ห้าปีต่อมา...
โม๋เอ๋อร์ในวัยสิบสองปีเริ่มมีอาการผิดปกติบางประการกับร่างกาย นางเป็นไข้หวัดอาการประหลาด ร่างกายอ่อนแอเพราะลมปราณและหลอดเลือดเปิด ทำให้ความร้อนความเย็นจากภายนอกเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายและลึกกว่าที่เคย
ปกติอาการไข้หวัดก็แค่ปวดหัวตัวร้อน ครั่นเนื้อครั่นตัว ไอจามน้ำมูกไหล แต่ครานี้นางกลับมีอาการแปลกไป เดี๋ยวมีไข้ตัวร้อน เพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นหนาวสั่นตัวเย็น สลับกันไปมา
อยากอยู่เงียบๆ ไม่อยากอาหาร ปากขมคอแห้ง มีความร้อนเย็นสลับไปสลับมา รู้สึกรุ่มร้อนไปหมด
ระหว่างที่ย่ำแย่ด้วยอาการหวัดประหลาด ก็เจ็บท้องมาก ทั้งยังมีเลือดออกจากส่วนสงวนทำให้หว่างขาแดงฉานจนน่ากลัว
แน่นอนว่าโม๋เอ๋อร์ไม่รู้ว่าที่เป็นอยู่เรียกว่า การมีระดู และไข้หวัดที่เป็นก็คือไข้ทับระดู[1]
แต่ต่อมานางก็เริ่มระลึกได้จากการสังเกตสัตว์ป่าเพศเมียบางประเภท ไม่ว่าจะเป็นลิงป่า หมาป่า ที่ส่วนสงวนของพวกมันมีลักษณะบวมและมีเลือดออก เฉกเช่นนางในยามนี้ และต่อมาพวกมันก็มีการสมสู่กับเพศตรงข้าม แล้วก็ให้กำเนิดทายาทตัวน้อยจนเต็มผืนป่า
โม๋เอ๋อร์พลันเข้าใจในทันใด นางจึงเบิกตาโตอ้าปากค้างตะลึงงันครู่ใหญ่
หนอนน้อยในดักแด้กลายร่างเป็นผีเสื้อแสนสวยฉันใด เด็กน้อยก็กำลังจักกลายร่างเป็นเด็กสาวที่งามสะพรั่งฉันนั้น
ถึงแม้ว่าในป่าใหญ่ไม่มีมนุษย์ที่เป็นบุรุษมาเกี้ยวพา หากแต่การสืบพันธุ์ของสรรพสัตว์ย่อมเหมือนกัน ทุกสิ่งคือธรรมชาติสรรค์สร้าง ทุกอย่างคือวัฏจักรของมัน
กลิ่นสาบสางของเพศเมียยามนี้ล้วนดึงดูดเพศผู้ทั้งสิ้น ไม่เว้นแต่โม๋เอ๋อร์ที่บัดนี้มีสัตว์ป่าน้อยใหญ่พากันมาวนเวียนรอบกายมากมายคล้ายต้องการช่วงชิง
แต่ละตัวส่งสายตาแวววับพราวระยับจ้องเขมือบแบบแปลกๆ จนเด็กสาวรู้สึกหนาวยะเยือกไปหมด
ที่ผ่านมานางไม่เคยหวาดหวั่นกริ่งเกรงต่อสิ่งใด หากแต่การสมสู่กับสัตว์ป่าแล้วให้กำเนิดทายาทหน้าตาประหลาดครึ่งคนครึ่งสัตว์ นางรู้สึกกลัวยิ่ง ยามนอนยังผวายามลืมตายังระแวง
อา...นางทำใจมิได้เอาเสียเลย
ถึงแม้ว่าจะเป็นถึงโม๋กุ่ยเสินเหนือสามัญ มีปราณเทพพลังมารเปี่ยมล้น แต่เด็กสาวก็นับเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งด้วยเลือดของบิดา แม้จะเป็นครึ่งคนครึ่งเทพปีศาจ หากแต่รูปลักษณ์ของบิดามารดาหาใช่สัตว์ร้ายน่าเกลียดไม่
หากนางถึงวัยสมสู่และต้องให้กำเนิดทายาทอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง คู่ของนางก็ควรเป็นมนุษย์เพศผู้ถึงจะถูกต้อง
อืม...แต่ที่นี่ไม่มีบุรุษเลยนี่นา
หลายปีที่ใช้ชีวิตเพียงลำพังในป่าเขาลำเนาไพร นางรู้สึกได้ว่า ตนเองช่างโง่เขลาเบาปัญหาในหลายเรื่องราวเหลือเกิน อีกทั้งนางยังเบื่อเต็มทีกับการต้องร่อนเร่ย้ายถิ่นไปกับพวกสัตว์ป่า
หลังจากครุ่นคิดหนักหน่วง เด็กสาวจึงตัดสินใจออกจากป่าใหญ่ หวังเพียงใช้ชีวิตเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป
โม๋เอ๋อร์สวมใส่อาภรณ์สีเขียวมรกตของมารดาที่ทิ้งเอาไว้ มิได้สวมชุดขนสัตว์หายากแต่อย่างใด ด้วยไม่ต้องการผิดสังเกตจนเกินไป ก่อนจะพาร่างกายที่เจ็บป่วย ใบหน้าและดวงตาแดงก่ำด้วยพิษไข้ เดินทางรอนแรมมาไกล
