รัชทายาทหมิงเฉิงอายุยี่สิบห้าปี แต่งบรรดาชายาเข้าตำหนักบูรพาสิบคน มีชายารองและชายาสามครบครัน
แต่ละนางมีชาติตระกูลมิได้ต่ำต้อย เรียกได้ว่าเป็นคุณหนูสูงส่งกันทุกคน
บรรยากาศภายในห้องโถงกลางเรือนชิงเยว่แห่งนี้ จึงเต็มไปด้วยมวลบุปผานานาพรรณที่คล้ายกับมีชีวิตกระนั้น
แลดูงดงามหลากสีสันละลานตาด้วยเสื้อผ้าแพรพรรนที่พวกนางใส่ ราวกลีบบุปผาบานสะพรั่งประหนึ่งจะไม่มีวันโรยราเต็มไปหมด
มวลผกาผุดพรายแลชั่วร้าย เกิดเป็นป่าบุปผาปีศาจร่านราคี
โม๋เอ๋อร์คิดชื่นชมเป็นคำกลอนในใจ ยามพาเรือนร่างระเหิดระหงของตนเดินกรีดกรายนวยนาดเข้ามาในห้องโถง
คำว่าปีศาจสำหรับนาง หาใช่คำดูถูกด่าทอ เพราะคำว่าปีศาจไม่มีอะไรไม่ดี แต่ตรงกันข้าม นางรู้สึกชมชอบสตรีเหล่านี้จึงเปรียบพวกนางเป็นปีศาจแสนน่ารัก คำว่าร่านราคีล้วนเป็นคำชม
โม๋เอ๋อร์พาเรือนร่างของตนในอาภรณ์สีแดงสดลวดลายหงส์เหินเมฆาเคลื่อน พลิ้วไหวแช่มช้ายามก้าวขาน้อยๆ เยื้องย่างเข้าประตูห้องโถงมา
แสงแดดเจิดจ้าส่องตามไล่หลังร่างอรชรของนาง เกิดเป็นภาพมายาราวกับนางเป็นเทพธิดาหงส์เพลิงเจิดจรัสปรากฏในครรลองสายตาของสตรีทุกคน
สายตาราบเรียบไร้ระลอกคลื่นของโม๋เอ๋อร์มองกราดทุกคนในห้องโถงนิ่งๆ นางระบายรอยยิ้มอ่อนโยนทว่าเย็นชา สร้างความหนาวเหน็บไปทั่วสรรพางค์กายให้ผู้คนโดยรอบบริเวณ
ท่วงท่าดั่งนางพญาของหญิงสาวสามารถตรึงสายตาจากบรรดาชายาได้มากโข
ด้านในของห้องโถงพลันเงียบสงัด ไร้ซึ่งสรรพเสียงในบัดดล เหล่าชายาพากันนิ่งอึ้งแข็งค้างในทันที
มิคาดว่าพระชายาของรัชทายาทจะเลอโฉมเฉิดฉายถึงเพียงนี้ แล้วท่าทีดั่งหงส์เหินทะยานจากฟากฟ้าลงมาแดนมนุษย์คืออันใด?
ในหัวใจของพวกสตรีวังหลังต่างเต้นตึกตักระส่ำรุนแรง
เดิมทีพวกนางก็ยากจะได้รับความโปรดปรานกันอยู่แล้ว แต่ยามนี้กลับมีพระชายาที่รูปโฉมงดงามปานฟ้าล่มเช่นนี้เข้ามา ชาติทั้งชาติก็อย่าหวังว่าจะได้ลืมตาอ้าปากอีกเลย
หึ! ฝันไปเถิด พวกนางจะดึงพระชายาผู้สะคราญโฉมลงมาจากฟากฟ้าเอง!
นั่นคือความคิดอันหลากหลายของเหล่าบรรดาชายาใน รัชทายาทหมิงเฉิง
พวกนางหารู้ไม่ว่าตนเองน่าสงสารปานใด ยิ่งไม่อาจรู้ได้ว่าตนเองจักน่าสมเพชปานใด หากคิดจะลองดีกับสตรีเช่นโม๋เอ๋อร์
สวรรค์อาจรู้ นรกอาจรู้ หากแต่พวกมนุษย์บุปผาเหล่านี้ไม่มีทางรู้แน่ ว่าโม๋เอ๋อร์ทำสิ่งใดได้บ้าง
หญิงสาวจำแนกเส้นเสียงและรับรู้ได้ไม่ยากว่าเจ้าของประโยคที่ยั่วยุนางเมื่อคืนคือผู้ใด และกำลังยอบกายคอยรับใช้อยู่ข้างกายอนุชายานางใด
โม๋เอ๋อร์เดินเข้าห้องโถงมาด้วยท่วงท่าสูงส่งตามแบบฉบับที่ฝึกฝนมาแล้วเป็นอย่างดี โดยมีหยูเสวี่ยในฐานะสาวใช้คอยจับประคอง
หยูเสวี่ยลอบมองสีหน้าและสังเกตแววตาของทุกคน ส่วนโม๋เอ๋อร์ทำหน้าที่แผ่กลิ่นอายข่มขวัญสั่นประสาทผู้คน
ในรอยยิ้มเจือความหนาวเหน็บเย็นเยียบ ดวงเนตรดำขลับราบเรียบจับจ้องที่วงหน้าของเหล่าสตรีทีละคนไม่วางตา
อาการนิ่งเงียบยกยิ้มน้อยๆ เช่นนั้นของโม๋เอ๋อร์ แผ่กลิ่นอายทรงพลังขุมหนึ่งออกมา จนเหล่าอนุชายาสัมผัสได้ถึงสายตาทั้งเยือกเย็นทั้งหนาวเหน็บของนาง ก็พากันรู้สึกหนาวสะท้านในหัวใจ ตัวสั่นเทิ้มอ่อนไหวอย่างมิอาจห้ามได้ พวกนางรีบพากันเบือนหน้าหนี หัวใจเต้นตึกตักไม่หยุด
เมื่อเดินมาจนถึงที่นั่งประธาน โม๋เอ๋อร์พาร่างเฉิดฉันของตนนั่งลงอย่างงดงามแช่มช้อย แล้วเริ่มทักทายทุกคนในที่นี้ ตามจริตที่เรียนรู้มา
“เหตุที่ข้ามาช้าล้วนเป็นเพราะว่าหลับสบายจนเกินไป รู้สึกสบายตัวยิ่งนัก มิคาดว่าวันนี้พี่สาวน้องสาวทุกคนจะมารอเห็นหน้าข้ากันอย่างล้นหลามถึงเพียงนี้ ข้าดีใจเหลือเกิน”
น้ำเสียงของนางราบเรียบราวกับผิวน้ำไร้ระลอกคลื่น แต่กลับระคนความเย็นเยียบราวน้ำแข็งที่ก้นทะเลลึกนับพันปี ชวนให้คนฟังหวาดผวายำเกรง
ความหมายในประโยคบ่งบอกว่า นางสบายดี สบายมาก แข็งแรงยิ่ง!
