“อ้าว มากันแล้วรึ วันนี้ไปตะเวนเที่ยวไหนกันมาล่ะ!” อี้เฟินที่กำลังทำอาหารเอี้ยวหน้ามามองสองสาว
“ไม่ไปโดนต่อยตีที่ไหนมาใช่หรือไม่!” “ไม่จ๊ะ ปลอดภัยไร้รอยข่วน! ป้าอี้เฟิน วันนี้ข้ากับพี่อี้หมิงไปหาทำเลขายของในตลาดมา ได้มาแล้วด้วยนะ” “จริงรึ แล้วหมิงอี้จะขายอะไรล่ะลูก” อี้เฟินที่กำลังลงมือต้มน้ำซุปอยู่หันมาถามลูกสาว “ถั่วงอก นี่ไง ๆ ท่านดูสิ อีก 3 วันก็ขายได้แล้ว” “ฮือ! นั่นเจ้าทำอันใด พิลึกคนจริง นั่นอะไรรึ” อี้เฟินเมื่อเห็นสิ่งที่ลูกสาวชี้เชิญให้ดูก็ขมวดคิ้วแปลกใจ อะไรกันละนั่น “เอาหน่าท่าน เดี๋ยวก็รู้ระหว่างนี้ ทุก 2 ชั่วยาม ต้องคอยรดน้ำบ่อย ๆ อีก 3 วันก็ขายได้แล้วละ แล้วเดี๋ยวข้าก็จะมีเงินมาซื้อของอร่อย ๆ ให้ท่านยังไงล่ะ” อี้หมิงยิ้มอวดซี่ฟันสวยเต็มวงหน้าให้กับอี้เฟิน “อ่ะ ๆ แล้วแต่เจ้าแล้วกัน เฟิน เฟิน วันนี้กินข้าวกับข้าสิ ได้ผักกับเนื้อมาอีกแล้วล่ะ” “พี่ไป๋อู๋ละสิให้ท่านมา” เฟิน เฟินถามยิ้ม ๆ “นี่พี่หมิงอี้ เฟิน เฟิน ว่าถ้าพี่ไม่มีใคร พี่ไป๋อู๋ก็ไม่เลวนะ ขยันทำมาหากิน แต่อ้วนน่าเกียจไปหน่อยแค่นั้นเอง” อ้าว! เจ้าเด็กนี่ บูลลี่แล้ว นึกขำในใจ “ไม่ล่ะ ข้ายังไม่สนใจเรื่องนี้ ขอข้ารวยก่อนแล้วกันนะตอนนี้ข้าลำบากสุด ๆ ” อี้หมิงกล่าวติดตลก “มะ มา กับข้าวมาแล้ว” อี้เฟินยกสำรับอาหารออก็มาวางให้สองสาว มือเอื้อมไปเปิดชามที่มีหมูสามชั้นตุ๋นใบชาหอมๆ ส่งกลิ่นฟุ้งหอมไปทั่วบริเวณเรือนเล็ก “ฮื้มมมม หอมม อึก!” สองสาวเอ่ยออกมาพร้อมกันอย่างเผลอไผล เมื่อจมูกเล็กได้แตะกับกลิ่นของอาหาร ตามด้วยการกลืนน้ำลายอึกใหญ่ กระเพาะน้อย ๆ เริ่มส่งเสียงประท้วง เมื่อได้รับการกระตุ้นจากอาหารหอมกรุ่น “อ่ะ ทาน ๆ กันเลย กินเยอะๆ นะลูก อะนี่ อ่ะเฟิน ๆ ” มืออวบคีบหมูสามชั้นใส่ชามข้าวของลูกสาว และสาวน้อยเฟิน เฟิน ทั้งสามลงมือทานข้าวและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน โดยอี้หมิงได้เล่าถึงภารกิจที่นางมีแพลนที่จะทำในวันพรุ่งนี้ ว่ามีอะไรบ้าง พลอยทำให้อี้เฟินยิ้มไปด้วยที่เห็นลูกสาวนางคุยเจื้อยแจ้วอย่างหมายมาด และจากการคุยกันนั้นอี้เฟินจะอาสาไปหาอู๋ไป๋ จะไปขอให้ช่วยทำโต๊ะแคร่ไม้ไผ่ เอาไว้ตั้งเป็นแผงเพื่อวางผักขาย ส่วนอี้หมิงตอนนี้ในหัวกำลังขบคิดว่าจะใส่ชุดที่สวมใส่ตอนนี้ไปขายผักไม้ได้เลย เสื้อผ้าสะอาดก็จริงแต่มองแล้ว มอซอไม่ไหว ไม่ได้ ไม่ได้! การขายของ First impression เป็นสิ่งสำคัญ เมื่อคิดไม่ตกก็เอ่ยออกมากลางสำรับอาหารที่กำลังทานอยู่ “ท่านแม่ ข้าอยากได้ชุดสะอาด ๆ ซักชุด ไม่ต้องดีมากก็ได้ ขอแค่ไม่ใช่แบบที่ข้าใส่อยู่ อ่อ! สองชุด ให้เฟิน เฟินด้วยเพราะนางต้องไปขายช่วยข้า” “หึ! ชุดสะอาดๆ รึ ไม่มีเลยหมิงอี้” ตอบเสร็จอี้เฟินก็ก้มหน้าลงอย่างเศร้าสลด นางเวทนาตนเองที่ไม่มีกำลังทรัพย์ใด ๆ ช่วยลูกสาวได้เลย แม้แต่อาภรณ์ดี ๆ ซักผืนก็ยังไม่มีปัญญาหาให้ได้ คิดแล้วก็สะท้อนในอก ถอนหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้ ใบหน้าที่เริ่มหย่อยคล้อยแต่ยังคงเค้าโครงความงามพลันเศร้าหมองลงทันตา อี้หมิงเห็นเช่นนั้นก็อดสงสารนางไม่ได้ ยื่นมือไปกอบกุมมือมารดาแล้วให้กำลังใจ “ไม่เป็นไรท่านอย่าคิดมากนะ ท่านนะดีที่สุดแล้ว ดูสิอาหารที่ข้าได้กินแต่ละมื้อถึงแม่จะน้อย แต่ท่านทำอร่อยทุกอย่างเลยนะ ไม่มีไม่เป็นไรนะท่าน ไว้ข้าขายผักได้เงินเยอะ ๆ เดี๋ยวค่อยไปซื้อก็ได้ ท่านวางใจเถอะนะ!” อี้เฟินค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองดูลูกสาว ปีนี้ลูกสาวนางโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริง ๆ สินะ อดยิ้มกับคำพูดเมื่อครู่ของนางไม่ได้ แล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะสวยอย่างรักใคร่เอ็นดู ทั้งสามเมื่อทานอานหารเสร็จก็แยกย้ายกัน “หมิงอี้ ข้าจะดับไฟแล้วนะ” เมื่อไร้การตอบรับ อี้เฟินก็ดับตะเกียงแล้วล้มตัวลงนอนบนตั่งเตียงแข็งแล้วเข้าค่อย ๆ ดำดิ่งเข้าสู่นิทราในที่สุด ด้านหมิงอี้ กายบางพลิกไปมา เปลือกตาบางที่หลับอยู่ขยับขยุกขยิกไปมา ในที่สุดก็ทนไม่ไหวเปิดเปลือกตาสวยแล้วมองไปในความมืดอย่างใช้ความคิด เธออยากให้วันแรกของการเปิดร้านดีที่สุด อยากให้ตอนที่ผู้คนที่ผ่านไปมามองร้านนางแล้วประทับใจ ฉะนั้น First impression จึงสำคัญที่สุด เธอเชื่อว่าถ้าเริ่มต้นได้ดี ทุกอย่างก็จะราบรื่นตามไปด้วย อื้มมม! เมื่อพลิกตัวไปมาเช่นไรก็นอนไม่หลับ ร่างบางจึงลุกขึ้นนั่งจุดตะเกียง แล้วเดินไปส่องดูถั่วงอกที่เพาะไว้ มือบางค่อย ๆ คลี่เปิดกระสอบป่านออก ล้วงมือลงไปหยิบผ้าที่ใช้ปิดทับเมล็ดถัวเขียวออก แล้วใช้ตะเกียงส่องดูผลงานตนเอง พลันใบหน้านวลปรากฎรอยยิ้มสวยออกมาเต็มวงหน้า เมื่อแลเห็นเมล็ดถั่วเขียวเริ่มแตก พร้อมแตกโตเป็นถั่วงอกต่อไป วางตะเกียงไว้แล้วคว้าเอาถังน้ำที่เตรียมไว้ข้าง ๆ ขึ้นมา มือบางค่อย ๆ จุ่มลงไป แล้วตวัดน้ำค่อยๆ ใช้มือรดลงไปยังถั่วเขียวจนเปียกชุ่ม เมื่อรดจนทั่วแล้วก็ปิดกระสอบกลับไว้ที่เดิม เดินไปยังตั่งเตียงแข็งที่บัดนี้เริ่มจะคุ้นชินกับมันบ้างแล้ว สอดตัวล้มลงนอนแล้วดึงผ้าห่มผืนบางกลางเก่ากลางใหม่มาคลุมตัว ปากสวยเป่าตะเกียงให้ดับ ล้มศีรษะทุยสวยลงที่หมอนแล้วหลับเข้าสู่นิทราตามมารดาไป 🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃"หมิงอี้ หมิงอี้ ลูก สายแล้ว ตื่นเถิด" อี้เฟินหลังจากที่ทำอาหาร เก็บกวาดบ้านเสร็จ ก็เดินไปเก็บกระด้งไม้ไผ่ที่ตากเม็ดพริก และมะเขือเทศเข้ามาด้านในบ้าน หลังจากตากผึ่งแดดไว้ข้ามวันก็แห้งได้ที่ทีเดียว เมื่อเสร็จงานทุกอย่างแล้วยังไม่เห็นหมิงอี้ตื่น จึงได้เดินเข้ามาตาม "อื้อออ เมื่อยชะมัด" อี้หมิงบิดตัวไปมา แล้วพูดเสียงอู้อี้ ตั่งเตียงแข็ง ๆ นี้ทำปวดไปทั่วทั้งตัวเลยจริง ๆ "สายแล้วลูก ป่ะไปล้างหน้าล้างตา ประเดี๋ยวออกไปวัดกับข้า" หลังจากที่นอนครุ่นคิดทั้งคืน ในฐานะที่นางเป็นแม่ นางก็ควรที่จะช่วยลูกสาวอย่างสุดความสามารถ ตั้งแต่อพยพมาหมิงอี้ไม่ค่อยจะร้องขอสิ่งใดจากนางมากนัก ตั้งแต่นางเติบโตมาก็พบเจอฐานะที่ยากจนแล้ว ซ้ำร้ายมีเพียงนางที่เป็นแม่ดูแลมาเพียงคนเดียว พ่อของนางรึ พลันคิดแล้วน้ำตารื้นเอ่อออกมาจากนัยน์ตา ช่างเถอะ! เรื่องมันผ่านมาแล้ว จะกลับไปสู่สูงสุดเช่นเดิมกลับมองไม่เห็นทางเลยจริง ๆครานี้เมื่อลูกสาวนางร้องขอเพียงเสื้อผ้าดี ๆ ซักชุด นางจึงต้องไปพบคนผู้หนึ่งที่คิดว่าพอจะช่วยนางได้ "วัดหรอ" "ใช่ๆ ลุกไปล้างหน้าล้างตาเจ้าให้สดชื่นก่อนนะ " ใช้มือลูบศีรษะทุยอย่างเอ็นดู ลูกสาวนางต่อให้จ