พลบค่ำจนดึกดื่นในคืนเพ็ญ จันทร์งามเด่นกลางนภาโม๋เอ๋อร์ยังไม่ทันออกนอกป่าเสียงสายหนึ่งพลันดังแว่วมา เป็นเสียงคล้ายโลหะกระทบกัน ดังเคร้งคร้างไปทั่ว โม๋เอ๋อร์มิได้นึกหวาดกลัว เพียงแต่นึกแปลกใจว่ามันคือเสียงอันใดด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามวัย สาวน้อยจึงเดินลัดเลาะพงไพรไปตามเสียงนั้นเมื่อแหวกพงหญ้าหนาทึบออกกว้าง เบื้องหน้าในระยะสายตา ฝ่าความมืดสลัวท่ามกลางแสงจันทร์สาดส่องไปทั่ว จึงได้เห็นเป็นกลุ่มของชายฉกรรจ์ตัวใหญ่จำนวนหลายคน กำลังต่อสู้กันอยู่อย่างบ้าคลั่งดุเดือดผ่านไปครู่หนึ่ง ชายพวกนั้นก็พากันล้มตายระเนระนาด เศษซากร่างกายกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่ว ไม่มีผู้ใดรอดสักคน ลักษณะการเข่นฆ่า คือเจ้าตายข้าม้วย ตกตายตามกันเมื่อพายุโลหิตสงบลง คงเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณของชายทั้งหลาย โม๋เอ๋อร์แน่ใจ รอเพียงสัตว์ร้ายในป่าลึก ได้กลิ่นคาวคละคลุ้งเหล่านี้ พวกมันก็พร้อมจะออกจากรังมารุมขย้ำ ฉีกทึ้งเนื้อหนังอันโอชาอย่างหิวกระหาย แน่นอนว่า เจ้าพวกที่นอนตายสนิทและยังที่ตายไม่สนิทก็จะกลายเป็นอาหารของพวกมันเมื่อคิดได้เช่นนั้น เด็กสาวจึงตัดสินใจเดินเข้าไปสำรวจสักครา ดูทีว่ายังม
โม๋เอ๋อร์เดินทางต่อ โดยไม่นึกใส่ใจเหตุการณ์ก่อนหน้ากระทั่งเช้าตรู่วันต่อมา ได้เจอกับขบวนเดินทางของคนกลุ่มหนึ่ง กำลังหยุดพักกินอาหารกลางทางริมชายป่า เด็กสาวจึงเดินเข้าหาแล้วมองอย่างโง่งมครู่ใหญ่อาหารที่พวกเขากินล้วนแปลกตา กลิ่นหอมยิ่ง การแต่งกายก็หลากหลาย งดงามเหลือเกิน โดยเฉพาะสตรีสองคนที่นั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนในขบวน ได้ยินการเรียกขานว่าฮูหยินใหญ่กับคุณหนูรองโม๋เอ๋อร์ยืนนิ่งกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าซีดเซียวเอียงไปมาน้อยๆ มองทุกสิ่งอย่างชอบใจนางเป็นสตรีผู้หนึ่งจึงชมชอบของสวยงามอย่างมิอาจห้ามได้ และอาหารกรุ่นกลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายไหลก็รบกวนจิตใจเหลือเกินแต่แน่นอนว่านางมิใช่หมาป่าหิวโซที่เก็บอารมณ์มิได้ ถึงกับต้องพุ่งใส่อย่างหิวกระหาย ขนาดปราณเทพพลังมารนางยังกักเก็บเอาไว้ได้เป็นอย่างดี นับประสาอันใดกับอาการเช่นนี้เด็กสาวนึกกระหยิ่งยิ้มย่องลำพองกับตนเองเงียบๆ แต่ทว่าสีหน้ากลับเผยออกมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสายตาพราวระยับที่จับจ้อง มุมปากที่ยกยิ้มพึงใจ และจมูกเรียวเล็กที่ขยับเบาๆ เพื่อสูดดมหน้าตาสัตย์ซื่อและท่าทางไร้เดียงสาของเด็กสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากกลุ่มขบวนเดินทาง ทำเอาฮูหยินใหญ่และคุณหน
