“หมิงอี้!! ลูกข้า เจ้าฟื้นแล้ว”
อิ้เฟินรีบวางไม้ฟืนที่หอบมาลงกองที่พื้น แล้วรีบวิ่งไปหาสาวน้อยที่นั่งอยู่ทันที พอถึงตัวก็คว้ามากอดอย่างรักใคร่ “แม่ดีใจยิ่งนัก เจ้าหิวหรือไม่ นอนหลับไปตั้งหลายวัน” อิ้เฟินละล้ำละลักถามลูกสาว “เอ่อ!” “นี่แม่ได้ปลามา เดี๋ยวรีบทำข้าวต้มให้เจ้ากินเลย นั่งรอข้าประเดี๋ยวนะ” ด้วยความดีใจที่ลูกสาวฟื้น อี้เฟินจึงกระวีกระวาดรีบตระเตรียมข้าวต้มมาต้ม พร้อมนึ่งปลาเตรียมให้สาวน้อยทันที อี้หมิงนั่งมองหญิงวัยกลางคนที่ตอนนี้กระวีกระวาดก่อไฟ ทำอาหารให้นางทานอย่างเซ็ง ๆ ” เฮ้อ นี่เธอจะต้องอยู่ที่นี่จริง ๆ หรือนี่ “ ผ่านไปไม่นาน อี้เฟินก็ยกสำรับอาหารมาวางตรงหน้าสาวน้อย อี้หมิงมองอาหารที่มีเพียงข้าวต้มเปล่าๆ ที่และปลานึ่ง และมีผักต้มอีกเล็กน้อย แล้วเงยหน้ามองนางที่บอกว่าเป็นแม่ของนาง อย่างนึกอนาถ ” นี่ หมืงอี้เจ้ากินเยอะ ๆ นะ ข้าตั้งใจทำสุดฝีมือเลย หลับไปตั้งหลายวันฮึ “เฟินอี้ใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาไปวางบนชามลูกสาว ในขณะที่นางเลือกกินเฉพาะผัก ด้วยกลิ่นของข้าวต้มถึงแม่จะดูธรรมดาแต่กลิ่นก็หอมยั่วกระเพาะของอี้หมิงใช่ย่อย บอกกับนอนสลบไปหลายวันจึงทนไม่ไหวทรีบยกชามข้าวขึ้นจ่อที่ปากแล้วใช้ตะเกียบเขี่ยเข้าปากอย่างรวดเร็ว“แค่ก แค่ก”
“ค่อย ๆ สิลูก ประเดี๋ยวก็ติดคอหรอก” อี้เฟินดุแล้วลูบหลังให้ร่างบาง อี้หมิงผงกหัวรับแต่หน้าไม่เงยจากชามข้าวต้มเลยซักนิด ผ่านไปครู่เดียวข้าวต้มก็ลงไปอยู่ในท้องของนางจนหมดเกลี้ยง
” อ่าาา อิ่ม “อี้หมิงส่งเสียงแล้วเลียริมฝีปากอย่างอร่อย
” มา ๆ แม่จะเอาไปเก็บ เจ้านอนอีกสักหน่อยนะอ่ะ “อี้เฟินบอกลูกสาว แล้วยกเอาชามข้าวไปล้างทำความสะอาด
อี่หมิงเมื่อไม่มีอะไรทำก็คิดไปถึงบิดากับมารดาที่นางจากมา ป่านนี้พวกเขาจะคิดถึงนางกันบ้างมั๊ยนะ
~โลกปัจจุบัน~
ทีวีหลายช่อง สื่อ วิทยุต่างประโคมข่าวที่นักศึกษาจาก มอชื่อดังกลางกรุงปักกิ่งเป็มลมและเสียชีวิตขณะไปเข้าค่าย
เสียงซุบซิบดังไปทั่วทั้งมอด้วยความสงสาร ในขณะที่พ่อแม่ของอี้หมิงก็ร่ำไห้ในพิธีฝังศพของลูกสาวอย่างโศกเศร้า
” โถ่วลูกรัก เจ้าช่างมีบุญน้อยเสียจริง ๆ ชาติหน้ามาเกิดเป็นลูกของแม่ใหม่นะลูกนะ”
” ฮึก ๆ ”
“ปึก ปึ๊ก ปึก” เสียงฝ่าฟืนจากหญิงสูงวัยเรียกสติหมิงอี้ที่กำลังเหม่อให้กลับมา
สาวน้อยมองภาพคนที่บอกว่าเป็นแม่นางอย่างนึกเวทนา นางใช้ขวานผ่าฟืนทีละท่อน ในขณะที่มือเหี่ยวย่นก็คอยยกซับเหงื่อไปด้วย จึงลุกเดินเข้าไปหาแล้วขอช่วยทำ แต่ก็โดนอี้เฟินไล่ให้มานั่งพัก โดยให้เหตุผลว่าเธอพึ่งฟื้น ประเดี๋ยวอาการจะกลับมากำเริบอีก จึงได้แต่ถอยมานั่งหงอยอยู่บนตั่งที่เดิม
“พี่หมิงอี้~~~~~พรึบ”
แรงกระโดดกอดจากสาวน้อยทำให้เธอล้มหงายหลังลงไปบนเตียง
“พี่หมิงอี้ ในที่สุดพี่ก็ฟื้นซักที”
“จะ เจ้า คือใครกัน” อี้หมิงขยับกายถอยออกห่างจากสาวน้อยตรงหน้าที่แต่งตัวมอมแมมไม่ต่างจากเธอมากนัก
“นี่พี่เลอะเลือนเหมือนคนเขาลือกันจริงด้วย ฮึ!! เจ็บใจเจ้าพวกอันธพาลนั่นนักที่มาตีพี่ พี่ถึงเป็นแบบนี้” สาวน้อยตรงหน้ากอดอกแล้วทำท่าทางเข็นเขี้ยว
“ข้าชื่อ เฟิน เฟิน” สาวน้อยพูดชื่อตัวเองช้า ๆ ทีละคำ
“เราเป็นพี่น้องที่สนิทกันมาก บ้านข้าอยู่ข้างๆ พี่นี่เอง เราตัวติดกันตลอด ไปไหนไปกันไม่ทอดทิ้งกัน พี่พอจะนึกออกหรือไม่” เฟินๆ กอดอกเล่าอย่างตั้งใจเผื่อจะเรียกความทรงจำของหมิงอี้กลับมา