ด้านอี้หมิง เมื่อไม่รู้จะทำอะไร ก็เดินสำรวจไปรอบ รอบ ๆ จนมาได้ยินเสียงคุยกัน น้ำเสียงเคร่งเครียด พลันเท้าหยุดชะงัก! ค่อย ๆ ย่องไปฟังอย่างอัตโนมัติ"ท่านอาสาม ท่านคิดเช่นนั้นรึ"'เอ๊ะ!! ทำไมคุ้น ๆ ชายชุดดำคนนั่นจัง อี้หมิงคิดในใจ มือเรียวยังเกาะที่แผ่นหิน เงี่ยหูฟังแต่ก็ได้ยินไม่ค่อยถนัดนัก อี้หมิงกำลังมองชายชุดดำสามคนที่ควบม้าผ่านเธอมาระหว่างทาง และชายอีกคนที่สวมใส่ชุดสีขาว ท่าทางดูสงบ แต่สง่า ผ่าเผยกำยำ กำลังพูดคุยกันน่าเคร่งเครียด"อะไรทำให้ท่านคิดเช่นนั้นกัน""ถึงแม้น้องรองจะเป็นเงียบๆ ดูไม่มีพิษไม่มีภัย แต่เจ้าก็อย่าชะล่าใจไปล่ะ ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน อย่าหาว่าข้าไม่เตือนแล้วกัน""หลายวันมานี้มีคนกลุ่มหนึ่งสวมรอยเป็นกองกำลังของข้า ออกปล้นตามเขตชายแดนที่ปล้นไปส่วนใหญ่ล้วนเป็นเสบียงข้าว และอาหาร" ชายที่ดูจะอายุน้อยสุดแต่ท่าทางมีอำนาจเอ่ยขึ้น"แถมแต่งตัวคล้ายทหารของหวางจื่อไม่ผิดเพี้ยน ข้าตามมาหลายคราแล้ว แต่พวกมันปลิดชีพฆ่าตัวเองหมด ตามสืบไม่ได้เลย" ชายร่างสูงใหญ่กำยำอีกคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวล"ฮือ หวางจื่อๆ ๆ ชื่อคุ้น ๆ คืออะไรน๊า จิ๊!" อี้หมิงคุ้น ๆ กับคำว่า หว่างจื่อ แต่นางนึกจำคว
"ฮึ กวางน้อยที่ไหน""หึ! ช่างเถอะ แค่เด็กเร่ร่อนหนะ!" หวางจื่อชินเอ่ย เขามองเห็นนางตั้งแต่แรกแล้วหล่ะ"ฟรู่~~" อี้หมิงเป่าปากออกมา ใจเต้นตึกๆ"เจ้าแอบดูผู้ใดกัน ฮึ"เปล่า ๆ ท่านเสร็จแล้วรึ เป็นอี้หมิงเอ่ยเบี่ยงเบนความสนใจของมารดา"เสร็จแล้วล่ะ เหลือแต่พาเจ้าไปพบนางนั่นแหละ ป่ะ" สองแม่ลูกเดินจับจูงกันเข้าไปในห้อง ๆ ที่มีหญิงนางหนึ่งนั่งรออยู่หนิงเยว่เมื่อมองเห็นสองแม่ลูกจับจูงกันมา ก็นึกเวทนาในใจ"มา ๆ หลานข้า โตเป็นสาวแล้วสิ" ลุกเดินไปหาสาวน้อย ที่ถึงแม้อยู่ในชุดมอมแมมแต่ความงามของใบหน้ายังปรากฎให้เห็นอยู่ ถ้าแต่งตัวดีขึ้นมาหน่อยคงจะงามมิน้อยอี้หมิง มองมารดาเป็นการถามกลาย ๆ ว่าหญิงตรงหน้าคือใคร"อ่อ นางคือน้าเจ้าหนะ" อี้เฟินไม่ได้บอกลงรายละเอียดให้หญิงสาวรู้ที่มาที่ไป"สวัสดีค่ะ" อี้หมิงยกมือไหว้อัตโนมัติ"ฮื้อ" หนิงเยว่เห็นท่าทางหลานสาวก็ฉงน มองอี้เฟินด้วยสีหน้างง งวย"อะอ่อ! นางพึ่งโดนอันธพาลในเมืองทำร้ายมาหนะ พึ่งฟื้นขึ้นมาเลยเลอะเลือนไปบ้าง" อี้เฟินรีบคว้ามือของหมิงอี้ลง"โถ่วเอ๊ยเด็กน้อย ชะตาเจ้าช่างอาภัพจริงๆ คนพวกนั้นก็กะไรต้องตีกันถึงขนาดนี้เลยหรอ" หนิงเยว่ลูบตัวอี้หมิงไปมาอ
“เฮ้อ! คิดไม่ออก ถ้าขายแค่ถั่วงอกเราอาจจะขายได้นะ เฟิน เฟิน แต่มันจะไม่ยั่งยืนหนะสิ เราต้องสร้างจุดสนใจผู้คนจะได้ขายได้เยอะ ๆ แบบให้ปังๆ”“ห๊ะ แล้วจะทำยังไงดีละพี่หมิงอี้”หมิงอี้เมื่อคิดไม่ออก ก็ได้แต่ถอนหายใจ ช่างเถอะต้องลองดูก่อนแล้วกัน ไม่ลองก็ไม่รู้“ป่ะ ข้าจะไปปลูกผักบุ้ง แล้วก็กล้าพริก กะมะเขือเทศจะไปกับข้ามั๊ย”“เฟิน เฟิน อย่าพึ่งกลับนะรอบกินข้าวกับข้าก่อน”อี้เฟินตะโกนบอกสาวน้อย“ได้จ๊ะ”สองสาวช่วยกันขนผักบุ้งแล้วก็กระด้งที่ตากเมล็ดพริก กับมะเขือเทศออกมานั่งที่ตั่งด้านนอก อี้หมิงใช้มือค่อย ๆ กอบเอาเมล็ดพริกแยกใส่ถุงไว้ อีกถุงก็ใส่เมล็ดมะเขือเทศไว้ แล้วเดินถือผักบุ้งที่ชำไว้เดินตรงไปยังแปลงผักขนาดเล็กที่พรวนตากดินไว้กับเฟิน เฟินสองสาวลงมือช่วยกันตักน้ำจากลำธารมารดแปลงดินจนเปียกชุ่ม แล้วปักชำผักบุ้งที่ตอนนี้แตกรากสีขาวออกมาบ้างแล้วลงในดิน ส่วนที่เหลือก็หว่านเมล็ดพริกและมะเขือเทศไปบนดิน โดยหว่านแยกฝั่งกันแล้วใช้ฟางข้าวปิดทับตักน้ำราดรดลงไปบนฟางข้าวอีกทีจนเปียกชุ่มสองมือยกขึ้นปัดกันไปมา แล้วเท้าสะเอวมองดูผลงานของตัวเอง วันนี้ปลูกแปลงแค่นี้ไปก่อน วันหน้าค่อยขยายแล้วกันนะ ตอนนี้ข
