บนตำแหน่งประธานในห้องโถง
ยังคงมีสตรีงามพิลาศเลิศล้ำในอาภรณ์สีแดงหงส์เหิน นั่งอยู่ด้วยสีหน้าหยิ่งยโสบ้าอำนาจ นัยน์ตาเย็นเยียบกดข่มผู้คน
“อ้อ...” โม๋เอ๋อร์ลากเสียงยาวชวนเสียวไส้ แล้วเอ่ยอีกหนึ่งประโยคว่า
“เมื่อคืนข้าได้ยินจากปากบ่าวไพร่ว่า รัชทายาททรงไปค้างที่เรือนอนุชายานางหนึ่ง จึงเป็นเหตุให้การเข้าหอเมื่อคืน...”
นางหยุดวาจาแค่นั้นแล้วไล่สายตาไปหยุดอยู่ที่สตรีงดงามในอาภรณ์สีชมพูสดใสท่าทางอ่อนหวานมากนางหนึ่ง ซึ่งมีสาวใช้เจ้าของกระแสเสียงกระซิบเมื่อคืนยอบกายอยู่ข้างๆ
โม๋เอ๋อร์มองไปทางสตรีผู้นั้นนิ่งๆ แล้วเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “คงเป็นเรือนพี่สาวท่านนี้สินะ! ริ้วรอยฝากรักตรงลำคอ ช่างงดงามยิ่ง!”
ทุกคนในห้องโถงพลันมองตามสายตาของพระชายาเป็นตาเดียวกัน สตรีชุดชมพูถึงกับตกใจ
นางมีนามว่าฉีซิ่ว เข้ามาในวังแห่งนี้เมื่อสามปีที่แล้ว นับเป็นระยะเวลาถึงหนึ่งพันเก้าสิบห้าราตรี แต่เคยมีโอกาสได้ปรนนิบัติรัชทายาทครั้งหนึ่ง เพียงคืนแรกคืนเดียวที่เข้ามาในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม
ฉีซิ่วเป็นสตรีที่งดงามมาก วงหน้าละมุนตากิริยาละมุนใจ ผิวพรรณเนียนละเอียดลออ เนื้อตัวหอมกรุ่นเป็นเอกลักษณ์ ท่วงท่ามีจริตแช่มช้อยอ่อนหวาน ทั้งเนื้อทั้งตัวน่าทะนุถนอมยิ่ง
อดีตนางเป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่ ทว่าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทำให้ตระกูลล่มสลาย ตัวนางถูกขายให้หอเซียงเจิน
นางถูกไถ่ตัวมาจากหอคณิกาด้วยการประมูลคืนแรกโดยใต้เท้าเฉียน ผู้เป็นอาจารย์ทางด้านศิลปะกามารมณ์[1] ของรัชทายาทหมิงเฉิง จึงลำพองตนผิดๆ ว่าเป็นที่โปรดปราน และเกรงจะเสียความโปรดปรานไป จึงใช้แผนคำลวงเพื่อข่มขวัญเช่นนั้นกับพระชายาเอก ผู้เป็นเจ้าสาวเมื่อคืนที่ผ่านมา
และมันก็เป็นเพียงแผนการเท่านั้นหาใช่เรื่องจริงไม่!
แต่ประโยคที่พระชายาเอ่ยเมื่อครู่คืออันใด?
ริ้วรอยฝากรักอะไร?
ฉีซิ่วมองตามสายตาของอนุชายาแต่ละนางที่มองมาตรงลำคอตนอย่างฉงนเป็นที่สุด
อึดใจก็มีเสียงของชายาที่นั่งฝั่งซ้ายมือเอ่ยเสียงดังว่า “เมื่อคืนรัชทายาทมิได้ไปที่เรือนเจ้านี่นา” สตรีนางนี้อยู่ในเรือนใกล้ๆ กับฉีซิ่ว จึงเอ่ยอย่างมั่นใจยิ่ง นางไม่เห็นรัชทายาทเดินมาจริงๆ เพราะนางจ้องของนางอยู่ทุกคืน
อึดใจก็มีอีกเสียงดังมาว่า “เมื่อคืนข้าเห็นรัชทายาทอยู่ที่เรือนหลัก หาได้เดินไปทางเรือนใดไม่ แล้วเหตุใด...”
วาจานั้นหยุดเมื่อสายตาสะดุดกับริ้วรอยที่ลำคออีกฝ่าย นางมักจะชอบเดินมาแอบมองรัชทายาทอยู่บ่อยๆ จึงเห็นว่าพระองค์อยู่ในเรือนหลัก มิได้ไปที่เรือนใดจริงๆ
เมื่อสิ้นประโยคนี้ ทุกสายตาที่มองมาพลันจ้องเขม็งที่ลำคอระหงขาวผ่องของฉีซิ่ว ที่บัดนี้มีริ้วรอยคล้ายกับถูกฝากรักเอาไว้จริงๆ
“แล้วรอยที่คอของอนุฉีได้แต่ใดมา?”
