แสงแดดยามเช้าลอดผ่านช่องหน้าต่างลงมา
นางกำนัลอาวุโสและสาวใช้ติดตามอีกสองคนเดินเข้ามาพร้อมอ่างน้ำผ้าสะอาด และเสื้อผ้าแพรพรรณหรูหรา แล้วยืนส่งสายตาแห่งความเจ้าระเบียบตรงมา หากแต่ยังต้องพ่ายให้กับสายตาหยั่งเชิงและไม่ยินยอมให้ใครล่วงล้ำอาณาเขตส่วนพระองค์ หรือความเป็นส่วนตัวของพระชายา
หยูเสวี่ยยืนมองทุกคนด้วยอาการนิ่งสงบ สายตาสยบทุกคนได้ไม่ยากเย็น
ในตำแหน่งสาวใช้คนสนิทของพระชายา นางสามารถทำตัวเย่อหยิ่งน่ายำเกรงได้ ไม่นับว่าแปลกอันใด
นางกำนัลและสาวใช้ทั้งหลายจำต้องพ่ายแล้วเดินจากไปจนหมด ไม่กล้าส่งเสียงรบกวนอันใดทั้งสิ้น
หลังจากทุกสิ่งถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ และอยู่กันเพียงสองคน โม๋เอ๋อร์ที่ยังคงหลับอย่างสบายใจบนเตียงนอนกว้างขวางอบอุ่น ก็ถูกปลุกขึ้นให้มาล้างหน้าแต่งตัว
“ขอนอนอีกมิได้หรือ?” หญิงสาวบ่นพึมพำยามถูกมือของหยูเสวี่ยฉุดดึงให้เดินไปเช็ดหน้าบ้วนปาก แล้วนั่งลงตรงโต๊ะเครื่องแป้ง
“ไม่ได้ๆ ยามนี้เจ้าเป็นพระชายาแล้ว ต้องออกไปรับการคารวะจากบรรดาอนุชายาของรัชทายาท ตามกฎระเบียบมิอาจหลีกเลี่ยง” หยูเสวี่ยกล่าวเตือนสติอีกฝ่าย พลางช่วยสางผมให้อย่างเบามือ
โม๋เอ๋อร์ทำหน้ายู่ แต่ก็ไม่คิดขัดขืน จึงนั่งนิ่งๆ คล้ายตุ๊กตาตัวหนึ่งให้อีกฝ่ายแต่งหน้าทำผมให้
นางเองก็เห็นโหวฮูหยินทำอยู่ทุกวันเช่นกัน
ต้องตื่นมายามเช้า ให้บรรดาอนุภรรยาของนายท่านโหวมารวมตัวกันทำการคารวะอย่างนอบน้อมเสแสร้ง แล้วตามด้วยพูดจาอ่อนหวาน สาดภาษาดอกไม้กระทบกระเทียบแดกดันกันไปมา
นางเคยแอบฟังอยู่หลายครา ก็สนุกดี!
เมื่อแต่งหน้าม้วนผมปักปิ่นทองหรูหราจนงดงาม โม๋เอ๋อร์ก็ยืนขึ้นให้หยูเสวี่ยช่วยสวมอาภรณ์กรุยกรายอย่างประณีตบรรจงถูกต้องทุกสิ่ง
ระหว่างแต่งองค์ทรงเครื่องเสียงกระซิบจากหยูเสวี่ยยังคงดังแผ่วให้ได้ยินเพียงโม๋เอ๋อร์
“เรื่องอาหารใส่ยาพิษเมื่อคืน ข้าให้สาวใช้ด้านนอกเข้ามาเก็บถ้วยไปอย่างโจ่งแจ้งแล้วเมื่อรุ่งสาง ยามนี้ข่าวว่าขนมถูกกินจนเกลี้ยงคงแพร่ออกไปแล้ว”
โม๋เอ๋อร์ทำได้เพียงกะพริบตาปริบๆ มองหน้าอีกฝ่ายอย่างใสซื่อ เพื่อรอฟังว่าจะมีแผนการอันใด
และแล้วหยูเสวี่ยก็ไม่เคยทำให้โม๋เอ๋อร์ผิดหวัง เมื่อแผนการขั้นต่อไปถูกเปรยออกมาให้ได้ยิน
“เจ้ารั้งตัวอยู่ในห้องอีกสักประเดี๋ยวก่อนเถิด รอให้เหล่าอนุชายามารวมตัวกันจนพร้อมหน้าพร้อมตาในห้องโถง ปล่อยให้พวกนางหัวร่อต่อกระซิกกันสักเล็กน้อย ข้าจะลอบสังเกตสีหน้าท่าทางของทุกคน ส่วนเจ้าก็ลอบฟังเสียงแต่ละคนเพื่อจับพิรุธ จากนั้นก็ใช้อำนาจพระชายา เชือดไก่ให้ลิงดูสักฉากเถิด”
จบคำของหยูเสวี่ย ดวงเนตรกลมโตทอประกายสดใสของโม๋เอ๋อร์พลันแปรเปลี่ยนเป็นคมกริบเฉียบขาดในบัดดล
ริมฝีปากสีแดงสดยังคงแต้มรอยยิ้มบางเบาอันแสนจะงดงามตรงมุมปากบนใบหน้าเลอโฉมของโม๋เอ๋อร์ ก่อนจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเย็นยะเยือกราวนางมารร้าย
เมื่อคำนวณเวลาได้พอเหมาะ
ทั้งสองก็พากันออกจากห้องส่วนตัวมา เดินเรียบเรื่อยอย่างแช่มช้า หาได้รีบร้อนอันใดไม่ คล้ายกับต้องการกลั่นแกล้งให้คนรอต้องรอต่อไป อย่างไม่มีกำหนด
เมื่อเห็นห้องโถงอยู่เบื้องหน้า มีกำแพงกางกั้นชั้นหนึ่ง โม๋เอ๋อร์จึงผ่อนฝีเท้าให้เบาดุจปุยนุ่น ค่อยๆ เดินเข้าใกล้ก่อนจะหยุดฝีเท้าลง แล้วยืนหันหลังแนบกายอิงกับกำแพงอยู่นิ่งๆ
นางหลับตากำหนดลมหายใจอยู่เงียบๆ โดยมีหยูเสวี่ยยืนอย่างสงบอยู่ข้างๆ
ภายในห้องโถงอีกฝั่งหนึ่ง มีสตรีงดงามนับสิบคน แต่ละคนมีสาวใช้ประจำกายยอบกายคอยรับใช้อยู่ข้างๆ พวกนางพูดคุยกันอย่างสนิทสนม หัวร่อต่อกระซิกกันอย่างสนุกสนาน ราวกับเสียงของสรรพสัตว์ในป่าใหญ่ก็ไม่ปาน
บทสนทนาล้วนเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ ดอกไม้นานาพันธุ์ และเครื่องประดับแพรพรรณ สิ่งของสวยงาม
และ...