ที่เอ่ยเช่นนี้ก็เพื่อให้หยูเสวี่ยจับสังเกตสีหน้าหาทางจับผิดคนที่คิดวางยานางเมื่อคืนในที่นี้ต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่ตกใจกับความแข็งแรงทนทานหนังเหนียวของนาง จนเผยพิรุธออกมาทางสายตาโม๋เอ๋อร์ยังคงเปล่งวาจาวางอำนาจต่อเนื่องว่า “พี่สาวแต่ละคนช่างงดงามบาดตาข้าเหลือเกิน”ในคำพูดประโยคนี้ หญิงสาวจงใจใส่คำว่าบาดตาให้ฟังแล้วรู้ว่า อนุชายาไม่ควรแต่งกายงดงามเกินไป และยิ่งไม่ควรโดดเด่นเหนือพระชายาเอกเยี่ยงนางสายตากลมโตที่นิ่งสงบราวก้นทะเลลึกมองกราดทุกคนไปทั่วอีกครั้ง โม๋เอ๋อร์เห็นอนุแต่ละนางแต่งกายงดงามจริงๆ มิรู้ได้ว่าจักแต่งมาให้ชายใดได้ชม ในเมื่อในห้องนี้ มีแต่สตรีนี่นาดูเถิด...บางคนประโคมใส่เครื่องประดับจนศีรษะเอียง คอแทบหัก บางคนใส่ผ้าโปร่งบางเห็นถึงเนื้อเนียนด้านในโดยไม่สนใจอากาศหนาวเย็นยามเช้า บางคนใส่เสื้อคอลึกโล่งกว้าง มองเห็นเนินอกกลมกลึงล้นทะลัก ลำคอระหงขาวผ่องอา...เป็นไปได้ว่าพวกนางต้องการใส่มาโอ้อวดกันระหว่างสตรี ว่าหน้าอกของข้าใหญ่กว่าหน้าอกเจ้า ลำคอของข้าขาวเนียนกว่าของเจ้า ปิ่นข้าสวยกว่า สร้อยข้ายาวกว่าอืม...ดูๆ ไปแล้ว พวกนางก็งดงามมากจริงๆ มนุษย์เพศเมียเป็นสิ่งที่สวรรค์ประทา
บนตำแหน่งประธานในห้องโถงยังคงมีสตรีงามพิลาศเลิศล้ำในอาภรณ์สีแดงหงส์เหิน นั่งอยู่ด้วยสีหน้าหยิ่งยโสบ้าอำนาจ นัยน์ตาเย็นเยียบกดข่มผู้คน“อ้อ...” โม๋เอ๋อร์ลากเสียงยาวชวนเสียวไส้ แล้วเอ่ยอีกหนึ่งประโยคว่า“เมื่อคืนข้าได้ยินจากปากบ่าวไพร่ว่า รัชทายาททรงไปค้างที่เรือนอนุชายานางหนึ่ง จึงเป็นเหตุให้การเข้าหอเมื่อคืน...”นางหยุดวาจาแค่นั้นแล้วไล่สายตาไปหยุดอยู่ที่สตรีงดงามในอาภรณ์สีชมพูสดใสท่าทางอ่อนหวานมากนางหนึ่ง ซึ่งมีสาวใช้เจ้าของกระแสเสียงกระซิบเมื่อคืนยอบกายอยู่ข้างๆโม๋เอ๋อร์มองไปทางสตรีผู้นั้นนิ่งๆ แล้วเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “คงเป็นเรือนพี่สาวท่านนี้สินะ! ริ้วรอยฝากรักตรงลำคอ ช่างงดงามยิ่ง!”ทุกคนในห้องโถงพลันมองตามสายตาของพระชายาเป็นตาเดียวกัน สตรีชุดชมพูถึงกับตกใจนางมีนามว่าฉีซิ่ว เข้ามาในวังแห่งนี้เมื่อสามปีที่แล้ว นับเป็นระยะเวลาถึงหนึ่งพันเก้าสิบห้าราตรี แต่เคยมีโอกาสได้ปรนนิบัติรัชทายาทครั้งหนึ่ง เพียงคืนแรกคืนเดียวที่เข้ามาในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามฉีซิ่วเป็นสตรีที่งดงามมาก วงหน้าละมุนตากิริยาละมุนใจ ผิวพรรณเนียนละเอียดลออ เนื้อตัวหอมกรุ่นเป็นเอกลักษณ์ ท่วงท่ามีจริตแช
ความหมายของนางก็คือ รัชทายาทมิได้ไปหานางก็จริง แต่นางถูกรัชทายาทเรียกให้ไปหา แปลกที่ใดเล่า!ฉีซิ่วลอบคิดในใจอย่างชั่วร้าย หมายข่มขวัญพระชายา ตอกย้ำถึงความโปรดปรานที่ได้รับจากรัชทายาทหมิงเฉิง ต่อหน้าธารกำนัล ตอกหน้าทุกคนหากแต่สิ่งที่ฉีซิ่วไม่รู้คือ ริ้วรอยนั้นล้วนเกิดจากพลังเหนือธรรมชาติของโม๋เอ๋อร์ เพื่อเสริมแผนการคำลวงเปลี่ยนเท็จเป็นจริงโม๋เอ๋อร์นั้นเคยเห็นมาบ้างแล้วถึงริ้วรอยหลังร่วมรัก เพราะว่านายท่านโหวมีอนุภรรยาหลายคน หากเช้าใดเห็นสตรีหลังเรือนมีริ้วรอยพวกนี้ นางจะรู้ทันทีว่านายท่านโหวไปค้างที่เรือนของสตรีนางนั้นจนหมดคืน นางเคยคิดจะไปแอบดูว่านายท่านโหวทำได้อย่างไร ผิวขาวๆ ถึงได้มีริ้วรอยแปลกประหลาด แต่ถูกหยูเสวี่ยห้ามไว้ เฮ้อ!