อี้หมิงขมวดคิ้วมุ่น ส่ายหน้าช้า ๆ
” ไม่เป็นไร ๆ เดี๋ยวค่อย ๆ นึกก็ได้แค่พี่ฟืนขึ้นมาก็ดีแล้ว ถ้าวันนั้นข้าไม่ชวนพี่ไปรอรับอาหารจากเศรษฐีในเมืองพี่คงไม่เป็นแบบนี้ ฮึก ฮึกๆ “เล่าไปมาสาวน้อยนามเฟินเฟิน ก็แบะปากร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา
อี้หมิงเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปปลอบสาวน้อยขี้แยยกใหญ่
” ไม่เป็นไรๆ อย่าโทษตัวเองเลยนะ ไหนๆ เจ้าเล่าให้ข้าฟังซิว่าข้าเป็นยังไง เผื่อจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง”
” อื้อๆ ได้เลย “เฟินๆ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่เลอะแก้มมอมแมมออก ก่อนจะเล่าย้อนไปถึงต้นตอและที่มาของชุมชนคนเร่ร่อนที่ตนอยู่ให้อี้หมิงฟัง
” แม่ข้า เคยเล่าให้ฟังว่า เดิมเราไม่ใช่คนในแคล้นต้าหลี่แห่งนี้ เราอพยพมาจากแคว้นเหลียนจง แคว้นที่เคยยิ่งใหญ่มากๆ เดิมแคว้นเรายิ่งใหญ่และอุดมสมบูรณ์มาก จึงมีแต่เมืองต่าง ไม่คอยแต่จะจ้องโจมเพื่อครอบครองสมบัติของแคว้นเรา ว่ากันว่าถ้าใครได้ครองแคว้นแห่งเหลียนจงก็เปรียบเสมือนเป็นใหญ่กว่าแคว้นทั้งปวงในดินแดนกว้าใหญ่แห่งนี้ ในเมื่อสวรรค์มีเทียนกง เมืองมนุษย์ก็มีจักพรรดิเเคว้นเหลียนนี่แหละที่ใหญ่ไม่แพ้กัน” เฟินๆ ตั้งอกตั้งใจเล่า ในขณะที่อี้หมิงก็ตั้งใจฟังด้วยความสนใจ
“แต่จุดจบของแคว้นก็มาถึงเมื่อต่างแคว้นเข้ามายุยงปั่นปวนราชสำนัก ขุนนางหลายคนเกิดความโลภ ทำให้เกิดการหักหลังกันขึ้น จนจักพรรดิแห่งต้าหลี่ที่รู้ถึงความระส่ำระส่ายของเหลียนจงในครานั้นถือโอกาสเข้าโจมตีตอนแคว้นที่กำลังเกิดแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน ทำให้แคว้นเหลียนที่เคยยิ่งใหญ่แพ้ศึกราบคาบ แต่ไม่มีผู้คนล้มตายมากนักเพราะจักรพรรดิแห่งต้าหลี่ไม่ได้กะจะเอาไพล่พลแคว้นเหลียงให้ถึงตาย แค่จักรพรรดิเหลียนยอมจำนน ต้าหลี่เพียงแต่กวาดต้อนไพล่พลกลับมาที่แคว้นต้าหลี่ก็เท่านั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือพวกเราเอง”
“อื้อฮึ” อี้หมิงพยักหน้าตาม แล้วสรุปในใจว่าตอนนี้เธอย้อนมาที่ไหนซักยุคไม่รู้จัก เนื่องจากเธอไม่ใช่คนที่สนใจประวัติศาสตร์มากนัก แต่ช่างเหอะในเมื่อมาแล้วก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดี
“เฮ้อออ!” อี้หมิงถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างปลงตก ยอมรับในชะตากรรม
………………….
“หมิงอี้!! ลูกข้า เจ้าฟื้นแล้ว”อิ้เฟินรีบวางไม้ฟืนที่หอบมาลงกองที่พื้น แล้วรีบวิ่งไปหาสาวน้อยที่นั่งอยู่ทันที พอถึงตัวก็คว้ามากอดอย่างรักใคร่“แม่ดีใจยิ่งนัก เจ้าหิวหรือไม่ นอนหลับไปตั้งหลายวัน”อิ้เฟินละล้ำละลักถามลูกสาว“เอ่อ!”“นี่แม่ได้ปลามา เดี๋ยวรีบทำข้าวต้มให้เจ้ากินเลย นั่งรอข้าประเดี๋ยวนะ”ด้วยความดีใจที่ลูกสาวฟื้น อี้เฟินจึงกระวีกระวาดรีบตระเตรียมข้าวต้มมาต้ม พร้อมนึ่งปลาเตรียมให้สาวน้อยทันทีอี้หมิงนั่งมองหญิงวัยกลางคนที่ตอนนี้กระวีกระวาดก่อไฟ ทำอาหารให้นางทานอย่างเซ็ง ๆ” เฮ้อ นี่เธอจะต้องอยู่ที่นี่จริง ๆ หรือนี่ “ผ่านไปไม่นาน อี้เฟินก็ยกสำรับอาหารมาวางตรงหน้าสาวน้อยอี้หมิงมองอาหารที่มีเพียงข้าวต้มเปล่าๆ ที่และปลานึ่ง และมีผักต้มอีกเล็กน้อย แล้วเงยหน้ามองนางที่บอกว่าเป็นแม่ของนาง อย่างนึกอนาถ” นี่ หมืงอี้เจ้ากินเยอะ ๆ นะ ข้าตั้งใจทำสุดฝีมือเลย หลับไปตั้งหลายวันฮึ “เฟินอี้ใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาไปวางบนชามลูกสาว ในขณะที่นางเลือกกินเฉพาะผักด้วยกลิ่นของข้าวต้มถึงแม่จะดูธรรมดาแต่กลิ่นก็หอมยั่วกระเพาะของอี้หมิงใช่ย่อย บอกกับนอนสลบไปหลายวันจึงทนไม่ไหวทรีบยกชามข้าวขึ้นจ่อที่ปาก