เมื่อล้างถ้วยชาม เก็บกวาดเรือนหลังเล็ก ไปจนถึงอาบน้ำเสร็จ ภายนอกเรือนก็ถูกโรยปกคลุมไปด้วยความมืดเสียแล้ว บ้านเรือนหลายหลังทยอยดับตะเกียงเตรียมเข้าสู่นิทรา แต่สองแม่ลูกที่อยู่ในเรือนหลังเล็กแห่งนี้ยังไม่มีทีท่าจะง่วงนอนเลยสักนิด ด้วยตื่นเต้นกับกิจการที่จะเริ่มต้นในวันพรุ่งนี้ หญิงทั้งสองคนนั่งเปิดกระสอบที่ใช้เพาะถั่วงอกให้อ้าออกไว้ ตั้งใจว่าพรุ่งนี้เช้าตรู่ ค่อยเก็บถั่วออกออกมาแล้วล้างทำความสะอาดเพื่อเตรียมไปขายที่ตลาด เสร็จแล้วก็ช่วยมารดายกหม้อ ตะหลิวและถ้วยชามเตรียมออกมาวางไว้กลางบ้าน พร้อมสำหรับการเปิดร้านในวันพรุ่งนี้~เอ้กอี้เอ้กเอ้กก~"ฮื้อ เช้าแล้ว ฮื้ออออ อืออ ฮ่าวว"ร่างบางลุกบิดขี้เกียจทั้งที่ตาทั้งสองข้างยังปิดอยู่ เตียงนี้นอนทีไรก็ยังปวดเมื่อยเหมือนเดิมทุกทีเลย บ่นอุบ! ในใจกับตัวเอง"ปึ๊ก ปึ๊ก พี่หมิงอี้ พี่หมิงอี้ ป้าอี้เฟิน ปึ๊ก ปึ๊ก""หือ!" อี้หมิงที่กำลังหาวก็ตาโต นี่เธอว่าเธอตื่นเช้าแล้วนะ นี่เจ้าเด็กเฟิน เฟิน ตื่นเช้ากว่าอีกหรือนี่ แล้วลุกไปจุดตะเกียงเดินไปเปิดประตูบ้านให้สาวน้อย“แฮะๆ! เฟิน เฟิน ตื่นเต้นนอนไม่หลับ ดูนี่สิ เฟิน เฟิน สวยมั๊ย” สาวน้อยหมุนซ้าย หมุนขวาไปม
“อ้าว พวกเจ้าเป็นใคร ตรงนี้มีคนจองแล้ว พวกนางมาดูที่เมื่อวานนี้เอง ไป ไป ย้ายไปที่อื่นเลย”เถ้าแก่่ขายซาลาเปาตะโกนไล่“เถ้าแก่ พวกข้านี่แหละ ที่มาดูเมื่อวานหนะ”“หึ! เคร้ง” ชายอ้วนท่วมถึงกับวางตะหลิวลงแล้ววิ่งออกมาดู“ใช่แน่นา ทำไมมันต่างกับเมื่อวานขนาดนี้เล่าแม่นาง แฮะ ๆ ผ่านไปวันเดียว สวยเช้งมาเชียวนะจ๊ะ มา ๆ ข้าช่วยขน” ชายอ้วนยกหม้อ ยกโต๊ะไม้ไผ่ลงตั้งให้ อย่างกระฉับกระเฉง“อ่ะจ๊ะเรียบร้อย มีอะไรอีกมั๊ย ข้าขนช่วยได้นะ”“ไม่มีแล้ว ขอบใจเจ้ามากนะ” อี้หมิงมองดูด้วยความงง งวย นี่คือผลของ First impression สินะ ฮึ ฮึ!“~ตาแก่~~~~~ มานี่เลยๆๆ” เสียงแหลมตะโกนออกมา พลันปรากฎร่างหญิงวัยกลางคนตรงปรี่มาคว้าเอาหูของเถ้าแก่ขายซาลาเปาแล้วบิดเต็มแรง“โอ๊ยๆๆ เบา ๆ สิ โอ๊ย หูจะหลุดแล้ว ปล่อย ๆ ” เสียงโอดโอยดังขึ้น“แกนะ!!! เห็นผู้หญิงไม่ได้เลยนะ แก่แล้วยังเจ้าชู้ไม่เลิก ไปเลย ไปเตรียมของขาย หึ” นางบ่นสามีนาง แล้วหันมาถอนหายใจทำตาโตใส่พวกนางสามสาวมองหน้ากันแล้วส่ายหน้า ช่วยกันจัดโต๊ะ นำผ้ามาปูรองแล้วนำกระบุงถั่วงอกออกมาวางด้านอี้เฟินก็ลงมือจุดเตา เตรียมปรุงน้ำซุปทันที เมื่อตลาดเริ่มเปิดผู้คนต่างทยอย
"โหววว หมิงอี้ลูก 80 อิแปะ จากถั่วเขียวที่เขาให้แม่มา ไม่เลวเลยทีเดียว" อี้เฟินกล่าวอย่างไม่เหลือเชื่อ"ใช่มั๊ยล่ะ ไม่คิดว่าจะได้เยอะขนาดนี้ เดี๋ยวเราแบ่งเงินนี้ไปซื้อถั่วเขียว แล้วก็เศษผ้าถูกๆ เราจะไปขยายพื้นที่เพาะปลูกกัน"ทั้งสามเมื่อจัดการซื้อของจากตลาดเสร็จสรรพ ก็เข็นรถล้อเดินข้ามฝั่งมายังหมู่บ้านตน เมื่อมาถึงก็บ่ายคล้อยแล้ว อี้เฟินจึงจัดการลงมือทำข้าวต้ม และผัดถั่วงอกที่แบ่งไว้ก่อนจะนำออกไปขายให้สองสาวได้ทาน หลังจากเหนื่อยจากการขายถั่วงอกมาทั้งวัน"อ่ะ เฟิน เฟิน ข้าให้เจ้าไว้ถ้าได้เยอะกว่านี้จะแบ่งให้เจ้าเพิ่มขึ้นไปอีกนะ""แค่ก ๆ โหว พี่ให้ข้า 10 อินแปะเลยรึนี่ เพี๊ยะ!" เฟิน เฟิน สำลักข้าว แล้วตบหน้าตัวเอง นางไม่ได้ฝันไปใช่มั๊ย เงิน 10 อิแปะสำหรับนางนี่ถือว่ามากโขเชียว สาวน้อยยิ้มแก้มปริเตรียมนำไปอวดบิดา มารดาที่บ้าน"แต่ข้ามีเรื่องให้เจ้าช่วยแหละ" อี้หมิงพูดยิ้ม ๆ แล้วขยิบตาให้เฟิน เฟิน"ว่ามาเลย ข้าพร้อมแล้ว เดี๋ยว เฟิน เฟิน จัดให้" สาวน้อยรวบแขนเสื้อขึ้นทำท่าทางขึงขัง รอฟังอี้หมิง"ฮ่า ฮ่า เจ้านี้แอคทีฟได้ตลอดเวลาจริง ๆ เลยเชียว""ว่าไงนะ ข้าฟังไม่เข้าใจ" เฟิน เฟินทำท่าฉงน คิ