โม๋เอ๋อร์ปล่อยให้เหล่าสตรีตรงหน้าได้สงสัยจนหอมปากหอมคอ จึงส่งเสียงราบเรียบเจือกระแสริษยาบางเบาอย่างสมจริง“อา...เป็นเช่นนั้นหรือ? ข้าให้รู้สึกอิจฉาพี่สาวเหลือเกิน”กล่าวจบก็ระบายรอยยิ้มราบเรียบเย็นชาการพูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้สร้างความรู้สึกหลากหลายให้แก่บรรดาสตรีในห้องโถงเป็นอย่างมากหนึ่งพวกนางคิดว่าพระชายามีนิสัยเถรตรงยิ่งนัก ไม่อาจดูเบาได้สองพระชายาม
ด้านนอกห้องโถงของเรือนชิงเยว่เรือนร่างสูงใหญ่งามสง่าแผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามของรัชทายาทหนุ่มกำลังยืนอยู่นิ่งๆ ตรงมุมลับตาห่างจากประตูออกมาไม่ไกลนัก โดยมีองครักษ์คนสนิทยืนอยู่ด้วยกัน สายตาคมปลาบของชายหนุ่มทั้งสอง กำลังพินิจมองสตรีชุดแดงที่ได้รับตำแหน่งพระชายาเอกแห่งตำหนักบูรพาเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาอยู่เงียบๆหมิงเฉิงยืนเอามือไพล่หลังด้วยท่าทางหยิ่งทะนงองอาจทรงพลัง ใบหน้าหล่อเหลามีเพียงความเย็นชา รอบกายมีเพียงกลิ่นอายเย็นเยียบ ยากคาดเดาห้วงอารมณ์อันใดทั้งนั้นหากแต่คนสนิทอย่างหมิงจินย่อมรับรู้ได้ว่าผู้เป็นพี่ชาย เริ่มไม่พอใจในตัวของพระชายาเอกคนงามนางนี้เสียแล้วเวลาผ่านไปเพียงครู่ เหล่าอนุชายาก็ได้รับอนุญาตให้กลับเรือนได้ พวกนางจึงพากันเดินนวยนาดดวงหน้าซีดเผือดออกมาจากประตูห้องโถงทว่าเมื่อมองเห็นรัชทายาทหนุ่ม ดวงหน้างามขาวซีดก็แดงเรื่อทันที แต่ละนางรีบยอบกายทำความเคารพด้วยท่วงท่างดงามแช่มช้อย ทักทายด้วยเสียงหวานฉ่ำ ช้อนตามองหมิงเฉิง อย่างหวานล้ำ ทำท่าเขินอายและยั่วยวนในที แต่เมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาพร้อมสายตาฆ่าคนของเขา ก็พากันตัวสั่นเทิ้มถอยร่นไปสายตาคมเข้มมืดดำของหมิงเฉิงหาได้สนใจสาวงามเห
ด้านนอกห้องโถงห่างจากประตูออกไปตรงมุมลับตาหมิงจินยืนนิ่งจ้องมองสองสตรีไม่วางตา เมื่อได้ยินคำสนทนาของพวกนางทั้งหมด ความรู้สึกหนึ่งพลันรับรู้ได้อย่างไร้เหตุผล เสมือนเล่ห์กลระหว่างเขากับพี่ชายพยัคฆ์ร้ายมังกรซ่อน หลั่งเลือดเพื่อเจ้า มั่นคงเพื่อข้ามิรู้ได้ว่าเพราะเหตุใด เขาจึงนึกถึงประโยคนี้ ที่พี่ชายเคยเอ่ยกับเขาถึงแม้สตรีในห้องโถงทั้งสอง จะมิได้มีอันใดผิดปกติเลยแม้แต่น้อย กิริยาของพระชายาเอกในรัชทายาทสูงส่งดั่งนางพญา ยามเจรจามีกลิ่นอายเย็นเยียบแฝงอำนาจสั่งการเฉียบขาดทว่าลับหลังอาจจะมีนิสัยแท้จริงซุกซนไปบ้าง ก็ไม่นับว่าเป็นอะไร ขอเพียงต่อหน้าธารกำนัลไร้ที่ติเช่นนั้น ก็เหมาะสมแล้วกับตำแหน่งนี้หากแต่สาวใช้ข้างกายพระชายากลับให้ความรู้สึกแปลกประหลาดสำหรับเขาหมิงจินกำลังยอมรับว่า เมื่อคืนเขาเพียงนึกแปลกใจในตัวสาวใช้ข้างกายพระชายาเอกของพี่ชาย หากแต่ยามนี้เขาไม่อาจไม่ยอมรับว่า เขากำลังสนใจนางเป็นอย่างมากในความเรียบร้อยของนางมีความสุขุมเยือกเย็นในความอ่อนน้อมนุ่มนวลของฐานะเพียงสาวใช้ กลับแฝงกลิ่นอายสง่างามแห่งความเป็นผู้นำเหนือหมู่มวลหาใดเปรียบ ยามพินิจมอง ให้ความรู้สึกสบายตาและน่ายำเกรง
