อี้หมิง พยายามเอาชนะชะตาชีวิตในยุคที่เธอทะลุมิติมา ด้วยวิชาความรู้ของโลกยุคปัจจุบันเธอก่อร่างสร้างตัวในยุค จีนโบราณจนมีฐานะอู้ฟู่ร่ำรวย สร้างงาน สร้างอาชีพคนเร่ร่อน จนที่เล่าขานไปทั่วทั้งแคว้น
View More"สมุนไพรที่เจ้าต้องการ เจ้าต้องการมากเพียงใด เรือนข้าเป็นตระกูลพ่อค้าเก่าแก่มีสมุนไพรเก็บอยู่มากมาย ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่นัก หากมิรังเกียจข้าอยากบริจาคให้ ถือว่าช่วยชาวเมืองหลี่แล้วกัน"อี้หมิงเผยรอยกว้างสวยเต็มวงหน้าทันที เดินอ้อมโต๊ะออกมา มือคว้าจับที่แขนแกร่ง แหงนเงยใบหน้าพูดกับบุรุษรูปงามหากแต่ใบหน้าช่างไร้อารมณ์และเย็นชายิ่งนักในสายตาของเธออย่างดีใจ ผู้ใดกันจะปล่อยให้โอกาสเช่นนี้หลุดลอยไป มีผู้เสนอวัตถุดิบให้แถมไม่คิดเงิน เธอคงมิใช่คนสมองหมูถึงเพียงนั้นที่จะปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดไปโดยง่ายเป็นแน่"ขอบคุณท่านมาก ข้ายินดีรับโอกาสอันสุดแสนพิเศษนี้ไว้ แต่ร้านเราไม่เอาเปรียบท่านแน่นอนในเมื่อท่านยินดีบริจาคสมุนไพรให้กับเรา ไว้ข้าขอเลี้ยงอาหารซักมื้อตอบแทนท่านและสหายแล้วกัน""เช่นนั้นเจ้าเขียนเทียบสมุนไพรที่จะใช้มาเถิด เดี๋ยวให้จางหยางจัดการมาส่งที่เรือนให้ในวันพรุ่ง""อี้หมิง เจ้าเขียนเทียบมาเลยข้าจะคัดของดี ๆ มาให้นะ"จางหยางที่เพลิดเพลินกับการมองร่างอ้อนแอ่นตรงหน้าพูดเจื้อยแจ้วจัดการงานต่าง ๆ ก็ถึงคราวได้เอ่ยออกมาอย่างกระตือรือร้น"ขอบคุณท่านมากจางหยาง มู่เฉินด้วย ข้าฝากด้วยนะ"รอยย
ผ่านไปเพียงชั่วยามเหล่าบรรดาลูกค้าที่มาให้ร้านเทียนฝูได้รับใช้ก็ทยอยเดินกลับ จนลูกค้าคนสุดท้ายก้าวย่างออกไป"เฮ้อ ปิดจ๊อบสักที อื้อ"ร่างบางชูแขนขึ้นเหนือศีรษะ ยืดตัวบิดขี้เกียจไปมา ก่อนจะเอนศีรษะซบลงที่บ่าเฉิงอี้อย่างลืมตัว'ฟู่'ลมหายใจหนัก ๆ ถูกผ่อนออกมา ก่อนจะปิดเปลือกตาลงนิ่ง ๆ หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการจับพู่กันไปมาทั้งวัน แม้ชายที่นั่งข้างเคียง จะอาสาช่วยเขียนอยู่บ้างแต่ก็ยังคงเมื่อยอยู่ไม่น้อย'อึก'เฉิงอี้กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ รู้สึกราวเวลารอบข้างหยุดหมุน คิ้วคมขมวดเล็กน้อย เกร็งตัวขึ้นทันทียามที่ศีรษะทุยเอนซบลงมา สตรีนางนี้หาได้รู้ที่ต่ำที่สูงไม่ นางช่างไม่รู้รึไรการกระทำตอนนี้ของนางต้องโทษถึงประหารเชียว ตาคมเหลือบมองใบหน้าขาวผ่อง ไล้ลงมาที่จมูกเล็กโด่งเป็นสัน ปากบางชมพูจิ้มลิ้มราวดอกเหมยบาน เฉิงอี้เจ้าคงสติฟั่นเฟืองเสียแล้วกระมังถึงได้เผลอมองว่านางช่างน่ารักยิ่งนักยามเมื่อหลับตาพริ้ม พอได้สติจากภวังค์จึงค่อย ๆ ยื่นนิ้วออกไปค่อย ๆ จิ้มออกแรงเขี่ยศีรษะเล็ก ๆ ให้พ้นจากบ่าแกร่งของตน ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยลุกขึ้นเดินตรงไปหาจางหยาง และมู่เฉินด้วยสีหน้าเย็นชาดังเดิม หากแต่เพียงผู้ใด