“อื้มมม” อี้หมิงกอดอกลูบคางตัวเองไปมาอย่างใช้ความคิด เธอจะไม่ยอมอยู่ในสภาพแบบนี้ไปตลอดหรอกนะ ดูสิสาวสมัยใหม่อย่างเธอรับไม่ได้อย่างแรงกับเสื้อผ้ามอมแมมที่สวมใส่อยู่ตอนนี้ ไหนจะบ้านนี้ ไม่สิ! เรียกบ้านไม่ได้ด้วยซ้ำมันแค่เพิงหลังคามุงหญ้าไว้ใช้หลบนอนแค่นั้นเอง ไม่ได้การหล่ะ ไหนๆ ก็ต้องอยู่ที่นี้ล่ะ เธอต้องคิดหาลู่ทางก่อนละกันค่อยหาวิธีกลับไปยุคที่เธอจากมา แล้วนึกในใจเอ่ยกับเจ้าของร่างที่เธออาศัยอยู่ และให้สัญญาว่าจะดูแลแม่นางเป็นอย่างดี ๆ เธอจะไม่อธิบายเหตุผลใดๆ กับคนที่นี่ พูดไปก็ยากจะไม่มีใครเชื่อเธอ“เอ่อ เฟิน เฟิน งั้นเธอ เอ๊ย เจ้า พา ฉะ ข่ะ ข้า ไปดูรอบ ๆ หมู่บ้านได้หรือไม่ เผื่อข้าจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง”“ได้สิพี่หมิงอี้ เดี๋ยวข้าพาไปเอง รอบนี้พี่ไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะไม่ปล่อยไอ้พวกอันธพาลนั่นมารังแกพี่ได้อีกแน่นอน เพราะข้ามีนี่!!”เฟิน เฟิน ยกแท่งไม้ที่มีง่ามแยกออกสองง่ามขึ้นมา “อ่ออ ยุคนี้ก็มีหนังสติ๊กด้วยแฮะ”“ข้านะกว่าจะหามาได้พี่รู้มั๊ยต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมมารยา และสมองอันชาญฉลาดของข้าเลยนะเนี่ย” สาวน้อยคุยโอ้อวด“โอเค ๆ ป่ะไปกันเถอะ”“ฮือ อะอะโอเค เจ้าพูดอะไรของเจ้ากันพี่หมิงอี้”“ช
หลังจากที่พวกอู๋ไป๋กลับไป พวกนางทั้งสามคนก็ลงมือช่วนกันแยกผักต่าง ๆ ออกมา โดยแยกตามประเภทที่มี วันนี้อี้เฟินได้ มี ผักบุ้ง ที่รวมๆ แล้วถือว่าได้เยอะทีเดียว แถมส่วนที่นางนำกลับมาช่างถูกใจอี้หมิงเสียนี้ เป็นตอผักบุ้งที่เหลือส่วนรากไว้ เจ้าของคงจะตัดส่วนด้านบนขายไปแล้วกระมัง อีกกองที่แยกเป็นพริกที่เน่าเละ บางเม็ดก็ช้ำจากการทับกันมา อี้หมิงมองแล้วก็ยิ้มอีก กำลังแก่ได้ที่พอดีเชียวอีกกองที่แยกไว้เป็มมะเขือเทศที่แตก บางลูกก็เน่า แต่ไม่เป็นไรแบบนี้แหละดี วันนี้ได้มาแค่นี้ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายไปอีกขั้นแล้วล่ะ อี้หมิงกอดอกยิ้มพอใจกับผลงานที่อี้เฟินนำมา ส่วนกองที่เหลือจะเป็นใบผักกาดที่เหี่ยวเน่าแล้วซะส่วนใหญ่ หลังจากทั้งสามคัดผักเสร็จแล้ว อี้เฟินก็เอ่ยขึ้นว่าวันนี้มีคนให้ถั่วเขียวนางมา ประเดี๋ยวนางจะต้มน้ำตาลอร่อย ๆ ให้อี้กมิงกับเฟิน เฟินได้ทาน อี้หมิงได้ยินเช่นนั้นก็หูผึ่ง” ไม่ท่านแม่ เราจะไม่กินวันนี้ ถั่วเขียวท่านได้มามากแค่ไหนกัน “” นี่ไง! “อี้เฟินยกออกมาให้หญิงสาวดูอี้หมิงเห็นก็ตบมือดีใจใหญ่ ” ไม่ ๆ เราจะไม่กินวันนี้ “อี้หมิงพูดยิ้ม ๆ ” ท่านพอมีตะกร้าไม้ไผ่ ที่สานหรือตะกร้าที่เป็นช