นินทานาง...
มีสตรีประมาณสี่คนกำลังนินทาโม๋เอ๋อร์ว่า“เมื่อคืนรัชทายาทไม่ยอมเข้าห้องหอเพื่อร่วมเรียงเคียงหมอนตามพิธี พระชายาจึงเดินออกจากเรือนหอมาอาละวาดและเกิดมีปากเสียงกับรัชทายาทจนร้องไห้วิ่งกลับเข้าเรือนตนแทบไม่ทัน” จบประโยคก็ได้ยินเสียงหัวเราะแว่วหวานเบาๆ“ตื่นเช้ามายังได้ข่าวอีกว่า อาหารมงคลเมื่อยามค่ำคืนเหลือเพียงถ้วยเปล่าออกมา”“เห็นได้ชัดว่า พระชายาเสียใจจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกินขนมบนโต๊ะจนหมดไม่มีเหลือ ไม่สนใจพิธีการเลย”“สตรียามเศร้าโศกก็เช่นนี้ การกินเป็นวิธีที่ดีที่สุด”พวกนางนินทาได้อารมณ์เป็นอย่างมาก ทั้งสมเพชและขบขันผสมผสานอย่างลงตัวโม๋เอ๋อร์หาได้ใส่ใจว่าสตรีเหล่านี้จะเสแสร้งคุยเรื่องใดกัน หากแต่สิ่งที่นางสนใจในยามนี้นั้น คือน้ำเสียงที่พวกนางใช้ จังหวะในการพูด เส้นเสียงยามเอ่ย กระแสลมหายใจยามหัวเราะและมิใช่เพียงเสียงหวานแว่วเจื้อยแจ้วของเหล่าอนุชายาเท่านั้นที่โม๋เอ๋อร์สนใจอา...นั่นอย่างไรเล่า! กระแสเสียงเช่นเดียวกับเส้นเสียงกระซิบที่มุมเฉลียงเมื่อคืนเสียงของบ่าวรับใช้ข้างกายของเหล่าสนมชายาเหล่านั้น โม๋เอ๋อร์ก็จำแนกได้เป็นอย่างดี ว่าเสียงใดที่นางได้ยินเมื่อยามค่ำคืนที่ผ่านมา
รัชทายาทหมิงเฉิงอายุยี่สิบห้าปี แต่งบรรดาชายาเข้าตำหนักบูรพาสิบคน มีชายารองและชายาสามครบครันแต่ละนางมีชาติตระกูลมิได้ต่ำต้อย เรียกได้ว่าเป็นคุณหนูสูงส่งกันทุกคนบรรยากาศภายในห้องโถงกลางเรือนชิงเยว่แห่งนี้ จึงเต็มไปด้วยมวลบุปผานานาพรรณที่คล้ายกับมีชีวิตกระนั้นแลดูงดงามหลากสีสันละลานตาด้วยเสื้อผ้าแพรพรรนที่พวกนางใส่ ราวกลีบบุปผาบานสะพรั่งประหนึ่งจะไม่มีวันโรยราเต็มไปหมดมวลผกาผุดพรายแลชั่วร้าย เกิดเป็นป่าบุปผาปีศาจร่านราคีโม๋เอ๋อร์คิดชื่นชมเป็นคำกลอนในใจ ยามพาเรือนร่างระเหิดระหงของตนเดินกรีดกรายนวยนาดเข้ามาในห้องโถงคำว่าปีศาจสำหรับนาง หาใช่คำดูถูกด่าทอ เพราะคำว่าปีศาจไม่มีอะไรไม่ดี แต่ตรงกันข้าม นางรู้สึกชมชอบสตรีเหล่านี้จึงเปรียบพวกนางเป็นปีศาจแสนน่ารัก คำว่าร่านราคีล้วนเป็นคำชมโม๋เอ๋อร์พาเรือนร่างของตนในอาภรณ์สีแดงสดลวดลายหงส์เหินเมฆาเคลื่อน พลิ้วไหวแช่มช้ายามก้าวขาน้อยๆ เยื้องย่างเข้าประตูห้องโถงมาแสงแดดเจิดจ้าส่องตามไล่หลังร่างอรชรของนาง เกิดเป็นภาพมายาราวกับนางเป็นเทพธิดาหงส์เพลิงเจิดจรัสปรากฏในครรลองสายตาของสตรีทุกคนสายตาราบเรียบไร้ระลอกคลื่นของโม๋เอ๋อร์มองกราดทุกคนในห้องโถ
ที่เอ่ยเช่นนี้ก็เพื่อให้หยูเสวี่ยจับสังเกตสีหน้าหาทางจับผิดคนที่คิดวางยานางเมื่อคืนในที่นี้ต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่ตกใจกับความแข็งแรงทนทานหนังเหนียวของนาง จนเผยพิรุธออกมาทางสายตาโม๋เอ๋อร์ยังคงเปล่งวาจาวางอำนาจต่อเนื่องว่า “พี่สาวแต่ละคนช่างงดงามบาดตาข้าเหลือเกิน”ในคำพูดประโยคนี้ หญิงสาวจงใจใส่คำว่าบาดตาให้ฟังแล้วรู้ว่า อนุชายาไม่ควรแต่งกายงดงามเกินไป และยิ่งไม่ควรโดดเด่นเหนือพระชายาเอกเยี่ยงนางสายตากลมโตที่นิ่งสงบราวก้นทะเลลึกมองกราดทุกคนไปทั่วอีกครั้ง โม๋เอ๋อร์เห็นอนุแต่ละนางแต่งกายงดงามจริงๆ มิรู้ได้ว่าจักแต่งมาให้ชายใดได้ชม ในเมื่อในห้องนี้ มีแต่สตรีนี่นาดูเถิด...