คำถามนั้นจะว่าเบาก็เบา จะว่าดังก็ดัง ทำเอาฉีซิ่วสั่นสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย
“ระ...รอยอะไร?” นางถามเสียงแผ่ว
มีอนุใจดีผู้หนึ่ง ซึ่งชมชอบการพกคันฉ่องพอดีมือเป็นชีวิตจิตใจ นางจึงล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วนำออกมาให้ฉีซิ่วได้มองเงาสะท้อนจากลำคอของตนเอง
ฉีซิ่วรับคันฉ่องมาอย่างจำใจ สายตาตวัดอย่างเย่อหยิ่งแทนคำขอบคุณ
เจ้าของคันฉ่องกลอกตาเบะปากส่งเสียง ชิ เบาๆ
ฉีซิ่วหาได้สนใจ นางเอียงหน้ายืดคอส่องคันฉ่องอย่างแช่มช้อย
เมื่อได้เห็นภาพสะท้อนจากกระจกเงา ว่าที่ลำคอตนมีริ้วรอยสีชมพูอมม่วงสองสาย คล้ายกับถูกบุรุษดูดดันขบเม้มอย่างรุนแรง ใบหน้ากลมเล็กนวลผ่องถึงกับซีดเผือดไร้สีเลือดในบัดดล
อะ...อะไรกัน!
ถึงแม้จะรู้ดีแก่ใจ ว่าเมื่อคืนรัชทายาทมิได้มาหาตนที่เรือน ทว่าการปฏิเสธริ้วรอยอันไร้ที่มาตรงลำคอในยามนี้ มิใช่เรื่องที่ดีแน่ ข้อหาลอบคบชู้หาใช่เรื่องเล็กไม่!
ฉีซิ่วคิดเช่นนั้นจึงเอ่ยอย่างขวยเขินเส้นเสียงแตกพร่าว่า “ยามถูกเรียกไปปรนนิบัติถึงเรือนหลัก ย่อมมีริ้วรอยพวกนี้กลับมาบ้างเป็นธรรมดามิใช่หรือไร?”
ความหมายของนางก็คือ รัชทายาทมิได้ไปหานางก็จริง แต่นางถูกรัชทายาทเรียกให้ไปหา แปลกที่ใดเล่า!ฉีซิ่วลอบคิดในใจอย่างชั่วร้าย หมายข่มขวัญพระชายา ตอกย้ำถึงความโปรดปรานที่ได้รับจากรัชทายาทหมิงเฉิง ต่อหน้าธารกำนัล ตอกหน้าทุกคนหากแต่สิ่งที่ฉีซิ่วไม่รู้คือ ริ้วรอยนั้นล้วนเกิดจากพลังเหนือธรรมชาติของโม๋เอ๋อร์ เพื่อเสริมแผนการคำลวงเปลี่ยนเท็จเป็นจริงโม๋เอ๋อร์นั้นเคยเห็นมาบ้างแล้วถึงริ้วรอยหลังร่วมรัก เพราะว่านายท่านโหวมีอนุภรรยาหลายคน หากเช้าใดเห็นสตรีหลังเรือนมีริ้วรอยพวกนี้ นางจะรู้ทันทีว่านายท่านโหวไปค้างที่เรือนของสตรีนางนั้นจนหมดคืน นางเคยคิดจะไปแอบดูว่านายท่านโหวทำได้อย่างไร ผิวขาวๆ ถึงได้มีริ้วรอยแปลกประหลาด แต่ถูกหยูเสวี่ยห้ามไว้ เฮ้อ!โม๋เอ๋อร์ปล่อยให้เหล่าสตรีตรงหน้าได้สงสัยจนหอมปากหอมคอ จึงส่งเสียงราบเรียบเจือกระแสริษยาบางเบาอย่างสมจริง“อา...เป็นเช่นนั้นหรือ? ข้าให้รู้สึกอิจฉาพี่สาวเหลือเกิน”กล่าวจบก็ระบายรอยยิ้มราบเรียบเย็นชาการพูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้สร้างความรู้สึกหลากหลายให้แก่บรรดาสตรีในห้องโถงเป็นอย่างมากหนึ่งพวกนางคิดว่าพระชายามีนิสัยเถรตรงยิ่งนัก ไม่อาจดูเบาได้สองพระชายาม
ด้านนอกห้องโถงของเรือนชิงเยว่เรือนร่างสูงใหญ่งามสง่าแผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามของรัชทายาทหนุ่มกำลังยืนอยู่นิ่งๆ ตรงมุมลับตาห่างจากประตูออกมาไม่ไกลนัก โดยมีองครักษ์คนสนิทยืนอยู่ด้วยกัน สายตาคมปลาบของชายหนุ่มทั้งสอง กำลังพินิจมองสตรีชุดแดงที่ได้รับตำแหน่งพระชายาเอกแห่งตำหนักบูรพาเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาอยู่เงียบๆหมิงเฉิงยืนเอามือไพล่หลังด้วยท่าทางหยิ่งทะนงองอาจทรงพลัง ใบหน้าหล่อเหลามีเพียงความเย็นชา รอบกายมีเพียงกลิ่นอายเย็นเยียบ ยากคาดเดาห้วงอารมณ์อันใดทั้งนั้นหากแต่คนสนิทอย่างหมิงจินย่อมรับรู้ได้ว่าผู้เป็นพี่ชาย เริ่มไม่พอใจในตัวของพระชายาเอกคนงามนางนี้เสียแล้วเวลาผ่านไปเพียงครู่ เหล่าอนุชายาก็ได้รับอนุญาตให้กลับเรือนได้ พวกนางจึงพากันเดินนวยนาดดวงหน้าซีดเผือดออกมาจากประตูห้องโถงทว่าเมื่อมองเห็นรัชทายาทหนุ่ม ดวงหน้างามขาวซีดก็แดงเรื่อทันที แต่ละนางรีบยอบกายทำความเคารพด้วยท่วงท่างดงามแช่มช้อย ทักทายด้วยเสียงหวานฉ่ำ ช้อนตามองหมิงเฉิง อย่างหวานล้ำ ทำท่าเขินอายและยั่วยวนในที แต่เมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาพร้อมสายตาฆ่าคนของเขา ก็พากันตัวสั่นเทิ้มถอยร่นไปสายตาคมเข้มมืดดำของหมิงเฉิงหาได้สนใจสาวงามเห