อี้หมิงได้นำเอาเม็ดถั่วเขียวออกมาจากถุงผ้า นางนำไปแช่น้ำปล่อยทิ้งข้ามคืนไว้ แล้ววันพรุ่งจึงจะจำนำออกมาเพาะ เมื่อจัดการทำถั่วเขียวเสร็จ สาวน้อยและมารดาได้นำเอาพริกที่มีทั้งเม็ดที่เน่าเสีย และช้ำ ซึ่งเป็นเม็ดที่แก่แล้วภายในอัดแน่นไปด้วยเมล็ดพริกเต็มเม็ด มาค่อย ๆ ใช้มีดกรีดทีละเม็ด แล้วใส่ในกระด้ง นางตั้งใจจะนำเมล็ดพริกแก่เหล่านี้ออกมาผึ่งตากแดดทำให้แห้ง แล้วจะนำไปเพาะต่อไปนั่นเอง ซึ่งวันนี้เธอกับเฟิน เฟิน หลังจากถอนหญ้าที่รกปกคลุมพื้นที่ว่างขนาดเล็กหลังเรือนเล็กเสร็จ ทั้งสองก็ลงมือพรวนดิน โดยอี้หมิงบอกกับเฟิน เฟิน ว่า มันคือขั้นตอนของการเตรียมดิน โดยขุดดินที่อยู่ด้านล่างขึ้นมาพรวนตากแดดไว้ก่อน เป็นการพลิกให้หน้าดินที่อยู่ด้านบนลงไปอยู่ด้านล่าง แล้วใช้ไม้เเหลมเสียบๆ จนพรุนลงไปเป็นการเพิ่มพื้นที่ช่วยทำให้ดินไม่จับกันเป็นก้อนใหญ่ ดินจะได้โปร่ง จะได้มีช่องว่างให้น้ำและอากาศแทรกเข้าไปพอเหมาะ ทำให้ดินมีความเป็นกรดและด่างที่พอดี เป็นการช่วยให้รากของต้นพืชที่จะปลูกชอนชัยหาอาหารได้ดี และที่สำคัญเป็นการฆ่าเชื้อโรคให้กับดินไปในตัวอีกด้วย พืชที่ปลูกจะได้โตเร็ว ๆ “โอ้โห!!! พี่หมิงอี้ พี่ไปเอามาจาก
หลังตื่นนอน หญิงสาวได้ช่วยอี้เฟินเก็บกวาด ทำอาหารและทานข้าวมื้อเช้าเสร็จ ก็เดินออกมาส่งนางที่ปากทางหมู่บ้านคนอพยพ เพื่อไปทำงานในตลาดที่อยู่อีกฝากของหมู่บ้านไม่ใช่ว่าอี้หมิงไม่อยากช่วยแบ่งเบาภาระของนาง แต่นางขอไว้ด้วยความกลัวว่าจะโดนเจ้าพวกอันธพาลรังแกเหมือนรอบที่แล้ว ที่ลูกนางโดนตีเกือบตาย โดยที่จริงแล้วลูกของนางได้ตายไปแล้ว และอี้หมิงที่ตายในวันเดียวกันในโลกอนาคตจึง ได้มาเกิดแทนในร่างของเธอ โดยที่อี้เฟินนางเองก็ยังไม่รู้ว่าลูกนางได้ตายไปเสียแล้ว” พี่หมิงอี้”” อ้าว เฟิน เฟิน ไปไหนมา”ข้าไปในตลาดมา วันนี้ในตลาดเขาลือกันว่าฮ่องเต้จะเสด็จไปล่าสัตว์ในป่า ข้าเลยจะมาชวนพี่ไปดูขบวนเสด็จด้วยกัน” ขบวนเสด็จหรอ”” อื้อ หึ “เฟิน เฟิน พยักหน้างึก ๆ” ไปสิ “อี้หมิงรู้สึกตื่นเต้น ดีเหมือนกันอยากเห็นด้วยตัวเองซักครั้ง จะว่าไปการที่ได้มาอยู่ตรงนี้ก็ตื่นเต้นดีเหมือนกันแฮะ!! พบเจอผู้คนที่แปลกตา การแต่งตัวที่ผิดแผกไปจากที่เธอเคยเจอ คำพูด การใช้ชีวิต ตอนนี้ถือว่าเธออยู่อย่างธรรมชาติสุด ๆ ไม่มีทีวีให้ดู ไม่มีห้างให้เดินเที่ยว ไม่มีโทรศัพท์ให้ไถเล่นโซเชียล แต่ก็ลำบากชะมัด!! อี้หมิงบ่นในใจ แล้วมิวายก้มล
หลังขบวนเสด็จผ่านไปแล้ว อี้หมิงก็ชวนเฟิน ๆ กลับไปยังเรือนพักหลังเล็กของต้น ภารกิจแรกของสองสาวกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า“เฟิน เฟิน พร้อมมั๊ย!”“ข้าพร้อมแล้วพี่”“สาธุ เทียนตี้ เทียนกง ขอให้ถั่วงอกของลูกออกมาอวบขาว ๆ นะเจ้าคะสาธุ” อี้หมิงยกชามถั่วเขียวที่แช่น้ำข้ามคืนไว้ ยกไหว้วานสิ่งศักสิทธิ์เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย“นั่นพี่ทำอะไรรึ” เฟิน เฟิน ที่เห็นอี้หมิงยกชามที่แช่ถั่วงอกขึ้นเหนือผัวแล้วทำปากขมุกขมิบบ่นพึมพำไปมาจึงอยากใครรู้“อ่อ! ขอพรเอาฤกษ์เอาชัยนะ ช่างเถอะๆ มาๆ เฟิน เฟิน มาลงมือปลูกถั่วงอกของเรากัน”เมื่อวัตถุดิบพร้อม อี้หมิงก็ลงมือปลูกถั่วงอก โดยนางเริ่มโดยการนำกระบุงไม้สานที่ขอยืมเฟิน เฟิน ไว้ และเสื้อเก่า ๆ ที่มีเนื้อผ้าค่อนข้างโปร่งนิ่ม 1 ผืน ไปแช่น้ำให้ชุ่มจนน้ำไหลหยดออกจากผ้าเป็นทาง มือบางบิดผ้าให้มาดเล็กน้อย จากนั้นปูใส่ลงไปในกระบุง หย่อนมือกอบเอาเมล็ดถั่วเขียวที่แช่น้ำทิ้งไว้ข้ามคืนขึ้นมาจากถังไม้ แล้วย้ายมาวางใส่ในกระบุงแทน ค่อยๆ โรยเมล็ดถั่วเขียวให้กระจายกันไม่ซ้อนทับกันหรือกองกันอยู่มุมใดมุมหนึ่งของกระบุง นิ้วเรียวยื่นตามไปค่อย ๆ แผ่ส่วนที่กองกันมากเกินไปให้แผ่กระจายออก พ