เวลาผ่านไป…จากหนึ่งวันเป็นหนึ่งเดือน จากหนึ่งเดือนก็ล่วงเลยมาหนึ่งปีโม๋เอ๋อร์รู้สึกได้ว่า การตัดสินใจออกจากป่ามาในครานี้เป็นสิ่งที่ดีเหลือเกิน นางคิดไม่ผิดเลยสักนิดเพราะว่านางได้เจอสหายเปี่ยมไมตรีอย่างหยูเสวี่ย และท่านป้าเปี่ยมเมตตาอย่างวั่นหรงทั้งสองดูแลนางอย่างดีเลิศ พวกเขามอบเสื้อผ้าสวยงามมากมาย มีอาหารรสล้ำให้กินไม่เคยขาด นางมีความสุขมาก ถึงแม้ว่าชุดที่นางสวมจะงดงามไม่เท่าชุดของหยูเสวี่ย แต่นางก็หาได้ขัดเคืองไม่ ด้วยมิใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อยอันใดทั้งนั้น และยิ่งไม่คิดมากกับเรื่องหยุมหยิมเยี่ยงนี้ แค่ไม่ต้องทนสวมชุดจิ้งจอกขนเงิน ชุดหนังเสือ ขนห่านป่า หรือแม้กระทั่งหางนกยูง ก็พอแล้วจวนโหวแห่งนี้ใหญ่โตโอ่อ่า เครื่องเรือนครบครัน ทั้งยังสะอาดสะอ้าน มีผู้คนอาศัยอยู่รวมกันเยอะแยะเต็มไปหมดไม่เหมือนกลางป่าที่นางจากมา ที่นั่นมีแต่สัตว์ป่าดุร้าย คุยด้วยไม่รู้เรื่อง อาหารก็ไม่อร่อย เสื้อผ้าแพรพรรณก็ไม่มีโม๋เอ๋อร์ชอบชีวิตในเมืองยิ่งนัก ไม่คิดกลับป่าแน่นอน...รอยยิ้มพึงใจประดับตรงมุมปากของเด็กสาวตลอดเวลา นางกำลังเดินเล่นในสวนดอกไม้อยู่กับหยูเสวี่ยเหมือนเช่นทุกวัน สร้างรอยยิ้มละมุนละไมประดั
วันเวลาผ่านไปรวดเร็วประหนึ่งสายธาราเชี่ยวกรากโม๋เอ๋อร์ปีนี้อายุครบสิบห้าปี หยูเสวี่ยก็เช่นกัน บัดนี้สตรีทั้งสองเติบโตเต็มวัยเป็นสาวงามสะพรั่งสะคราญโฉมยิ่งโม๋เอ๋อร์มีดวงตากลมโตใสกระจ่าง ผิวขาวราวหิมะ ใบหน้าเรียวเล็ก รอยยิ้มพริ้มเพรา ท่าทางใสซื่อ นิสัยซุกซนหยูเสวี่ยมีดวงตาเรียวงาม ใบหน้าขาวพิสุทธิ์ผุดผ่อง ท่าทางบอบบาง กิริยาอ่อนหวาน นิสัยเรียบร้อย จิตใจดีหลังจากพ้นพิธีปักปิ่นของบุตรสาว เรื่องที่วั่นหรงหวาดหวั่นมาโดยตลอดก็มาเยือน นั่นก็คือสมรสพระราชทานสกุลโหวเป็นตระกูลใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขามากมายไปทั่วแคว้น ทั้งยังแข็งแกร่งยิ่งนักในราชสำนัก ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับหนุนหลังเชื้อพระวงศ์คราก่อนบุตรสาวคนโตของวั่นหรงต้องเดินทางไกลไปแต่งให้อ๋องหนุ่มที่มีอนุชายาอยู่แล้วถึงสามคน ครานี้บุตรสาวคนรองของนางต้องแต่งให้องค์รัชทายาท ที่มีอนุชายาอยู่แล้วจนเต็มตำหนักบูรพา ในภายภาคหน้าก็ยังจะต้องขึ้นเป็นฮองเฮาเมื่อสวามีขึ้นเป็นฮ่องเต้ รับสนมอีกนับร้อยพันในทุกสามปีเช่นนี้จะไม่ให้วั่นหรงเป็นห่วงหยูเสวี่ยผู้อ่อนโยนบอบบางได้อย่างไรองค์รัชทายาทแห่งต้าหมิงผู้นี้ได้รับฉายาว่าไท่จื่อทมิฬ มีประวัติอันห
ภายในห้องส่วนตัวด้านในที่ลึกที่สุดของตัวเรือนโม๋เอ๋อร์ถูกเรียกเข้ามาเพียงผู้เดียว หญิงสาวนั่งคุกเข่าต่อหน้าวั่นหรงอย่างงุนงงเป็นที่สุดนางทำอันใดผิดไปหรือไร แต่นางไม่เคยสำแดงฤทธิ์เดชใส่ผู้ใดเลยนี่นาหญิงสาวเอียงหน้าเล็กน้อยกลอกตาไปมาอย่างไม่เข้าใจในชีวิตการถูกฮูหยินใหญ่เรียกเข้ามาพบเป็นการส่วนตัวเพียงลำพัง นั่งจ้องหน้ากันเพียงสองต่อสอง ทำนางอดหวาดหวั่นมิได้นางนับถือฮูหยินใหญ่ประหนึ่งมารดา จึงไม่แปลกหากนางจะเกรงใจเป็นอย่างมาก ไม่กล้าล่วงเกินเลยแม้แต่น้อยหมาแมวหากได้ข้าวได้น้ำย่อมซื่อสัตย์สุดชีวิตอยู่เหย้าเฝ้าเรือนยินดีรับใช้ตลอดไปบุญคุณแค่เพียงน้ำหยดย่อมทดแทนด้วยน้ำทั้งทะเลสาบโม๋เอ๋อร์แม้โง่เขลา แต่เรื่องนี้อย่าได้ดูเบานางเชียวแต่สิ่งไม่คาดคิดพลันบังเกิด เมื่อวั่นหรงคุกเข่าลงตรงหน้าของโม๋เอ๋อร์หญิงสาวให้รู้สึกตกใจนัก “ฮูหยินใหญ่ ท่านจะทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ? คุกเข่าให้ข้าทำไม?”วั่นหรงถามเสียงเบา “โม๋เอ๋อร์ ข้าดูแลเจ้าดีหรือไม่?”โม๋เอ๋อร์พยักหน้าตอบรับ “ดีเจ้าค่ะ”“แล้วข้าเลี้ยงดูเจ้าขาดตกบกพร่องสิ่งใดหรือไม่?”หญิงสาวรีบส่ายหน้า “ไม่เลยเจ้าค่ะ”ฮูหยินใหญ่ได้ฟังเช่นนั้นก็พยักหน้าพ