ร่างของชายอวบอ้วนพุงย้วย ที่กำลังพยายามก้มลงไปในโอ่งดิน ช่างดูทุละทุเลยิ่งนักในสายตาทุกคน มือด้านซ้ายใช้ค้ำดันโอ่ง ส่วนด้านขวาล้วงเข้าลงไปด้านในโอ่ง และด้วยส่วนสูงที่ต่างจากโอ่งไม่มากนัก ทำให้ใบหน้าของเขาแนบลงไปกับปากโอ่ง มือคว้ากำเข้าที่ลำต้นของผักบุ้งอวบคราแรกออกแรงดึงเบา ๆ ตามความคิดที่ว่ามันถูกปักไว้เพื่อพรางตาผู้คน 'เอ๋ หึ ปักมาแน่นกันเชียวนะ คิดว่าเท่านี้ข้าจะเชื่อรึ'ครานี้ก้มลงและกำลำต้นผักบุ้งแน่นกว่าเดิม ก่อนจะออกแรงดึงอย่างแรง ~ฮ่า ๆ มาดูกันคนเจ้าเล่ห์อย่างพวกเจ้าคิดจะมาหลอกลวงข้ารึ~"ฮึบ! ฮึบ"ออกแรงดึงสองครั้งต้นผักบุ้งก็ยังไม่ติดมือขึ้นมา ครานี้กำแน่นกว่าเดิม ใบหน้าเกร็งยู่ เม้มปากแน่น ย่อตัวออกแรงแล้วดึงขึ้นเต็มแรง"เฮ้ยย!"ต้นผักบุ้งขาดออกตามแรงดึง ร่างอวบอ้วนเซหงายหลัง ดวงตาเบิกโพล่งมู่เฉินที่เห็นร่างอ้วนท่วมเซหงายหลังมาทางตนจึงใจดี ยกเท้าขึ้นค้ำยันหลังไว้ ก่อนจะออกแรงถีบออกไป ร่างชายอ้วนจากตกใจคราแรกที่จะหงายหลังยังไม่ทันหาย กลับต้องตกใจอีกรอบเมื่อครานี้เซถลากลับมาด้านหน้า"เฮ้ยๆ"มือปล่อยผักบุ้งทิ้ง มือสองข้างรีบคว้าจับปากโอ่งเพื่อยั้งตัวไว้ "แฮ่ก ๆ เกือบไปแล้ว
"เชิญนั่งเจ้าค่ะ ท่านป้า" อี้หมิงเผยมือเชื้อเชิญลูกค้าให้นั่งลงเพื่อที่จะได้สอบถาม ถึงผืนนา และเมื่อสนใจ ก็จะได้ทำสัญญาให้แล้วเสร็จ"ท่านป้า ท่านป้าเพียงแค่สนใจน้ำหมักของข้า รึวันนี้จะให้ร้านเทียนฝูของเรารับใช้เจ้าคะ""ช่วยด้วยเถิดนังหนู นาข้าวข้าใกล้ตายเต็มทีแล้ว เท่าไหร่ก็เต็มใจจ่าย ใบข้าวล้วนเหลือง แห้งเหี่ยวลงทุกวันจริงเชียว"หญิงตรงหน้าเอื้อมมือมาจับมือของนางอย่างขอร้อง ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าอมทุกข์ ดวงตามีกระแสความท้อแท้พาดผ่าน น้ำเสียงเจือสะท้อนความหนักใจออกมาเฉิงอี้เห็น และได้รับฟังความทุกข์ของชาวบ้านก็เกิดสะท้อนในอก ด้วยหลากหลายอารมณ์รู้สึก ถึงแม้นว่าจะสามารถคลี่คลายสถาการณ์ราคาข้าวได้แล้ว แต่ยังมีโรคระบาดที่ยังไม่มีทีท่าจะทุเลาลงเลยสักนิด หวังก็แต่หญิงประหลาดที่เคียงข้างตนยามนี้จะสามารถแก้ปัญหาได้ดังเช่นนางเอ่ย ก่อนจะถอนสายตากลับมามองหญิงชาวบ้านตรงหน้าอย่างสนใจ"ช่วยได้แน่นอนท่านป้า ว่าแต่ท่านป้าจะให้ข้าช่วย ขอถามผืนนาท่านที่ต้องการให้ช่วย มีอยู่เท่าใดกัน""เอ่อ ไม่เยอะหรอก"ลูกค้านางทำสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ"เท่าไหร่เจ้าคะ""เอ่อ 10 หมู่ถ้วน เจ้าพอจะช่วยข้าได้รึไม่"10 หมู่ โฮ
