องโถงพลันมองตามสายตาของพระชายาเป็นตาเดียวกัน สตรีชุดชมพูถึงกับตกใจนางมีนามว่าฉีซิ่ว เข้ามาในวังแห่งนี้เมื่อสามปีที่แล้ว นับเป็นระยะเวลาถึงหนึ่งพันเก้าสิบห้าราตรี แต่เคยมีโอกาสได้ปรนนิบัติรัชทายาทครั้งหนึ่ง เพียงคืนแรกคืนเดียวที่เข้ามาในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามฉีซิ่วเป็นสตรีที่งดงามมาก วงหน้าละมุนตากิริยาละมุนใจ ผิวพรรณเนียนละเอียดลออ เนื้อตัวหอมกรุ่นเป็นเอกลักษณ์ ท่วงท่ามีจริตแช
มารดาของโม๋เอ๋อร์หาใช่มนุษย์สามัญแต่เป็นถึงมหาเทพปีศาจ ส่วนบิดานั้นเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง โม๋เอ๋อร์จึงเป็นโม๋กุ่ยเสินครึ่งมนุษย์หลังจากมารดาให้กำเนิดโม๋เอ๋อร์ไม่นาน พลังซ่อนเร้นยามคลอดบุตรจึงมิอาจปิดบัง ในที่สุดก็ถูกเจอตัวจากมหาเทพปีศาจและภูตนรก มารดาจึงถูกจับตัวกลับไปยังสถานที่ที่จากมาเมื่อคนหนึ่งสิ้นสลาย อีกคนก็ไม่อาจอยู่ได้ สิ้นใจตายด้วยเด็ดเดี่ยวตรอมตรม บิดาของโม๋เอ๋อร์จึงตรอมใจตายตามไปหลังจากนั้นเจ็ดปี ทิ้งโม๋เอ๋อร์ให้อยู่เพียงลำพังในป่าใหญ่ พร้อมคำสั่งเสียเฉียบขาดว่าให้โม๋เอ๋อร์อยู่โลกมนุษย์ต่อไป ด้วยรู้ดีแก่ใจว่าบุตรสาวที่เป็นครึ่งมนุษย์เทพปีศาจมิอาจอยู่ที่ใดได้ ไม่ว่าสวรรค์หรือนรก มีเพียงต้องอยู่บนภพมนุษย์เท่านั้นโม๋เอ๋อร์ที่เป็นเพียงมนุษย์ครึ่งปีศาจ หาใช่มหาเทพปีศาจเฉกเช่นมารดา หากถูกสูบลงนรกจักต้องสลายหายไปคล้ายหมอกควัน กายหยาบกายทิพอันใดล้วนไม่อาจเป็นได้ทั้งนั้นและสิ่งสำคัญที่สามารถทำให้โม๋เอ๋อร์ดำเนินชีวิตต่อไปได้ นั่นก็คือห้ามฆ่าใครจนถูกล่วงรู้ตัวตน ผสานอีกสิ่งที่สำคัญเหนือกว่าเพื่อที่นางจะยืนหยัดต่อไปได้ นั่นคือพลังหยินหยาง...โม๋เอ๋อร์ซึ่งเกิดเป็นสตรีมีความอ่อนโยน ความ
“เขามานานแล้วหรือ?” แล้วรู้หรือไม่ว่าข้าไม่อยู่ในห้องประโยคหลังโม๋เอ๋อร์มิได้ถามออกมา ทว่าใช้สายตาสื่อความนัยแทน หยูเสวี่ยย่อมเข้าใจ จึงกระซิบตอบเสียงเบาหวิว“พระชายาทรงอ่อนเพลียจึงนอนหลับไป ขอเวลาเตรียมตัวสักเล็กน้อย”นั่นคือคำตอบที่หยูเสวี่ยตอบขันทีหน้าประตูห้องเมื่อสองเค่อที่ผ่านมา เพื่อสื่อความนัยให้สายตาที่ถูกส่งมาจากโม๋เอ๋อร์เมื่อได้รับรู้คำตอบแล้วเป็นอย่างดี โม๋เอ๋อร์จึงบอกกล่าวให้หยูเสวี่ยพักผ่อนให้หายดีอยู่ที่นี่ ไม่ต้องตามออกมา ประเดี๋ยวจะต้องลมเย็นจนล้มพับไป ก่อนจะทำทีเป็นคนที่ถูกปลุกจากนิทรา ทำหน้าง่วงตาปรือ ยามเปิดประตูห้องออกไปหาบุรุษหนุ่มรูปงามผู้เป็นสามี…ภายใต้แสงเทียนสีเหลืองนวลสตรีในอาภรณ์บางเบาสีแดงสด ขับเน้นเรือนร่างระหงอรชรสมส่วนอวบอูมอิ่มน้ำ ดวงตาหรี่ปรือหวานล้ำเพราะถูกปลุกจากนิทรากลางคัน พลันปรากฏในครรลองสายตาของผู้คนนอกห้องความงดงามประหนึ่งน้ำผึ้งหยาดหยดอยู่กลางเปลวเพลิงแห่งเสน่หาร้อนแรงของโม๋เอ๋อร์ ที่ใครเห็นเป็นต้องตกตะลึงพรึงเพริด แม้แต่ขันทีที่ไร้ซึ่งอารมณ์ซับซ้อนยังลืมหายใจไปชั่วขณะ สาวใช้ที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องชั้นนอกยังมองไม่วางตาความเลอโฉมพิลาศล้ำ
เมื่อมองเห็นเรือนร่างสูงใหญ่สง่างามแผ่อำนาจบารมีมากล้นของชายผู้เป็นสามีนอกจากไม่กลัวเกรงหรือตระหนกอกสั่นหวาดหวั่นอันใด โม๋เอ๋อร์กลับรู้สึกดีใจยิ่งนักเขามาหานางถึงในเรือนเชียวหรือ?ชั่วขณะที่หญิงสาวกำลังปลื้มปริ่ม เสียงกระซิบพลันดังจากในมุมมืด“พระชายา...เปลี่ยนชุดก่อน!”เจ้าของเสียงคือหยูเสวี่ย นางรีบเคลื่อนกายเข้ามุมอับพร้อมส่งเสียงเอ่ยเตือนโม๋เอ๋อร์อย่างร้อนรน เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังอยู่ในสภาพชุดดำสนิทเยี่ยงผู้ร้ายเช่นนั้นถึงแม้จะมั่นใจในฝีมืออันชั่วร้าย หากแต่ใครมาเห็นเข้าคงยากจะหลุดพ้นจากการถูกสงสัยเป็นแน่โม๋เอ๋อร์พลันฉุกคิดได้ จึงรีบหมุนกายไปเปลี่ยนชุดสีดำออกแล้วสวมชุดพลิ้วไหวสีขาวบางเบา เห็นเนินอกรำไร ใส่ใจในการยั่วยวนเต็มที่หญิงสาวหมุนตัวอยู่หน้ากระจกหนึ่งรอบ นึกลังเลขึ้นมา ระหว่างชุดสีขาวกับชุดสีแดงใส่ชุดใดดี?ทันใดนั้น โม๋เอ๋อร์ก็คิดได้ นางรีบถอดชุดสีขาวออกแล้วสวมชุดสีแดงที่มีเนื้อผ้าโปร่งบางโล่งใสแทนชุดนี้ช่วยขับผิวขาวดั่งหิมะให้สว่างสดใสไปทั่วเรือนร่าง ราวกับว่าเนื้อนวลเปล่งปลั่งจะทะลุออกมานอกชุดเบาบางได้กระนั้นเรียวแขนขาวผ่องนวลเสลา กระทั่งเรียวขาเนียนกระจ่างยังเห็นได้
เมื่อลงทัณฑ์เจ้าของห้องและสาวใช้จนพอใจ โม๋เอ๋อร์เพียงเปรยเสียงเรียบว่า“จงหยุดสิ่งที่คิดจะทำ หากต้องการอยู่อย่างสงบเฉกเช่นวันวาน...” ความหมายก็คือจงอยู่ในห้องหับห้ามออกมาทำระยำอีกเด็ดขาด!