พระราชวังหลวงของต้าหมิงนับได้ว่าใหญ่โตมากนักมีตำหนักขององค์จักรพรรดิที่งดงามใหญ่โตกินพื้นที่กว้างขวาง ประกอบได้ด้วยตำหนักน้อยใหญ่และเรือนอีกมากมายล้อมรอบทว่าที่ห่างออกมาจากพระราชวังชั้นในส่วนพระองค์ก็ใหญ่โตและกว้างขวางไม่แพ้กันก็คือทิศบูรพาของพระราชวังภายในตำหนักบูรพา ลึกเข้าไปยังเรือนหลักของตำหนัก หมิงเสียงกง หนึ่งในสถานที่ส่วนพระองค์ของรัชทายาทหมิงเฉิงบนที่นั่งอันโออ่าลวดลายประณีตสีทองอร่าม มีเรือนร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำสนิทแผ่บารมีของผู้สูงศักดิ์ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติเขาเพียงนั่งนิ่งๆ ไร้การเคลื่อนไหว ทว่าท่าทางทรงพลังน่าเกรงขามกลับแผ่กลิ่นอายสังหารเป็นวงกว้างอยู่รอบด้าน สร้างความหวาดหวั่นสั่นสะพรึงให้เหล่าบริวารเกินพรรณนาใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยไรหนวดเขียวครึ้ม เสริมให้เกิดความดำทะมึนหนาวเหน็บปกคลุมไปทั่วบริเวณดวงตาเรียวดำลึกล้ำทอประกายเฉียบคมตลอดเวลา ยามมองกราดเพียงแวบเดียวก็แผ่รังสีชั่วร้ายออกมา บ่งบอกได้ถึงอันตรายไร้ขีดจำกัด ทำเอาบ่าวไพร่พากันขนลุกเสียวสันหลังวาบหมิงเฉิงโบกมือเบาๆ เพื่อไล่ขันทีออกไปอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากฟังคำรายงานเกี่ยวกับการส่งอนุหลายนางเข้าวังม
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตัวเขาในวัยสิบเจ็ดปีได้มีโอกาสออกท่องเที่ยวนอกวังหลวงแบบส่วนตัว มิคาดว่าครานั้นจะเป็นกลอุบายให้ผู้ร้ายส่งนักฆ่านับร้อยล่าสังหารเขา ในขณะที่เขามีองครักษ์ติดตามเพียงไม่กี่คนพวกมันต้อนเขาให้จนมุมไร้หนทางรอด กระทั่งเขาต้องหนีตายเข้าไปในป่าใหญ่รกทึบอันเร้นลับอับชื้น เจอกับฝูงหมาป่าตัวโตเขี้ยวใหญ่พวกมันได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งของเขาที่ได้รับจากคมดาบฝ่ายศัตรู จึงรุมขย้ำเขาจนเลือดสาด เกือบสิ้นลมหายใจอยู่ใต้ต้นไม้เย็นเยียบเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หมิงเฉิงก็ค่อยๆ หลับตา นำพาความมืดมิดเข้าแทนที่แสงสลัวเลือนรางภายในห้องอาบน้ำแม้ม่านตาดำถูกเปลือกตาปกคลุมจนสิ้น หากแต่ห้วงคำนึงยังคงเห็นภาพของสตรีนางน้อยในชุดจิ้งจอกขนเงินบางทีอาจนางมิใช่สตรีธรรมดา ทั้งยังไม่แน่ว่าอาจจะเป็นหนวี่เสิน[1]แต่เมื่อได้ไตร่ตรองให้ดี ชายหนุ่มก็แน่ใจว่าเด็กน้อยนางนั้นมิใช่ภูตผี เพราะลมหายใจกรุ่นร้อนที่รินรดยามก้มหน้ามองเขา และฝ่ามืออบอุ่นที่แตะไหล่ของเขา ล้วนบ่งบอกได้ดีว่านางเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง ทว่าพลังลมปราณเหนือสามัญเยี่ยงนั่นคืออันใดเขายังไม่แน่ใจหลายวันที่มีชีวิตรอดออกมาจากป่าทึบ หลายปีที่มีชีวิต