ถัดมาอีกเรือนหนึ่ง ซึ่งเป็นเรือนของชายาสามคนงามชายานางนี้ มีนามว่าอวี่เยียนภายในห้องส่วนตัวหรูหรา ท่ามกลางกลิ่นหอมจรุงใจคละคลุ้งไปทั่ว มีเพียงสองนายบ่าวนั่งคุยกันแบบกระซิบกระซาบ“เจ้าแน่ใจหรือเสี่ยวเถา ว่าอาหารมงคลถูกพระชายากินไปจนหมด”เส้นเสียงแว่วหวานของผู้เป็นนายเอ่ยถามไปทางสาวใช้คนสนิทที่นั่งแนบชิดอยู่ข้างเก้าอี้ นัยน์ตาของนางซ่อนแววชั่วร้ายเอาไว้ได้ยากเย็น“บ่าวแน่ใจเจ้าค่ะ นางกำนัลห้องเครื่องมาเก็บถ้วยเปล่าไปเมื่อรุ่งสางนี้เจ้าค่ะ บ่าวเห็นกับตา”เมื่อได้ยินเช่นนั้น นายสาวก็นิ่งเงียบครุ่นคิดครู่หนึ่งเสียงสาวใช้ยังเอ่ยอีกว่า “ดีเหลือเกินที่เมื่อคืนรัชทายาทไม่เข้าหอ บ่าวให้รู้สึกโล่งใจนัก มิเช่นนั้นหากพระองค์ทรงกินอาหารมงคลเข้าไปมิรู้ได้ว่า...”คนหนึ่งยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค ก็ถูกเสียงของเจ้านายปรามเอาไว้ “เรื่องนี้ข้าย่อมมั่นใจ เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ไม่ว่า รัชทายาทจะแต่งชายาเข้าตำหนักบูรพามากี่นาง พระองค์ก็ไม่เคยร่วมหอชายาคนใดอยู่แล้ว มอบเพียงความใส่ใจดูแลเป็นอย่างดีก็เท่านั้น ดูอย่างข้านี่ปะไร!”กล่าวจบก็มองภายในของตนที่เต็มไปด้วยเครื่องเรือนหรูหรา เสื้อผ้าแพรพรรณล้ำค่า เครื่องปร
โม๋เอ๋อร์และหยูเสวี่ยเดินกลับเข้าห้องส่วนตัว เพื่อผลัดเปลี่ยนอาภรณ์สำหรับเข้าวังไปยกน้ำชาตามประเพณีทว่าเมื่อประโคมเครื่องแต่งกายเสร็จสรรพ กระทั่งงดงามถูกต้องทุกสิ่งแล้วเปิดประตูเรือนออกมา หลังจากเดินได้หลายก้าวจนเกือบจะถึงเรือนหลัก อันเป็นตำหนักของรัชทายาทที่ตั้งอยู่ใกล้กัน ก็ได้เจอกับขันทีหน้าซื่อท่าทีนอบน้อมยอบกายทำความเคารพแล้วรายงานว่า“เรียนพระชายา รัชทายาททรงมีประสงค์ให้พระชายาพักผ่อนหลังร่วมหอกับพระองค์เป็นเวลาสามวันพ่ะย่ะค่ะ”“...!?”ขันทีผู้นอบน้อมกล่าวจบก็ค้อมกายทำความเคารพอย่างแช่มช้อย แล้วเดินจากไปอย่างแช่มช้า ยักย้ายส่ายสะโพกประหนึ่งสตรีก็ไม่ปานปล่อยให้โม๋เอ๋อร์ที่แบกเครื่องประดับเต็มศีรษะหนักอึ้ง เสื้อผ้ายาวกรุยกรายรุ่มร่าม ทำได้เพียงกะพริบตามองตามด้วยสีหน้าเหลอหลา อึดใจก็หันหน้ามามองหยูเสวี่ยแล้วถามอย่างโง่งม“เขาหมายความว่าอย่างไรรึ?” นางไม่เข้าใจจริงๆ นะหยูเสวี่ยพอจะประเมินได้จึงกระซิบที่ข้างหูโม๋เอ๋อร์เพื่ออธิบาย “รัชทายาทน่าจะให้คนไปแจ้งทางพระราชวังว่าได้เข้าหอกับพระชายาทั้งคืนอย่างหนักหน่วง ทำให้พระชายาผู้บอบบางถึงกับอ่อนแรงลุกไม่ขึ้น จึงไม่อาจเข้าวังไปถวายน้ำชา