ด้านนอกห้องโถงห่างจากประตูออกไปตรงมุมลับตาหมิงจินยืนนิ่งจ้องมองสองสตรีไม่วางตา เมื่อได้ยินคำสนทนาของพวกนางทั้งหมด ความรู้สึกหนึ่งพลันรับรู้ได้อย่างไร้เหตุผล เสมือนเล่ห์กลระหว่างเขากับพี่ชายพยัคฆ์ร้ายมังกรซ่อน หลั่งเลือดเพื่อเจ้า มั่นคงเพื่อข้ามิรู้ได้ว่าเพราะเหตุใด เขาจึงนึกถึงประโยคนี้ ที่พี่ชายเคยเอ่ยกับเขาถึงแม้สตรีในห้องโถงทั้งสอง จะมิได้มีอันใดผิดปกติเลยแม้แต่น้อย กิริยาของพระชายาเอกในรัชทายาทสูงส่งดั่งนางพญา ยามเจรจามีกลิ่นอายเย็นเยียบแฝงอำนาจสั่งการเฉียบขาดทว่าลับหลังอาจจะมีนิสัยแท้จริงซุกซนไปบ้าง ก็ไม่นับว่าเป็นอะไร ขอเพียงต่อหน้าธารกำนัลไร้ที่ติเช่นนั้น ก็เหมาะสมแล้วกับตำแหน่งนี้หากแต่สาวใช้ข้างกายพระชายากลับให้ความรู้สึกแปลกประหลาดสำหรับเขาหมิงจินกำลังยอมรับว่า เมื่อคืนเขาเพียงนึกแปลกใจในตัวสาวใช้ข้างกายพระชายาเอกของพี่ชาย หากแต่ยามนี้เขาไม่อาจไม่ยอมรับว่า เขากำลังสนใจนางเป็นอย่างมากในความเรียบร้อยของนางมีความสุขุมเยือกเย็นในความอ่อนน้อมนุ่มนวลของฐานะเพียงสาวใช้ กลับแฝงกลิ่นอายสง่างามแห่งความเป็นผู้นำเหนือหมู่มวลหาใดเปรียบ ยามพินิจมอง ให้ความรู้สึกสบายตาและน่ายำเกรง
ถัดมาอีกเรือนหนึ่ง ซึ่งเป็นเรือนของชายาสามคนงามชายานางนี้ มีนามว่าอวี่เยียนภายในห้องส่วนตัวหรูหรา ท่ามกลางกลิ่นหอมจรุงใจคละคลุ้งไปทั่ว มีเพียงสองนายบ่าวนั่งคุยกันแบบกระซิบกระซาบ“เจ้าแน่ใจหรือเสี่ยวเถา ว่าอาหารมงคลถูกพระชายากินไปจนหมด”เส้นเสียงแว่วหวานของผู้เป็นนายเอ่ยถามไปทางสาวใช้คนสนิทที่นั่งแนบชิดอยู่ข้างเก้าอี้ นัยน์ตาของนางซ่อนแววชั่วร้ายเอาไว้ได้ยากเย็น“บ่าวแน่ใจเจ้าค่ะ นางกำนัลห้องเครื่องมาเก็บถ้วยเปล่าไปเมื่อรุ่งสางนี้เจ้าค่ะ บ่าวเห็นกับตา”เมื่อได้ยินเช่นนั้น นายสาวก็นิ่งเงียบครุ่นคิดครู่หนึ่งเสียงสาวใช้ยังเอ่ยอีกว่า “ดีเหลือเกินที่เมื่อคืนรัชทายาทไม่เข้าหอ บ่าวให้รู้สึกโล่งใจนัก มิเช่นนั้นหากพระองค์ทรงกินอาหารมงคลเข้าไปมิรู้ได้ว่า...”คนหนึ่งยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค ก็ถูกเสียงของเจ้านายปรามเอาไว้ “เรื่องนี้ข้าย่อมมั่นใจ เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ไม่ว่า รัชทายาทจะแต่งชายาเข้าตำหนักบูรพามากี่นาง พระองค์ก็ไม่เคยร่วมหอชายาคนใดอยู่แล้ว มอบเพียงความใส่ใจดูแลเป็นอย่างดีก็เท่านั้น ดูอย่างข้านี่ปะไร!”กล่าวจบก็มองภายในของตนที่เต็มไปด้วยเครื่องเรือนหรูหรา เสื้อผ้าแพรพรรณล้ำค่า เครื่องปร