ทิศบูรพาแห่งพระราชวังต้าหมิง ลึกเข้าไปภายในตำหนักหมิงเสียงกงของรัชทายาทหมิงเฉิงหน้าประตูบานใหญ่ของห้องชั้นนอก มีขันทีประจำตำหนักยืนรอรับใช้พร้อมนางกำนัลติดตามขนาบข้างซ้ายขวาทุกคนอยู่ในกิริยายืนนิ่งก้มหน้าคล้ายหุ่นไม้ ถัดออกไปไม่ไกลมีทหารยามยืนนิ่งประหนึ่งศิลาเรียงรายท่ามกลางความมืดสลัวที่เงียบสงบ ปลายเท้าแผ่วเบาแต่มั่นคงเดินเรียบเรื่อยมาตามทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินสีดำเจ้าของปลายเท้าเป็นร่างสูงสง่าในอาภรณ์ราชองครักษ์เขาพาใบหน้าหล่อเหลาเยื้องย่างมาที่หน้าห้องส่วนตัวของรัชทายาทหมิงเฉิงชายหนุ่มคือคนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของรัชทายาทต้าหมิงผู้นี้ที่ได้รับสิทธิพิเศษให้เข้าห้องต้องห้ามได้เจ้าของใบหน้างดงามในอาภรณ์ราชองครักษ์หยุดยืนอยู่หน้าประตูด้วยท่าทางนิ่งสงบ เพียงครู่ก็เอ่ยปากด้วยเส้นเสียงราบเรียบกับขันทีหน้าห้อง “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด คืนนี้ข้าจะอยู่รอรับใช้รัชทายาทเอง”ขันทีและนางกำนัลค้อมศีรษะแล้วพากันเดินไปอย่างเงียบเชียบทันทีคล้อยหลังบ่าวไพร่ ร่างสูงจึงเปิดประตูแล้วปิดลงแผ่วเบาก่อนจะหายลับไปอย่างเงียบงันภายในห้องมืดสลัว เสียงทุ่มต่ำเอ่ยขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด“พระองค์เป็นถึง
มารดาของโม๋เอ๋อร์หาใช่มนุษย์สามัญแต่เป็นถึงมหาเทพปีศาจ ส่วนบิดานั้นเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง โม๋เอ๋อร์จึงเป็นโม๋กุ่ยเสินครึ่งมนุษย์หลังจากมารดาให้กำเนิดโม๋เอ๋อร์ไม่นาน พลังซ่อนเร้นยามคลอดบุตรจึงมิอาจปิดบัง ในที่สุดก็ถูกเจอตัวจากมหาเทพปีศาจและภูตนรก มารดาจึงถูกจับตัวกลับไปยังสถานที่ที่จากมาเมื่อคนหนึ่งสิ้นสลาย อีกคนก็ไม่อาจอยู่ได้ สิ้นใจตายด้วยเด็ดเดี่ยวตรอมตรม บิดาของโม๋เอ๋อร์จึงตรอมใจตายตามไปหลังจากนั้นเจ็ดปี ทิ้งโม๋เอ๋อร์ให้อยู่เพียงลำพังในป่าใหญ่ พร้อมคำสั่งเสียเฉียบขาดว่าให้โม๋เอ๋อร์อยู่โลกมนุษย์ต่อไป ด้วยรู้ดีแก่ใจว่าบุตรสาวที่เป็นครึ่งมนุษย์เทพปีศาจมิอาจอยู่ที่ใดได้ ไม่ว่าสวรรค์หรือนรก มีเพียงต้องอยู่บนภพมนุษย์เท่านั้นโม๋เอ๋อร์ที่เป็นเพียงมนุษย์ครึ่งปีศาจ หาใช่มหาเทพปีศาจเฉกเช่นมารดา หากถูกสูบลงนรกจักต้องสลายหายไปคล้ายหมอกควัน กายหยาบกายทิพอันใดล้วนไม่อาจเป็นได้ทั้งนั้นและสิ่งสำคัญที่สามารถทำให้โม๋เอ๋อร์ดำเนินชีวิตต่อไปได้ นั่นก็คือห้ามฆ่าใครจนถูกล่วงรู้ตัวตน ผสานอีกสิ่งที่สำคัญเหนือกว่าเพื่อที่นางจะยืนหยัดต่อไปได้ นั่นคือพลังหยินหยาง...โม๋เอ๋อร์ซึ่งเกิดเป็นสตรีมีความอ่อนโยน ความ
“เขามานานแล้วหรือ?” แล้วรู้หรือไม่ว่าข้าไม่อยู่ในห้องประโยคหลังโม๋เอ๋อร์มิได้ถามออกมา ทว่าใช้สายตาสื่อความนัยแทน หยูเสวี่ยย่อมเข้าใจ จึงกระซิบตอบเสียงเบาหวิว“พระชายาทรงอ่อนเพลียจึงนอนหลับไป ขอเวลาเตรียมตัวสักเล็กน้อย”นั่นคือคำตอบที่หยูเสวี่ยตอบขันทีหน้าประตูห้องเมื่อสองเค่อที่ผ่านมา เพื่อสื่อความนัยให้สายตาที่ถูกส่งมาจากโม๋เอ๋อร์เมื่อได้รับรู้คำตอบแล้วเป็นอย่างดี โม๋เอ๋อร์จึงบอกกล่าวให้หยูเสวี่ยพักผ่อนให้หายดีอยู่ที่นี่ ไม่ต้องตามออกมา ประเดี๋ยวจะต้องลมเย็นจนล้มพับไป ก่อนจะทำทีเป็นคนที่ถูกปลุกจากนิทรา ทำหน้าง่วงตาปรือ ยามเปิดประตูห้องออกไปหาบุรุษหนุ่มรูปงามผู้เป็นสามี…ภายใต้แสงเทียนสีเหลืองนวลสตรีในอาภรณ์บางเบาสีแดงสด ขับเน้นเรือนร่างระหงอรชรสมส่วนอวบอูมอิ่มน้ำ ดวงตาหรี่ปรือหวานล้ำเพราะถูกปลุกจากนิทรากลางคัน พลันปรากฏในครรลองสายตาของผู้คนนอกห้องความงดงามประหนึ่งน้ำผึ้งหยาดหยดอยู่กลางเปลวเพลิงแห่งเสน่หาร้อนแรงของโม๋เอ๋อร์ ที่ใครเห็นเป็นต้องตกตะลึงพรึงเพริด แม้แต่ขันทีที่ไร้ซึ่งอารมณ์ซับซ้อนยังลืมหายใจไปชั่วขณะ สาวใช้ที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องชั้นนอกยังมองไม่วางตาความเลอโฉมพิลาศล้ำ