เรือนชิงเยว่โม๋เอ๋อร์เดินกลับเข้ามายังเรือนแล้วเข้าห้องส่วนตัวทันที โดยการฉุดดึงของหยูเสวี่ย ที่คอยเตือนสตินางว่ามิให้กระทำการบุ่มบ่ามไปมากกว่านี้ และยิ่งไม่ควรใจร้อนเกี่ยวกับการร่วมหอกับรัชทายาทจนเกินงาม เพราะว่ามันจะดูไม่ดี อาจถูกดูแคลนเอาได้ ทั้งยังจะไม่มีทางได้รับความโปรดปรานใด ภายภาคหน้าจะลำบากกันทั้งหมดโม๋เอ๋อร์ถูกบ่นจนหูชาหญิงสาวจึงต้องนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งให้หยูเสวี่ยถอดเครื่องประดับและลบชาดบนให้หน้าอย่างสงบเสงี่ยม ไม่คิดเข้าหารัชทายาทผู้นั้นอีก“ใจเย็นเถิด” เสียงของหยูเสวี่ยเอ่ยสำทับโม๋เอ๋อร์อีกครั้ง “ยังมีเวลาอีกมากโข ที่จะทำให้ชายผู้นั้นหลงใหลเพียงเจ้า”โม๋เอ๋อร์ได้ฟังก็สงบสติอารมณ์ลงได้ไม่น้อยนางยอมรับว่าเป็นคนที่มีนิสัยผลีผลามใจร้อนวู่วาม โชคดีเหลือเกินที่มีหยูเสวี่ยคอยตักเตือน“ข้ารู้แล้ว...” นางก้มหน้าเอ่ยเสียงแผ่ว ยอมรับผิดทุกประการหยูเสวี่ยอมยิ้มน้อยๆ แกะเครื่องประดับออกจนสิ้นแล้วม้วนผมให้โม๋เอ๋อร์ใหม่อย่างเบามือ ตามด้วยปักปิ่นทองคำระย้าบรรยากาศของสตรีทั้งสองเหมือนดั่งเช่นวันวาน ยามที่อยู่ในจวนโหว พวกนางมักจะหลบเร้นในห้องหับเพียงสองต่อสอง ผลัดกันแต่งกาย
มารดาของโม๋เอ๋อร์หาใช่มนุษย์สามัญแต่เป็นถึงมหาเทพปีศาจ ส่วนบิดานั้นเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง โม๋เอ๋อร์จึงเป็นโม๋กุ่ยเสินครึ่งมนุษย์หลังจากมารดาให้กำเนิดโม๋เอ๋อร์ไม่นาน พลังซ่อนเร้นยามคลอดบุตรจึงมิอาจปิดบัง ในที่สุดก็ถูกเจอตัวจากมหาเทพปีศาจและภูตนรก มารดาจึงถูกจับตัวกลับไปยังสถานที่ที่จากมาเมื่อคนหนึ่งสิ้นสลาย อีกคนก็ไม่อาจอยู่ได้ สิ้นใจตายด้วยเด็ดเดี่ยวตรอมตรม บิดาของโม๋เอ๋อร์จึงตรอมใจตายตามไปหลังจากนั้นเจ็ดปี ทิ้งโม๋เอ๋อร์ให้อยู่เพียงลำพังในป่าใหญ่ พร้อมคำสั่งเสียเฉียบขาดว่าให้โม๋เอ๋อร์อยู่โลกมนุษย์ต่อไป ด้วยรู้ดีแก่ใจว่าบุตรสาวที่เป็นครึ่งมนุษย์เทพปีศาจมิอาจอยู่ที่ใดได้ ไม่ว่าสวรรค์หรือนรก มีเพียงต้องอยู่บนภพมนุษย์เท่านั้นโม๋เอ๋อร์ที่เป็นเพียงมนุษย์ครึ่งปีศาจ หาใช่มหาเทพปีศาจเฉกเช่นมารดา หากถูกสูบลงนรกจักต้องสลายหายไปคล้ายหมอกควัน กายหยาบกายทิพอันใดล้วนไม่อาจเป็นได้ทั้งนั้นและสิ่งสำคัญที่สามารถทำให้โม๋เอ๋อร์ดำเนินชีวิตต่อไปได้ นั่นก็คือห้ามฆ่าใครจนถูกล่วงรู้ตัวตน ผสานอีกสิ่งที่สำคัญเหนือกว่าเพื่อที่นางจะยืนหยัดต่อไปได้ นั่นคือพลังหยินหยาง...โม๋เอ๋อร์ซึ่งเกิดเป็นสตรีมีความอ่อนโยน ความ
“เขามานานแล้วหรือ?” แล้วรู้หรือไม่ว่าข้าไม่อยู่ในห้องประโยคหลังโม๋เอ๋อร์มิได้ถามออกมา ทว่าใช้สายตาสื่อความนัยแทน หยูเสวี่ยย่อมเข้าใจ จึงกระซิบตอบเสียงเบาหวิว“พระชายาทรงอ่อนเพลียจึงนอนหลับไป ขอเวลาเตรียมตัวสักเล็กน้อย”นั่นคือคำตอบที่หยูเสวี่ยตอบขันทีหน้าประตูห้องเมื่อสองเค่อที่ผ่านมา เพื่อสื่อความนัยให้สายตาที่ถูกส่งมาจากโม๋เอ๋อร์เมื่อได้รับรู้คำตอบแล้วเป็นอย่างดี โม๋เอ๋อร์จึงบอกกล่าวให้หยูเสวี่ยพักผ่อนให้หายดีอยู่ที่นี่ ไม่ต้องตามออกมา ประเดี๋ยวจะต้องลมเย็นจนล้มพับไป ก่อนจะทำทีเป็นคนที่ถูกปลุกจากนิทรา ทำหน้าง่วงตาปรือ ยามเปิดประตูห้องออกไปหาบุรุษหนุ่มรูปงามผู้เป็นสามี…ภายใต้แสงเทียนสีเหลืองนวลสตรีในอาภรณ์บางเบาสีแดงสด ขับเน้นเรือนร่างระหงอรชรสมส่วนอวบอูมอิ่มน้ำ ดวงตาหรี่ปรือหวานล้ำเพราะถูกปลุกจากนิทรากลางคัน พลันปรากฏในครรลองสายตาของผู้คนนอกห้องความงดงามประหนึ่งน้ำผึ้งหยาดหยดอยู่กลางเปลวเพลิงแห่งเสน่หาร้อนแรงของโม๋เอ๋อร์ ที่ใครเห็นเป็นต้องตกตะลึงพรึงเพริด แม้แต่ขันทีที่ไร้ซึ่งอารมณ์ซับซ้อนยังลืมหายใจไปชั่วขณะ สาวใช้ที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องชั้นนอกยังมองไม่วางตาความเลอโฉมพิลาศล้ำ