อี้หมิง ใช้สองมือน้อย ๆ ออกแรงผลัก แต่ต่อให้ดันอย่างไรชายหน้านิ่งก็หาได้ขยับเขยื้อนไม่ นี่มันคนรึหินผากันนะ "นี่ เจ้า!""เงียบ จะขายรึไม่ ข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่"เฉิงอี้ที่เริ่มหงุดหงิดหันไปใช้สายตาคมดุจพญาเหยี่ยวที่และใบหน้างดงามหล่อเหล่าที่เรียบนิ่งขู่ร่างบางที่ขยับขยุกขยิกไปมาทำให้แขนนางถูไถไปมากับแขนแกร่งของตนอย่างไม่ตั้งใจ อี้หมิงชะงักเล็กน้อย ฮึ! ดีเช่นกันให้เจ้าคนหล่อหน้านิ่งนี่ช่วยขายก็ดี ข้าจะได้ไม่เปลืองแรง ลองดูสักตั้งก็ได้ "นี่ ๆ เจ้า ไปนั่งข้างนางได้เยี่ยงไร ออกมาเลย ๆ"อู๋ไป๋เอ่ยรัวออกมาอย่างร้อนรน เมื่อเห็นชายหนุ่มที่ดูจากอาภรณ์ที่สวมใส่ก็รู้ว่ามาจากตระกูลที่ร่ำรวย เข้าใกล้หญิงที่ตนหมายปอง"อู๋ไป๋ ๆ ไม่เป็นไร ๆ คุณชายท่านนี้มาช่วยข้าขายก็ดี เราจะได้ขายหมดเร็ว ๆ ไง นะ ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลไปหรอก แค่ขายของเท่านั่น "อี้หมิงพูดกับอู๋ไป๋ก่อนหันมามองเจ้าคนหน้านิ่งที่บัดนี้หันมามองที่เธอเช่นกัน จะว่าไปหนุ่มยุคนี้นี่ช่างหน้าตาดีเสียจริง ใบหน้าเช่นนี้นี่ยุคปัจจุบันน่าจะเป็นดาราดังได้สบายเลยหล่ะ รึไอดอลก็ได้เลยนะเนี่ย"ฮ่า ฮ่า ฮึบ ฮ่า"หมิงอี้หลุดขำออกมาเสียมิได้ เจ้าตัวพยายามกล
บัดนี้เข้ายามเฉินแล้ว (07.30 น.) แต่กลับยังไร้เงาผู้คน อี้หมิงแอบใจเสียมิน้อย ไม่ต่างจากเฟิน เฟิน และอู๋ไป๋ ที่บัดนี้ต่างกระวนกระวายไม่แพ้กันแต่ก็ยังมิได้มีผู้ใดเอื้อนเอ่ยประโยคใด ๆ ออกมา ของที่อยู่บนรถเข็นในที่สุดก็ทยอยถูกยกลงจนหมด ป้ายชื่อร้านที่หยิบติดมือมาด้วยถูกอู๋ไป๋นำไปปักไว้ด้านหน้า ส่วนโอ่งทั้ง 4 ใบ เหล่าคนงานและบุรุษทั้งสามที่ขอมาด้วยต่างช่วยกันเข็นย้ายวางเรียงอย่างเป็นระเบียน โต๊ะไม้ถูกยกออกมาเพื่อวางแท่นหมึกและกระดาษ ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแต่ก็ยังไร้เงาผู้คนจนทำให้เจ้าของร้านสาวอดใจเสียมิได้ส่วนอี้เฟิน กับเฟิน เฟิน ทั้งสองกำลังช่วยกันติดเตาเพื่อทำซุปถั่วงอก และผัดยอดอ่อนผักบุ้ง เพื่อแจกให้ผู้คนที่มาซื้อน้ำหมักได้ลิ้มลองรสชาติของผักร้านเทียนฝู นับว่าเป็นกลยุทธ์การขายที่แปลกอีกอย่างหนึ่งของร้านลูกสาวนาง ที่ใช้ได้ผลมาแล้ว"อ้าวเฮ้ย! นั่นผู้ใดกันมาทำสิ่งใดที่แปลงนาของข้า"เสียงชายเจ้าของแปลงนาตะโกนถามไถ่ใคร่สงสัยมาแต่ไกล ก่อนที่เจ้าตัวจะแบกจอบเดินมาถึง"อ้าว ท่านลุง ข้าเอง! วันนี้พวกข้ามาตั้งร้านขายน้ำหมักหนะ""อ้าวเรอะ!"ชายเจ้าของแปลงนาไล่สายตามองดูข้าวของที่ตั้งเรียงรายใต