เมื่อมองเห็นเรือนร่างสูงใหญ่สง่างามแผ่อำนาจบารมีมากล้นของชายผู้เป็นสามีนอกจากไม่กลัวเกรงหรือตระหนกอกสั่นหวาดหวั่นอันใด โม๋เอ๋อร์กลับรู้สึกดีใจยิ่งนักเขามาหานางถึงในเรือนเชียวหรือ?ชั่วขณะที่หญิงสาวกำลังปลื้มปริ่ม เสียงกระซิบพลันดังจากในมุมมืด“พระชายา...เปลี่ยนชุดก่อน!”เจ้าของเสียงคือหยูเสวี่ย นางรีบเคลื่อนกายเข้ามุมอับพร้อมส่งเสียงเอ่ยเตือนโม๋เอ๋อร์อย่างร้อนรน เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังอยู่ในสภาพชุดดำสนิทเยี่ยงผู้ร้ายเช่นนั้นถึงแม้จะมั่นใจในฝีมืออันชั่วร้าย หากแต่ใครมาเห็นเข้าคงยากจะหลุดพ้นจากการถูกสงสัยเป็นแน่โม๋เอ๋อร์พลันฉุกคิดได้ จึงรีบหมุนกายไปเปลี่ยนชุดสีดำออกแล้วสวมชุดพลิ้วไหวสีขาวบางเบา เห็นเนินอกรำไร ใส่ใจในการยั่วยวนเต็มที่หญิงสาวหมุนตัวอยู่หน้ากระจกหนึ่งรอบ นึกลังเลขึ้นมา ระหว่างชุดสีขาวกับชุดสีแดงใส่ชุดใดดี?ทันใดนั้น โม๋เอ๋อร์ก็คิดได้ นางรีบถอดชุดสีขาวออกแล้วสวมชุดสีแดงที่มีเนื้อผ้าโปร่งบางโล่งใสแทนชุดนี้ช่วยขับผิวขาวดั่งหิมะให้สว่างสดใสไปทั่วเรือนร่าง ราวกับว่าเนื้อนวลเปล่งปลั่งจะทะลุออกมานอกชุดเบาบางได้กระนั้นเรียวแขนขาวผ่องนวลเสลา กระทั่งเรียวขาเนียนกระจ่างยังเห็นได้
เมื่อลงทัณฑ์เจ้าของห้องและสาวใช้จนพอใจ โม๋เอ๋อร์เพียงเปรยเสียงเรียบว่า“จงหยุดสิ่งที่คิดจะทำ หากต้องการอยู่อย่างสงบเฉกเช่นวันวาน...” ความหมายก็คือจงอยู่ในห้องหับห้ามออกมาทำระยำอีกเด็ดขาด!แน่นอนว่า สตรีทั้งสองได้อยู่กันอย่างสงบอย่างที่สุดหญิงสาวกล่าวจบก็อันตรธานหายวูบไป ดั่งปีศาจร้ายภูตผีนรกผุดมาทักทายจากห้วงอเวจีเพียงชั่วครู่สองนายบ่าวพลันสิ้นสติในทันทีเช่นกัน ไม่แน่ว่าตื่นมาอีกทีครานี้ ทุกอย่างในชีวิตอาจจะเปลี่ยนไปโม๋เอ๋อร์นั้น หาได้ล่วงรู้แผนการอันซับซ้อนของสตรีสองนางในเรือนแห่งนี้ไม่ รู้เพียงว่าพวกนางมีความผิดที่บังอาจทำร้ายกันขั้นรุนแรง ถึงขนาดหมายปลิดชีวิตคนเช่นผักปลาคราแรกวางยานางในคืนเข้าหอก็ช่างเถิดแต่หากมองหยูเสวี่ยเป็นเพียงคนไร้ค่า นึกอยากฆ่าก็ฆ่าได้ง่ายๆ โม๋เอ๋อร์จึงไม่อาจออมมือได้หญิงสาวใจดีถอนพิษให้เสี่ยวเถาเพราะไม่ต้องการให้มีการสืบสาวให้วุ่นวาย จนอาจจะพาลมาถึงหยูเสวี่ยและตัวนางที่นั่งร่วมสนทนาในศาลายามบ่ายและเรื่องราวเชื่อมโยงไม่อาจจบสิ้นลงได้ง่าย ต้องถูกสอบสวนประปราย ปราศจากความสงบสุขใดๆทั้งหมดนี้เพราะยาพิษในกายของเสี่ยวเถานั้น อาจจะชักนำให้หยูเสวี่ยถูกลากมาเก
