เวลาผ่านไป…จากหนึ่งวันเป็นหนึ่งเดือน จากหนึ่งเดือนก็ล่วงเลยมาหนึ่งปี
โม๋เอ๋อร์รู้สึกได้ว่า การตัดสินใจออกจากป่ามาในครานี้เป็นสิ่งที่ดีเหลือเกิน นางคิดไม่ผิดเลยสักนิด
เพราะว่านางได้เจอสหายเปี่ยมไมตรีอย่างหยูเสวี่ย และท่านป้าเปี่ยมเมตตาอย่างวั่นหรง
ทั้งสองดูแลนางอย่างดีเลิศ พวกเขามอบเสื้อผ้าสวยงามมากมาย มีอาหารรสล้ำให้กินไม่เคยขาด นางมีความสุขมาก ถึงแม้ว่าชุดที่นางสวมจะงดงามไม่เท่าชุดของหยูเสวี่ย แต่นางก็หาได้ขัดเคืองไม่ ด้วยมิใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อยอันใดทั้งนั้น และยิ่งไม่คิดมากกับเรื่องหยุมหยิมเยี่ยงนี้ แค่ไม่ต้องทนสวมชุดจิ้งจอกขนเงิน ชุดหนังเสือ ขนห่านป่า หรือแม้กระทั่งหางนกยูง ก็พอแล้ว
จวนโหวแห่งนี้ใหญ่โตโอ่อ่า เครื่องเรือนครบครัน ทั้งยังสะอาดสะอ้าน มีผู้คนอาศัยอยู่รวมกันเยอะแยะเต็มไปหมด
ไม่เหมือนกลางป่าที่นางจากมา ที่นั่นมีแต่สัตว์ป่าดุร้าย คุยด้วยไม่รู้เรื่อง อาหารก็ไม่อร่อย เสื้อผ้าแพรพรรณก็ไม่มี
โม๋เอ๋อร์ชอบชีวิตในเมืองยิ่งนัก ไม่คิดกลับป่าแน่นอน...
รอยยิ้มพึงใจประดับตรงมุมปากของเด็กสาวตลอดเวลา นางกำลังเดินเล่นในสวนดอกไม้อยู่กับหยูเสวี่ยเหมือนเช่นทุกวัน สร้างรอยยิ้มละมุนละไมประดับใบหน้าให้คุณหนูรองแห่งจวนโหวไม่น้อย
“โม๋เอ๋อร์ เจ้าหยุดยิ้มสักครึ่งเค่อได้หรือไม่?” หยูเสวี่ยอดมิได้ที่จะเอ่ยเย้าสาวใช้ที่ตนนับเป็นสหายด้วยนิสัยถูกคอถูกใจนางยิ่งนัก
“ข้าจะยิ้มให้กว้างกว่านี้ เพราะข้าชอบเจ้า ข้าชอบแม่เจ้า และข้าก็ชอบที่นี่” โม๋เอ๋อร์เอ่ยเสียงใส เดินหมุนตัวไปมา เพื่อกระโปรงชุดใหม่จะได้พลิ้วสะบัดอย่างเริงร่า
ทำเอาหยูเสวี่ยถึงกับหลุดกิริยาหัวเราะออกมาเสียงดัง
ไม่ง่ายเลยจริงๆ ที่จะสอนมารยาทให้โม๋เอ๋อร์ แต่ก็ไม่ยากเลยสักนิดที่ตนเองจะเสียจริตถึงเพียงนี้ หยู่เสวี่ยได้แต่ทอดถอนใจอย่างปลดปลง
คุณหนูรองจวนโหวต้องรีบหันซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง ด้วยเกรงว่าใครจะมาเห็นนางกับโม๋เอ๋อร์ทำกิริยาไม่เหมาะสม
ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่ามารดาบังคับขู่เข็ญให้โม๋เอ๋อร์ฝึกฝนทุกสิ่งที่สตรีพึงมีพร้อมๆ กับนาง หากถูกจับได้ว่าทำกิริยาไม่งาม ต้องถูกมารดาบ่นยาวเหยียดแน่ๆ
อันที่จริง หยูเสวี่ยก็ไม่ค่อยจะเข้าใจมารดาเท่าใดนัก ที่บังคับโม๋เอ๋อร์ให้ฝึกมารยาร้อยแปดที่แสนสาหัสสำหรับสตรีตระกูลใหญ่ แต่นางเห็นโม๋เอ๋อร์ไม่เหน็ดเหนื่อยทั้งยังชอบมาก นางก็รู้สึกยินดี นางเองก็ชอบที่มีเพื่อนฝึกฝนเรื่องพวกนั้นเช่นกัน
หนึ่งปีที่อยู่ด้วยกันมา หยูเสวี่ยรู้มาว่าโม๋เอ๋อร์เติบโตมาอย่างไร มารดาตายจากเมื่อแรกคลอด บิดาตรอมใจด่วนจากไปเมื่อเยาว์วัย นางจึงนึกเห็นใจอีกฝ่ายเหลือเกิน นางจึงคิดจะดูแลโม๋เอ๋อร์ตลอดไป ไม่คิดแบ่งแยกชนชั้นอันใดทั้งนั้น
หยูเสวี่ยคิดเช่นนั้น โดยไม่รู้เลยสักนิดว่าโม๋เอ๋อร์เองก็คิดเช่นเดียวกัน
เด็กสาวจึงเป็นสหายที่รู้ใจกัน และดูแลกันดังพี่น้องมากกว่าเจ้านายกับบ่าวไพร่ ซึ่งโหวฮูหยินก็ไม่เคยว่ากล่าวสิ่งใด กลับเห็นดีเห็นงามตามใจธิดา
“โม๋เอ๋อร์ เจ้าระวังกิริยาหน่อยเถิด หากใครเห็นเข้า เอาไปฟ้องท่านแม่ พวกเรามีหวังถูกคัดบทบัญญัติสตรีร้อยจบแน่ๆ”
หยูเสวี่ยอดห่วงเรื่องนี้มิได้ หลายครั้งเชียวที่นางถูกทำโทษให้คัดหนังสือจนปวดมือไปหมด
โม๋เอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้ายู่ปากยื่น ทุกสิ่งของที่นี่นางชอบทั้งหมด ยกเว้นเรื่องนี้เรื่องเดียวนี่ล่ะ!