"หมิงอี้ พวกข้ามาแล้วล่ะ"อี้หมิงเงยหน้ามองเสียงทุ่มห้าว อ่า! เป็นมู่เฉินกับสหายของเขานั่นเอง มองเลยไหล่หนาบึกบึนของมู่เฉินและจางหยางไปก็พบเข้ากับใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นักของชายอีกคน"อ้าว มาพอดีเลย ท่านแม่ เฟิน เฟิน อู๋ไป๋ นี่สหายข้า มู่เฉิน นี่จางหยาง แล้วนี่.."อี้หมิงเว้นจังหวะพูด ด้วยไม่แน่ใจว่าหากเอ่ยออกไปชายหนุ่มจะแย้งกลับมารึไม่ จากหลายคราที่เจอกันนับว่าห่างไกลคำว่าสหายอยู่มากโข"อ๋อ นี่เฉิงอี้"เป็นมู่เฉินที่เอ่ยความกระจ่าง"อ๋อ แล้วกินข้าวกินปลากันมารึยังล่ะ ถ้ายังพอดีเลย มากินด้วยกันสิ หากไม่รังเกียจ ข้าเตรียมอาหารเสร็จพอดี ร้อน ๆ เลยนะ"อี้เฟิน กล่าวต้อนรับสหายของบุตรสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แม้นในใจจะคุ้น ๆ กับใบหน้าของชายหนุ่มนามเฉิงอี้อยู่มิน้อย ใบหน้าเช่นนี้คับคล้ายคับคราว่าเคยพบเจอที่ใดมาก่อน ก่อนจะปัดความคิดทิ้งไปหันมาสนใจบุตรสาวและสหายของนางแทน ที่บัดนี้กำลังช่วยกันยกโอ่งผักขึ้นใส่รถที่เตรียมไว้ "ฮ่า เสร็จเสียที เล่นเอาเหงื่อตกเช่นกันนะเนี่ย!"อู๋ไป๋ยกมือขึ้นซับเหงื่อที่ผุดออกมาที่หน้าผากกว้าง ในขณะที่ทุกคนสภาพเช่นเดิม ไม่มีแม้แต่เหงื่อเลยซักนิด คนพวกนี้ไร้เหงื่
"ฮ่า ฮ่า เฉิงอี้ ๆ ฮ่า ฮ่า ยอมแล้ว ๆ ข้า ฮ่า ๆ จะไม่ทำอีกแล้ว ฮ่า ฮ่า หยุด ที ฉะ ฮ่า ฮ่า"ร่างสูงใหญ่ขององครักษ์หนุ่มบัดนี้ ถูกมัดยืนติดเสาหลักไม้กลางตำหนักใหญ่ใบหน้าเบ้บิด ส่งเสียงหัวเราะห่าวอกมาไม่ขาด จนใบหน้าคมคายที่ยามปกติจะนึ่งขรึมแทบตลอดเวลาบัดนี้กลับแดงก่ำ น้ำหูน้ำตาไหลยามเมื่อเจ้าตัวส่งเสียงหัวเราะขำขันออกมาอย่างเสียมิได้ยามเมื่อขนนกยาวใหญ่ปัดป่ายไปมาตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายแกร่ง ไม่ว่าจะเป็น รักแร้ ใบหู ใบหน้าบทลงโทษจากเฉิงอี้หาใช่การต่อยตี รึลงดาบ ใช้โซ่แส้ไม่ หากแต่เป็นการจับมัดแล้วใช้ขนนกปัดป่ายไปมาถึงจะสาสมกับองครักษ์หนุ่มของตน หากใช้วิธีทางทหารละก็จางหยางที่เปรียบดังเช่นก้อนหินผา เกรงว่าจะไม่สะทกสะเทือนซักเพียงใดนัก"อึก!"มู่เฉินที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เมื่อเห็นการลงโทษจากองค์ชายของตน หากแม้นเป็นการลงโทษทางทหารพวกตนหาได้หวั่นใจไม่ แต่ใช้วิธีนี้บอกตรง ๆ ว่าตนขยาดยิ่งนัก"ต่อไปพวกเจ้าจะสนใจหญิงงามมากกว่าข้าอีกรึไม่"เฉิงอี้เอ่ยถามอย่างเอาแต่ใจ ทั้งสามเติบใหญ่มาด้วยกัน เขาล้วนได้รับความสนใจและปกป้องจากองครักษ์หนุ่มมาตลอด แม้นสถานะแตกต่างแต่เฉิงอี