เมื่อมองเห็นเรือนร่างสูงใหญ่สง่างามแผ่อำนาจบารมีมากล้นของชายผู้เป็นสามีนอกจากไม่กลัวเกรงหรือตระหนกอกสั่นหวาดหวั่นอันใด โม๋เอ๋อร์กลับรู้สึกดีใจยิ่งนักเขามาหานางถึงในเรือนเชียวหรือ?ชั่วขณะที่หญิงสาวกำลังปลื้มปริ่ม เสียงกระซิบพลันดังจากในมุมมืด“พระชายา...เปลี่ยนชุดก่อน!”เจ้าของเสียงคือหยูเสวี่ย นางรีบเคลื่อนกายเข้ามุมอับพร้อมส่งเสียงเอ่ยเตือนโม๋เอ๋อร์อย่างร้อนรน เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังอยู่ในสภาพชุดดำสนิทเยี่ยงผู้ร้ายเช่นนั้นถึงแม้จะมั่นใจในฝีมืออันชั่วร้าย หากแต่ใครมาเห็นเข้าคงยากจะหลุดพ้นจากการถูกสงสัยเป็นแน่โม๋เอ๋อร์พลันฉุกคิดได้ จึงรีบหมุนกายไปเปลี่ยนชุดสีดำออกแล้วสวมชุดพลิ้วไหวสีขาวบางเบา เห็นเนินอกรำไร ใส่ใจในการยั่วยวนเต็มที่หญิงสาวหมุนตัวอยู่หน้ากระจกหนึ่งรอบ นึกลังเลขึ้นมา ระหว่างชุดสีขาวกับชุดสีแดงใส่ชุดใดดี?ทันใดนั้น โม๋เอ๋อร์ก็คิดได้ นางรีบถอดชุดสีขาวออกแล้วสวมชุดสีแดงที่มีเนื้อผ้าโปร่งบางโล่งใสแทนชุดนี้ช่วยขับผิวขาวดั่งหิมะให้สว่างสดใสไปทั่วเรือนร่าง ราวกับว่าเนื้อนวลเปล่งปลั่งจะทะลุออกมานอกชุดเบาบางได้กระนั้นเรียวแขนขาวผ่องนวลเสลา กระทั่งเรียวขาเนียนกระจ่างยังเห็นได้
เมื่อลงทัณฑ์เจ้าของห้องและสาวใช้จนพอใจ โม๋เอ๋อร์เพียงเปรยเสียงเรียบว่า“จงหยุดสิ่งที่คิดจะทำ หากต้องการอยู่อย่างสงบเฉกเช่นวันวาน...” ความหมายก็คือจงอยู่ในห้องหับห้ามออกมาทำระยำอีกเด็ดขาด!แน่นอนว่า สตรีทั้งสองได้อยู่กันอย่างสงบอย่างที่สุดหญิงสาวกล่าวจบก็อันตรธานหายวูบไป ดั่งปีศาจร้ายภูตผีนรกผุดมาทักทายจากห้วงอเวจีเพียงชั่วครู่สองนายบ่าวพลันสิ้นสติในทันทีเช่นกัน ไม่แน่ว่าตื่นมาอีกทีครานี้ ทุกอย่างในชีวิตอาจจะเปลี่ยนไปโม๋เอ๋อร์นั้น หาได้ล่วงรู้แผนการอันซับซ้อนของสตรีสองนางในเรือนแห่งนี้ไม่ รู้เพียงว่าพวกนางมีความผิดที่บังอาจทำร้ายกันขั้นรุนแรง ถึงขนาดหมายปลิดชีวิตคนเช่นผักปลาคราแรกวางยานางในคืนเข้าหอก็ช่างเถิดแต่หากมองหยูเสวี่ยเป็นเพียงคนไร้ค่า นึกอยากฆ่าก็ฆ่าได้ง่ายๆ โม๋เอ๋อร์จึงไม่อาจออมมือได้หญิงสาวใจดีถอนพิษให้เสี่ยวเถาเพราะไม่ต้องการให้มีการสืบสาวให้วุ่นวาย จนอาจจะพาลมาถึงหยูเสวี่ยและตัวนางที่นั่งร่วมสนทนาในศาลายามบ่ายและเรื่องราวเชื่อมโยงไม่อาจจบสิ้นลงได้ง่าย ต้องถูกสอบสวนประปราย ปราศจากความสงบสุขใดๆทั้งหมดนี้เพราะยาพิษในกายของเสี่ยวเถานั้น อาจจะชักนำให้หยูเสวี่ยถูกลากมาเก