โม๋เอ๋อร์และหยูเสวี่ยเดินกลับเข้าห้องส่วนตัว เพื่อผลัดเปลี่ยนอาภรณ์สำหรับเข้าวังไปยกน้ำชาตามประเพณีทว่าเมื่อประโคมเครื่องแต่งกายเสร็จสรรพ กระทั่งงดงามถูกต้องทุกสิ่งแล้วเปิดประตูเรือนออกมา หลังจากเดินได้หลายก้าวจนเกือบจะถึงเรือนหลัก อันเป็นตำหนักของรัชทายาทที่ตั้งอยู่ใกล้กัน ก็ได้เจอกับขันทีหน้าซื่อท่าทีนอบน้อมยอบกายทำความเคารพแล้วรายงานว่า“เรียนพระชายา รัชทายาททรงมีประสงค์ให้พระชายาพักผ่อนหลังร่วมหอกับพระองค์เป็นเวลาสามวันพ่ะย่ะค่ะ”“...!?”ขันทีผู้นอบน้อมกล่าวจบก็ค้อมกายทำความเคารพอย่างแช่มช้อย แล้วเดินจากไปอย่างแช่มช้า ยักย้ายส่ายสะโพกประหนึ่งสตรีก็ไม่ปานปล่อยให้โม๋เอ๋อร์ที่แบกเครื่องประดับเต็มศีรษะหนักอึ้ง เสื้อผ้ายาวกรุยกรายรุ่มร่าม ทำได้เพียงกะพริบตามองตามด้วยสีหน้าเหลอหลา อึดใจก็หันหน้ามามองหยูเสวี่ยแล้วถามอย่างโง่งม“เขาหมายความว่าอย่างไรรึ?” นางไม่เข้าใจจริงๆ นะหยูเสวี่ยพอจะประเมินได้จึงกระซิบที่ข้างหูโม๋เอ๋อร์เพื่ออธิบาย “รัชทายาทน่าจะให้คนไปแจ้งทางพระราชวังว่าได้เข้าหอกับพระชายาทั้งคืนอย่างหนักหน่วง ทำให้พระชายาผู้บอบบางถึงกับอ่อนแรงลุกไม่ขึ้น จึงไม่อาจเข้าวังไปถวายน้ำชา
เรือนชิงเยว่โม๋เอ๋อร์เดินกลับเข้ามายังเรือนแล้วเข้าห้องส่วนตัวทันที โดยการฉุดดึงของหยูเสวี่ย ที่คอยเตือนสตินางว่ามิให้กระทำการบุ่มบ่ามไปมากกว่านี้ และยิ่งไม่ควรใจร้อนเกี่ยวกับการร่วมหอกับรัชทายาทจนเกินงาม เพราะว่ามันจะดูไม่ดี อาจถูกดูแคลนเอาได้ ทั้งยังจะไม่มีทางได้รับความโปรดปรานใด ภายภาคหน้าจะลำบากกันทั้งหมดโม๋เอ๋อร์ถูกบ่นจนหูชาหญิงสาวจึงต้องนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งให้หยูเสวี่ยถอดเครื่องประดับและลบชาดบนให้หน้าอย่างสงบเสงี่ยม ไม่คิดเข้าหารัชทายาทผู้นั้นอีก“ใจเย็นเถิด” เสียงของหยูเสวี่ยเอ่ยสำทับโม๋เอ๋อร์อีกครั้ง “ยังมีเวลาอีกมากโข ที่จะทำให้ชายผู้นั้นหลงใหลเพียงเจ้า”โม๋เอ๋อร์ได้ฟังก็สงบสติอารมณ์ลงได้ไม่น้อยนางยอมรับว่าเป็นคนที่มีนิสัยผลีผลามใจร้อนวู่วาม โชคดีเหลือเกินที่มีหยูเสวี่ยคอยตักเตือน“ข้ารู้แล้ว...” นางก้มหน้าเอ่ยเสียงแผ่ว ยอมรับผิดทุกประการหยูเสวี่ยอมยิ้มน้อยๆ แกะเครื่องประดับออกจนสิ้นแล้วม้วนผมให้โม๋เอ๋อร์ใหม่อย่างเบามือ ตามด้วยปักปิ่นทองคำระย้าบรรยากาศของสตรีทั้งสองเหมือนดั่งเช่นวันวาน ยามที่อยู่ในจวนโหว พวกนางมักจะหลบเร้นในห้องหับเพียงสองต่อสอง ผลัดกันแต่งกาย
ระหว่างทางเดินที่เชื่อมต่อมีน้ำตกจำลอง สวนพฤกษานานาพรรณ ภายในนั้นมีสนมชายาของรัชทายาทเดินนวยนาดประปราย แต่ละนางงดงามแช่มช้อย ราวนางสวรรค์จำแลงลงมาจุติยังแดนมนุษย์โม๋เอ๋อร์ให้รู้สึกสำราญยิ่งนัก นางชมชอบบรรยากาศเยี่ยงนี้เหลือเกินหากเปรียบกับกาลก่อน ยามที่นางเดินเล่นในป่าใหญ่ รอบด้านของนางล้วนเป็นสัตว์ป่านานาชนิด หน้าตาเกรี้ยวกราด ท่าทางดุร้าย แผ่กลิ่นอายสังหารเข้มข้น พวกมันพร้อมตะปบกรงเล็บขย้ำเหยื่อ แยกเขี้ยวแหลมคมพร้อมขบกัดเขมือบศัตรูให้แดดิ้นแต่ทว่ายามนี้รอบกายนาง ล้วนเป็นบุปผามีชีวิตงดงามยิ่ง!เส้นเสียงหวานใสสนทนาเจื้อยแจ้วดังไปทั่วบริเวณ ชายาแต่ละนางหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างสนุกสนานร่าเริง ราวฝูงนกขับขานก็ไม่ปานโม๋เอ๋อร์ได้เห็นเช่นนั้นก็รื่นรมย์ยิ่งนัก นางยกยิ้มน้อยๆ มองไม่เห็นไรฟัน คงไว้ซึ่งท่วงท่างามสง่าเฉกเช่นสตรีชั้นสูง ยามปรายตามองไปทางใด ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลน ปราศจากความสงสัยตัวตน ทุกคนมีแต่ต้องเคารพนบนอบกันถ้วนหน้าบรรดาชายารัชทายาทเห็นหญิงสาวเดินผ่าน ต่างพากันหยุดเสวนาแล้วยอบกายทำความเคารพอย่างนอบน้อมตามฐานะที่ต่ำกว่า ไม่มีใครกล้าละเลยต่อนางแม้แต่คนเดียวเมื่อเดินมาถึง