แน่นอนว่า สตรีทั้งสองได้อยู่กันอย่างสงบอย่างที่สุดหญิงสาวกล่าวจบก็อันตรธานหายวูบไป ดั่งปีศาจร้ายภูตผีนรกผุดมาทักทายจากห้วงอเวจีเพียงชั่วครู่สองนายบ่าวพลันสิ้นสติในทันทีเช่นกัน ไม่แน่ว่าตื่นมาอีกทีครานี้ ทุกอย่างในชีวิตอาจจะเปลี่ยนไปโม๋เอ๋อร์นั้น หาได้ล่วงรู้แผนการอันซับซ้อนของสตรีสองนางในเรือนแห่งนี้ไม่ รู้เพียงว่าพวกนางมีความผิดที่บังอาจทำร้ายกันขั้นรุนแรง ถึงขนาดหมายปลิดชีวิตคนเช่นผักปลาคราแรกวางยานางในคืนเข้าหอก็ช่างเถิดแต่หากมองหยูเสวี่ยเป็นเพียงคนไร้ค่า นึกอยากฆ่าก็ฆ่าได้ง่ายๆ โม๋เอ๋อร์จึงไม่อาจออมมือได้หญิงสาวใจดีถอนพิษให้เสี่ยวเถาเพราะไม่ต้องการให้มีการสืบสาวให้วุ่นวาย จนอาจจะพาลมาถึงหยูเสวี่ยและตัวนางที่นั่งร่วมสนทนาในศาลายามบ่ายและเรื่องราวเชื่อมโยงไม่อาจจบสิ้นลงได้ง่าย ต้องถูกสอบสวนประปราย ปราศจากความสงบสุขใดๆทั้งหมดนี้เพราะยาพิษในกายของเสี่ยวเถานั้น อาจจะชักนำให้หยูเสวี่ยถูกลากมาเก
อวี่เยียนและเสี่ยวเถากะพริบตาจนเจ็บร้าว แล้วร่ำร้องแบบไร้เสียงอีกคราว่าปีศาจ!พวกนางทำได้เพียงกรีดร้องในใจอย่างบ้าคลั่ง ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเปล่งเสียงออกมามิได้โม๋เอ๋อร์ค่อยๆ เยื้องกรายเข้าหาสตรีตีสองหน้าช้าๆนางยกยิ้มเย็นชาแผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกชวนหนาวเหน็บถึงขั้วกระดูกออกมา ดวงเนตรสีเขียวคู่งามเย็นเยียบราวน้ำแข็งตกผลึก พร้อมฝังลึกในครรลองสายตาผู้พบเห็นผู้ได้จับจ้อง เป็นต้องจดจำไปจนวันตายอย่างทรมานรอบกายสีทองเรืองรองแผ่กลิ่นสาบสางน่าสะอิดสะเอียนชวนสะท้านพรั่นพรึงตลบอบอวลไปทั่วห้อง ร่างบอบบางสีแดงเพลิงแผ่กลิ่นอายดำทะมึนราวกับหลุดออกมาจากขุมนรกอเวจีของหลุมที่ลึกที่สุดโม๋เอ๋อร์ในยามนี้ หาใช้พระชายาผู้งดงามอีกต่อไป หากแต่เป็นรูปกายอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้จักทั้งนั้นเส้นเสียงเยียบเย็นลากยาวชวนผวาราวหิมะพันปีบนยอดเขาแทงทะลุเมฆาค่อยๆ ดังออกมาจากริมฝีปากจิ้มลิ้ม“ข้ามิได้ชื่นชอบการฆ่าใคร...”ความหมายของรูปประโยคและการกระทำช่างขัดแย้งกันเหลือเกิน โม๋เอ๋อร์กล่าวจบยังยกยิ้มบริสุทธิ์อ่อนหวานแลดูน่ารัก ทว่ากลับมองแล้วให้ความรู้สึกน่าขนหัวลุกชวนสะพรึงยิ่งนักอวี่เยียนและเสี่ยวเถายิ่งเบิกต
เมื่อได้ยินคำตอบ เสี่ยวเถาถึงกับงุนงง แต่ครู่เดียวเท่านั้น ก็พลันกระจ่างแจ้งในใจ เมื่อร่างกายเริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกตินางกำลังรู้สึกถึงความทรมานสายหนึ่งเริ่มคืบคลานเข้าใกล้ ภายในเริ่มรุ่มร้อน ฝ่ามือเริ่มสั่นเทา สายตาเริ่มพร่าเลือน“มะ...หมายความว่า...ย่ะ...