บางคนประโคมใส่เครื่องประดับจนศีรษะเอียง คอแทบหัก บางคนใส่ผ้าโปร่งบางเห็นถึงเนื้อเนียนด้านในโดยไม่สนใจอากาศหนาวเย็นยามเช้า บางคนใส่เสื้อคอลึกโล่งกว้าง มองเห็นเนินอกกลมกลึงล้นทะลัก ลำคอระหงขาวผ่องอา...เป็นไปได้ว่าพวกนางต้องการใส่มาโอ้อวดกันระหว่างสตรี ว่าหน้าอกของข้าใหญ่กว่าหน้าอกเจ้า ลำคอของข้าขาวเนียนกว่าของเจ้า ปิ่นข้าสวยกว่า สร้อยข้ายาวกว่าอืม...ดูๆ ไปแล้ว พวกนางก็งดงามมากจริงๆ มนุษย์เพศเมียเป็นสิ่งที่สวรรค์ประทา
บนตำแหน่งประธานในห้องโถงยังคงมีสตรีงามพิลาศเลิศล้ำในอาภรณ์สีแดงหงส์เหิน นั่งอยู่ด้วยสีหน้าหยิ่งยโสบ้าอำนาจ นัยน์ตาเย็นเยียบกดข่มผู้คน“อ้อ...” โม๋เอ๋อร์ลากเสียงยาวชวนเสียวไส้ แล้วเอ่ยอีกหนึ่งประโยคว่า“เมื่อคืนข้าได้ยินจากปากบ่าวไพร่ว่า รัชทายาททรงไปค้างที่เรือนอนุชายานางหนึ่ง จึงเป็นเหตุให้การเข้าหอเมื่อคืน...”นางหยุดวาจาแค่นั้นแล้วไล่สายตาไปหยุดอยู่ที่สตรีงดงามในอาภรณ์สีชมพูสดใสท่าทางอ่อนหวานมากนางหนึ่ง ซึ่งมีสาวใช้เจ้าของกระแสเสียงกระซิบเมื่อคืนยอบกายอยู่ข้างๆโม๋เอ๋อร์มองไปทางสตรีผู้นั้นนิ่งๆ แล้วเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “คงเป็นเรือนพี่สาวท่านนี้สินะ! ริ้วรอยฝากรักตรงลำคอ ช่างงดงามยิ่ง!”ทุกคนในห้องโถงพลันมองตามสายตาของพระชายาเป็นตาเดียวกัน สตรีชุดชมพูถึงกับตกใจนางมีนามว่าฉีซิ่ว เข้ามาในวังแห่งนี้เมื่อสามปีที่แล้ว นับเป็นระยะเวลาถึงหนึ่งพันเก้าสิบห้าราตรี แต่เคยมีโอกาสได้ปรนนิบัติรัชทายาทครั้งหนึ่ง เพียงคืนแรกคืนเดียวที่เข้ามาในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามฉีซิ่วเป็นสตรีที่งดงามมาก วงหน้าละมุนตากิริยาละมุนใจ ผิวพรรณเนียนละเอียดลออ เนื้อตัวหอมกรุ่นเป็นเอกลักษณ์ ท่วงท่ามีจริตแช
ความหมายของนางก็คือ รัชทายาทมิได้ไปหานางก็จริง แต่นางถูกรัชทายาทเรียกให้ไปหา แปลกที่ใดเล่า!ฉีซิ่วลอบคิดในใจอย่างชั่วร้าย หมายข่มขวัญพระชายา ตอกย้ำถึงความโปรดปรานที่ได้รับจากรัชทายาทหมิงเฉิง ต่อหน้าธารกำนัล ตอกหน้าทุกคนหากแต่สิ่งที่ฉีซิ่วไม่รู้คือ ริ้วรอยนั้นล้วนเกิดจากพลังเหนือธรรมชาติของโม๋เอ๋อร์ เพื่อเสริมแผนการคำลวงเปลี่ยนเท็จเป็นจริงโม๋เอ๋อร์นั้นเคยเห็นมาบ้างแล้วถึงริ้วรอยหลังร่วมรัก เพราะว่านายท่านโหวมีอนุภรรยาหลายคน หากเช้าใดเห็นสตรีหลังเรือนมีริ้วรอยพวกนี้ นางจะรู้ทันทีว่านายท่านโหวไปค้างที่เรือนของสตรีนางนั้นจนหมดคืน นางเคยคิดจะไปแอบดูว่านายท่านโหวทำได้อย่างไร ผิวขาวๆ ถึงได้มีริ้วรอยแปลกประหลาด แต่ถูกหยูเสวี่ยห้ามไว้ เฮ้อ!โม๋เอ๋อร์ปล่อยให้เหล่าสตรีตรงหน้าได้สงสัยจนหอมปากหอมคอ จึงส่งเสียงราบเรียบเจือกระแสริษยาบางเบาอย่างสมจริง“อา...เป็นเช่นนั้นหรือ? ข้าให้รู้สึกอิจฉาพี่สาวเหลือเกิน”กล่าวจบก็ระบายรอยยิ้มราบเรียบเย็นชาการพูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้สร้างความรู้สึกหลากหลายให้แก่บรรดาสตรีในห้องโถงเป็นอย่างมากหนึ่งพวกนางคิดว่าพระชายามีนิสัยเถรตรงยิ่งนัก ไม่อาจดูเบาได้สองพระชายาม