อวี่เยียนและเสี่ยวเถากะพริบตาจนเจ็บร้าว แล้วร่ำร้องแบบไร้เสียงอีกคราว่าปีศาจ!พวกนางทำได้เพียงกรีดร้องในใจอย่างบ้าคลั่ง ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเปล่งเสียงออกมามิได้โม๋เอ๋อร์ค่อยๆ เยื้องกรายเข้าหาสตรีตีสองหน้าช้าๆนางยกยิ้มเย็นชาแผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกชวนหนาวเหน็บถึงขั้วกระดูกออกมา ดวงเนตรสีเขียวคู่งามเย็นเยียบราวน้ำแข็งตกผลึก พร้อมฝังลึกในครรลองสายตาผู้พบเห็นผู้ได้จับจ้อง เป็นต้องจดจำไปจนวันตายอย่างทรมานรอบกายสีทองเรืองรองแผ่กลิ่นสาบสางน่าสะอิดสะเอียนชวนสะท้านพรั่นพรึงตลบอบอวลไปทั่วห้อง ร่างบอบบางสีแดงเพลิงแผ่กลิ่นอายดำทะมึนราวกับหลุดออกมาจากขุมนรกอเวจีของหลุมที่ลึกที่สุดโม๋เอ๋อร์ในยามนี้ หาใช้พระชายาผู้งดงามอีกต่อไป หากแต่เป็นรูปกายอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้จักทั้งนั้นเส้นเสียงเยียบเย็นลากยาวชวนผวาราวหิมะพันปีบนยอดเขาแทงทะลุเมฆาค่อยๆ ดังออกมาจากริมฝีปากจิ้มลิ้ม“ข้ามิได้ชื่นชอบการฆ่าใคร...”ความหมายของรูปประโยคและการกระทำช่างขัดแย้งกันเหลือเกิน โม๋เอ๋อร์กล่าวจบยังยกยิ้มบริสุทธิ์อ่อนหวานแลดูน่ารัก ทว่ากลับมองแล้วให้ความรู้สึกน่าขนหัวลุกชวนสะพรึงยิ่งนักอวี่เยียนและเสี่ยวเถายิ่งเบิกต
เมื่อได้ยินคำตอบ เสี่ยวเถาถึงกับงุนงง แต่ครู่เดียวเท่านั้น ก็พลันกระจ่างแจ้งในใจ เมื่อร่างกายเริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกตินางกำลังรู้สึกถึงความทรมานสายหนึ่งเริ่มคืบคลานเข้าใกล้ ภายในเริ่มรุ่มร้อน ฝ่ามือเริ่มสั่นเทา สายตาเริ่มพร่าเลือน“มะ...หมายความว่า...ย่ะ...อย่างไรเจ้าคะ”เสี่ยวเถาพยายามถามอย่างยากลำบาก ลมหายใจติดขัด ลูกนัยน์ตาแดงก่ำเลื่อนจากใบหน้าเจ้านายลงมองขนมและน้ำชาตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง เมื่อคำตอบที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงรอยยิ้มหวานล้ำและดวงตาฉ่ำเย็นของผู้เป็นนายอวี่เยียนยังคงนั่งมองเสี่ยวเถาอย่างใจเย็น นางวางหนังสือลงแล้วเอียงหน้าน้อยๆ มองสาวใช้คนสนิทอยู่เงียบๆ ท่าทียังคงเป็นปกติเฉกเช่นหญิงสาวผู้เปี่ยมเมตตาปรานีทว่า...เสี้ยวขณะนั้น พลันมีสิ่งไม่คาดฝันบังเกิดอวี่เยียนที่นั่งอยู่บนตั่งด้วยท่าทางดั่งนางพญาผู้รื่นรมย์กลับกระตุกร่างตนจนตัวลอยขึ้นไปบนคานเรือน คล้ายถูกกระชากโดยฝ่ามือปริศนาเสี่ยวเถาที่ร่างกายปวดร้าวกลับค่อยๆ หายปวดระบมอย่างน่าแปลกใจ แต่ยังคงชาหนึบไม่อาจขยับเขยื้อนได้ นางจึงทำได้เพียงใช้สายตาจับจ้องที่นายสาวเบื้องหน้านิ่งงัน มิสามารถเอ่ยอันใดออกมาได้ทั้งนั้นภายในห
คืนนี้จันทรางามเด่น สุกสกาวสว่างไสวไปทั่วนภาพาแสงสีขาวนวลสาดส่องไปทั่วตำหนักบูรพาทว่าเงาดำวูบไวประหนึ่งสายลมวูบผ่านเพียงเสี้ยวเวลา กลับนำความหนาวเหน็บประหนึ่งเป็นคืนเดือนมืดกลางเหมันต์กระนั้นทหารยามที่เดินตรวจตราโดยรอบพลันชะงักเท้าเล็กน้อย รู้สึกขนหัวลุกอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อแหงนมองท้องฟ้าก็เห็นดวงจันทร์เร้นดารางดงามดี ดวงโตกลมนวล ตราตรึงยิ่ง!ชื่นชมจันทราเสร็จก็ก้มหน้าเดินยามต่อไป รอบกายล้วนปกติดีทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดผิดสังเกตเลยแม้แต่น้อย แสงนวลจากฟากฟ้าช่วยให้การเดินยามสะดวกดีเหลือเกิน เห็นทุกสิ่งรอบด้านชัดเจนไปหมดด้านนอกหน้าต่างของเรือนชายาสามนามอวี่เยียนทั้งทหารยามและบ่าวไพร่ทั้งหลายเดินทำงานกันตามปกติ ยามนี้ยังไม่ดึกมากนัก หลายคนยังไม่มีสิทธิ์ได้นอนหลับพักผ่อนแต่อย่างใดเจ้าของเรือนนั่งอ่านหนังสือธรรมะด้วยท่าทีสงบปรานีอยู่บนตั่งตัวยาวในจังหวะนั้นเสี่ยวเถาก็รีบรุดเข้าห้องมาแล้วลงกลอนประตูอย่างแน่นหนา ก่อนจะเดินมาปิดหน้าต่างทุกบาน จนไร้ช่องว่างใดภายในห้องส่วนตัวด้านในของเรือน“เป็นอย่างไรบ้าง?” อวี่เยี่ยนถามเสียงเย็นไปทางสาวใช้คนสนิทถึงเรื่องที่ให้อีกฝ่ายไปสืบความเคลื่อนไหวใ