“อ้าว มากันแล้วรึ วันนี้ไปตะเวนเที่ยวไหนกันมาล่ะ!” อี้เฟินที่กำลังทำอาหารเอี้ยวหน้ามามองสองสาว“ไม่ไปโดนต่อยตีที่ไหนมาใช่หรือไม่!”“ไม่จ๊ะ ปลอดภัยไร้รอยข่วน! ป้าอี้เฟิน วันนี้ข้ากับพี่อี้หมิงไปหาทำเลขายของในตลาดมา ได้มาแล้วด้วยนะ”“จริงรึ แล้วหมิงอี้จะขายอะไรล่ะลูก” อี้เฟินที่กำลังลงมือต้มน้ำซุปอยู่หันมาถามลูกสาว“ถั่วงอก นี่ไง ๆ ท่านดูสิ อีก 3 วันก็ขายได้แล้ว”“ฮือ! นั่นเจ้าทำอันใด พิลึกคนจริง นั่นอะไรรึ”อี้เฟินเมื่อเห็นสิ่งที่ลูกสาวชี้เชิญให้ดูก็ขมวดคิ้วแปลกใจ อะไรกันละนั่น“เอาหน่าท่าน เดี๋ยวก็รู้ระหว่างนี้ ทุก 2 ชั่วยาม ต้องคอยรดน้ำบ่อย ๆ อีก 3 วันก็ขายได้แล้วละ แล้วเดี๋ยวข้าก็จะมีเงินมาซื้อของอร่อย ๆ ให้ท่านยังไงล่ะ” อี้หมิงยิ้มอวดซี่ฟันสวยเต็มวงหน้าให้กับอี้เฟิน“อ่ะ ๆ แล้วแต่เจ้าแล้วกัน เฟิน เฟิน วันนี้กินข้าวกับข้าสิ ได้ผักกับเนื้อมาอีกแล้วล่ะ”“พี่ไป๋อู๋ละสิให้ท่านมา”เฟิน เฟินถามยิ้ม ๆ“นี่พี่หมิงอี้ เฟิน เฟิน ว่าถ้าพี่ไม่มีใคร พี่ไป๋อู๋ก็ไม่เลวนะ ขยันทำมาหากิน แต่อ้วนน่าเกียจไปหน่อยแค่นั้นเอง”อ้าว! เจ้าเด็กนี่ บูลลี่แล้ว นึกขำในใจ“ไม่ล่ะ ข้ายังไม่สนใจเรื่องนี้ ขอข้ารวยก่
"หมิงอี้ หมิงอี้ ลูก สายแล้ว ตื่นเถิด" อี้เฟินหลังจากที่ทำอาหาร เก็บกวาดบ้านเสร็จ ก็เดินไปเก็บกระด้งไม้ไผ่ที่ตากเม็ดพริก และมะเขือเทศเข้ามาด้านในบ้าน หลังจากตากผึ่งแดดไว้ข้ามวันก็แห้งได้ที่ทีเดียว เมื่อเสร็จงานทุกอย่างแล้วยังไม่เห็นหมิงอี้ตื่น จึงได้เดินเข้ามาตาม "อื้อออ เมื่อยชะมัด" อี้หมิงบิดตัวไปมา แล้วพูดเสียงอู้อี้ ตั่งเตียงแข็ง ๆ นี้ทำปวดไปทั่วทั้งตัวเลยจริง ๆ "สายแล้วลูก ป่ะไปล้างหน้าล้างตา ประเดี๋ยวออกไปวัดกับข้า" หลังจากที่นอนครุ่นคิดทั้งคืน ในฐานะที่นางเป็นแม่ นางก็ควรที่จะช่วยลูกสาวอย่างสุดความสามารถ ตั้งแต่อพยพมาหมิงอี้ไม่ค่อยจะร้องขอสิ่งใดจากนางมากนัก ตั้งแต่นางเติบโตมาก็พบเจอฐานะที่ยากจนแล้ว ซ้ำร้ายมีเพียงนางที่เป็นแม่ดูแลมาเพียงคนเดียว พ่อของนางรึ พลันคิดแล้วน้ำตารื้นเอ่อออกมาจากนัยน์ตา ช่างเถอะ! เรื่องมันผ่านมาแล้ว จะกลับไปสู่สูงสุดเช่นเดิมกลับมองไม่เห็นทางเลยจริง ๆครานี้เมื่อลูกสาวนางร้องขอเพียงเสื้อผ้าดี ๆ ซักชุด นางจึงต้องไปพบคนผู้หนึ่งที่คิดว่าพอจะช่วยนางได้ "วัดหรอ" "ใช่ๆ ลุกไปล้างหน้าล้างตาเจ้าให้สดชื่นก่อนนะ " ใช้มือลูบศีรษะทุยอย่างเอ็นดู ลูกสาวนางต่อให้จ
"หน่วยราดตะเวนเงาของเรารายงานว่า ถ้ำนอกเมืองที่ชายป่าติดวัดฉงเซิ้ง มีข้าวเปลือกน่าจะหลายร้อยตันทีเดียวซ่อนอยู่ภายในถ้ำ ปากถ้ำมีกลุ่มคนเฝ้าอยู่ตลอดเวลา"~ปึก!~ เสียงมือตบโต๊ะอย่างแค้นใจของเฉิงอี้ดังลั่น"ข้านึกอยู่แล้วเชียว มันเป็นใคร""ตอนนี้ข้าให้ทหารเงาเราสืบอยู่ คาดว่าไม่นานน่าจะพบว่ามันเป็นใคร""เรื่องนี้เห็นทีจะช้าไม่ได้ เป็นเช่นนางว่าบัดนี้ชาวเมืองเดือดร้อน ราคาข้าวสูงขึ้นทุกวัน เราต้องชิงลงมือก่อนที่พวกมันจะปล่อยข้าวทั้งหมดออกมาขาย""เจ้ามีแผนการรึ"เฉิงอี้นิ่งเงียบไปซักพักแล้วจึงนั่งลงที่ตั่งโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยบอกจางหยางถึงแผนการที่วางไว้ในใจ"งานนี้เห็นทีหนามหยอกต้องเอาหนามบ่งแล้วล่ะ"เฉิงอี้กอดอกอย่างใช้ความคิด "จางหยางเจ้าให้คนสนิทเราไปปล่อยข่าวว่ามีพ่อค้าต่างเมือง แคว้นแถบทะเลทราย ต้องการข้าวจำนวนมาก มีเท่าไหร่รับซื้อหมดและยินดีให้ราคาสูงกว่าท้องตลาด เจ้าทำยังไงก็ได้ให้คนของเราปั่นราคาข้าวให้สูงขึ้นไปอีก""ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าจะเร่งให้พวกมันนำข้าวทั้งหมดออกมาขายให้เร็วขึ้นใช่รึไม่""ใช่! และเจ้าจงไปเตรียมข้าวในคลังส่วนหนึ่งไว้""ได้ ข้าจะเร่งไปจัดการให้""เจ้าประวิงเวลาไว้ซักสอ