ในขณะที่เด็กสาวทั้งสองพากันปรับเปลี่ยนกิริยาเริงร่าเกินงามให้กลับมาเป็นกิริยาแช่มช้อยงดงาม เสียงหนึ่งพลันดังแหวกอากาศอยู่ตรงเบื้องหลัง
“สตรีชั้นต่ำย่อมมิอาจสูงส่ง แค่บ่าวคนหนึ่งพี่รองต้องเหนื่อยถึงเพียงนี้เพื่อเหตุใด”
สิ้นเสียงพูด โม๋เอ๋อร์และหยูเสวี่ยจึงหันไปได้เห็นดรุณีน้อยนางหนึ่งยืนเชิดหน้าคอตั้งส่งสายตาดูแคลนเข้มข้น
ดรุณีนางนี้คือหยูเจวียน น้องสาวคนที่สามของบ้านโหว เป็นบุตรีของฮูหยินรองคนงามที่บิดารักมาก นางจึงผยองพองขนยิ่งนัก เพราะบิดาเองก็รักนางมากเช่นกัน เป็นฮูหยินใหญ่และบุตรสาวของฮูหยินใหญ่แล้วอย่างไร ในเมื่อน้ำหนักในใจของบิดาล้วนเอนเอียงมาทางนางสองแม่ลูก
น้ำเสียงเย้ยหยันของหยูเจวียนยังคงดังออกมา “เป็นไปได้ว่า พี่รองเองก็กำลังถูกฉุดให้ต่ำลงเช่นกัน”
กล่าวจบก็หัวเราะเสียงเหยียดในลำคอ นางรู้สึกชิงชังพี่สาวของนางเหลือเกิน หากไม่มีวั่นหรงและหยูเสวี่ย นางกับมารดาย่อมครองตำแหน่งใหญ่ที่สุดในเรือน
กับสาวใช้ของหยูเสวี่ยที่เก็บมาจากต่างถิ่น นางก็ไม่ชอบขี้หน้า ทั้งยังชิงชังหนักหนา
สตรีอันใดงามเกินหน้าเกินตาเจ้านาย หึ!
ความคิดเช่นนั้น หยูเสวี่ยมีหรือจะไม่รู้แจ้ง แม้ภายนอกนางดูอ่อนโยนและอ่อนหวาน ทั้งยังอ่อนแอบอบบางยอมทุกคน
หากแต่นางก็ไม่จำเป็นต้องโอนอ่อนตลอดเวลายามอยู่ลับหลังผู้ใหญ่นี่นา
“น้องสามกล่าวออกมาเช่นนี้คงไม่ดีนัก คำพูดไม่ดีไม่ควรมีในสตรีสูงส่ง อ้อ...พี่สาวลืมไป ว่าเจ้าเองก็มิได้สูงส่งสักเท่าใด”
หยูเสวี่ยกล่าวจบก็ยกยิ้มหวานหยดวาดไปถึงดวงตา
แน่นอนว่ามารยาเช่นนี้ล้วนมีในกระแสเลือด เด็กสาวกระทำได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ติ แม้กระทั่งตนเองยังไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าจักทำได้ ทุกครั้งนางก็มักจะเลือกทำยามอยู่ลับหลังผู้ใหญ่
และคำพูดเช่นนั้นก็ทำเอาน้องสามของบ้านถึงกับเบิกตากว้างกระทืบเท้าขัดใจ “พี่รองช่างปากร้ายนัก ข้าจะฟ้องท่านพ่อ”
หยูเสวี่ยเพียงยกยิ้มเย็นชา “เจ้าจะฟ้องว่าอย่างไรหรือ?”
หยูเจวียนยกนิ้วชี้หน้าโม๋เอ๋อร์ “พี่รองรวมหัวกับสาวใช้ชั้นต่ำเยี่ยงคางคกที่วันๆ เอาแต่ทำตัวเป็นห่านฟ้า รังแกข้า”
จบคำก็ร้องไห้โฮ ในจังหวะที่หางตาเหลือบไปเห็นนายท่านโหวเดินมาพอดิบพอดี
“เกิดสิ่งใด? พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน?”
โหวเซินเดินมาเห็นลูกรักถูกรังแกจึงเอ่ยถามทันที เขาตรงมาที่หยูเจวียนทันใด สายตาส่งผ่านความห่วงใยไม่ปิดบัง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาสตรีอันเป็นที่รักมักตกเป็นรอง และลูกรักก็ต้องตกเป็นรองเช่นกัน เขาจับไหล่บอบบางของบุตรสาวตัวน้อยเบาๆ อย่างอ่อนโยน แล้วเอ่ยถามเสียงขรึมเผยคำตำหนิในแววตาชัดเจนมาทางหยูเสวี่ย
“เจ้าทำอันใดน้อง เสวี่ยเอ๋อร์”
นายท่านโหวเป็นชายที่มีจิตใจเอนเอียงจริงอย่างมิต้องสงสัย หยูเสวี่ยย่อมรู้ดีแก่ใจ นางจึงยืนเงียบไปไม่พูดจา เอาแต่ก้มหน้าด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม
ส่วนหยูเจวียนได้ทีจึงรีบเงยหน้าหมายจะฟ้องร้องใส่ร้ายอีกฝ่ายให้มากที่สุด
แต่ทว่า สิ่งไม่คาดคิดพลันบังเกิด
จู่ๆ เด็กสาวก็จุกที่ทรวงอก เจ็บที่ลำคอ ปวดแสบปวดร้อนไปหมด ทำให้ไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้ อยากฟ้องสิ่งใดก็ได้แต่นิ่งไป ยิ่งกว่านั้นยังยิ้มแย้มออกมาแล้ววิ่งอย่างร่าเริงคล้ายร่ายระบำจากไปเสียอย่างนั้น
“...!?”
โหวเซินถึงกับยืนนิ่งจ้องมองบุตรสาวสุดที่รักด้วยอาการอึ้งงัน ก่อนจะเดินจากไปอย่างฉงน ไม่คิดสืบสาวอันใดอีก ด้วยเห็นว่าเด็กๆ ก็มักจะเป็นเช่นนี้ ซุกซนเข้าใจยาก
หยูเสวี่ยเองก็งุนงงไม่ต่างกัน เด็กสาวไม่รู้นางคิดไปเองหรือไม่ ว่าระยะนี้น้องสาวของนางเปลี่ยนไป ดูไม่ค่อยจะจริงจังในการกลั่นแกล้งนางเหมือนเมื่อก่อน
น่าแปลกยิ่ง!