ด้านนอกห้องโถงของเรือนชิงเยว่เรือนร่างสูงใหญ่งามสง่าแผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามของรัชทายาทหนุ่มกำลังยืนอยู่นิ่งๆ ตรงมุมลับตาห่างจากประตูออกมาไม่ไกลนัก โดยมีองครักษ์คนสนิทยืนอยู่ด้วยกัน สายตาคมปลาบของชายหนุ่มทั้งสอง กำลังพินิจมองสตรีชุดแดงที่ได้รับตำแหน่งพระชายาเอกแห่งตำหนักบูรพาเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาอยู่เงียบๆหมิงเฉิงยืนเอามือไพล่หลังด้วยท่าทางหยิ่งทะนงองอาจทรงพลัง ใบหน้าหล่อเหลามีเพียงความเย็นชา รอบกายมีเพียงกลิ่นอายเย็นเยียบ ยากคาดเดาห้วงอารมณ์อันใดทั้งนั้นหากแต่คนสนิทอย่างหมิงจินย่อมรับรู้ได้ว่าผู้เป็นพี่ชาย เริ่มไม่พอใจในตัวของพระชายาเอกคนงามนางนี้เสียแล้วเวลาผ่านไปเพียงครู่ เหล่าอนุชายาก็ได้รับอนุญาตให้กลับเรือนได้ พวกนางจึงพากันเดินนวยนาดดวงหน้าซีดเผือดออกมาจากประตูห้องโถงทว่าเมื่อมองเห็นรัชทายาทหนุ่ม ดวงหน้างามขาวซีดก็แดงเรื่อทันที แต่ละนางรีบยอบกายทำความเคารพด้วยท่วงท่างดงามแช่มช้อย ทักทายด้วยเสียงหวานฉ่ำ ช้อนตามองหมิงเฉิง อย่างหวานล้ำ ทำท่าเขินอายและยั่วยวนในที แต่เมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาพร้อมสายตาฆ่าคนของเขา ก็พากันตัวสั่นเทิ้มถอยร่นไปสายตาคมเข้มมืดดำของหมิงเฉิงหาได้สนใจสาวงามเห
ด้านนอกห้องโถงห่างจากประตูออกไปตรงมุมลับตาหมิงจินยืนนิ่งจ้องมองสองสตรีไม่วางตา เมื่อได้ยินคำสนทนาของพวกนางทั้งหมด ความรู้สึกหนึ่งพลันรับรู้ได้อย่างไร้เหตุผล เสมือนเล่ห์กลระหว่างเขากับพี่ชายพยัคฆ์ร้ายมังกรซ่อน หลั่งเลือดเพื่อเจ้า มั่นคงเพื่อข้ามิรู้ได้ว่าเพราะเหตุใด เขาจึงนึกถึงประโยคนี้ ที่พี่ชายเคยเอ่ยกับเขาถึงแม้สตรีในห้องโถงทั้งสอง จะมิได้มีอันใดผิดปกติเลยแม้แต่น้อย กิริยาของพระชายาเอกในรัชทายาทสูงส่งดั่งนางพญา ยามเจรจามีกลิ่นอายเย็นเยียบแฝงอำนาจสั่งการเฉียบขาดทว่าลับหลังอาจจะมีนิสัยแท้จริงซุกซนไปบ้าง ก็ไม่นับว่าเป็นอะไร ขอเพียงต่อหน้าธารกำนัลไร้ที่ติเช่นนั้น ก็เหมาะสมแล้วกับตำแหน่งนี้หากแต่สาวใช้ข้างกายพระชายากลับให้ความรู้สึกแปลกประหลาดสำหรับเขาหมิงจินกำลังยอมรับว่า เมื่อคืนเขาเพียงนึกแปลกใจในตัวสาวใช้ข้างกายพระชายาเอกของพี่ชาย หากแต่ยามนี้เขาไม่อาจไม่ยอมรับว่า เขากำลังสนใจนางเป็นอย่างมากในความเรียบร้อยของนางมีความสุขุมเยือกเย็นในความอ่อนน้อมนุ่มนวลของฐานะเพียงสาวใช้ กลับแฝงกลิ่นอายสง่างามแห่งความเป็นผู้นำเหนือหมู่มวลหาใดเปรียบ ยามพินิจมอง ให้ความรู้สึกสบายตาและน่ายำเกรง
ถัดมาอีกเรือนหนึ่ง ซึ่งเป็นเรือนของชายาสามคนงามชายานางนี้ มีนามว่าอวี่เยียนภายในห้องส่วนตัวหรูหรา ท่ามกลางกลิ่นหอมจรุงใจคละคลุ้งไปทั่ว มีเพียงสองนายบ่าวนั่งคุยกันแบบกระซิบกระซาบ“เจ้าแน่ใจหรือเสี่ยวเถา ว่าอาหารมงคลถูกพระชายากินไปจนหมด”เส้นเสียงแว่วหวานของผู้เป็นนายเอ่ยถามไปทางสาวใช้คนสนิทที่นั่งแนบชิดอยู่ข้างเก้าอี้ นัยน์ตาของนางซ่อนแววชั่วร้ายเอาไว้ได้ยากเย็น“บ่าวแน่ใจเจ้าค่ะ นางกำนัลห้องเครื่องมาเก็บถ้วยเปล่าไปเมื่อรุ่งสางนี้เจ้าค่ะ บ่าวเห็นกับตา”เมื่อได้ยินเช่นนั้น นายสาวก็นิ่งเงียบครุ่นคิดครู่หนึ่งเสียงสาวใช้ยังเอ่ยอีกว่า “ดีเหลือเกินที่เมื่อคืนรัชทายาทไม่เข้าหอ บ่าวให้รู้สึกโล่งใจนัก มิเช่นนั้นหากพระองค์ทรงกินอาหารมงคลเข้าไปมิรู้ได้ว่า...”