เมื่อเห็นชายตรงหน้ายังเงียบ อี้หมิงจึงปฏิบัติการเกลี้ยกล่อมทันที ตอนนี้อยากได้เครื่องพ่น อยากขายน้ำหมัก อยากได้เงินเยอะๆ แต่ก็กลัวๆ เอาว่ะลองซักตั้ง!"ตอนนี้เจ้าทำอะไรมากไม่ได้แล้วล่ะ แมลงมันระบาดไปทั่วแล้ว เพราะงั้นเจ้าต้องเร่งทำถังพ่นนี้ให้กับข้า จะได้รีบช่วยชาวบ้านผ่อนหนักให้เป็นเบาได้"เงียบ! เฉิงอี้ยังคงเงียบรอฟังเสียงเจื้อยแจ้วของหญิงตรงหน้าต่อไป"อีกอย่างตอนนี้ข้าวแพงมากเจ้าก็เห็น ประชาชนเดือดร้อน บางคนแทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้ออยู่แล้ว ถ้าเรากำจัดโรคระบาดนี้ได้นะ ราคาน่าจะลดลงมากโขทีเดียว"เฉิงอี้ค่อย ๆ คิดตาม ยังไงชาวเมืองหลี่ประชาชนของเขาต่างสำคัญอันดับหนึ่ง ข้อนี้เขาเกือบลืมนึกไป ต่อให้หญิงสาวตรงหน้าเป็นคนทำ แต่ตอนนี้คงตามน้ำไปก่อน เมื่อนางยับยั้งโรคระบาดนี้ได้ค่อยสังหารนางก็ยังไม่สาย "หึ"นึกแล้วใบหน้าหล่อเหลาของเฉิงอี้พลันแสยะยิ้มออกมา~พรึบ!~คิดได้ดังนั้นเฉิงอี้ก็ลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่ประตู"ตามมาสิ!" เยส! ปิดดิว! อี้หมิงอุทานในใจ"เดี๋ยว! มาแก้มัดให้ข้าก่อน!" อี้หมิงรีบตะโกนไล่หลัง~แอด~ "ปึก!" เมื่อประตูถูกเปิดจากด้านในทำให้จางหยางที่กำลังแอบฟังโดยแนบหูกลับประตูเสียห
"เจ้าต้องการอะไร!" อี้เฉินกอดอก กวาดสายตาดุจพญาเหยี่ยวมองมาที่ร่างบางที่นั่งอยู่"ข้าอยากได้ถังพ่นยา""จะเอาไปทำอะไร""ขะ ข้า จะเอาไปพ่นน้ำหมักหนะ จะไปพ่นฆ่าเจ้าแมลงที่ระบาดอยู่ตอนนี้ไง" ชายตรงหน้าทำให้อี้หมิงพูดตะกุกตะกัก น่าแปลกที่ชายคนนี้มีรังสีบางอย่างที่ไม่เหมือนคนทั่วไป รึเธอคิดไปเองกันนะ"เล่าต่อสิ" เฉิงอี้เริ่มสนใจในสิ่งที่นางเล่า"คือข้าขอพู่กันกับกระดาษ" อี้หมิงเรียกร้องขอกระดาษกับพู่กันเพื่อจะวาดสิ่งที่ตนต้องการ เฉิงอี้ยิ่งสนใจในตัวนางมากยิ่งขึ้น นางรู้หนังสือรึ น่าสนใจดีแฮะ!พรึบ! ตึก! กระดาษและแท่นหมึกพร้อมพู่กันโดนมือหนาคว้ามาวางลงตรงด้านหน้าหญิงสาว อี้หมิงไม่รอช้าลงมือใช้พู่กันขีดเขียน วาดไปมาทันทีภาพหญิงสาวร่างบอบบาง ใบหน้ารูปไข่เรียวเล็ก ผิวขาวต่างจากหญิงชาวบ้านทั่วไปแม้สวมใส่ชุดเก่า ๆ ธรรมดากลับบดบังความงามที่ซ่อนอยู่ของหญิงตรงหน้าไม่ได้ นี่ข้าชมนางรึ! หึ! ไม่มีทาง! เฉิงอี้สบัดศรีษะไปมาเบาๆ อย่างนึกขันตัวเอง"อ่ะ เสร็จแล้วล่ะ" อี้หมิงเลื่อนกระดาษไปตรงหน้าให้ชายหนุ่มได้ดูอะไรล่ะเนี่ย หน้าตาประหลาดจริง! "นี่คือ..หน้าตาประหลาดจริง" เฉิงอี้มองหน้านวลอย่างฉงน"ถังพ่น
~เปร่ง เปร่ง ตุบ ตุบ เปร่ง เปร่ง~ เสียนค้อนเหล็กตีกระทบเข้ากับแท่งเหล็กสีแดงที่วางพาดอยู่ ทั้งสามคนยืนมองเข้าไปในร้านตีดาบอย่างขลาดกลัว ในร้านมองเข้าไปมีแต่เหล่าชายฉกรรจ์ทั้งนั้น ~เปร่ง เปร่ง ตุบ ตุบ เปร่ง เปร่ง~"ท่าน ท่าน พี่ชาย พี่ชาย"'อึก! อี้หมิงกลืนน้ำลายกับกล้ามหน้าอกและกล้ามท้องที่บัดนี้มีเหงื่อไหลตามร่องลอนกล้ามลงมา ใบหน้าหล่อเหลามีเหงื่อผุดขึ้นจนผมเปียกลู่ลงมาปิดหน้าคมคาย หล่อมาก นี่เป็นดาราได้เลยนะเนี่ย อี้หมิงคิดในใจ อร้าย! หยุดคิดอี้หมิง'~เปร่ง เปร่ง เปร่ง~ ชายตรงหน้ายังก้มเงื้อมค้อนเหล็กต่อไปโดยไม่สนใจเสียงเรียกจากร่างบางซักนิด"ไอ้บ้า หยุดก่อน"อี้หมิงเมื่อเห็นว่าเรียกยังไงชายตรงหน้าก็ไม่มีท่าทีที่สนใจตนก็ตะโดฝกนขึ้นตุบ!"