โม๋เอ๋อร์ตกตะลึงยิ่งนัก นางเพียรสังเกตตนเองอยู่ตลอดยามนั่งอยู่ในศาลา ว่าถูกวางยาหรือไม่หากมียาในขนมตัวนางเองย่อมปวดแสบปวดร้อน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่รู้สึกผิดปกติอันใดมิคาดว่าเป้าหมายกลับมิใช่ตัวนาง หากแต่เป็นหยูเสวี่ยเกินไปแล้ว....ม่านมืดพลันคลี่คลุมในแววตากลมใส ความซื่อบริสุทธิ์พลันอันตรธานหายไปแน่นอนว่าโม๋เอ๋อร์หาใช่สตรีดีงาม ทั้งยังโหดเหี้ยมอำมหิตเกินกว่าใครจักคาดคิดถึงแม้ว่าความสดใสไร้เดียงสานางมีเสมอ ทั้งยังคิดกับผู้อื่นอย่างบริสุทธิ์ใจมากมายหากแต่ต้องมิใช่กับคนที่คิดจะทำร้ายหยูเสวี่ย!หญิงสาวรีบเดินเข้าหาร่างอรชรที่บัดนี้นอนบิดตัวด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าขาวผ่องมีเหงื่อเกาะพราว“เจ้าใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อเหยื่อ!”โม๋เอ๋อร์เอ่ยเสียงต่ำอย่างรู้ทันคนบนเตียงหยูเสวี่ยกัดฟันตอบอย่างติดขัด“ข้า...แค่รินน้ำชา...นานไป...หน่อย”“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้” โม๋เอ๋อร์ยังคงตัดพ้อ“ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า” หยูเสวี่ยฝืนต่อคำอีกประโยค ก่อนจะบิดตัวเร่าๆ อยู่บนเตียงนอน มีเลือดไหลออกจากดวงตา จมูก ใบหู และปากเดิมทีหยูเสวี่ยคิดพาโม๋เอ๋อร์เดินเที่ยวเท่านั้น เพื่อที่นางจะได้สำรวจพื้นที่ให้ทั่วเข้
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนเข้ายามอิ่ว[1] ทั้งหมดจึงได้แยกย้ายกลับเรือนตนคล้อยหลังพระชายาเอกกับสาวใช้คนสนิท อวี่เยียนที่เดินห่างออกมาเล็กน้อยก็ยกยิ้มเย็นเยียบแวบหนึ่ง เสี่ยวเถาเองก็ก้มหน้าหลุบตาเดินตามนายสาวอย่างเยือกเย็นไม่ต่างกัน ทั้งสองลอบส่งสายตาสื่อควายนัยแห่งความเลือดเย็นออกมามีเพียงพวกนางเท่านั้นที่เข้าใจกันและกันเมื่อถึงเรือนส่วนตัว ลึกเข้าไปในห้องชั้นในที่มีเพียงพวกนางสองนายบ่าว เสียงกระซิบกระซาบพลันบังเกิด“สำเร็จหรือไม่?”เส้นเสียงเย็นใสเบาหวิวเอ่ยถามสาวใช้คนสนิททันทีที่เข้าห้องปิดประตูลั่นดาลลงกลอน“เรียบร้อยเจ้าค่ะ” เสี่ยวเถากระซิบตอบ “บ่าวแอบป้ายยาพิษที่ขอบถ้วยน้ำชาของเสี่ยวโม๋ ยามที่นางลุกขึ้นไปรินน้ำชา ต่อให้หลังเกิดเหตุสลดว่ามีสาวใช้ต้องพิษจนตาย และขนมน้ำชาถูกตรวจสอบจนวุ่นวาย ก็หาได้พบสิ่งใดที่ขอบถ้วยไม่ เพราะยาพิษนี้ถูกน้ำชาชะล้างเข้าปากเสี่ยวโม๋ไปแล้วจนสิ้น และผู้ต้องสงสัยย่อมเป็นเจ้าของชากับขนมเจ้าค่ะ”“ดีมาก” อวี่เยียนยกยิ้มหวานเปรยอีกว่า “ข้าสังเกตว่าพระชายามิได้มีสมองสักเท่าไหร่ หากแต่สาวใช้ข้างกายกลับดูเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ตัดแขนตัดขาพระชายาไปได้เยี่ยงนี้ ที่เหลือก็ไม่