“พี่หมิงอี้ ป้าอี้เฟิน โอ่งมาแล้วจ้า กระบุงก็มาแล้ว” เฟิน เฟิน วิ่งนำขบวนชาวบ้านมาอี้หมิงและอี้เฟินลุกเดินออกมาตามเสียงตะโกนของสาวน้อย พอพ้นประตูบ้านก็อ้าปากค้างกับสิ่งที่ตามมากับนางชาวบ้านทั้งชายทั้งหญิง เดินตรงมาที่เรือนเล็กของนางเป็นโขยง ผู้ชายเข็ญโอ่งกลิ้งตามกันมานับคร่าวๆ น่าจะ 10 ใบได้ ส่วนผู้หญิงก็ถือกระบุง บางคนก็หอบเสื้อผ้าเก่าๆ โอ๊ะ!แถมนั่น กระสอบป่านก็มี“โหว นี่เฟิน ๆ ทำเกินคำสั่งนะเนี่ย ได้มาเยอะเชียว นี่ 30 อิแปะได้ขนาดนี้เชียวรึ”“แฮ่ก ๆ ก็ข้าบอกแล้วไง 30 อิแปะเนี่ย แทบซื้อได้ครึ่งหมู่บ้านเลยแหละ” สาวน้อยเหนื่อยหอบ“อ่ะ นั่ง ๆ น้ำ ๆ ” อี้เฟินเมื่อเห็นเฟิน เฟิน หอบเหนื่อยก็รีบไปตักน้ำมาให้ดื่ม“นี่ๆ ให้วางไหนจ๊ะ”“อ่อ ตั้งวางเรียงตรงนี้เลยจ๊ะ กระบุงวางตรงนั้นได้เลยนะ ผ้าเอามานี่เดี๋ยวข้าเก็บเอง ข้าขอเช่าซัก 3 วันนะเดี๋ยวเอาไปคืนจ๊ะ”“โอ้วว ไม่ต้อง ๆ เนอะพวกเรา” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น“ไม่ต้องคืน ๆ ” เสียงชาวบ้านทั้งชายและหญิงพูดออกมาพร้อมกัน“อ้าว ทำไมล่ะ” อี้เฟินขมวดคิ้วงวยงง“กะ ก็ เอาแบบนี้แล้วกันนะแม่นาง กะ ก็ ถ้าท่านขายผักได้เยอะๆ แล้วท่านรับพวกเราทำงานได้มั๊ยละ นะท่าน
"สมุนไพรที่เจ้าต้องการ เจ้าต้องการมากเพียงใด เรือนข้าเป็นตระกูลพ่อค้าเก่าแก่มีสมุนไพรเก็บอยู่มากมาย ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่นัก หากมิรังเกียจข้าอยากบริจาคให้ ถือว่าช่วยชาวเมืองหลี่แล้วกัน"อี้หมิงเผยรอยกว้างสวยเต็มวงหน้าทันที เดินอ้อมโต๊ะออกมา มือคว้าจับที่แขนแกร่ง แหงนเงยใบหน้าพูดกับบุรุษรูปงามหากแต่ใบหน้าช่างไร้อารมณ์และเย็นชายิ่งนักในสายตาของเธออย่างดีใจ ผู้ใดกันจะปล่อยให้โอกาสเช่นนี้หลุดลอยไป มีผู้เสนอวัตถุดิบให้แถมไม่คิดเงิน เธอคงมิใช่คนสมองหมูถึงเพียงนั้นที่จะปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดไปโดยง่ายเป็นแน่"ขอบคุณท่านมาก ข้ายินดีรับโอกาสอันสุดแสนพิเศษนี้ไว้ แต่ร้านเราไม่เอาเปรียบท่านแน่นอนในเมื่อท่านยินดีบริจาคสมุนไพรให้กับเรา ไว้ข้าขอเลี้ยงอาหารซักมื้อตอบแทนท่านและสหายแล้วกัน""เช่นนั้นเจ้าเขียนเทียบสมุนไพรที่จะใช้มาเถิด เดี๋ยวให้จางหยางจัดการมาส่งที่เรือนให้ในวันพรุ่ง""อี้หมิง เจ้าเขียนเทียบมาเลยข้าจะคัดของดี ๆ มาให้นะ"จางหยางที่เพลิดเพลินกับการมองร่างอ้อนแอ่นตรงหน้าพูดเจื้อยแจ้วจัดการงานต่าง ๆ ก็ถึงคราวได้เอ่ยออกมาอย่างกระตือรือร้น"ขอบคุณท่านมากจางหยาง มู่เฉินด้วย ข้าฝากด้วยนะ"รอยย