ท่ามกลางความไม่รู้แจ้งของทุกคน มีเพียงโม๋เอ๋อร์เท่านั้นที่รู้ดีกว่าใคร แต่คำสั่งของบิดายังคงรัดรึงอยู่ในใจ
‘พลังวิเศษใดๆ ล้วนนำภัย จงเก็บงำเอาไว้มิอาจเผย’
นำภัยหรือเปล่านางไม่รู้ แต่แน่นอนว่านางมิอาจเปิดเผย
นางแค่ส่งกระแสปราณพลังจิตชนิดหนึ่งสั่นคลอนประสาทของหยูเจวียนก็เท่านั้น
ทุกครั้งนางก็แค่แอบทำ หึหึ!
วันเวลาผ่านไปรวดเร็วประหนึ่งสายธาราเชี่ยวกรากโม๋เอ๋อร์ปีนี้อายุครบสิบห้าปี หยูเสวี่ยก็เช่นกัน บัดนี้สตรีทั้งสองเติบโตเต็มวัยเป็นสาวงามสะพรั่งสะคราญโฉมยิ่งโม๋เอ๋อร์มีดวงตากลมโตใสกระจ่าง ผิวขาวราวหิมะ ใบหน้าเรียวเล็ก รอยยิ้มพริ้มเพรา ท่าทางใสซื่อ นิสัยซุกซนหยูเสวี่ยมีดวงตาเรียวงาม ใบหน้าขาวพิสุทธิ์ผุดผ่อง ท่าทางบอบบาง กิริยาอ่อนหวาน นิสัยเรียบร้อย จิตใจดีหลังจากพ้นพิธีปักปิ่นของบุตรสาว เรื่องที่วั่นหรงหวาดหวั่นมาโดยตลอดก็มาเยือน นั่นก็คือสมรสพระราชทานสกุลโหวเป็นตระกูลใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขามากมายไปทั่วแคว้น ทั้งยังแข็งแกร่งยิ่งนักในราชสำนัก ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับหนุนหลังเชื้อพระวงศ์คราก่อนบุตรสาวคนโตของวั่นหรงต้องเดินทางไกลไปแต่งให้อ๋องหนุ่มที่มีอนุชายาอยู่แล้วถึงสามคน ครานี้บุตรสาวคนรองของนางต้องแต่งให้องค์รัชทายาท ที่มีอนุชายาอยู่แล้วจนเต็มตำหนักบูรพา ในภายภาคหน้าก็ยังจะต้องขึ้นเป็นฮองเฮาเมื่อสวามีขึ้นเป็นฮ่องเต้ รับสนมอีกนับร้อยพันในทุกสามปีเช่นนี้จะไม่ให้วั่นหรงเป็นห่วงหยูเสวี่ยผู้อ่อนโยนบอบบางได้อย่างไรองค์รัชทายาทแห่งต้าหมิงผู้นี้ได้รับฉายาว่าไท่จื่อทมิฬ มีประวัติอันห
ภายในห้องส่วนตัวด้านในที่ลึกที่สุดของตัวเรือนโม๋เอ๋อร์ถูกเรียกเข้ามาเพียงผู้เดียว หญิงสาวนั่งคุกเข่าต่อหน้าวั่นหรงอย่างงุนงงเป็นที่สุดนางทำอันใดผิดไปหรือไร แต่นางไม่เคยสำแดงฤทธิ์เดชใส่ผู้ใดเลยนี่นาหญิงสาวเอียงหน้าเล็กน้อยกลอกตาไปมาอย่างไม่เข้าใจในชีวิตการถูกฮูหยินใหญ่เรียกเข้ามาพบเป็นการส่วนตัวเพียงลำพัง นั่งจ้องหน้ากันเพียงสองต่อสอง ทำนางอดหวาดหวั่นมิได้นางนับถือฮูหยินใหญ่ประหนึ่งมารดา จึงไม่แปลกหากนางจะเกรงใจเป็นอย่างมาก ไม่กล้าล่วงเกินเลยแม้แต่น้อยหมาแมวหากได้ข้าวได้น้ำย่อมซื่อสัตย์สุดชีวิตอยู่เหย้าเฝ้าเรือนยินดีรับใช้ตลอดไปบุญคุณแค่เพียงน้ำหยดย่อมทดแทนด้วยน้ำทั้งทะเลสาบโม๋เอ๋อร์แม้โง่เขลา แต่เรื่องนี้อย่าได้ดูเบานางเชียวแต่สิ่งไม่คาดคิดพลันบังเกิด เมื่อวั่นหรงคุกเข่าลงตรงหน้าของโม๋เอ๋อร์หญิงสาวให้รู้สึกตกใจนัก “ฮูหยินใหญ่ ท่านจะทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ? คุกเข่าให้ข้าทำไม?”วั่นหรงถามเสียงเบา “โม๋เอ๋อร์ ข้าดูแลเจ้าดีหรือไม่?”โม๋เอ๋อร์พยักหน้าตอบรับ “ดีเจ้าค่ะ”“แล้วข้าเลี้ยงดูเจ้าขาดตกบกพร่องสิ่งใดหรือไม่?”หญิงสาวรีบส่ายหน้า “ไม่เลยเจ้าค่ะ”ฮูหยินใหญ่ได้ฟังเช่นนั้นก็พยักหน้าพ
พระราชวังหลวงของต้าหมิงนับได้ว่าใหญ่โตมากนักมีตำหนักขององค์จักรพรรดิที่งดงามใหญ่โตกินพื้นที่กว้างขวาง ประกอบได้ด้วยตำหนักน้อยใหญ่และเรือนอีกมากมายล้อมรอบทว่าที่ห่างออกมาจากพระราชวังชั้นในส่วนพระองค์ก็ใหญ่โตและกว้างขวางไม่แพ้กันก็คือทิศบูรพาของพระราชวังภายในตำหนักบูรพา ลึกเข้าไปยังเรือนหลักของตำหนัก หมิงเสียงกง หนึ่งในสถานที่ส่วนพระองค์ของรัชทายาทหมิงเฉิงบนที่นั่งอันโออ่าลวดลายประณีตสีทองอร่าม มีเรือนร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำสนิทแผ่บารมีของผู้สูงศักดิ์ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติเขาเพียงนั่งนิ่งๆ ไร้การเคลื่อนไหว ทว่าท่าทางทรงพลังน่าเกรงขามกลับแผ่กลิ่นอายสังหารเป็นวงกว้างอยู่รอบด้าน สร้างความหวาดหวั่นสั่นสะพรึงให้เหล่าบริวารเกินพรรณนาใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยไรหนวดเขียวครึ้ม เสริมให้เกิดความดำทะมึนหนาวเหน็บปกคลุมไปทั่วบริเวณดวงตาเรียวดำลึกล้ำทอประกายเฉียบคมตลอดเวลา ยามมองกราดเพียงแวบเดียวก็แผ่รังสีชั่วร้ายออกมา บ่งบอกได้ถึงอันตรายไร้ขีดจำกัด ทำเอาบ่าวไพร่พากันขนลุกเสียวสันหลังวาบหมิงเฉิงโบกมือเบาๆ เพื่อไล่ขันทีออกไปอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากฟังคำรายงานเกี่ยวกับการส่งอนุหลายนางเข้าวังม