อย่างไรเจ้าคะ”เสี่ยวเถาพยายามถามอย่างยากลำบาก ลมหายใจติดขัด ลูกนัยน์ตาแดงก่ำเลื่อนจากใบหน้าเจ้านายลงมองขนมและน้ำชาตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง เมื่อคำตอบที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงรอยยิ้มหวานล้ำและดวงตาฉ่ำเย็นของผู้เป็นนายอวี่เยียนยังคงนั่งมองเสี่ยวเถาอย่างใจเย็น นางวางหนังสือลงแล้วเอียงหน้าน้อยๆ มองสาวใช้คนสนิทอยู่เงียบๆ ท่าทียังคงเป็นปกติเฉกเช่นหญิงสาวผู้เปี่ยมเมตตาปรานีทว่า...เสี้ยวขณะนั้น พลันมีสิ่งไม่คาดฝันบังเกิดอวี่เยียนที่นั่งอยู่บนตั่งด้วยท่าทางดั่งนางพญาผู้รื่นรมย์กลับกระตุกร่างตนจนตัวลอยขึ้นไปบนคานเรือน คล้ายถูกกระชากโดยฝ่ามือปริศนาเสี่ยวเถาที่ร่างกายปวดร้าวกลับค่อยๆ หายปวดระบมอย่างน่าแปลกใจ แต่ยังคงชาหนึบไม่อาจขยับเขยื้อนได้ นางจึงทำได้เพียงใช้สายตาจับจ้องที่นายสาวเบื้องหน้านิ่งงัน มิสามารถเอ่ยอันใดออกมาได้ทั้งนั้นภายในห
คืนนี้จันทรางามเด่น สุกสกาวสว่างไสวไปทั่วนภาพาแสงสีขาวนวลสาดส่องไปทั่วตำหนักบูรพาทว่าเงาดำวูบไวประหนึ่งสายลมวูบผ่านเพียงเสี้ยวเวลา กลับนำความหนาวเหน็บประหนึ่งเป็นคืนเดือนมืดกลางเหมันต์กระนั้นทหารยามที่เดินตรวจตราโดยรอบพลันชะงักเท้าเล็กน้อย รู้สึกขนหัวลุกอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อแหงนมองท้องฟ้าก็เห็นดวงจันทร์เร้นดารางดงามดี ดวงโตกลมนวล ตราตรึงยิ่ง!ชื่นชมจันทราเสร็จก็ก้มหน้าเดินยามต่อไป รอบกายล้วนปกติดีทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดผิดสังเกตเลยแม้แต่น้อย แสงนวลจากฟากฟ้าช่วยให้การเดินยามสะดวกดีเหลือเกิน เห็นทุกสิ่งรอบด้านชัดเจนไปหมดด้านนอกหน้าต่างของเรือนชายาสามนามอวี่เยียนทั้งทหารยามและบ่าวไพร่ทั้งหลายเดินทำงานกันตามปกติ ยามนี้ยังไม่ดึกมากนัก หลายคนยังไม่มีสิทธิ์ได้นอนหลับพักผ่อนแต่อย่างใดเจ้าของเรือนนั่งอ่านหนังสือธรรมะด้วยท่าทีสงบปรานีอยู่บนตั่งตัวยาวในจังหวะนั้นเสี่ยวเถาก็รีบรุดเข้าห้องมาแล้วลงกลอนประตูอย่างแน่นหนา ก่อนจะเดินมาปิดหน้าต่างทุกบาน จนไร้ช่องว่างใดภายในห้องส่วนตัวด้านในของเรือน“เป็นอย่างไรบ้าง?” อวี่เยี่ยนถามเสียงเย็นไปทางสาวใช้คนสนิทถึงเรื่องที่ให้อีกฝ่ายไปสืบความเคลื่อนไหวใ