"เจ้าจะเอาหนังสือไปทำสิ่งใดกัน"อี้หมิงเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงห้าวที่ถามขึ้นอย่างมีความหวัง"ข้าจะเอาไปจดทำบัญชีวันพรุ่งนี้หนะ วันพรุ่งร้านของข้าจะไปเปิดรับกำจัดโรคระบาดในแปลงนา เลยจำเป็นต้องทำบัญชี""ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดถึงต้องทำบัญชีเล่า จัดการการเงินของร้านรึ"เป็นจางหยางที่กอดอกฟังเงียบ ๆ เอ่ยถามขึ้นมาอย่างใคร่สงสัย"อ่อ นั่นส่วนนึง ข้าจะเปิดให้ลงบัญชีมัดจำไว้ได้ก่อนครึ่งนึงหนะสำหรับชาวบ้านคนไหนที่ยังไม่มั่นใจในร้านของข้า ""อ๋อ เป็นเช่นนี้ น่าสนใจจริงเชียว งั้นพวกข้าขอไปดูเจ้าขายได้รึไม่ การค้าขายเช่นนี้ข้ายังมิเคยเห็นผู้ใดทำมาก่อน ช่างน่าสนใจเสียจริง"มู่เฉินเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น ก่อนจะหันไปหาเฉิงอี้ผู้เป็นนายด้วยสีหน้าอ้อนวอนไม่เว้นแม้แต่องครักษ์หนุ่มที่มองมาเช่นกัน"แล้วแต่พวกเจ้าสิ แต่ข้ามิไป"พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปจากที่อี้หมิงยืนอยู่ ท่าทางของชายหนุ่มสร้างความฉงนให้กับทั้งสามคนที่ยังยืนอยู่ไม่น้อย แต่เพียงชั่วครู่ ชายทั้งสองที่ยังยืนอยู่กับเธอก็เอ่ยเสนอความช่วยเหลือออกมา"หากเจ้ามิรังเกียจ ข้ายังพอมีแท่นหมึกและกระดาษเหลืออยู่บ้าง หวังว่าจะช่วยเจ้าได้อยู่มิน้อย""ดีเลย
ฉันนักศึกษาปี 2 คณะเกษตร มหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง ใครๆ ต่างเรียกฉันว่า “อี้หมิง” ฉันเป็นคนเฉิ่มประจำห้อง แถมซุ่มซ่ามไม่มีใครเกิน วันหนึ่งขณะไปออกค่าย ฉันเป็นลมแดดขณะกำลังปล่อยน้ำเข้าแปลงเกษตรอยู่แล้วก็จำอะไรไม่ได้ ฟื้นขึ้นมาอีกทีก็เห็นป้าแก่ ๆ กำลังกอดตัวฉัน ใช่ฉันรู้สึกว่าเป็นอย่างงั้นนะ ร้องไห้ฟูมฟายอยู่ แล้วสภาพที่ตื่นขึ้นมาถือ อยู่ในบ้านไม้หลังคามุงด้วยฟางเก่า ๆ ห้องแคบๆ มีแต่ฝุ่น ไหนจะเสื้อผ้าเปื้อนๆ นี่อีกล่ะ“เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ยยย!!” อี้หมิงหันซ้ายขาว ที่นี่ที่ไหนกัน“หมิงอี้ ลูกแม่ ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาข้า” หญิงสูงวัยรีบคว้าร่างลูกสาวมากอด“ป้าเป็นใครอ่ะ แล้วหนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” อี้หมิงใช้มือค้ำดันอ้อมกอดของหญิงแปลกหน้าไว้“โถ่เอ๊ยลูกรัก เจ้าคงสลบจนเลอะเลือนเป็นแน่แท้” หญิงตรงหน้าส่ายหน้าแล้วรวบเธอเข้าสู่อ้อมอก พลางลูบเนื้อตัวเธออย่างปลอบประโลม“เจ้าคือ หมิงอี้ ลูกของข้า อี้เฟิน ยังไงละพอจะคุ้นบ้างรึไม่”อี้หมิงส่ายหน้า เธอกำลังฝันอยู่ ๆ แน่ๆ หญิงสาวคิดดังนั้นจึงฟาดมือเรียวตบที่แก้มตัวเองอย่างแรง“โอ๊ย!! เจ็บ”“นั่นเจ้าทำอะไรกันเล่า ไปตบตีตัวเองทำไมกัน”“หนู เออ...
Comments