อวี่เยียนและเสี่ยวเถากะพริบตาจนเจ็บร้าว แล้วร่ำร้องแบบไร้เสียงอีกคราว่าปีศาจ!พวกนางทำได้เพียงกรีดร้องในใจอย่างบ้าคลั่ง ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเปล่งเสียงออกมามิได้โม๋เอ๋อร์ค่อยๆ เยื้องกรายเข้าหาสตรีตีสองหน้าช้าๆนางยกยิ้มเย็นชาแผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกชวนหนาวเหน็บถึงขั้วกระดูกออกมา ดวงเนตรสีเขียวคู่งามเย็นเยียบราวน้ำแข็งตกผลึก พร้อมฝังลึกในครรลองสายตาผู้พบเห็นผู้ได้จับจ้อง เป็นต้องจดจำไปจนวันตายอย่างทรมานรอบกายสีทองเรืองรองแผ่กลิ่นสาบสางน่าสะอิดสะเอียนชวนสะท้านพรั่นพรึงตลบอบอวลไปทั่วห้อง ร่างบอบบางสีแดงเพลิงแผ่กลิ่นอายดำทะมึนราวกับหลุดออกมาจากขุมนรกอเวจีของหลุมที่ลึกที่สุดโม๋เอ๋อร์ในยามนี้ หาใช้พระชายาผู้งดงามอีกต่อไป หากแต่เป็นรูปกายอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้จักทั้งนั้นเส้นเสียงเยียบเย็นลากยาวชวนผวาราวหิมะพันปีบนยอดเขาแทงทะลุเมฆาค่อยๆ ดังออกมาจากริมฝีปากจิ้มลิ้ม“ข้ามิได้ชื่นชอบการฆ่าใคร...”ความหมายของรูปประโยคและการกระทำช่างขัดแย้งกันเหลือเกิน โม๋เอ๋อร์กล่าวจบยังยกยิ้มบริสุทธิ์อ่อนหวานแลดูน่ารัก ทว่ากลับมองแล้วให้ความรู้สึกน่าขนหัวลุกชวนสะพรึงยิ่งนักอวี่เยียนและเสี่ยวเถายิ่งเบิกต
เมื่อได้ยินคำตอบ เสี่ยวเถาถึงกับงุนงง แต่ครู่เดียวเท่านั้น ก็พลันกระจ่างแจ้งในใจ เมื่อร่างกายเริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกตินางกำลังรู้สึกถึงความทรมานสายหนึ่งเริ่มคืบคลานเข้าใกล้ ภายในเริ่มรุ่มร้อน ฝ่ามือเริ่มสั่นเทา สายตาเริ่มพร่าเลือน“มะ...หมายความว่า...ย่ะ...อย่างไรเจ้าคะ”เสี่ยวเถาพยายามถามอย่างยากลำบาก ลมหายใจติดขัด ลูกนัยน์ตาแดงก่ำเลื่อนจากใบหน้าเจ้านายลงมองขนมและน้ำชาตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง เมื่อคำตอบที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงรอยยิ้มหวานล้ำและดวงตาฉ่ำเย็นของผู้เป็นนายอวี่เยียนยังคงนั่งมองเสี่ยวเถาอย่างใจเย็น นางวางหนังสือลงแล้วเอียงหน้าน้อยๆ มองสาวใช้คนสนิทอยู่เงียบๆ ท่าทียังคงเป็นปกติเฉกเช่นหญิงสาวผู้เปี่ยมเมตตาปรานีทว่า...เสี้ยวขณะนั้น พลันมีสิ่งไม่คาดฝันบังเกิดอวี่เยียนที่นั่งอยู่บนตั่งด้วยท่าทางดั่งนางพญาผู้รื่นรมย์กลับกระตุกร่างตนจนตัวลอยขึ้นไปบนคานเรือน คล้ายถูกกระชากโดยฝ่ามือปริศนาเสี่ยวเถาที่ร่างกายปวดร้าวกลับค่อยๆ หายปวดระบมอย่างน่าแปลกใจ แต่ยังคงชาหนึบไม่อาจขยับเขยื้อนได้ นางจึงทำได้เพียงใช้สายตาจับจ้องที่นายสาวเบื้องหน้านิ่งงัน มิสามารถเอ่ยอันใดออกมาได้ทั้งนั้นภายในห
คืนนี้จันทรางามเด่น สุกสกาวสว่างไสวไปทั่วนภาพาแสงสีขาวนวลสาดส่องไปทั่วตำหนักบูรพาทว่าเงาดำวูบไวประหนึ่งสายลมวูบผ่านเพียงเสี้ยวเวลา กลับนำความหนาวเหน็บประหนึ่งเป็นคืนเดือนมืดกลางเหมันต์กระนั้นทหารยามที่เดินตรวจตราโดยรอบพลันชะงักเท้าเล็กน้อย รู้สึกขนหัวลุกอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อแหงนมองท้องฟ้าก็เห็นดวงจันทร์เร้นดารางดงามดี ดวงโตกลมนวล ตราตรึงยิ่ง!