เฮ้ย" อี้หมิงกระโดดหลบค้อนเหล็กที่ถูกโยนลงพื้นเมื่อครู่ได้ผลชายหน้าตาหล่อเหลาที่เปลือยอกล่ำๆหน้าตาดูไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป และหน้าตาดูคุ้น ๆ ตาของอี้หมิงหยุดตีเหล็ก และทิ้งค้อนเหล็กลงพื้นก่อนที่จะมองหน้าเธอด้วยสายตาหงุดหงิดแล้วเดินอาด ๆ หายลับเข้าไปด้านหลังจางหยางเมื่อเห็นหญิงสาวก็จำนางได้ทันที หญิงงามชุดขาวที่ขายผักที่ท้ายตลาด นางมาทำอะไรที่นี
อี้หมิง และเฟิน เฟิน รวมถึงอู๋ไป๋ก็ไม่พลาดที่จะไปดูการไล่แมลงขององค์รัชทายาทเช่นกัน ~คุณหนูๆ เดินช้าๆ เดี๋ยวได้หกล้มหรอกเจ้าค่ะ~~ก็ข้ารีบไปหาไท่จื่อหนิ เจ้าก็เร็ว ๆ เข้าสิ~ เสียงพูดคุยของสองนายบ่าวดังขึ้นขณะที่กำลังเดินฝ่าเหล่าชาวบ้านเพื่อตรงเข้าไปหาองค์รัชทายาทที่นั่งอยู่ในซุ้มที่ทำขึ้นชั่วคราวเพื่อดูผลงานของตน "ถวายพระพรฝ่าบาท หลี่เม่ยวันนี้จะมาขอชื่มชมผลงานของฝ่าบาทด้วยเพคะ""อืม!" เฉิงอี้ครางรับในลำคอ สายตาคมยังทอดมองเหล่าทหารที่เริ่มลงไปในแปลงข้าวพร้อมถือที่จับแมลงที่ทำจากผ้าคนละอันตั้งเรียงแถวหน้ากระดานเพื่อรอคำสั่งให้ลงมือจากจางหยาง "น่าสนใจดีแฮะ ฮ่า ฮ่า" อี้หมิงอุทานออกมาเมื่อเห็นท่าทีของเหล่าทหารเสียงหัวเราะของอี้หมิง ทำให้ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ไป เริ่มหันมามองแล้วต่อว่าเธอ~นางเป็นบ้าไปแล้วรึกะไร ยืนหัวเราะอยู่ได้~เฟิน เฟิน เมื่อได้ยินก็กระตุกแขนอี้หมิงให้เลิกหัวเราะซักที "พี่หมิงอี้ หยุดหัวเราะได้แล้ว ประเดี๋ยวทั้งหัวข้าและพี่ได้หลุดออกจากบ่ากันพอดี" เฟิน เฟิน ที่มองเห็นเหล่าทหารองครักษ์เริ่มหันมาจับจ้องที่พวกตนก็รีบกระซิบอี้หมิงทันทีเฮือก! อี้หมิงหันไปมองตามสายตาเฟิน เ
~กึก กึก กึก กึก ตึก กึก กึก กึก~~เสียงอะไรกันแต่เช้า เฮ้ยย!~~โห! นั่นทหารวังหนิ กำลังไปไหนกันหนะ~~เกิดศึกสงครามรึ เฮ้ย ข้าต้องเก็บของ ๆ เกิดศึกๆ~~นี่ๆ! หยุด! ศึกสงครามอะไรกัน ปากอัปมงคลจริงเชียว พวกเจ้าดูสิ ! ไม่มีคนไหนถือดาบเลยซักคน~~แฮะๆ จริงด้วย แล้วไม่ใช่ศึกสงครามแล้วจะเดินทัพไปที่ใดกันเล่า~ "หมิงอี้ ๆ มาดูนี่ๆ ตื่นมาดูนี่เร็ว" อี้เฟินรีบมาปลุกบุตรสาวให้ลุกขึ้นไปดูเหล่าทัพทหารที่กำลังเดินผ่านหมู่บ้านไป"อื้อ ดูอะไรรึ" อี้หมิงที่ยังสะลึมสะลือ หย่อนขาลงจากเตียงแล้วก้าวตามมารดาทั้งที่เปลือกตายังลืมไม่เต็มที่"เฮ้ย! ทหาร ทหารจริงๆ ทหาร!" อี้หมิงเมื่อลืมตาเห็นเหล่าทหารที่ใส่เกาะเดินขบวนอย่างพร้อมเพรียงเป็นแถวยาวมุ่งหน้าออกจากเมืองก็ตาโตทันที เหมือนในละครที่ดูเลยอ่ะ โห!"ใช่ๆ ทหารๆ " เฟิน เฟิน ที่ออกมาดูที่หน้าบ้านเช่นกันเดินเข้ามาหาอี้หมิง"พวกเขาไปไหนกัน มีสงครามหรอ" อี้หมิงหันไปถามมารดาอย่างใคร่รู้"ข้าว่าไม่น่าใช่นะ ดูแต่ละนายสิ ไม่มีหอกดาบเลย" ~ข้าได้ยินมาว่าไท่จื่อ เกณฑ์กำลังทหารของพระองค์มาช่วยไล่พวกเจ้าแมลงร้ายที่กำลังระบาดอยู่ตอนนี้หนะ ขอบคุณเทียนกงที่ส่งผู้มีบุญมาเกิดใ