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตัวเขาในวัยสิบเจ็ดปีได้มีโอกาสออกท่องเที่ยวนอกวังหลวงแบบส่วนตัว มิคาดว่าครานั้นจะเป็นกลอุบายให้ผู้ร้ายส่งนักฆ่านับร้อยล่าสังหารเขา ในขณะที่เขามีองครักษ์ติดตามเพียงไม่กี่คนพวกมันต้อนเขาให้จนมุมไร้หนทางรอด กระทั่งเขาต้องหนีตายเข้าไปในป่าใหญ่รกทึบอันเร้นลับอับชื้น เจอกับฝูงหมาป่าตัวโตเขี้ยวใหญ่พวกมันได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งของเขาที่ได้รับจากคมดาบฝ่ายศัตรู จึงรุมขย้ำเขาจนเลือดสาด เกือบสิ้นลมหายใจอยู่ใต้ต้นไม้เย็นเยียบเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หมิงเฉิงก็ค่อยๆ หลับตา นำพาความมืดมิดเข้าแทนที่แสงสลัวเลือนรางภายในห้องอาบน้ำแม้ม่านตาดำถูกเปลือกตาปกคลุมจนสิ้น หากแต่ห้วงคำนึงยังคงเห็นภาพของสตรีนางน้อยในชุดจิ้งจอกขนเงินบางทีอาจนางมิใช่สตรีธรรมดา ทั้งยังไม่แน่ว่าอาจจะเป็นหนวี่เสิน[1]แต่เมื่อได้ไตร่ตรองให้ดี ชายหนุ่มก็แน่ใจว่าเด็กน้อยนางนั้นมิใช่ภูตผี เพราะลมหายใจกรุ่นร้อนที่รินรดยามก้มหน้ามองเขา และฝ่ามืออบอุ่นที่แตะไหล่ของเขา ล้วนบ่งบอกได้ดีว่านางเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง ทว่าพลังลมปราณเหนือสามัญเยี่ยงนั่นคืออันใดเขายังไม่แน่ใจหลายวันที่มีชีวิตรอดออกมาจากป่าทึบ หลายปีที่มีชีวิต
ทิศบูรพาแห่งพระราชวังต้าหมิง ลึกเข้าไปภายในตำหนักหมิงเสียงกงของรัชทายาทหมิงเฉิงหน้าประตูบานใหญ่ของห้องชั้นนอก มีขันทีประจำตำหนักยืนรอรับใช้พร้อมนางกำนัลติดตามขนาบข้างซ้ายขวาทุกคนอยู่ในกิริยายืนนิ่งก้มหน้าคล้ายหุ่นไม้ ถัดออกไปไม่ไกลมีทหารยามยืนนิ่งประหนึ่งศิลาเรียงรายท่ามกลางความมืดสลัวที่เงียบสงบ ปลายเท้าแผ่วเบาแต่มั่นคงเดินเรียบเรื่อยมาตามทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินสีดำเจ้าของปลายเท้าเป็นร่างสูงสง่าในอาภรณ์ราชองครักษ์เขาพาใบหน้าหล่อเหลาเยื้องย่างมาที่หน้าห้องส่วนตัวของรัชทายาทหมิงเฉิงชายหนุ่มคือคนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของรัชทายาทต้าหมิงผู้นี้ที่ได้รับสิทธิพิเศษให้เข้าห้องต้องห้ามได้เจ้าของใบหน้างดงามในอาภรณ์ราชองครักษ์หยุดยืนอยู่หน้าประตูด้วยท่าทางนิ่งสงบ เพียงครู่ก็เอ่ยปากด้วยเส้นเสียงราบเรียบกับขันทีหน้าห้อง “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด คืนนี้ข้าจะอยู่รอรับใช้รัชทายาทเอง”ขันทีและนางกำนัลค้อมศีรษะแล้วพากันเดินไปอย่างเงียบเชียบทันทีคล้อยหลังบ่าวไพร่ ร่างสูงจึงเปิดประตูแล้วปิดลงแผ่วเบาก่อนจะหายลับไปอย่างเงียบงันภายในห้องมืดสลัว เสียงทุ่มต่ำเอ่ยขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด“พระองค์เป็นถึง
เจียงฮองเฮาคือพี่สาวของมารดาที่แท้จริงของหมิงเฉิง ซึ่งเป็นสนมชั้นกุ้ยเฟย สิ้นชีพไปหลังจากให้กำเนิดหมิงเฉิงเพียงไม่นาน สาเหตุล้วนมาจากริษยาของสตรีวังหลังอันถูกความโปรดปรานของฮ่องเต้กระตุ้นเจียงฮองเฮาไร้บุตรธิดา และหมิงเฉิงคือหลานชายแท้ๆ พระนางจึงรับหมิงเฉิงมาดูแลด้วยองค์เองอย่างดีเสมอมากระทั่งพระนางตั้งครรภ์มังกรเป็นของตนเอง ก็ยังคงรักทะนุถนอมหมิงเฉิงไม่เสื่อมคลายเมื่อได้ฟังความจริงจากปากของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาจึงคล้ายกับได้ยินเสียงสวรรค์ด้วยเหตุนี้คำครหาและเคลือบแคลงสงสัยในตัวหมิงเฉิง