เรื่องราวระหว่างเทพมังกรดิน ฮวงหลง และหญิงสาวเดินดินนามซิ่นฮวา เมื่อโชคชะตาเล่นตลกให้หญิงสาวมองเห็น ‘เทพมังกรดิน’ เขาจำ(ใจ)ต้องปรากฏกายทุกครั้งที่นางเรียกขานนามของเขา ทำให้เทพเซียนชั้นฟ้ากลายเป็นพี่เลี้ยงของเด็กหญิงตัวน้อย จวบจนนางเติบโตเป็นหญิงสาวงามสะพรั่ง กฎสวรรค์ทำให้เขาต้องหักห้ามใจ แต่เพราะนางและเขามีชะตาที่ต้องชดใช้กรรมร่วมกัน และมีเพียง ‘ลมหายใจมังกร’ เท่านั้น ที่จะต่อลมหายใจของนางได้ เส้นทางที่เขาเลือกมิใช่สิ่งที่นางปรารถนา เพียงหนึ่งชาติภพเพื่อให้ใจได้ ‘รัก’ แม้ช่วงเวลานั้นจะแสนสั้น.... นางก็ยินดี จาก ‘ท่อนแขนมังกร’ สู่ ‘ลมหายใจมังกร’ (ท่อนแขนมังกรรุ่นลูก)
View Moreสงคราม ‘ทรายย้อมโลหิต’ องค์รัชายาทเกือบสิ้นชีพในสงครามครั้งนั้น ทว่าเพื่อให้ทหารที่เปรียบเสมือนคนในครอบครัวได้กลับบ้าน จึงบังอาจเรียกปีศาจมังกรเพลิงมาเพื่อใช้ทำสัญญาแลกเปลี่ยน ‘บางสิ่ง’ เปลี่ยนให้กลายเป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจ แม้ชนะศึกสงครามแต่ถูกปลดจากตำแหน่งรัชทายาท หากแต่สวรรค์มิได้ทอดทิ้ง ส่งคู่ชีวิตมาให้หัวใจที่เยียบเย็นได้กลับสู่ความเป็นมนุษย์อีกครั้ง
เพื่อปกป้องนางในดวงใจ ทำให้อ๋องเฟยเทียนขัดราชโองการ กว่าจะเดินทางจากตุนหวงกลับสู่เมืองหลวงกินเวลานานมากกว่าปกติ กระนั้นเมื่อได้พบ
พระพักตร์องค์ฮ่องเต้อีกครั้ง คราวนี้ได้สลายความไม่เข้าใจระหว่างพ่อลูกที่มีมานานนับสิบปี องค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันมีใจกำจัดอ๋องเฟยเทียนเพราะเกรงกำลังทหารในมือและคิดว่าอีกฝ่ายจะตั้งตนเป็นกบฏโดยอาศัยราชโองการขององค์ฮ่องเต้ จึงยืมมือทหารฝ่ายมองโกลกำจัด ทว่าไม่อาจเอาชีวิตชินอ๋องเฟยเทียนได้ กลับกลายเป็นว่าอ๋องเฟยเทียนได้กำจัดปีศาจมังกรเพลิงในตนเองไปสิ้น และยังรู้ตัวผู้บงการแผนร้าย เพียงแต่ไม่คิดยื่นมือเข้าไปวุ่นวาย ปล่อยให้องค์ฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยเองหลังจากกลับจากเมืองหลวงพร้อมข่าวลือแพร่สะบัดไปดุจสายลมในท้องนภา องค์ฮ่องเต้ปลดรัชทายาทและเลื่อนลำดับองค์ชายอีกพระองค์ขึ้นรับตำแหน่งองค์รัชทายาทองค์ใหม่ ส่วนอดีตรัชทายาทนั้นถูกเนรเทศไปไกลถึงชายแดนในเขตทุรกันดาร ข่าวแว่วว่าเพราะการเดินทางที่แสนยากลำบากทำให้อดีตองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ระหว่างการเดินทาง
ชินอ๋องเฟยเทียนยังคงรั้งตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งทิศอุดร และปกครองเมืองตุนหวง เมืองที่ถูกโอบล้อมด้วยทะเลทรายเช่นเคย
ทว่าในตำหนักดุจตะวันของชินอ๋องกลับอบอุ่นสว่างไสวด้วยหญิงสาวนามว่านหนิงเหมยซึ่งบัดนี้เป็นฮูหยินของชินอ๋องเฟยเทียนและเป็นมารดาของเด็กๆ ทั้งสาม เด็กชายหญิงฝาแฝดหน้าตาน่ารักนาม ซิ่นหลิงและซิ่นฮวา และบุตรชายคนเล็กอายุห่างจากคู่แฝดสามปีนามซิ่นสือ
ตำหนักดุจตะวันที่เคยเยียบเย็น มาบัดนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสดใสของเด็กน้อยที่เติบโตท่ามกลางความรักของบิดามารดาและชะตากรรมที่ไม่อาจฝืน
ทุกชีวิตล้วนมีชะตากรรมไม่เว้นแม้แต่ปวงเทพ
และนี่คือชะตากรรมของหญิงสาวที่ถูกเรียกขานว่าซิ่นฮวา
เริ่มต้น...