ชื่นชมจันทราเสร็จก็ก้มหน้าเดินยามต่อไป รอบกายล้วนปกติดีทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดผิดสังเกตเลยแม้แต่น้อย แสงนวลจากฟากฟ้าช่วยให้การเดินยามสะดวกดีเหลือเกิน เห็นทุกสิ่งรอบด้านชัดเจนไปหมดด้านนอกหน้าต่างของเรือนชายาสามนามอวี่เยียนทั้งทหารยามและบ่าวไพร่ทั้งหลายเดินทำงานกันตามปกติ ยามนี้ยังไม่ดึกมากนัก หลายคนยังไม่มีสิทธิ์ได้นอนหลับพักผ่อนแต่อย่างใดเจ้าของเรือนนั่งอ่านหนังสือธรรมะด้วยท่าทีสงบปรานีอยู่บนตั่งตัวยาวในจังหวะนั้นเสี่ยวเถาก็รีบรุดเข้าห้องมาแล้วลงกลอนประตูอย่างแน่นหนา ก่อนจะเดินมาปิดหน้าต่างทุกบาน จนไร้ช่องว่างใดภายในห้องส่วนตัวด้านในของเรือน“เป็นอย่างไรบ้าง?” อวี่เยี่ยนถามเสียงเย็นไปทางสาวใช้คนสนิทถึงเรื่องที่ให้อีกฝ่ายไปสืบความเคลื่อนไหวใ
โม๋เอ๋อร์ตกตะลึงยิ่งนัก นางเพียรสังเกตตนเองอยู่ตลอดยามนั่งอยู่ในศาลา ว่าถูกวางยาหรือไม่หากมียาในขนมตัวนางเองย่อมปวดแสบปวดร้อน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่รู้สึกผิดปกติอันใดมิคาดว่าเป้าหมายกลับมิใช่ตัวนาง หากแต่เป็นหยูเสวี่ยเกินไปแล้ว....ม่านมืดพลันคลี่คลุมในแววตากลมใส ความซื่อบริสุทธิ์พลันอันตรธานหายไปแน่นอนว่าโม๋เอ๋อร์หาใช่สตรีดีงาม ทั้งยังโหดเหี้ยมอำมหิตเกินกว่าใครจักคาดคิดถึงแม้ว่าความสดใสไร้เดียงสานางมีเสมอ ทั้งยังคิดกับผู้อื่นอย่างบริสุทธิ์ใจมากมายหากแต่ต้องมิใช่กับคนที่คิดจะทำร้ายหยูเสวี่ย!หญิงสาวรีบเดินเข้าหาร่างอรชรที่บัดนี้นอนบิดตัวด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าขาวผ่องมีเหงื่อเกาะพราว“เจ้าใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อเหยื่อ!”โม๋เอ๋อร์เอ่ยเสียงต่ำอย่างรู้ทันคนบนเตียงหยูเสวี่ยกัดฟันตอบอย่างติดขัด“ข้า...แค่รินน้ำชา...นานไป...หน่อย”“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้” โม๋เอ๋อร์ยังคงตัดพ้อ“ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า” หยูเสวี่ยฝืนต่อคำอีกประโยค ก่อนจะบิดตัวเร่าๆ อยู่บนเตียงนอน มีเลือดไหลออกจากดวงตา จมูก ใบหู และปากเดิมทีหยูเสวี่ยคิดพาโม๋เอ๋อร์เดินเที่ยวเท่านั้น เพื่อที่นางจะได้สำรวจพื้นที่ให้ทั่วเข้
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนเข้ายามอิ่ว[1] ทั้งหมดจึงได้แยกย้ายกลับเรือนตนคล้อยหลังพระชายาเอกกับสาวใช้คนสนิท อวี่เยียนที่เดินห่างออกมาเล็กน้อยก็ยกยิ้มเย็นเยียบแวบหนึ่ง เสี่ยวเถาเองก็ก้มหน้าหลุบตาเดินตามนายสาวอย่างเยือกเย็นไม่ต่างกัน ทั้งสองลอบส่งสายตาสื่อควายนัยแห่งความเลือดเย็นออกมามีเพียงพวกนางเท่านั้นที่เข้าใจกันและกันเมื่อถึงเรือนส่วนตัว ลึกเข้าไปในห้องชั้นในที่มีเพียงพวกนางสองนายบ่าว เสียงกระซิบกระซาบพลันบังเกิด“สำเร็จหรือไม่?”เส้นเสียงเย็นใสเบาหวิวเอ่ยถามสาวใช้คนสนิททันทีที่เข้าห้องปิดประตูลั่นดาลลงกลอน“เรียบร้อยเจ้าค่ะ” เสี่ยวเถากระซิบตอบ “บ่าวแอบป้ายยาพิษที่ขอบถ้วยน้ำชาของเสี่ยวโม๋ ยามที่นางลุกขึ้นไปรินน้ำชา ต่อให้หลังเกิดเหตุสลดว่ามีสาวใช้ต้องพิษจนตาย และขนมน้ำชาถูกตรวจสอบจนวุ่นวาย ก็หาได้พบสิ่งใดที่ขอบถ้วยไม่ เพราะยาพิษนี้ถูกน้ำชาชะล้างเข้าปากเสี่ยวโม๋ไปแล้วจนสิ้น และผู้ต้องสงสัยย่อมเป็นเจ้าของชากับขนมเจ้าค่ะ”“ดีมาก” อวี่เยียนยกยิ้มหวานเปรยอีกว่า “ข้าสังเกตว่าพระชายามิได้มีสมองสักเท่าไหร่ หากแต่สาวใช้ข้างกายกลับดูเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ตัดแขนตัดขาพระชายาไปได้เยี่ยงนี้ ที่เหลือก็ไม่