รอบด้านของศาลาริมสระบัว ยังคงไว้ซึ่งบรรยากาศร่มรื่นแสนดีภายในศาลาก็เช่นกัน สตรีทั้งสองยังคงไว้ซึ่งท่าทีเป็นมิตรเปี่ยมไมตรี มีความจริงใจมากล้นยามเอื้อนเอ่ยวาจา ทุกถ้อยสนทนาล้วนเกี่ยวกับธรรมชาติรอบทิศ ไม่ว่าจะเป็นดอกบัวหลากสี หมู่มัจฉาว่ายวนในวารี อากาศวันนี้น่าพิสมัยเหลือเกิน แสงแดดในวันรุ่งน่ารื่นรมย์เพียงใด ทุกสิ่งล้วนก่อเกิดความสุขได้ไม่ยากเย็น แม้ในวังแห่งนี้จะต้องทนเหงาใจสักเท่าใดนอกจากนี้ โม๋เอ๋อร์ยังได้ฟังอวี่เยียนเอ่ยถึงคุณธรรมต่างๆ ประหนึ่งกำลังบวชชีในอาราม นางให้รู้สึกกำลังจะบรรลุนิพพานเสียให้ได้ทว่าหญิงสาวกลับค้านอยู่ในใจ หากนางต้องการบรรลุเป็นเซียนสูงส่ง นางก็แค่บำเพ็ญเพียรตบะวนไป เหตุใดต้องออกมาจากป่าหาคู่สมสู่ด้วยเล่า!ถึงแม้ในใจจะคิดเช่นนั้น แต่สีหน้ากลับสงบนิ่งยิ่งนักโม๋เอ๋อร์ยังคงรักษากิริยางดงามได้ดีไม่มีตกหล่น แม้ว่าในใจจะกำลังรู้สึกย้อนแย้งกับสตรีฝ่ายธรรมะข้างกายในขณะที่เจ้านายทั้งสองกำลังสนทนาธรรมและชื่นชมทิวทัศน์รอบด้าน สาวใช้ทั้งสองที่นั่งไม่ไกลที่เบื้องล่างก็สนทนากันอย่างนอบน้อมถ่อมตน“ข้ามีนามว่าเสี่ยวเถา เป็นสินเจ้าสาวของชายาสามอวี่เยียน แล้วเจ้าเล่า”เส
นอกหน้าต่าง รอบด้านเงียบสงบ สายลมอ่อนโชยพัดพลิ้วเข้ามา พากลิ่นไอน้ำผสานดอกบัวเข้าหา ให้สดชื่นรื่นรม ช่างเหมาะสมแก่การสร้างอารมณ์วาดภาพยิ่งทว่าหมิงเฉิงหาได้มีอารมณ์สุนทรีพร้อมร่างภาพวาดลวดลายอันใดใส่กระดาษไม่ ด้วยในใจยังคำนึงถึงนางกำนัลผู้นั้น ที่บังอาจมีนัยน์ตาสีเขียวเหมือนใครบางคน!สายตาคมปลาบลอบพินิจชายาที่ยืนฝนหมึกอยู่ด้านข้าง ดวงหน้าสะคราญโฉมมีดวงตากลมโตอันน่าสงสัย เพื่อความสบายใจเขาควรจักพิสูจน์นางให้มากเข้าไว้หมิงเฉิงพลันหรี่ตา นึกถึงเรื่องราวบางประการดวงตาสีเขียววูบไหวที่เห็นเพียงแวบหนึ่งแต่มากกว่าถึงสามครั้ง ทั้งกลิ่นอายเย็นฉ่ำที่สัมผัสได้ยามโอบกอด ให้รู้สึกดีอย่างประหลาด และยังคุ้นเคยอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งๆ ที่นางเป็นถึงคุณหนูในห้องหอ ไม่เคยย่างกรายออกนอกจวนไปที่ใด ไม่มีทางที่นางจะเคยปรากฏกายในป่าใหญ่หากแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงอยากเชื่อให้สนิทใจแน่งน้อยในวันวาน บางทีอาจจะเป็นนาง...หมิงเฉิงยิ่งคิดยิ่งรุ่มร้อน ความรู้สึกไม่ยินยอมกำลังเกิดขึ้นอย่างดื้อรั้นเขาจักให้หมิงจินไปสืบเรื่องนี้ให้รู้แจ้ง ว่าสกุลโหวเล่นกลซ่อนเล่ห์อันใดหรือไม่ ทว่ายามนี้ขอเรียกความมั่นใจส
พระชายาน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้ แล้วอีกฝ่ายจักเย็นชาไปเพื่ออันใดเจียงเฟิ่งให้รู้สึกหงุดหงิดยิ่ง!ลืมไปแล้วจริงๆ ว่าธิดาสกุลโหวคือสมบัติล้ำค่า จักต้องถนอมเอาไว้จนกว่าบุตรชายคนใดคนหนึ่งได้ขึ้นครองราชย์อันว่าสตรีงามพิลาศปานล่มเมืองล่มแคว้น เป็นนางมารยั่วยวน กระทั่งผู้จับจ้องคล้ายถูกดึงดูดตกบ่วงเสน่หาอันเหลือร้าย จักเป็นใครไปมิได้ นอกจากสตรีนามว่า โม๋เอ๋อร์กระทั่งเจียงฮองเฮายังหลงใหลเข้าให้แล้วแบบเต็มขั้นโม๋เอ๋อร์นั้น ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรัก แม้แต่สตรีด้วยกัน!สุรเสียงเย็นเยียบจึงตรัสไปทางสวี่กูกูที่ยืนอยู่ไม่ห่าง“ให้คนไปเชิญองค์รัชทายาทเข้ามาในห้องหนังสือ”“เพคะ”เสียงตอบรับนอบน้อมเกิดขึ้นจากนางกำนัลคนสนิท เพียงครู่ขันทีผู้น้อยหน้าห้องก็ถูกสั่งให้ไปแจ้งแก่หมิงเฉิงชั่วอึดใจเท่านั้น ร่างสูงสง่าก็มาปรากฏอยู่ภายในห้องหนังสือชายหนุ่มเหลือบดวงตาคมปลาบมองพระชายาแวบหนึ่ง แล้วไม่สนใจอีก เย็นชาที่สุดโม๋เอ๋อร์ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะของเจียงฮองเฮาพลันเลิกคิ้วฉงน กะพริบตางุนงง เมื่อเห็นสามีเครียดขรึมสีหน้าเย็นเยียบปานนั้นเจียงฮองเฮากรีดเรียวนิ้วม้วนกระดาษคำกลอนหวานล้ำของโม๋เอ๋อร์อย่างทะนุถนอม แล้วว