ผ่านไปเพียงชั่วยามเหล่าบรรดาลูกค้าที่มาให้ร้านเทียนฝูได้รับใช้ก็ทยอยเดินกลับ จนลูกค้าคนสุดท้ายก้าวย่างออกไป"เฮ้อ ปิดจ๊อบสักที อื้อ"ร่างบางชูแขนขึ้นเหนือศีรษะ ยืดตัวบิดขี้เกียจไปมา ก่อนจะเอนศีรษะซบลงที่บ่าเฉิงอี้อย่างลืมตัว'ฟู่'ลมหายใจหนัก ๆ ถูกผ่อนออกมา ก่อนจะปิดเปลือกตาลงนิ่ง ๆ หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการจับพู่กันไปมาทั้งวัน แม้ชายที่นั่งข้างเคียง จะอาสาช่วยเขียนอยู่บ้างแต่ก็ยังคงเมื่อยอยู่ไม่น้อย'อึก'เฉิงอี้กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ รู้สึกราวเวลารอบข้างหยุดหมุน คิ้วคมขมวดเล็กน้อย เกร็งตัวขึ้นทันทียามที่ศีรษะทุยเอนซบลงมา สตรีนางนี้หาได้รู้ที่ต่ำที่สูงไม่ นางช่างไม่รู้รึไรการกระทำตอนนี้ของนางต้องโทษถึงประหารเชียว ตาคมเหลือบมองใบหน้าขาวผ่อง ไล้ลงมาที่จมูกเล็กโด่งเป็นสัน ปากบางชมพูจิ้มลิ้มราวดอกเหมยบาน เฉิงอี้เจ้าคงสติฟั่นเฟืองเสียแล้วกระมังถึงได้เผลอมองว่านางช่างน่ารักยิ่งนักยามเมื่อหลับตาพริ้ม พอได้สติจากภวังค์จึงค่อย ๆ ยื่นนิ้วออกไปค่อย ๆ จิ้มออกแรงเขี่ยศีรษะเล็ก ๆ ให้พ้นจากบ่าแกร่งของตน ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยลุกขึ้นเดินตรงไปหาจางหยาง และมู่เฉินด้วยสีหน้าเย็นชาดังเดิม หากแต่เพียงผู้ใด
ร่างของชายอวบอ้วนพุงย้วย ที่กำลังพยายามก้มลงไปในโอ่งดิน ช่างดูทุละทุเลยิ่งนักในสายตาทุกคน มือด้านซ้ายใช้ค้ำดันโอ่ง ส่วนด้านขวาล้วงเข้าลงไปด้านในโอ่ง และด้วยส่วนสูงที่ต่างจากโอ่งไม่มากนัก ทำให้ใบหน้าของเขาแนบลงไปกับปากโอ่ง มือคว้ากำเข้าที่ลำต้นของผักบุ้งอวบคราแรกออกแรงดึงเบา ๆ ตามความคิดที่ว่ามันถูกปักไว้เพื่อพรางตาผู้คน 'เอ๋ หึ ปักมาแน่นกันเชียวนะ คิดว่าเท่านี้ข้าจะเชื่อรึ'ครานี้ก้มลงและกำลำต้นผักบุ้งแน่นกว่าเดิม ก่อนจะออกแรงดึงอย่างแรง ~ฮ่า ๆ มาดูกันคนเจ้าเล่ห์อย่างพวกเจ้าคิดจะมาหลอกลวงข้ารึ~"ฮึบ! ฮึบ"ออกแรงดึงสองครั้งต้นผักบุ้งก็ยังไม่ติดมือขึ้นมา ครานี้กำแน่นกว่าเดิม ใบหน้าเกร็งยู่ เม้มปากแน่น ย่อตัวออกแรงแล้วดึงขึ้นเต็มแรง"เฮ้ยย!"ต้นผักบุ้งขาดออกตามแรงดึง ร่างอวบอ้วนเซหงายหลัง ดวงตาเบิกโพล่งมู่เฉินที่เห็นร่างอ้วนท่วมเซหงายหลังมาทางตนจึงใจดี ยกเท้าขึ้นค้ำยันหลังไว้ ก่อนจะออกแรงถีบออกไป ร่างชายอ้วนจากตกใจคราแรกที่จะหงายหลังยังไม่ทันหาย กลับต้องตกใจอีกรอบเมื่อครานี้เซถลากลับมาด้านหน้า"เฮ้ยๆ"มือปล่อยผักบุ้งทิ้ง มือสองข้างรีบคว้าจับปากโอ่งเพื่อยั้งตัวไว้ "แฮ่ก ๆ เกือบไปแล้ว
"เชิญนั่งเจ้าค่ะ ท่านป้า" อี้หมิงเผยมือเชื้อเชิญลูกค้าให้นั่งลงเพื่อที่จะได้สอบถาม ถึงผืนนา และเมื่อสนใจ ก็จะได้ทำสัญญาให้แล้วเสร็จ"ท่านป้า ท่านป้าเพียงแค่สนใจน้ำหมักของข้า รึวันนี้จะให้ร้านเทียนฝูของเรารับใช้เจ้าคะ""ช่วยด้วยเถิดนังหนู นาข้าวข้าใกล้ตายเต็มทีแล้ว เท่าไหร่ก็เต็มใจจ่าย ใบข้าวล้วนเหลือง แห้งเหี่ยวลงทุกวันจริงเชียว"หญิงตรงหน้าเอื้อมมือมาจับมือของนางอย่างขอร้อง ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าอมทุกข์ ดวงตามีกระแสความท้อแท้พาดผ่าน น้ำเสียงเจือสะท้อนความหนักใจออกมาเฉิงอี้เห็น และได้รับฟังความทุกข์ของชาวบ้านก็เกิดสะท้อนในอก ด้วยหลากหลายอารมณ์รู้สึก ถึงแม้นว่าจะสามารถคลี่คลายสถาการณ์ราคาข้าวได้แล้ว แต่ยังมีโรคระบาดที่ยังไม่มีทีท่าจะทุเลาลงเลยสักนิด หวังก็แต่หญิงประหลาดที่เคียงข้างตนยามนี้จะสามารถแก้ปัญหาได้ดังเช่นนางเอ่ย ก่อนจะถอนสายตากลับมามองหญิงชาวบ้านตรงหน้าอย่างสนใจ"ช่วยได้แน่นอนท่านป้า ว่าแต่ท่านป้าจะให้ข้าช่วย ขอถามผืนนาท่านที่ต้องการให้ช่วย มีอยู่เท่าใดกัน""เอ่อ ไม่เยอะหรอก"ลูกค้านางทำสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ"เท่าไหร่เจ้าคะ""เอ่อ 10 หมู่ถ้วน เจ้าพอจะช่วยข้าได้รึไม่"10 หมู่ โฮ