คนหนึ่งยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค ก็ถูกเสียงของเจ้านายปรามเอาไว้ “เรื่องนี้ข้าย่อมมั่นใจ เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ไม่ว่า รัชทายาทจะแต่งชายาเข้าตำหนักบูรพามากี่นาง พระองค์ก็ไม่เคยร่วมหอชายาคนใดอยู่แล้ว มอบเพียงความใส่ใจดูแลเป็นอย่างดีก็เท่านั้น ดูอย่างข้านี่ปะไร!”กล่าวจบก็มองภายในของตนที่เต็มไปด้วยเครื่องเรือนหรูหรา เสื้อผ้าแพรพรรณล้ำค่า เครื่องปร
นอกหน้าต่าง รอบด้านเงียบสงบ สายลมอ่อนโชยพัดพลิ้วเข้ามา พากลิ่นไอน้ำผสานดอกบัวเข้าหา ให้สดชื่นรื่นรม ช่างเหมาะสมแก่การสร้างอารมณ์วาดภาพยิ่งทว่าหมิงเฉิงหาได้มีอารมณ์สุนทรีพร้อมร่างภาพวาดลวดลายอันใดใส่กระดาษไม่ ด้วยในใจยังคำนึงถึงนางกำนัลผู้นั้น ที่บังอาจมีนัยน์ตาสีเขียวเหมือนใครบางคน!สายตาคมปลาบลอบพินิจชายาที่ยืนฝนหมึกอยู่ด้านข้าง ดวงหน้าสะคราญโฉมมีดวงตากลมโตอันน่าสงสัย เพื่อความสบายใจเขาควรจักพิสูจน์นางให้มากเข้าไว้หมิงเฉิงพลันหรี่ตา นึกถึงเรื่องราวบางประการดวงตาสีเขียววูบไหวที่เห็นเพียงแวบหนึ่งแต่มากกว่าถึงสามครั้ง ทั้งกลิ่นอายเย็นฉ่ำที่สัมผัสได้ยามโอบกอด ให้รู้สึกดีอย่างประหลาด และยังคุ้นเคยอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งๆ ที่นางเป็นถึงคุณหนูในห้องหอ ไม่เคยย่างกรายออกนอกจวนไปที่ใด ไม่มีทางที่นางจะเคยปรากฏกายในป่าใหญ่หากแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงอยากเชื่อให้สนิทใจแน่งน้อยในวันวาน บางทีอาจจะเป็นนาง...หมิงเฉิงยิ่งคิดยิ่งรุ่มร้อน ความรู้สึกไม่ยินยอมกำลังเกิดขึ้นอย่างดื้อรั้นเขาจักให้หมิงจินไปสืบเรื่องนี้ให้รู้แจ้ง ว่าสกุลโหวเล่นกลซ่อนเล่ห์อันใดหรือไม่ ทว่ายามนี้ขอเรียกความมั่นใจส
พระชายาน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้ แล้วอีกฝ่ายจักเย็นชาไปเพื่ออันใดเจียงเฟิ่งให้รู้สึกหงุดหงิดยิ่ง!ลืมไปแล้วจริงๆ ว่าธิดาสกุลโหวคือสมบัติล้ำค่า จักต้องถนอมเอาไว้จนกว่าบุตรชายคนใดคนหนึ่งได้ขึ้นครองราชย์อันว่าสตรีงามพิลาศปานล่มเมืองล่มแคว้น เป็นนางมารยั่วยวน กระทั่งผู้จับจ้องคล้ายถูกดึงดูดตกบ่วงเสน่หาอันเหลือร้าย จักเป็นใครไปมิได้ นอกจากสตรีนามว่า โม๋เอ๋อร์กระทั่งเจียงฮองเฮายังหลงใหลเข้าให้แล้วแบบเต็มขั้นโม๋เอ๋อร์นั้น ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรัก แม้แต่สตรีด้วยกัน!สุรเสียงเย็นเยียบจึงตรัสไปทางสวี่กูกูที่ยืนอยู่ไม่ห่าง“ให้คนไปเชิญองค์รัชทายาทเข้ามาในห้องหนังสือ”“เพคะ”เสียงตอบรับนอบน้อมเกิดขึ้นจากนางกำนัลคนสนิท เพียงครู่ขันทีผู้น้อยหน้าห้องก็ถูกสั่งให้ไปแจ้งแก่หมิงเฉิงชั่วอึดใจเท่านั้น ร่างสูงสง่าก็มาปรากฏอยู่ภายในห้องหนังสือชายหนุ่มเหลือบดวงตาคมปลาบมองพระชายาแวบหนึ่ง แล้วไม่สนใจอีก เย็นชาที่สุดโม๋เอ๋อร์ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะของเจียงฮองเฮาพลันเลิกคิ้วฉงน กะพริบตางุนงง เมื่อเห็นสามีเครียดขรึมสีหน้าเย็นเยียบปานนั้นเจียงฮองเฮากรีดเรียวนิ้วม้วนกระดาษคำกลอนหวานล้ำของโม๋เอ๋อร์อย่างทะนุถนอม แล้วว