ใกล้ยามเที่ยงวัน นภากว้างไร้หมู่เมฆลอยเคลื่อน ตะวันฉายจึงแผดแสงแรงกล้าหมิงเฉิงจึงเปรยกับเจียงฮองเฮาว่าควรกลับตำหนักส่วนพระองค์ เพื่อพักผ่อนถนอมพระวรกาย เขาจะได้พาใครบางคนกลับวังบูรพาเสียทีทว่าผู้ถูกห่วงใยเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปเพียงต้องการอยู่กับลูกชายอีกสักหน่อยและยามนี้ ก็ให้รู้สึกอยากมีลูกสาวสักคนเจียงเฟิ่งกำลังชื่นชอบการสนทนากับโม๋เอ๋อร์ยิ่งนัก ดวงตากลมโตพิสุทธิ์สดใส กอปรกับกิริยาน่ารักไร้เดียงสา แม้แต่สตรีด้วยกันที่ได้ชื่อว่าเย็นชาเหลือเกิน ยังหัวใจละลาย คล้ายกับได้สายน้ำเย็นฉ่ำของอีกฝ่ายรินรดจนชุ่มชื่นโพรงอก“วันนี้ อยู่ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันเป็นเพื่อนแม่ก่อนเถิด” สุรเสียงนุ่มนวลตรัสอย่างเป็นกันเองกับคนงามด้านซ้ายที่ประคองมือกันไปตามทางเดินกลางอุทยาน“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ” โม๋เอ๋อร์มีหรือจะปฏิเสธอาหารเลิศรส นางรีบตอบรับเสียงใส “หากเสด็จแม่มิได้ชักชวน เกรงว่าหม่อมฉันจะเป็นฝ่ายเสียมารยาทเอ่ยปากขอร้องเสียแล้ว”เจ้าแห่งวังหลังถึงกับแย้มสรวล “เจ้านี่นะ!”รอยยิ้มสว่างจ้ายังคงประดับใบหน้าเรียวเล็กจนผู้จ้องมองรู้สึกแสบตาไปหมด ดวงตาคู่คมของหมิงเฉิงเข้มลึกสุดจะหยั่ง ทั้งยังรู้สึกไม
ภายในศาลาริมบึงขนาดใหญ่ การสนทนาระหว่างสตรีดำเนินอีกเพียงครู่ชิงเฟยจึงกล่าวลาแล้วล่าถอยออกไป พร้อมธิดาตัวน้อยและนางกำนัลคนสนิทร่างสูงของหมิงเฉิงยังคงถูกตรึงนิ่งขึงอยู่กับที่ ไร้ซึ่งผู้ใดสังเกตเห็น มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้เขาเห็นนางกำนัลคนสนิทที่มากับชิงเฟยมีนัยน์ตาสีเขียว และมิใช่เพียงชั่ววูบเดียว ทว่าหลายชั่วลมหายใจเลยก็ว่าได้สตรีนางนี้มีใบหน้าเรียวยาว ผิวขาวราวหิมะ ถึงแม้จะอยู่ในชุดสีครามอ่อนจางของตำแหน่งนางกำนัล หากแต่กลับสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบกดข่มผู้คน นางพยายามหลุบตาหลบเลี่ยง หากแต่เขาก็ยังมองได้ทันท่วงที และเห็นชัดเจนดินแดนทั้งสามภพภูมินั้น มีสวรรค์และนรกแยกกันมิอาจบรรจบ เหล่าทวยเทพและปีศาจต่างก็แยกกันอยู่มิอาจค้นพบมีเพียงภพมนุษย์เท่านั้น ที่เหล่าภูตผีและปีศาจร้ายต่างเผ่าพันธุ์ อาศัยอยู่แบบแทรกซึมทั่วไปหมดมนุษย์หรือสรรพสัตว์ ที่ต้องการละทางโลกเพื่อเป็นเซียน บำเพ็ญเพียรบารมีจนถึงขั้นได้เป็นเซียนก็ยังอาศัยอยู่ในภพนี้มนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่มีจิตใจใฝ่อกุศล บำเพ็ญเพียรเพื่อมีพลังที่ชั่วร้ายจนกลายเป็นมาร แม้กระทั่งเทพหรือเซียน ถ้ามีจิตใจชั่วร้ายก็กลายเป็นมาร พวกนี้ก็อยู่