ตุนหวงแม้ไม่ใช่เมืองใหญ่ เป็นเสมือนประตูสู่ดินแดนตะวันตก เส้นทางการค้านี้เรียกว่าเส้นทางสายไหม ผู้คนที่อาศัยที่นี่ได้เห็นสิ่งแปลกตาจนกลายเป็นความเคยชิน ทั้งสัตว์เลี้ยง แพรพรรณ เงินและทอง เครื่องเคลือบดินเผา ตลอดจนผู้คนต่างเผ่าที่มีรูปร่างลักษณะแปลกตา นอกจากเป็นเส้นทางการค้าแล้วยังเป็นเส้นทางเผยแผ่ศาสนาด้วย
หลังจากชินอ๋องเฟยเทียนรับว่านหนิงเหมยเป็นพระชายา หลังจากผ่านเรื่องราววุ่นวายที่กลายเป็นเรื่องเล่าขานของเมืองตุนหวงไปแล้วนั้น ต้นปีถัดมา
พระชายาให้กำเนิดบุตรชายหญิงฝาแฝดใบหน้างดงามน่ารัก และอีกสามปีต่อมาก็ให้กำเนิดบุตรชายอีกคน ทั่วทั้งตุนหวงรับรู้กันดีว่า ชินอ๋องผู้นี้รักใคร่ในตัวพระชายามากมายยิ่งนัก มีนางเพียรหนึ่งเดียวเป็นชายาเอกไม่มีชายารองหรือแม้แต่สนมกำนัลหญิงปรนบัติระหว่างรักมากกับกลัวภรรยา บางทีก็แทบแยกไม่ออก
พระชายาหนิงเหมยให้กำเนิดบุตรฝาแฝดที่มีใบหน้าเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียว แม้เป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิง ทว่าหลายครั้งที่เด็กทั้งสองซุกซนแอบแต่งกายแบบเดียวกันทำให้ผู้คนถึงกับสับสน บางคราแต่งเป็นหญิงทั้งคู่ บางครั้งทั้งสองก็แต่งเป็นชาย สร้างความปวดหัวให้บรรดาคนรับใช้ไม่น้อย
ซิ่นหลิงแม้ยังเด็กแต่มีแววด้านการต่อสู้ บิดาเป็นผู้ฝึกสอนวรยุทธด้วยตนเอง เพียงห้าขวบเขาก็รำหมัดมวยได้คล่องแคล่วและยังสามารถฝึกเดินลมปราณได้ดียิ่ง ผิดกับซิ่นฮวาที่แสนน่ารักราวตุ๊กตาตัวน้อย ด้วยความที่บิดาเป็นกังวลว่านางจะถูกผู้อื่นรังแกจึงให้นางฝึกวรยุทธด้วยเช่นกัน แต่ซิ่นฮวาไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้เอาเสียเลย ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใด นางไม่สามารถทำได้ ชินอ๋องเฟยเทียนได้ขึ้นชื่อว่ารักลูกสาวยิ่งแก้วตาดวงใจยอมตามใจนาง สิ่งใดที่ลูกสาวไม่ปรารถนาก็ไม่ฝืนใจ ส่วนมารดานั้นได้แต่พร่ำสอนเรื่องมารยาทของหญิงงามแต่ดูเหมือนจะยากนัก กระนั้นซิ่นฮวาก็ชอบการอ่านเขียนไม่ต่างจากซิ่นหลิง สองพี่น้องฝาแฝดเรียนรู้ได้เร็วดุจมีพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด
ฉากหน้าของซิ่นฮวาคือท่านหญิงน้อยๆ ที่แสนงดงามอ่อนหวาน เก่งโคลงกลอนและเขียนอักษร ฝีมือด้านบรรเลงกู่เจิงเยี่ยมยอดสมกับที่เป็น “ธิดาเทพ” อายุเพียงเจ็ดขวบนางสามารถเล่นกู่ฉินหรือพิณเจ็ดสายได้ไพเราะจับใจ อายุสิบสองขวบนางขึ้นเป็นผู้เชิญดอกไม้บูชาเทพมังกรดิน
ตุนหวงมีธรรมเนียนที่เริ่มปฏิบัติไม่นาน เริ่มตั้งแต่ปีที่ชินอ๋องรับพระชายามาสู่ตำหนัก ในทุกปีจะมีพิธีบวงสรวงบูชาเทพมังกรอำนวยพรให้ผู้เดินทางปลอดภัย ในปีแรกๆ นั้น พระชายาเป็นผู้บรรเลงผีผาถวายบูชาเทพมังกรดิน ขอพรให้ผู้เดินทางได้ปลอดภัยรวมทั้งให้ตุนหวงสงบสุข ต่อมาเมื่อซิ่นฮวาแสดงความสามารถด้านดนตรีเป็นที่ประจักษ์ นางจึงให้บุตรสาวได้รับหน้าที่เชิญดอกไม้และบรรเลงดนตรีเพื่อบูชาเทพมังกรดิน ว่ากันว่าการบูชาเทพมังกรดินนั้นนอกจากนำความร่มเย็นสู่แผ่นดินแล้ว ยังให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล
ฝนตกทั้งที่...ไม่ใช่ฤดูฝน
กล่าวกันว่าเป็นเพราะธิดาเทพซิ่นฮวา
ในปีที่ซิ่นฮวาขึ้นรับเป็นผู้เชิญดอกไม้บูชาเทพมังกรดินครั้งแรกนั้น ซิ่นหลิงพี่ชายฝาแฝดของนางออกเดินทางไปศึกษาร่ำเรียนกับอาจารย์เจี่ยง ผู้เคยเป็นอาจารย์ของบิดามาก่อน ‘ซิ่นหลิง’ เดินทางพร้อม ‘กันอี๋’ บุตรชายของชากกีผู้เป็นมือขวาของรองแม่ทัพซานม่านหวาและจื่อเหยี่ยนสาวใช้คนสนิทของพระชายา และ ‘ซาโม่’ บุตรชายของมาร์คัส ชายหนุ่มผู้มีประวัติไม่ชัดเจนกับรองแม่ทัพซานม่านหวา แม้เป็นเพียงเด็กชายแต่ทั้งสามกลับออกเดินทางอย่างไร้ความหวาดกลัว โดยมี
องครักษ์เจิ้งหู่เจิ้งไฉติดตามอารักขา ‘ซิ่นสือ’ อยากติดตามพี่ชายไปด้วยแต่เพราะเขายังเด็กนัก มารดาไม่อนุญาต แต่กระนั้นบิดาก็เชิญอาจารย์มาสอนบุตรสาวและบุตรชายคนเล็กแม้ผู้คนเข้าใจว่าชินอ๋องผู้นี้ไม่เป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้ แต่ทรงแอบส่งบัณฑิตอันดับสามจากเมืองหลวงมาสอนเด็กๆ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาถือเป็นเชื้อสาย ‘ตระกูลเซวียน’ มีสายเลือดมังกรเช่นกัน
พระชายาหนิงเหมยมีนิสัยอ่อนโยน มีเมตตา ตั้งโรงทานทุกสิบห้าวัน