ใกล้ยามเที่ยงวัน นภากว้างไร้หมู่เมฆลอยเคลื่อน ตะวันฉายจึงแผดแสงแรงกล้าหมิงเฉิงจึงเปรยกับเจียงฮองเฮาว่าควรกลับตำหนักส่วนพระองค์ เพื่อพักผ่อนถนอมพระวรกาย เขาจะได้พาใครบางคนกลับวังบูรพาเสียทีทว่าผู้ถูกห่วงใยเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปเพียงต้องการอยู่กับลูกชายอีกสักหน่อยและยามนี้ ก็ให้รู้สึกอยากมีลูกสาวสักคนเจียงเฟิ่งกำลังชื่นชอบการสนทนากับโม๋เอ๋อร์ยิ่งนัก ดวงตากลมโตพิสุทธิ์สดใส กอปรกับกิริยาน่ารักไร้เดียงสา แม้แต่สตรีด้วยกันที่ได้ชื่อว่าเย็นชาเหลือเกิน ยังหัวใจละลาย คล้ายกับได้สายน้ำเย็นฉ่ำของอีกฝ่ายรินรดจนชุ่มชื่นโพรงอก“วันนี้ อยู่ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันเป็นเพื่อนแม่ก่อนเถิด” สุรเสียงนุ่มนวลตรัสอย่างเป็นกันเองกับคนงามด้านซ้ายที่ประคองมือกันไปตามทางเดินกลางอุทยาน“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ” โม๋เอ๋อร์มีหรือจะปฏิเสธอาหารเลิศรส นางรีบตอบรับเสียงใส “หากเสด็จแม่มิได้ชักชวน เกรงว่าหม่อมฉันจะเป็นฝ่ายเสียมารยาทเอ่ยปากขอร้องเสียแล้ว”เจ้าแห่งวังหลังถึงกับแย้มสรวล “เจ้านี่นะ!”รอยยิ้มสว่างจ้ายังคงประดับใบหน้าเรียวเล็กจนผู้จ้องมองรู้สึกแสบตาไปหมด ดวงตาคู่คมของหมิงเฉิงเข้มลึกสุดจะหยั่ง ทั้งยังรู้สึกไม
ภายในศาลาริมบึงขนาดใหญ่ การสนทนาระหว่างสตรีดำเนินอีกเพียงครู่ชิงเฟยจึงกล่าวลาแล้วล่าถอยออกไป พร้อมธิดาตัวน้อยและนางกำนัลคนสนิทร่างสูงของหมิงเฉิงยังคงถูกตรึงนิ่งขึงอยู่กับที่ ไร้ซึ่งผู้ใดสังเกตเห็น มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้เขาเห็นนางกำนัลคนสนิทที่มากับชิงเฟยมีนัยน์ตาสีเขียว และมิใช่เพียงชั่ววูบเดียว ทว่าหลายชั่วลมหายใจเลยก็ว่าได้สตรีนางนี้มีใบหน้าเรียวยาว ผิวขาวราวหิมะ ถึงแม้จะอยู่ในชุดสีครามอ่อนจางของตำแหน่งนางกำนัล หากแต่กลับสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบกดข่มผู้คน นางพยายามหลุบตาหลบเลี่ยง หากแต่เขาก็ยังมองได้ทันท่วงที และเห็นชัดเจนดินแดนทั้งสามภพภูมินั้น มีสวรรค์และนรกแยกกันมิอาจบรรจบ เหล่าทวยเทพและปีศาจต่างก็แยกกันอยู่มิอาจค้นพบมีเพียงภพมนุษย์เท่านั้น ที่เหล่าภูตผีและปีศาจร้ายต่างเผ่าพันธุ์ อาศัยอยู่แบบแทรกซึมทั่วไปหมดมนุษย์หรือสรรพสัตว์ ที่ต้องการละทางโลกเพื่อเป็นเซียน บำเพ็ญเพียรบารมีจนถึงขั้นได้เป็นเซียนก็ยังอาศัยอยู่ในภพนี้มนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่มีจิตใจใฝ่อกุศล บำเพ็ญเพียรเพื่อมีพลังที่ชั่วร้ายจนกลายเป็นมาร แม้กระทั่งเทพหรือเซียน ถ้ามีจิตใจชั่วร้ายก็กลายเป็นมาร พวกนี้ก็อยู่
ยามทิวาตะวันเคลื่อนแสงแดดกล้า ขบวนเสด็จของเจียงฮองเฮาจึงเลือกที่จะเดินไปนั่งจิบชาในศาลากลางสวนบุปผชาติ รอบด้านล้วนงดงาม เบื้องหน้าคือบึงบัวหลากสีที่โต๊ะกลมกลางศาลา โม๋เอ๋อร์ดูแลรินน้ำชาให้แม่สามีอย่างนอบน้อม เจียงเฟิ่งรับการปรนนิบัติจากลูกสะใภ้อย่างยินดี สตรีทั้งสองแย้มยิ้มให้กันอย่างชื่นมื่นเปี่ยมไมตรีในขณะที่หมิงเฉิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่นิ่งๆ ที่ริมศาลาด้านบึงบัว ทำตัวเป็นบุตรชายที่ดีและสามีผู้ใจเย็นรอคอยภรรยากินขนมจิบชาอย่างอดทนที่ด้านนอกศาลา