ยามทิวาตะวันเคลื่อนแสงแดดกล้า ขบวนเสด็จของเจียงฮองเฮาจึงเลือกที่จะเดินไปนั่งจิบชาในศาลากลางสวนบุปผชาติ รอบด้านล้วนงดงาม เบื้องหน้าคือบึงบัวหลากสีที่โต๊ะกลมกลางศาลา โม๋เอ๋อร์ดูแลรินน้ำชาให้แม่สามีอย่างนอบน้อม เจียงเฟิ่งรับการปรนนิบัติจากลูกสะใภ้อย่างยินดี สตรีทั้งสองแย้มยิ้มให้กันอย่างชื่นมื่นเปี่ยมไมตรีในขณะที่หมิงเฉิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่นิ่งๆ ที่ริมศาลาด้านบึงบัว ทำตัวเป็นบุตรชายที่ดีและสามีผู้ใจเย็นรอคอยภรรยากินขนมจิบชาอย่างอดทนที่ด้านนอกศาลา ถัดจากกลุ่มนางกำนัลและขันทีที่ยืนเรียงรายอย่างสงบเพื่อรอรับใช้ มีเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยดังขึ้น เสียงนั้นเรียกสายตาของคนในศาลาได้ทันทีเมื่อทุกคนในศาลาหันไปมองทางต้นเสียง จึงได้เห็นเป็นสตรีงดงามนางหนึ่งในอาภรณ์สีชิงพลิ้วไหวประดับปิ่นหรูหรา แต่งหน้าสีหวาน ใบหน้าโฉมสะคราญแขวนรอยยิ้มละมุนตา ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวานนอบน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมากนางเดินนวยนาดแช่มช้ามาทางศาลา พร้อมนางกำนัลคนสนิทที่อุ้มเด็กน้อยน่ารักไม่ห่างกายนางคือพระสนมชิงเฟย นามชิงจิ้งชิงเฟยผู้นี้ เดิมทีเป็นคุณหนูผู้โดดเด่นที่สุดแห่งสกุลชิง และมักจะเข้าร่วมงานวังหลวงทุกครั้งไม่เคยข
เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฮองเฮาจึงผินพระพักตร์ปรายสายพระเนตรมาทางองค์รัชทายาทบ้าง ทว่ากลับเห็นท่าทางเย็นชาแววตาเย็นเยียบกิริยาห่างเหินกับชายาโหว ก็ให้นึกแปลกพระทัยแต่กระนั้นก็คิดเพียงว่าจะไม่ยุ่งเรื่องยิบย่อยของบุตรชาย เพียงปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง พระนางเพียงกระทำตามแผนการของหมิงจินกับสาวใช้คนงาม ที่ขอให้แสดงความโปรดปรานต่อธิดาโหวให้เป็นที่ประจักษ์ก็เท่านั้นชั่วจังหวะที่กำลังสงสัยในอากัปกิริยาอันน่าครั่นคร้ามของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาพลันได้ยินเสียงหวานใสของสตรีด้านซ้ายกล่าวพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพราว่า“หม่อมฉันย่อมทำเพื่อเสด็จแม่เพคะ และจะมาหาบ่อยๆ ไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวแน่ๆ” โม๋เอ๋อร์กล่าวจากใจจริง กิริยาวาจาล้วนน่ารักสดใส ไร้การเสแสร้งทั้งสิ้นเจียงฮองเฮาแย้มสรวล “ดียิ่ง ดีจริงๆ”“เพคะ” โม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มละมุน กิริยาหมดจดพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดวงตากลมโตพิสุจธิ์สดใส เผยความดีใจที่ได้มีมารดาเพิ่มอีกหนึ่งคนทว่าใบหน้าหล่อเหลาของหมิงเฉิงยิ่งดำทะมึนนึกขัดใจ หากเขาต้องพาชายาโหวเข้าวังบ่อยๆ ได้อึดอัดตายพอดีต่อหน้าเสด็จแม่จักทำอันใดตามแต่ใจได้ที่ใด?ความไม่พอใจฉายวาบผ่านแววตาคม สีหน้าเผยคว
ในวันนี้เจียงฮองเฮาทรงเรียกองค์รัชทายาทและพระชายามาจิบชาชมบุปผาพร้อมทั้งพาเดินเที่ยวให้ทั่ววัง ตามความประสงค์ทางสายตาของหมิงจินที่เชื่อฟังสาวใช้คนงามเหลือเกินซึ่งอันที่จริงพระนางก็มีความต้องการที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วเมื่อทราบข่าวราชโองการของฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วเรื่องนี้นับได้ว่าหนักหนาพอควร สำหรับโอรสที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท ขั้วอำนาจซึ่งเป็นฐานที่มั่นถูกสั่นคลอนเช่นนั้น มิใช่เพียงรักษาตำหนักบูรพาลำบาก หากแต่ยังอาจสร้างความบาดหมางได้ไม่ยาก นับจากนี้การลอบสังหารคงมีตามมามากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากหลายสกุลที่ถูกส่งคืนคงแค้นเคืองไม่น้อยแน่นอนว่าฝีมือของหมิงเฉิงไม่น่าห่วงในเรื่องนี้ เพียงแต่เจียงฮองเฮาก็ไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตจนเกินไปหมิงจินก็เช่นกัน กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้ เขาได้หลับสบายสักคืนหรือไม่?