อี้หมิง ใช้สองมือน้อย ๆ ออกแรงผลัก แต่ต่อให้ดันอย่างไรชายหน้านิ่งก็หาได้ขยับเขยื้อนไม่ นี่มันคนรึหินผากันนะ "นี่ เจ้า!""เงียบ จะขายรึไม่ ข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่"เฉิงอี้ที่เริ่มหงุดหงิดหันไปใช้สายตาคมดุจพญาเหยี่ยวที่และใบหน้างดงามหล่อเหล่าที่เรียบนิ่งขู่ร่างบางที่ขยับขยุกขยิกไปมาทำให้แขนนางถูไถไปมากับแขนแกร่งของตนอย่างไม่ตั้งใจ อี้หมิงชะงักเล็กน้อย ฮึ! ดีเช่นกันให้เจ้าคนหล่อหน้านิ่งนี่ช่วยขายก็ดี ข้าจะได้ไม่เปลืองแรง ลองดูสักตั้งก็ได้ "นี่ ๆ เจ้า ไปนั่งข้างนางได้เยี่ยงไร ออกมาเลย ๆ"อู๋ไป๋เอ่ยรัวออกมาอย่างร้อนรน เมื่อเห็นชายหนุ่มที่ดูจากอาภรณ์ที่สวมใส่ก็รู้ว่ามาจากตระกูลที่ร่ำรวย เข้าใกล้หญิงที่ตนหมายปอง"อู๋ไป๋ ๆ ไม่เป็นไร ๆ คุณชายท่านนี้มาช่วยข้าขายก็ดี เราจะได้ขายหมดเร็ว ๆ ไง นะ ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลไปหรอก แค่ขายของเท่านั่น "อี้หมิงพูดกับอู๋ไป๋ก่อนหันมามองเจ้าคนหน้านิ่งที่บัดนี้หันมามองที่เธอเช่นกัน จะว่าไปหนุ่มยุคนี้นี่ช่างหน้าตาดีเสียจริง ใบหน้าเช่นนี้นี่ยุคปัจจุบันน่าจะเป็นดาราดังได้สบายเลยหล่ะ รึไอดอลก็ได้เลยนะเนี่ย"ฮ่า ฮ่า ฮึบ ฮ่า"หมิงอี้หลุดขำออกมาเสียมิได้ เจ้าตัวพยายามกล
บัดนี้เข้ายามเฉินแล้ว (07.30 น.) แต่กลับยังไร้เงาผู้คน อี้หมิงแอบใจเสียมิน้อย ไม่ต่างจากเฟิน เฟิน และอู๋ไป๋ ที่บัดนี้ต่างกระวนกระวายไม่แพ้กันแต่ก็ยังมิได้มีผู้ใดเอื้อนเอ่ยประโยคใด ๆ ออกมา ของที่อยู่บนรถเข็นในที่สุดก็ทยอยถูกยกลงจนหมด ป้ายชื่อร้านที่หยิบติดมือมาด้วยถูกอู๋ไป๋นำไปปักไว้ด้านหน้า ส่วนโอ่งทั้ง 4 ใบ เหล่าคนงานและบุรุษทั้งสามที่ขอมาด้วยต่างช่วยกันเข็นย้ายวางเรียงอย่างเป็นระเบียน โต๊ะไม้ถูกยกออกมาเพื่อวางแท่นหมึกและกระดาษ ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแต่ก็ยังไร้เงาผู้คนจนทำให้เจ้าของร้านสาวอดใจเสียมิได้ส่วนอี้เฟิน กับเฟิน เฟิน ทั้งสองกำลังช่วยกันติดเตาเพื่อทำซุปถั่วงอก และผัดยอดอ่อนผักบุ้ง เพื่อแจกให้ผู้คนที่มาซื้อน้ำหมักได้ลิ้มลองรสชาติของผักร้านเทียนฝู นับว่าเป็นกลยุทธ์การขายที่แปลกอีกอย่างหนึ่งของร้านลูกสาวนาง ที่ใช้ได้ผลมาแล้ว"อ้าวเฮ้ย! นั่นผู้ใดกันมาทำสิ่งใดที่แปลงนาของข้า"เสียงชายเจ้าของแปลงนาตะโกนถามไถ่ใคร่สงสัยมาแต่ไกล ก่อนที่เจ้าตัวจะแบกจอบเดินมาถึง"อ้าว ท่านลุง ข้าเอง! วันนี้พวกข้ามาตั้งร้านขายน้ำหมักหนะ""อ้าวเรอะ!"ชายเจ้าของแปลงนาไล่สายตามองดูข้าวของที่ตั้งเรียงรายใต
"หมิงอี้ พวกข้ามาแล้วล่ะ"อี้หมิงเงยหน้ามองเสียงทุ่มห้าว อ่า! เป็นมู่เฉินกับสหายของเขานั่นเอง มองเลยไหล่หนาบึกบึนของมู่เฉินและจางหยางไปก็พบเข้ากับใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นักของชายอีกคน"อ้าว มาพอดีเลย ท่านแม่ เฟิน เฟิน อู๋ไป๋ นี่สหายข้า มู่เฉิน นี่จางหยาง แล้วนี่.."