ถัดจากกลุ่มนางกำนัลและขันทีที่ยืนเรียงรายอย่างสงบเพื่อรอรับใช้ มีเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยดังขึ้น เสียงนั้นเรียกสายตาของคนในศาลาได้ทันทีเมื่อทุกคนในศาลาหันไปมองทางต้นเสียง จึงได้เห็นเป็นสตรีงดงามนางหนึ่งในอาภรณ์สีชิงพลิ้วไหวประดับปิ่นหรูหรา แต่งหน้าสีหวาน ใบหน้าโฉมสะคราญแขวนรอยยิ้มละมุนตา ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวานนอบน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมากนางเดินนวยนาดแช่มช้ามาทางศาลา พร้อมนางกำนัลคนสนิทที่อุ้มเด็กน้อยน่ารักไม่ห่างกายนางคือพระสนมชิงเฟย นามชิงจิ้งชิงเฟยผู้นี้ เดิมทีเป็นคุณหนูผู้โดดเด่นที่สุดแห่งสกุลชิง และมักจะเข้าร่วมงานวังหลวงทุกครั้งไม่เคยข
เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฮองเฮาจึงผินพระพักตร์ปรายสายพระเนตรมาทางองค์รัชทายาทบ้าง ทว่ากลับเห็นท่าทางเย็นชาแววตาเย็นเยียบกิริยาห่างเหินกับชายาโหว ก็ให้นึกแปลกพระทัยแต่กระนั้นก็คิดเพียงว่าจะไม่ยุ่งเรื่องยิบย่อยของบุตรชาย เพียงปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง พระนางเพียงกระทำตามแผนการของหมิงจินกับสาวใช้คนงาม ที่ขอให้แสดงความโปรดปรานต่อธิดาโหวให้เป็นที่ประจักษ์ก็เท่านั้นชั่วจังหวะที่กำลังสงสัยในอากัปกิริยาอันน่าครั่นคร้ามของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาพลันได้ยินเสียงหวานใสของสตรีด้านซ้ายกล่าวพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพราว่า“หม่อมฉันย่อมทำเพื่อเสด็จแม่เพคะ และจะมาหาบ่อยๆ ไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวแน่ๆ” โม๋เอ๋อร์กล่าวจากใจจริง กิริยาวาจาล้วนน่ารักสดใส ไร้การเสแสร้งทั้งสิ้นเจียงฮองเฮาแย้มสรวล “ดียิ่ง ดีจริงๆ”“เพคะ” โม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มละมุน กิริยาหมดจดพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดวงตากลมโตพิสุจธิ์สดใส เผยความดีใจที่ได้มีมารดาเพิ่มอีกหนึ่งคนทว่าใบหน้าหล่อเหลาของหมิงเฉิงยิ่งดำทะมึนนึกขัดใจ หากเขาต้องพาชายาโหวเข้าวังบ่อยๆ ได้อึดอัดตายพอดีต่อหน้าเสด็จแม่จักทำอันใดตามแต่ใจได้ที่ใด?ความไม่พอใจฉายวาบผ่านแววตาคม สีหน้าเผยคว
ในวันนี้เจียงฮองเฮาทรงเรียกองค์รัชทายาทและพระชายามาจิบชาชมบุปผาพร้อมทั้งพาเดินเที่ยวให้ทั่ววัง ตามความประสงค์ทางสายตาของหมิงจินที่เชื่อฟังสาวใช้คนงามเหลือเกินซึ่งอันที่จริงพระนางก็มีความต้องการที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วเมื่อทราบข่าวราชโองการของฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วเรื่องนี้นับได้ว่าหนักหนาพอควร สำหรับโอรสที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท ขั้วอำนาจซึ่งเป็นฐานที่มั่นถูกสั่นคลอนเช่นนั้น มิใช่เพียงรักษาตำหนักบูรพาลำบาก หากแต่ยังอาจสร้างความบาดหมางได้ไม่ยาก นับจากนี้การลอบสังหารคงมีตามมามากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากหลายสกุลที่ถูกส่งคืนคงแค้นเคืองไม่น้อยแน่นอนว่าฝีมือของหมิงเฉิงไม่น่าห่วงในเรื่องนี้ เพียงแต่เจียงฮองเฮาก็ไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตจนเกินไปหมิงจินก็เช่นกัน กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้ เขาได้หลับสบายสักคืนหรือไม่?