พระมารดาแห่งต้าหมิงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยยามถูกโม๋เอ๋อร์จับประคองมือซ้ายพาเดินเล่นไปตามทางเดินของอุทยานหลวง ด้านขวายังมีหมิงเฉิงเดินตระหง่านดำทะมึนมาด้วยกัน ท่าทางของรัชทายาทหนุ่มในยามนี้ แม้สูงส่งงามสง่าแต่ทว่าเปี่ยมพลังกดข่มเขย่าขวัญผู้คนไปทั่ววันนี้นับได้ว่าอากาศด
เจียงฮองเฮามองตามแผ่นหลังของสองชายหญิงเงียบๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะตรัสออกมาทางสวี่กูกูที่ยืนอย่างสงบเยื้องไปทางด้านหลังอยู่เพียงลำพัง ปราศจากผู้อื่นนอกจากนาง“เจ้าคงเห็นแล้ว ว่าลูกๆ ของข้าน่าเป็นห่วงปานใด”สวี่กูกูคือแม่นมของหมิงเฉิงในอดีต ที่รับรู้เรื่องราวอันเป็นความลับทุกสิ่ง จึงมิใช่เรื่องแปลกหากเจียงเฟิ่งจักเปิดเผยตามตรงกับอีกฝ่าย “เรื่องเส้นสายราชสำนัก หรือขั้วอำนาจใดๆ ล้วนไม่ยากหากข้าจะช่วย ทว่าเรื่องอื่นๆ เล่า”สวี่กูกูค้อมตัวกล่าวอย่างนอบน้อมแต่ตรงไปตรงมา ด้วยเข้าใจความห่วงใยที่มากล้นเกินจำเป็นของเจ้านาย“ทูลฮองเฮา เรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว เราควรปล่อยไปตามโชคชะตานำพาเพคะ ขออย่าทรงกังวลจนเกินไป”“จะดีหรือ?” เจียงเฟิ่งไม่แน่ใจ “ข้าไม่ต้องช่วยจริงหรือ?”“ย่อมดีเพคะ เรื่องเหล่านี้ เราสองคนที่ไม่เคยประสบย่อมไม่เข้าใจนะเพคะ”เจียงเฟิ่งพลันเงียบงันปราศจากถ้อยวาจา ด้วยไม่อาจเห็นต่าง เพราะว่านางกับสวี่กูกูเติบโตมาด้วยกันกระทั่งเข้าวังและไม่เคยเจอเรื่องรักใคร่เลยสักครั้งในชีวิตจริงๆการยื่นมือช่วยในบางเรื่อง อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีถึงแม้เจียงเฟิ่งจักได้แต่งงาน ทว่าการมีสามีของนางล้
ระยะทางจากตำหนักบูรพามายังตำหนักฉีหยางกงนับได้ว่าไกลมากทว่าวันนี้กลับรู้สึกเหมือนใกล้กว่าที่เคย หมิงเฉิงยังมิทันได้ซึมซับไอเย็นจากร่างนุ่มสักเท่าไหร่ก็ถึงเสียแล้วอ้อมกอดอุ่นพลันคลายออก ความร้อนวาบพลันจางหาย โม๋เอ๋อร์รู้สึกถึงความเย็นไหลผ่านร่างกายเมื่อวงแขนกำยำของสามีปลดออกไปความเสียดายบางประการจึงบังเกิดกับพวกเขาโดยมิได้นัดหมาย หญิงสาวถึงกับเม้มปากแน่น ในขณะที่ชายหนุ่มถึงกับลอบขบกรามทั้งสองพากันจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะลงจากรถม้าอย่างงามสง่าเฉกเช่นชนชั้นสูงปกติ หาได้มีพิรุธอันใดไม่ขณะนี้เป็นเวลายามสาย อากาศแจ่มใส แมกไม้ร่มรื่น แสงแดดอ่อนจาง ทางเดินเข้าตำหนักงดงามจับตา ชายผ้าของสองสามีภรรยาถูกสายลมโชยผ่านพัดพลิ้วเกี่ยวประสาน ประหนึ่งเป็นผ้าผืนเดียวกันตั้งแต่ย่างเท้าก้าวใดมิทราบได้ ที่ทั้งคู่เดินใกล้กันมาก โดยไม่รู้ตัวภายในห้องโถงรับแขก ที่แท่นประทับสลักทองคำเจียงฮองเฮายังคงนิ่งเงียบเพื่อฟังวาจานุ่มหวานของสาวใช้นางหนึ่งที่นั่งเคียงข้างกับองครักษ์หนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้านล่าง สองชายหญิงช่วยกันร้องช่วยกันรับอยู่หลายประโยค พูดจาส่งกันไปมาอย่างเปิดเผย