จึงได้ฮองเฮาลอบปกป้องอย่างลับๆ จนเขาเติบใหญ่ และเพื่อที่แผนการตลบหลังศัตรูจะได้ดำเนินต่อไป ทั้งยังไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น พระนางจึงเงียบเชียบที่สุด หาได้โจ่งแจ้งไม่น้ำพระทัยของฮ่องเต้ยากแท้หยั่งถึง ความรู้สึกนึกคิดล้วนเกินคาดเดาในทุกสิ่ง ฮองเฮากับหมิงเฉิงจึงร่วมกันปกปิดเรื่องของทายาทน้อยเอาไว้ได้อย่างแนบเนียนเสมอมาความลับนี้จึงรู้เพียงสี่คน คือฮองเฮา หมิงเฉิง แม่นมเฒ่า และตัวหมิงจินเอง เพื่อรอเวลาที่เหมาะสมมอบบัลลังก์มังกรให้แก่เจ้าของที่แท้จริงตามกฎมณเฑียรบาลแห่งต้าหมิง ตำแหน่งรัชทายาทอันเป็
สามเดือนหลังจากถูกเคี่ยวกรำให้กลายเป็นสตรีดีพร้อมสำหรับออกเรือนด้วยไม่ต้องการให้เกิดเหตุใดผิดพลาดก่อนถึงวันแต่งงาน วั่นหรงจึงแอบรับโม๋เอ๋อร์เป็นบุตรสาวบุญธรรมอย่างลับๆ หาได้เปิดเผยออกไป เพราะอาจถูกคัดค้านจนเสียแผนการ ทั้งนี้ยังเป็นเกราะป้องกันชั้นหนึ่งอย่างดี หากเกิดเหตุใดผิดพลาดขึ้นหลังจากแต่งงาน เรื่องนี้อาจจะสามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้ อย่างน้อยก็คงไม่ต้องถึงขั้นประหารเก้าชั่วโคตรกระมังโหวฮูหยินรู้ดีแก่ใจว่า เรื่องนี้นับเป็นการหลอกลวงเบื้องสูงอย่างสาหัส มีโทษถึงตาย ประหารทั้งตระกูล แต่นางก็ยังยอมเสี่ยงโดยไม่กลัวเกรงอาญาแผ่นดิน ด้วยรักบุตรสาวเหลือเกินขอเพียงรัชทายาทหมิงเฉิงหลงใหลในตัวโม๋เอ๋อร์ก็เท่านั้นวั่นหรงลอบฝึกปรือบ่มเพาะโม๋เอ๋อร์อย่างเข้มงวดจนมั่นใจว่าเสน่หานวลนางร้ายกาจเข้าขั้น จึงรู้สึกพึงพอใจมากเมื่องานมงคลเกิดขึ้นตามกำหนดการ โดยไม่มีคลาดเคลื่อนเลยแม้แต่น้อย ฤกษ์งามยามอยู่บ้านเจ้าสาว มีสายตาหลายคู่จากคนบ้านโหว ไม่ว่าจะเป็นนายท่านโหว ฮูหยินรอง ฮูหยินสาม และอนุงดงามทุกนาง ยังมีบุตรธิดาอีกหลายคน ที่คอยจับจ้องด้วยริษยาโม๋เอ๋อร์จึงอยู่ไกลๆ ไม่เข้าใกล้พิธี ส่วนหยูเสวี่ยก็ทำต
มิใช่เพียงหยูเสวี่ยฝ่ายเดียวที่กำลังคิดการณ์ปกป้องโม๋เอ๋อร์อยู่หากแต่โม๋เอ๋อร์เองก็กำลังคิดการณ์เช่นเดียวกันหญิงสาวพร้อมเชื่อฟังและปกป้องทุกคนอยู่แล้ว เพราะทั้งวั่นหรงและหยูเสวี่ยคือครอบครัวของนางนี่นาอีกอย่าง เรื่องการแต่งงานนี่ก็ไม่เห็นจะยากเลยสักนิด เพียงแค่ทำตามคำแนะนำทุกสิ่งจากฮูหยินที่สรุปได้เพียงสามคำยั่วยวน เจ้าเล่ห์ และสมสู่นางเคยเห็นสัตว์ป่าสมสู่กันบ่อยไป ไม่ว่าจะเป็นหมูป่า กวาง เก้ง ลิง นก ส่วนปลายังไม่เคยดำน้ำลงไปดูเสียทีหญิงสาวเหลือบตามองผ่านผ้าคลุมหน้าไปที่คานด้านบนของเรือนหอ ในใจก็ครุ่นคิดอีกว่าหากจะสมสู่เยี่ยงลิงที่โหนอยู่บนต้นไม้คงไม่เหมาะเช่นนั้นแล้วแค่นอนราบบนเตียงนอนตามภาพในตำราที่โหวฮูหยินเปิดให้ดูก็พอกระมังหึหึ! ยากที่ใด?โม๋เอ๋อร์นั่งหัวเราะอยู่ในใจภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีแดงเนิ่นนานผ่านไป เปลวเทียนเริ่มอ่อนแสง หากแต่เจ้าบ่าวก็ยังไม่ปรากฏกายเสียทีโม๋เอ๋อร์จึงทนมิได้อีกต่อไป“คุณหนู ข้าหิวแล้ว”หยูเสวี่ยได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตาโต รีบปรามเสียงเบา“จุ๊ๆ เจ้าต้องเรียกข้าว่าเสี่ยวโม๋ ห้ามเรียกว่าคุณหนูนะ ส่วนข้าก็จะเรียกเจ้าว่าพระชายา อย่าลืมข้อนี้เชียว”หญิงสาว
เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฮองเฮาจึงผินพระพักตร์ปรายสายพระเนตรมาทางองค์รัชทายาทบ้าง ทว่ากลับเห็นท่าทางเย็นชาแววตาเย็นเยียบกิริยาห่างเหินกับชายาโหว ก็ให้นึกแปลกพระทัยแต่กระนั้นก็คิดเพียงว่าจะไม่ยุ่งเรื่องยิบย่อยของบุตรชาย เพียงปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง พระนางเพียงกระทำตามแผนการของหมิงจินกับสาวใช้คนงาม