โม๋เอ๋อร์ตกตะลึงยิ่งนัก นางเพียรสังเกตตนเองอยู่ตลอดยามนั่งอยู่ในศาลา ว่าถูกวางยาหรือไม่หากมียาในขนมตัวนางเองย่อมปวดแสบปวดร้อน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่รู้สึกผิดปกติอันใดมิคาดว่าเป้าหมายกลับมิใช่ตัวนาง หากแต่เป็นหยูเสวี่ยเกินไปแล้ว....ม่านมืดพลันคลี่คลุมในแววตากลมใส ความซื่อบริสุทธิ์พลันอันตรธานหายไปแน่นอนว่าโม๋เอ๋อร์หาใช่สตรีดีงาม ทั้งยังโหดเหี้ยมอำมหิตเกินกว่าใครจักคาดคิดถึงแม้ว่าความสดใสไร้เดียงสานางมีเสมอ ทั้งยังคิดกับผู้อื่นอย่างบริสุทธิ์ใจมากมายหากแต่ต้องมิใช่กับคนที่คิดจะทำร้ายหยูเสวี่ย!หญิงสาวรีบเดินเข้าหาร่างอรชรที่บัดนี้นอนบิดตัวด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าขาวผ่องมีเหงื่อเกาะพราว“เจ้าใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อเหยื่อ!”โม๋เอ๋อร์เอ่ยเสียงต่ำอย่างรู้ทันคนบนเตียงหยูเสวี่ยกัดฟันตอบอย่างติดขัด“ข้า...แค่รินน้ำชา...นานไป...หน่อย”“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้” โม๋เอ๋อร์ยังคงตัดพ้อ“ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า” หยูเสวี่ยฝืนต่อคำอีกประโยค ก่อนจะบิดตัวเร่าๆ อยู่บนเตียงนอน มีเลือดไหลออกจากดวงตา จมูก ใบหู และปากเดิมทีหยูเสวี่ยคิดพาโม๋เอ๋อร์เดินเที่ยวเท่านั้น เพื่อที่นางจะได้สำรวจพื้นที่ให้ทั่วเข้
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนเข้ายามอิ่ว[1] ทั้งหมดจึงได้แยกย้ายกลับเรือนตนคล้อยหลังพระชายาเอกกับสาวใช้คนสนิท อวี่เยียนที่เดินห่างออกมาเล็กน้อยก็ยกยิ้มเย็นเยียบแวบหนึ่ง เสี่ยวเถาเองก็ก้มหน้าหลุบตาเดินตามนายสาวอย่างเยือกเย็นไม่ต่างกัน ทั้งสองลอบส่งสายตาสื่อควายนัยแห่งความเลือดเย็นออกมามีเพียงพวกนางเท่านั้นที่เข้าใจกันและกันเมื่อถึงเรือนส่วนตัว ลึกเข้าไปในห้องชั้นในที่มีเพียงพวกนางสองนายบ่าว เสียงกระซิบกระซาบพลันบังเกิด“สำเร็จหรือไม่?”เส้นเสียงเย็นใสเบาหวิวเอ่ยถามสาวใช้คนสนิททันทีที่เข้าห้องปิดประตูลั่นดาลลงกลอน“เรียบร้อยเจ้าค่ะ” เสี่ยวเถากระซิบตอบ “บ่าวแอบป้ายยาพิษที่ขอบถ้วยน้ำชาของเสี่ยวโม๋ ยามที่นางลุกขึ้นไปรินน้ำชา ต่อให้หลังเกิดเหตุสลดว่ามีสาวใช้ต้องพิษจนตาย และขนมน้ำชาถูกตรวจสอบจนวุ่นวาย ก็หาได้พบสิ่งใดที่ขอบถ้วยไม่ เพราะยาพิษนี้ถูกน้ำชาชะล้างเข้าปากเสี่ยวโม๋ไปแล้วจนสิ้น และผู้ต้องสงสัยย่อมเป็นเจ้าของชากับขนมเจ้าค่ะ”“ดีมาก” อวี่เยียนยกยิ้มหวานเปรยอีกว่า “ข้าสังเกตว่าพระชายามิได้มีสมองสักเท่าไหร่ หากแต่สาวใช้ข้างกายกลับดูเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ตัดแขนตัดขาพระชายาไปได้เยี่ยงนี้ ที่เหลือก็ไม่