พระมารดาแห่งต้าหมิงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยยามถูกโม๋เอ๋อร์จับประคองมือซ้ายพาเดินเล่นไปตามทางเดินของอุทยานหลวง ด้านขวายังมีหมิงเฉิงเดินตระหง่านดำทะมึนมาด้วยกัน ท่าทางของรัชทายาทหนุ่มในยามนี้ แม้สูงส่งงามสง่าแต่ทว่าเปี่ยมพลังกดข่มเขย่าขวัญผู้คนไปทั่ววันนี้นับได้ว่าอากาศด
เจียงฮองเฮามองตามแผ่นหลังของสองชายหญิงเงียบๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะตรัสออกมาทางสวี่กูกูที่ยืนอย่างสงบเยื้องไปทางด้านหลังอยู่เพียงลำพัง ปราศจากผู้อื่นนอกจากนาง“เจ้าคงเห็นแล้ว ว่าลูกๆ ของข้าน่าเป็นห่วงปานใด”สวี่กูกูคือแม่นมของหมิงเฉิงในอดีต ที่รับรู้เรื่องราวอันเป็นความลับทุกสิ่ง จึงมิใช่เรื่องแปลกหากเจียงเฟิ่งจักเปิดเผยตามตรงกับอีกฝ่าย “เรื่องเส้นสายราชสำนัก หรือขั้วอำนาจใดๆ ล้วนไม่ยากหากข้าจะช่วย ทว่าเรื่องอื่นๆ เล่า”สวี่กูกูค้อมตัวกล่าวอย่างนอบน้อมแต่ตรงไปตรงมา ด้วยเข้าใจความห่วงใยที่มากล้นเกินจำเป็นของเจ้านาย“ทูลฮองเฮา เรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว เราควรปล่อยไปตามโชคชะตานำพาเพคะ ขออย่าทรงกังวลจนเกินไป”“จะดีหรือ?” เจียงเฟิ่งไม่แน่ใจ “ข้าไม่ต้องช่วยจริงหรือ?”“ย่อมดีเพคะ เรื่องเหล่านี้ เราสองคนที่ไม่เคยประสบย่อมไม่เข้าใจนะเพคะ”เจียงเฟิ่งพลันเงียบงันปราศจากถ้อยวาจา ด้วยไม่อาจเห็นต่าง เพราะว่านางกับสวี่กูกูเติบโตมาด้วยกันกระทั่งเข้าวังและไม่เคยเจอเรื่องรักใคร่เลยสักครั้งในชีวิตจริงๆการยื่นมือช่วยในบางเรื่อง อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีถึงแม้เจียงเฟิ่งจักได้แต่งงาน ทว่าการมีสามีของนางล้
ระยะทางจากตำหนักบูรพามายังตำหนักฉีหยางกงนับได้ว่าไกลมากทว่าวันนี้กลับรู้สึกเหมือนใกล้กว่าที่เคย หมิงเฉิงยังมิทันได้ซึมซับไอเย็นจากร่างนุ่มสักเท่าไหร่ก็ถึงเสียแล้วอ้อมกอดอุ่นพลันคลายออก ความร้อนวาบพลันจางหาย โม๋เอ๋อร์รู้สึกถึงความเย็นไหลผ่านร่างกายเมื่อวงแขนกำยำของสามีปลดออกไปความเสียดายบางประการจึงบังเกิดกับพวกเขาโดยมิได้นัดหมาย หญิงสาวถึงกับเม้มปากแน่น ในขณะที่ชายหนุ่มถึงกับลอบขบกรามทั้งสองพากันจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะลงจากรถม้าอย่างงามสง่าเฉกเช่นชนชั้นสูงปกติ หาได้มีพิรุธอันใดไม่ขณะนี้เป็นเวลายามสาย อากาศแจ่มใส แมกไม้ร่มรื่น แสงแดดอ่อนจาง ทางเดินเข้าตำหนักงดงามจับตา ชายผ้าของสองสามีภรรยาถูกสายลมโชยผ่านพัดพลิ้วเกี่ยวประสาน ประหนึ่งเป็นผ้าผืนเดียวกันตั้งแต่ย่างเท้าก้าวใดมิทราบได้ ที่ทั้งคู่เดินใกล้กันมาก โดยไม่รู้ตัวภายในห้องโถงรับแขก ที่แท่นประทับสลักทองคำเจียงฮองเฮายังคงนิ่งเงียบเพื่อฟังวาจานุ่มหวานของสาวใช้นางหนึ่งที่นั่งเคียงข้างกับองครักษ์หนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้านล่าง สองชายหญิงช่วยกันร้องช่วยกันรับอยู่หลายประโยค พูดจาส่งกันไปมาอย่างเปิดเผย