ที่ขอให้แสดงความโปรดปรานต่อธิดาโหวให้เป็นที่ประจักษ์ก็เท่านั้นชั่วจังหวะที่กำลังสงสัยในอากัปกิริยาอันน่าครั่นคร้ามของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาพลันได้ยินเสียงหวานใสของสตรีด้านซ้ายกล่าวพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพราว่า“หม่อมฉันย่อมทำเพื่อเสด็จแม่เพคะ และจะมาหาบ่อยๆ ไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวแน่ๆ” โม๋เอ๋อร์กล่าวจากใจจริง กิริยาวาจาล้วนน่ารักสดใส ไร้การเสแสร้งทั้งสิ้นเจียงฮองเฮาแย้มสรวล “ดียิ่ง ดีจริงๆ”“เพคะ” โม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มละมุน กิริยาหมดจดพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดวงตากลมโตพิสุจธิ์สดใส เผยความดีใจที่ได้มีมารดาเพิ่มอีกหนึ่งคนทว่าใบหน้าหล่อเหลาของหมิงเฉิงยิ่งดำทะมึนนึกขัดใจ หากเขาต้องพาชายาโหวเข้าวังบ่อยๆ ได้อึดอัดตายพอดีต่อหน้าเสด็จแม่จักทำอันใดตามแต่ใจได้ที่ใด?ความไม่พอใจฉายวาบผ่านแววตาคม สีหน้าเผยคว
ในวันนี้เจียงฮองเฮาทรงเรียกองค์รัชทายาทและพระชายามาจิบชาชมบุปผาพร้อมทั้งพาเดินเที่ยวให้ทั่ววัง ตามความประสงค์ทางสายตาของหมิงจินที่เชื่อฟังสาวใช้คนงามเหลือเกินซึ่งอันที่จริงพระนางก็มีความต้องการที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วเมื่อทราบข่าวราชโองการของฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วเรื่องนี้นับได้ว่าหนักหนาพอควร สำหรับโอรสที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท ขั้วอำนาจซึ่งเป็นฐานที่มั่นถูกสั่นคลอนเช่นนั้น มิใช่เพียงรักษาตำหนักบูรพาลำบาก หากแต่ยังอาจสร้างความบาดหมางได้ไม่ยาก นับจากนี้การลอบสังหารคงมีตามมามากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากหลายสกุลที่ถูกส่งคืนคงแค้นเคืองไม่น้อยแน่นอนว่าฝีมือของหมิงเฉิงไม่น่าห่วงในเรื่องนี้ เพียงแต่เจียงฮองเฮาก็ไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตจนเกินไปหมิงจินก็เช่นกัน กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้ เขาได้หลับสบายสักคืนหรือไม่?พระมารดาแห่งต้าหมิงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยยามถูกโม๋เอ๋อร์จับประคองมือซ้ายพาเดินเล่นไปตามทางเดินของอุทยานหลวง ด้านขวายังมีหมิงเฉิงเดินตระหง่านดำทะมึนมาด้วยกัน ท่าทางของรัชทายาทหนุ่มในยามนี้ แม้สูงส่งงามสง่าแต่ทว่าเปี่ยมพลังกดข่มเขย่าขวัญผู้คนไปทั่ววันนี้นับได้ว่าอากาศด
เจียงฮองเฮามองตามแผ่นหลังของสองชายหญิงเงียบๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะตรัสออกมาทางสวี่กูกูที่ยืนอย่างสงบเยื้องไปทางด้านหลังอยู่เพียงลำพัง ปราศจากผู้อื่นนอกจากนาง“เจ้าคงเห็นแล้ว ว่าลูกๆ ของข้าน่าเป็นห่วงปานใด”สวี่กูกูคือแม่นมของหมิงเฉิงในอดีต ที่รับรู้เรื่องราวอันเป็นความลับทุกสิ่ง จึงมิใช่เรื่องแปลกหากเจียงเฟิ่งจักเปิดเผยตามตรงกับอีกฝ่าย “เรื่องเส้นสายราชสำนัก หรือขั้วอำนาจใดๆ ล้วนไม่ยากหากข้าจะช่วย ทว่าเรื่องอื่นๆ เล่า”สวี่กูกูค้อมตัวกล่าวอย่างนอบน้อมแต่ตรงไปตรงมา ด้วยเข้าใจความห่วงใยที่มากล้นเกินจำเป็นของเจ้านาย“ทูลฮองเฮา เรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว เราควรปล่อยไปตามโชคชะตานำพาเพคะ ขออย่าทรงกังวลจนเกินไป”“จะดีหรือ?” เจียงเฟิ่งไม่แน่ใจ “ข้าไม่ต้องช่วยจริงหรือ?”“ย่อมดีเพคะ เรื่องเหล่านี้ เราสองคนที่ไม่เคยประสบย่อมไม่เข้าใจนะเพคะ”เจียงเฟิ่งพลันเงียบงันปราศจากถ้อยวาจา ด้วยไม่อาจเห็นต่าง เพราะว่านางกับสวี่กูกูเติบโตมาด้วยกันกระทั่งเข้าวังและไม่เคยเจอเรื่องรักใคร่เลยสักครั้งในชีวิตจริงๆการยื่นมือช่วยในบางเรื่อง อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีถึงแม้เจียงเฟิ่งจักได้แต่งงาน ทว่าการมีสามีของนางล้