อี้หมิงเว้นจังหวะพูด ด้วยไม่แน่ใจว่าหากเอ่ยออกไปชายหนุ่มจะแย้งกลับมารึไม่ จากหลายคราที่เจอกันนับว่าห่างไกลคำว่าสหายอยู่มากโข"อ๋อ นี่เฉิงอี้"เป็นมู่เฉินที่เอ่ยความกระจ่าง"อ๋อ แล้วกินข้าวกินปลากันมารึยังล่ะ ถ้ายังพอดีเลย มากินด้วยกันสิ หากไม่รังเกียจ ข้าเตรียมอาหารเสร็จพอดี ร้อน ๆ เลยนะ"อี้เฟิน กล่าวต้อนรับสหายของบุตรสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แม้นในใจจะคุ้น ๆ กับใบหน้าของชายหนุ่มนามเฉิงอี้อยู่มิน้อย ใบหน้าเช่นนี้คับคล้ายคับคราว่าเคยพบเจอที่ใดมาก่อน ก่อนจะปัดความคิดทิ้งไปหันมาสนใจบุตรสาวและสหายของนางแทน ที่บัดนี้กำลังช่วยกันยกโอ่งผักขึ้นใส่รถที่เตรียมไว้ "ฮ่า เสร็จเสียที เล่นเอาเหงื่อตกเช่นกันนะเนี่ย!"อู๋ไป๋ยกมือขึ้นซับเหงื่อที่ผุดออกมาที่หน้าผากกว้าง ในขณะที่ทุกคนสภาพเช่นเดิม ไม่มีแม้แต่เหงื่อเลยซักนิด คนพวกนี้ไร้เหงื่
"ฮ่า ฮ่า เฉิงอี้ ๆ ฮ่า ฮ่า ยอมแล้ว ๆ ข้า ฮ่า ๆ จะไม่ทำอีกแล้ว ฮ่า ฮ่า หยุด ที ฉะ ฮ่า ฮ่า"ร่างสูงใหญ่ขององครักษ์หนุ่มบัดนี้ ถูกมัดยืนติดเสาหลักไม้กลางตำหนักใหญ่ใบหน้าเบ้บิด ส่งเสียงหัวเราะห่าวอกมาไม่ขาด จนใบหน้าคมคายที่ยามปกติจะนึ่งขรึมแทบตลอดเวลาบัดนี้กลับแดงก่ำ น้ำหูน้ำตาไหลยามเมื่อเจ้าตัวส่งเสียงหัวเราะขำขันออกมาอย่างเสียมิได้ยามเมื่อขนนกยาวใหญ่ปัดป่ายไปมาตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายแกร่ง ไม่ว่าจะเป็น รักแร้ ใบหู ใบหน้าบทลงโทษจากเฉิงอี้หาใช่การต่อยตี รึลงดาบ ใช้โซ่แส้ไม่ หากแต่เป็นการจับมัดแล้วใช้ขนนกปัดป่ายไปมาถึงจะสาสมกับองครักษ์หนุ่มของตน หากใช้วิธีทางทหารละก็จางหยางที่เปรียบดังเช่นก้อนหินผา เกรงว่าจะไม่สะทกสะเทือนซักเพียงใดนัก"อึก!"มู่เฉินที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เมื่อเห็นการลงโทษจากองค์ชายของตน หากแม้นเป็นการลงโทษทางทหารพวกตนหาได้หวั่นใจไม่ แต่ใช้วิธีนี้บอกตรง ๆ ว่าตนขยาดยิ่งนัก"ต่อไปพวกเจ้าจะสนใจหญิงงามมากกว่าข้าอีกรึไม่"เฉิงอี้เอ่ยถามอย่างเอาแต่ใจ ทั้งสามเติบใหญ่มาด้วยกัน เขาล้วนได้รับความสนใจและปกป้องจากองครักษ์หนุ่มมาตลอด แม้นสถานะแตกต่างแต่เฉิงอี
"เจ้าจะเอาหนังสือไปทำสิ่งใดกัน"อี้หมิงเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงห้าวที่ถามขึ้นอย่างมีความหวัง"ข้าจะเอาไปจดทำบัญชีวันพรุ่งนี้หนะ วันพรุ่งร้านของข้าจะไปเปิดรับกำจัดโรคระบาดในแปลงนา เลยจำเป็นต้องทำบัญชี""ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดถึงต้องทำบัญชีเล่า จัดการการเงินของร้านรึ"เป็นจางหยางที่กอดอกฟังเงียบ ๆ เอ่ยถามขึ้นมาอย่างใคร่สงสัย"อ่อ นั่นส่วนนึง ข้าจะเปิดให้ลงบัญชีมัดจำไว้ได้ก่อนครึ่งนึงหนะสำหรับชาวบ้านคนไหนที่ยังไม่มั่นใจในร้านของข้า ""อ๋อ เป็นเช่นนี้ น่าสนใจจริงเชียว งั้นพวกข้าขอไปดูเจ้าขายได้รึไม่ การค้าขายเช่นนี้ข้ายังมิเคยเห็นผู้ใดทำมาก่อน ช่างน่าสนใจเสียจริง"มู่เฉินเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น ก่อนจะหันไปหาเฉิงอี้ผู้เป็นนายด้วยสีหน้าอ้อนวอนไม่เว้นแม้แต่องครักษ์หนุ่มที่มองมาเช่นกัน"แล้วแต่พวกเจ้าสิ แต่ข้ามิไป"พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปจากที่อี้หมิงยืนอยู่ ท่าทางของชายหนุ่มสร้างความฉงนให้กับทั้งสามคนที่ยังยืนอยู่ไม่น้อย แต่เพียงชั่วครู่ ชายทั้งสองที่ยังยืนอยู่กับเธอก็เอ่ยเสนอความช่วยเหลือออกมา"หากเจ้ามิรังเกียจ ข้ายังพอมีแท่นหมึกและกระดาษเหลืออยู่บ้าง หวังว่าจะช่วยเจ้าได้อยู่มิน้อย""ดีเลย