"พี่หมิงอี้ท่านยิ้มอะไรกัน""ไม่มีอะไร ๆ ฮ่า ฮ่า " อี้หมิงที่ชอบใจกับเรตติ้งของตัวเองก็ยังหลุดหัวเราะออกมาไม่หยุด "อ่ะนี่! เงินเจ้า แหม๋ สาวน้อยเจ้าช่างเป็นที่ชมชอบของชายเมืองหลี่จริงเชียวดูสิ วุ่นวายข้าต้องออกไปจัดการอีกแล้ว"ฟางหนิงอวี๋วางเงินลงบนฝ่ามือบางแล้วพูดเสียงสะบัดหยอกเย้าอี้หมิงอย่างหมั่นไส้ในความนิยมของนาง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตั้งแต่เด็กสาวมาเต้นระบำให้ร้านนาง กำไรของร้านก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนหลั่งไหลเข้ามากินดื่มในร้านของนางจำนวนมากและยิ่งไม่ต้องพูดถึงวันที่มีสาวน้อยตรงหน้ามาแสดงเต้นระบำทำเอาร้านนางแทบแตกเลยทีเดียว "พ่อบ้านจาง เร็วเข้า ๆ นั่น ๆ ปีนโต๊ะร้านข้าแล้ว เร็วๆ""อะเอ่อ นายท่านทั้งหลายๆ ใจเย็น ๆนะ สาวงามของข้าเต้นระบำได้เพียงวันละรอบเท่านั้นจ๊ะ พวกท่านใจเย็นๆ นะอ่ะ อ่ะ ลงจากโต๊ะข้าก่อนนายท่าน"~ทำไมกัน ข้ายินดีจ่าย จะเอาเท่าไหร่ก็ว่ามา!~~ข้าด้วย ข้าด้วย~"เอ่อ ใจเย็นๆ นะนายท่าน ท่านรอรอบหน้าเถอะนะ ไม่งั้นถ้าท่านยังเป็นเช่นนี้นางจะไม่มาเต้นระบำให้พวกท่านดูอีกเป็นแน่ นางค่อนข้างขี้กลัวเสียงดังนะ!" ฟางหนิงอวี๋ใช้พัดสวยป้องกระซิบพูดปดกับชายหนุ่มในร้าน ~จริงหรอ
~!ฝ่าบาท~กง กง ขันขีใกล้ชิตฮ่องเต้วิ่งกุลีกุจอตรวเข้ามาหาพระองค์ที่กำลังชมความงามของดอกบัวที่กำลังอวดกันเบ่งบานทั่วทั้งสระกลางตำหนักอี๋เหอ"อ้าวกงกง เจ้ารีบร้อนมาเข้ามาเช่นนี้มีเรื่องอันใดกันเล่า""ทูลฝ่าบาท ตอนนี้นายอำเภอและขุนนางฝ่ายบุ๋นเข้ามาขอเข้าเฝ้าด่วน โรคระบาดตอนนี้ควบคุมไม่ได้แล้วพะยะค่ะ""เป็นเช่นนั้ไปนรึ! ไป ไป เห็นทีครานี้แคว้นเราจะไม่สงบอีกต่อไปสินะ""ฝ่าบาทค่อย ๆ เดินเพคะ ระวัง ๆ เพคะ" "ไปตามไท่จื่อมาด้วย ให้มาหารือด้วยกัน""พะยะค่ะ""เป่าหนิง เจ้าจงเร่งไปตามไท่จื่อมาเร็วเข้า"กงกงเมื่อได้รับคำสั่งก็รีบสั่งเป่าหนิงรองขันทีให้รีบไปยังตำหนักบูรพาของรัชทายาททันทีไม่นานก็ปรากฏร่างองอาจของรัชทายาทหนุ่มเดินอย่างองอาจ เข้ามาแล้วนั่งประจำที่ข้างฮ่องเต้ผู้เป็นบิดา "เฉินอ๋องล่ะ""องค์ชายไม่อยู่ตำหนักพะยะค่ะ นางกำนัลรายงานว่าออกไปธุระนอกเมือง"กงกงรายงานก้มหน้างุด เหงื่อเม็ดเล็กๆ มีผุดซึมขึ้นที่หน้าแต่ก็ไม่กล้ายกผ้าขึ้นมาเช็ด"ดีจริง ๆ เฉินอ๋อง ยามข้าต้องการตัวกลับหายไปทำธุระนอกเมือง! เอ้า ว่ามาพวกเจ้ามีเรื่องอันใด""เรียนฝ่าบาท สองสามวันมานี้จวนของกระหม่อมมีชาวเมืองมาตีกลองร้
ผ่านไปไม่นานอี้เฟินก็ให้คนงานชายกลิ้งโอ่งที่ล้างทำความสะอาดเสร็จแล้วมาให้อี้หมิง"ระวังๆ ค่อย ๆ กลิ้ง อย่างนั้นแหละ อ่ะวางตรงนี้ๆ พี่หมิงอี้โอ่งได้แล้วจ๊ะ""ดีเลยข้าจะผสมน้ำหมักแล้วนะ" อี้หมิงพับแขนเสื้อของนางขึ้น ใช้ปิ่นรวบปักผมเป็นมวยเรียบร้อย ส่วนนิ้วมือเรียวเกี่ยวเอาปอยผมที่ตกลงมาคลอเคลียที่ใบหน้างามเกี่ยวทัดไว้ที่ใบหู'สาธุ ทีกงขอให้น้ำหมักของหนูสำเร็จทีเถอะ' อี้หมิงภาวนาเอาฤกษ์เอาชัยในใจ"มา! มาเริ่มกัน"อี้หมิงเริ่มจากการเทน้ำตาลทรายแดงลงไปก่อน จากนั้นใช้กระบวยตักน้ำมะพร้าวเทลงไป ตามด้วยน้ำส้มสายชู และเทเหล้าลงไปผสม มือเรียวจับไม้พายคนผสมให้ส่วนผสมที่ใส่ลงไปเข้ากัน เมื่อเห็นว่าเข้ากันดีแล้วอี้หมิงจึงใส่พริกไทยที่ผ่านการโขลกละเอียดเรียบร้อยแล้วลงไปเป็นส่วนผสมสุดท้าย คนผสมให้เข้ากันอีกรอบ แล้วปิดฝาโอ่งไว้"เสร็จแล้วเหลือรอแค่เวลาแล้วหล่ะ"อี้หมิงปัดมือไปมาเมื่อการผสมน้ำหมักจบลง ทีนี้ก็แค่รอให้ครบ 7 วันแล้วมาดูกันว่าน้ำหมักนี้ของเธอจะใช้ได้รึไม่"หมิงอี้เสร็จแล้วหรอ" อู๋ไป๋ยื่นหน้าเข้าไปมองใกล้ ๆ "เสร็จแล้วหล่ะ" เมื่อหมักน้ำหมักเสร็จเรียบร้อย อี้หมิงก็เดินไปดูอุปกรณ์ที่จะเตรียมเ