ระยะทางจากตำหนักบูรพามายังตำหนักฉีหยางกงนับได้ว่าไกลมากทว่าวันนี้กลับรู้สึกเหมือนใกล้กว่าที่เคย หมิงเฉิงยังมิทันได้ซึมซับไอเย็นจากร่างนุ่มสักเท่าไหร่ก็ถึงเสียแล้วอ้อมกอดอุ่นพลันคลายออก ความร้อนวาบพลันจางหาย โม๋เอ๋อร์รู้สึกถึงความเย็นไหลผ่านร่างกายเมื่อวงแขนกำยำของสามีปลดออกไปความเสียดายบางประการจึงบังเกิดกับพวกเขาโดยมิได้นัดหมาย หญิงสาวถึงกับเม้มปากแน่น ในขณะที่ชายหนุ่มถึงกับลอบขบกรามทั้งสองพากันจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะลงจากรถม้าอย่างงามสง่าเฉกเช่นชนชั้นสูงปกติ หาได้มีพิรุธอันใดไม่ขณะนี้เป็นเวลายามสาย อากาศแจ่มใส แมกไม้ร่มรื่น แสงแดดอ่อนจาง ทางเดินเข้าตำหนักงดงามจับตา ชายผ้าของสองสามีภรรยาถูกสายลมโชยผ่านพัดพลิ้วเกี่ยวประสาน ประหนึ่งเป็นผ้าผืนเดียวกันตั้งแต่ย่างเท้าก้าวใดมิทราบได้ ที่ทั้งคู่เดินใกล้กันมาก โดยไม่รู้ตัวภายในห้องโถงรับแขก ที่แท่นประทับสลักทองคำเจียงฮองเฮายังคงนิ่งเงียบเพื่อฟังวาจานุ่มหวานของสาวใช้นางหนึ่งที่นั่งเคียงข้างกับองครักษ์หนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้านล่าง สองชายหญิงช่วยกันร้องช่วยกันรับอยู่หลายประโยค พูดจาส่งกันไปมาอย่างเปิดเผย
ไม่นานเลยกับการนั่งเป็นตุ๊กตาให้นางกำนัลช่วยกันประโคมเครื่องแต่งกายให้โม๋เอ๋อร์เดินกรีดกรายแช่มช้า พาร่างระหงในอาภรณ์สีสันสดใสลวดลายดอกไห่ถังตัดกับฤดูเหมันต์ได้อย่างลงตัว มาหยุดยืนอยู่นิ่งๆ ที่ข้างรถม้า สายตากวาดมองไปรอบๆ ไม่เห็นร่างสูงของสามี ก็ให้นึกแปลกใจแค่ไม่ยอมร่วมหอด้วยเมื่อคืน เขากลับแง่งอนหลบหน้าหลบตากันถึงเพียงนี้ สงสัยอยากได้อนุชายากลับมาใจจะขาดอา...แล้วนางต้องยอมหรือไม่?คำตอบคือ ไม่!หญิงสาวปราศจากความสนใจชายผู้แง่งอน รีบรับการจับประคองจากนางกำนัลขึ้นไปบนรถม้าด้วยกิริยาแช่มช้อยทว่าทันทีที่ทหารเปิดผ้าม่านให้ ดวงเนตรกลมใสพลันเห็นเงาร่างดำทะมึนที่คล้ายเมฆหมอกก่อนพายุโหมกระหน่ำนั่งตระหง่านอยู่ในนั้น โม๋เอ๋อร์ยังมิทันได้ตั้งตัวเตรียมใจ ก็ถูกฉุดรั้งเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว มือหนาของอีกฝ่ายจับกระชับข้อมือนางดึงเข้าหาแล้วโอบรอบเอวบางให้นั่งบนหน้าขาความว่องไวในกระบวนท่า พาให้คนงามตะลึงงันโม๋เอ๋อร์ตัวแข็งทื่อ ร่างนุ่มนิ่งค้างซ้อนอยู่บนร่างหนา รับรู้เพียงความอุ่นร้อนวาบผ่าน โอบล้อมร่างนางทั้งหมด“เหตุใดเมื่อคืนไม่ยอมเข้าหอ” เส้นเสียงทุ้มต่ำดังเล็ดลอดจากริมฝีปากได้รูป พ่นลมร้
น้ำค้างพราวระยับบนยอดหญ้า แสงแรกอรุณรุ่งเบิกฟ้า ส่องสว่างไปทั่วนภาโม๋เอ๋อร์ลุกขึ้นแต่งตัวงดงามตั้งแต่ฟ้าสาง แล้วนั่งจิบชาอุ่นอยู่กลางโถงเรือนอย่างเดียวดาย รอบกายไม่มีใครเลยสักคนหญิงสาวนั่งเท้าคาง นัยน์ตาหรี่ปรือ เนื่องจากเมื่อคืนยังมิได้นอนเลยจนป่านนี้เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะต้องคอยระแวดระวังชายผู้หนึ่งซึ่งเป็นสามี มิให้เขาได้เข้ามาเพื่อร่วมหอกับภรรยาเช่นนางหึ! ไม่ว่าสตรีนางใด ก็ไม่มีสิทธิ์กลับมาทั้งนั้น! เพราะว่านางจะไม่เข้าหอกับเขาเด็ดขาด…โม๋เอ๋อร์ประกาศกร้าวในใจ ดวงตาทอประกายเด็ดเดี่ยว เหลียวมองหลังอย่างระแวดระวัง ว่าถูกสามีตามติดหรือไม่ปรากฏว่าไม่มี ...มิรู้ได้ว่าเขาหายไปทางใด?หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ไล่มองไปทั่วห้องโถง เห็นมีนางกำนัลยืนอยู่หน้าห้องแค่สองคน นอกนั้นไม่มีใครเลยมิคาดว่าหยูเสวี่ยก็หายไปเช่นกัน ตั้งแต่เมื่อคืนกระทั่งยามนี้ก็ยังไม่เจออีกฝ่ายเลย เห็นเพียงจดหมายแผ่นหนึ่งวางเอาไว้ที่โต๊ะหัวเตียง มีข้อความบอกว่าต้องเร่งจัดการเรื่องราวบางประการ มิให้นางต้องเป็นห่วง ทำตัวตามปกติไปก่อน และต้องไม่ยอมเข้าหอกับรัชทายาทตำแหน่งประธานในโถงใหญ่ บนโต๊ะมีอาหารเช้าชุดหนึ่ง เหนื
ชายหนุ่มได้ยินเสียงนุ่มหวานของหญิงสาวกล่าวอีกว่า“ก่อนหน้านี้ข่าวในตำหนักแพร่สะพัดว่ารัชทายาทกับพระชายารักใคร่กันอย่างมาก มิสู้ปล่อยข่าวออกไปภายนอกให้ไกลอีกสักหน่อย แล้วรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้มากเข้าไว้ ตระกูลโหวแม้ยิ่งใหญ่ หากแต่ก็เป็นเพียงฝ่ายบุ๋นมาช้านาน หาได้กุมกำลังทหารกองใดไม่ การที่รัชทายาทฝ่ายบู๊ได้ใจนายท่านโหวฝ่ายบุ๋นเต็มเปี่ยม ย่อมได้ขั้วอำนาจเจ็ดตระกูลใหญ่ และเส้นสายฝ่ายต้นตระกูลโหวทั้งหมด ผนึกกำลังกับตระกูลเจียงของฮองเฮา นี่ยังไม่นับรวมหัวเรือใหญ่อีกหลายสกุล ที่จะเบนเข็มมาหาเมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไป”หยูเสวี่ยนิ่งขรึมชั่วครู่จึงเปรยขึ้นมาอีกคราว่า “ข้าพอจะดูออกว่าองค์รัชทายาทหาใช่บุรุษเจ้าสำราญที่ฝักใฝ่หญิงงามจนตามืดบอด เพียงแต่ไร้ใจกับพระชายาเกินไปก็เท่านั้น ส่วนการเข้าหอเพื่อดึงสตรีสกุลอื่นให้กลับมา ไม่จำเป็นเลยสักนิด และยิ่งได้สกุลเจียงของฮองเฮาช่วยออกหน้า มีหรือจะมิได้ผล”ในขณะที่หมิงจินก้มหน้าตั้งใจฟัง หยูเสวี่ยพลันช้อนตามองมาอย่างเคร่งเครียดแล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า“ถึงแม้พวกเขาจะแต่งงานกันแล้ว หากแต่ชายหญิงไม่ควรเข้าหอโดยไม่เต็มใจ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดล้วนลำบากใจทั้งสิ้น แ
หลังพุ่มไม้ใหญ่ห่างออกมาจากเรือนชิงเยว่ไม่ไกลหยูเสวี่ยและหมิงจินกำลังยืนสังเกตการณ์คู่สามีภรรยาอยู่เงียบๆ เป็นนานสองนาน ตั้งแต่ริมอุทยานกระทั่งในเรือนชิงเยว่ ทั้งสองล้วนได้ยินคำของหวังกงกงเช่นกัน คำถามคือ ต้องการให้คู่สามีภรรยาเข้าหอกันใช่หรือไม่? คำตอบย่อมต้องใช่!แล้วบรรดาอนุพวกนั้นเล่า ต้องการให้กลับมาหรือไม่? คำตอบย่อมต้องไม่!หยูเสวี่ยหันหน้ามองหมิงจินทันที ในแววตาคู่งามเผยทุกความคิด ทั้งข่มขู่และกดดันอีกฝ่ายอย่างรุนแรง“ท่านองครักษ์มีความคิดเห็นเช่นไรหรือเจ้าคะ”หญิงสาวถามชายหนุ่มข้างกายเสียงนุ่ม ทว่าสีหน้าจริงจังมาก แววตาคมกล้ายิ่ง หมิงจินเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ซ่อนแววเอื้อเอ็นดูเอาไว้พลางเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “ข้าคิดว่าองค์รัชทายาทคงคิดจะเข้าหอกับพระชายาในไม่ช้า”“ด้วยเหตุผลเรียกคืนเหล่าอนุกระนั้นหรือ?” หยูเสวี่ยพลันหลุดเสียงเข้มขึ้นมา เผยความหงุดหงิดถึงสามส่วน “หากเขาจะเข้าหอกับคุณหนูของข้าเพื่อดึงสตรีอื่นเข้ามา ก็ข้ามศพบ่าวผู้นี้ไปก่อนเถิด” กล่าวจบก็เม้มปากแน่น สีหน้าบึ้งตึงไม่พอใจหมิงจินให้รู้สึกเสียวสันหลังไม่ทราบสาเหตุ ไฉนคนงามผู้อ่อนหวาน ยามโกรธาช่างน่ากลัวยิ่งหยูเสวี่ยร
ใบหน้าหล่อเหลานิ่งขึงตัวเขาอยู่ระหว่างสงครามแห่งการอบรมสอนสั่งของสองพ่อลูกผู้ยิ่งใหญ่มาช้านาน อายุแม้เกินครึ่งร้อยมาเล็กน้อย แต่เส้นผมทั้งศีรษะล้วนขาวโพลนประหนึ่งอยู่มาหลายร้อยปี เฮ่อ!ไม่นาน ...หวังกงกงก็ค้อมศีรษะขอตัวกลับ รอจนได้รับสัญญาณพยักหน้าเบาๆ หนึ่งครา หวังกงกงไม่มีรอช้ารีบล่าถอยออกห่างอย่างหวาดหวั่นแล้วหายตัวไปอย่างเร็วคล้อยหลังขันทีเฒ่า รัชทายาทหนุ่มเพียงยืนนิ่งเคร่งขรึมอยู่ที่ริมอุทยานดังเดิมช่วงเดือนสิบย่างเข้าเดือนสิบเอ็ดเช่นนี้ สายลมยามราตรีนับได้ว่าเย็นเยียบยิ่งนัก หากแต่ร่างสูงคล้ายไม่รู้สึกรู้สา ยังคงยืนตระหง่านปานหินผายากสั่นคลอน ทว่าภายในใจกลับสั่นเบาๆใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ เงยขึ้น ดวงตาคมดำเข้มลึกดุจน้ำหมึกทอดมองออกไปไกลแสนไกล เห็นดวงจันทร์สีนวลผ่องส่องสว่างแขวนอยู่กลางนภากว้างไร้การเคลื่อนไหวในห้วงคำนึงพลันนึกถึงดวงเนตรงามที่มีสีเขียววูบไว ที่เกิดขึ้นมากกว่าสามครั้งของใครบางคน ทันใดนั้นหมิงเฉิงจึงได้คำตอบให้ตนเองเขาควรเชื่อฟังคำพระบิดา!ใต้ต้นเหมยฮัวห่างออกมาจากริมอุทยานที่มีร่างสูงสง่าของรัชทายาทหนุ่มยืนนิ่งเงียบงันใต้แสงจันทร์งามโม๋เอ๋อร์ที่แอบมองอยู่ก็เร