พระชายามีบ่าวติดตามกายมาตั้งแต่ออกจากเมืองหลวงคือ ‘จ้าวต้า’ เป็นเด็กกำพร้าที่นางซื้อตัวมาตั้งแต่ยังเด็ก บัดนี้ได้รับการส่งเสริม ทั้งอ่านเขียนเรียนหนังสือและฝึกวรยุทธ จากเด็กชายผอมกะหร่องมาบัดนี้เป็นรับตำแหน่งพ่อบ้านในตำหนักดุจตะวันด้วยวัยยี่สิบแปด ส่วนป้าหุยเหอนั้นเป็นบ่าวอาวุธโสที่พระชายาให้ความเคารพเสมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ทว่าเบื้องหลังรั้วกำแพงจวนชินอ๋องนั้นมักปรากฏความวุ่นวายอยู่เสมอ ใครเลยจะรู้ว่าเด็กหญิงที่แสนงดงามดุจเทพธิดานั้น มีนิสัยซุกซนให้บิดามารดาต้องปวดหัวกันเล่า? แม้ปีนี้นางจะอายุสิบเจ็ดแล้วก็ตาม เพียงพริบตาจาก เด็กหญิงตัวน้อยผู้นั้นก็กลายเป็นหญิงสาวงดงามอ่อนหวาน ความงามของนางดุจกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ส่งกลิ่นขจรขจายไปไกล แต่เนื่องจากบิดารักและหวงลูกสาวคนนี้เหลือเกิน แม้นางอายุสิบเจ็ดแล้วยังไม่คิดสนใจให้นางมีคู่ครองออกเรือน
หญิงสาวในยามนี้ก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเช่นกัน เพราะหัวใจของนางมีผู้อื่นอยู่แล้ว เป็นคนที่นางหมายมั่นจะเป็น ‘เจ้าสาว’ ให้เขาแต่เพียงผู้เดียว
ยังไม่ทันเอ่ยถามสิ่งใด นางรู้สึกว่าร่างของตนถูกส่งขึ้นบนหลังม้า คล้ายได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของซาโม่ ตามด้วยเสียงของซิ่นหลิงห้ามไม่ให้ติดตามนางมา ม้าควบทะยานไปในความมืดมีแสงจันทราเต็มดวงส่องนำทาง สายลมปะทะร่างของนางแต่ไม่ได้ทำให้นางเหน็บหนาวเพราะผู้ที่บังคับม้านั้นกระชับเสื้อคลุมห่อหุ้มนางไว้มิดชิด นางแนบหน้ากับอกอุ่นวางความไว้ใจไว้ในอุ้งมือของชายที่ตนรัก ไม่ถึงครึ่งชั่วยามม้าก็ชะลอฝีเท้าลงจนหยุดนิ่ง ร่างของนางถูกประคองลงจากหลังม้าแล้วจึงแกะผ้าผูกตาของนางออก ซิ่นฮวาประหลาดใจกับภาพกระโจมเบื้องหน้า นางกวาดตามองไปรอบๆ กระโจมหลังใหญ่ตั้งใกล้สระน้ำขนาดใหญ่คล้ายจันทร์เสี้ยวที่ยามนี้ผิวน้ำสะท้อนแสงจันทรางดงาม “อ๊ะ!” ซิ่นฮวาหลุดปากหวีดร้องด้วยความตกใจที่จู่ๆ ร่างของนางก็ถูกแบกขึ้นบ่า นางเห็นรอยยิ้มและเสียงอวยพรของผู้คนที่ก้มศีรษะให้ระหว่างที่บุรุษหนุ่มแบกร่างเจ้าสาวเข้ากระโจมที่ถูกเตรียมไว้ ใบหน้าของชายหนุ่มเปี่ยมรอยยิ้มแห่งความสุข เขาพานางเข้ามาด้านในแล้ววางนางลงบนเตียงที่ปูด้วยผ้าไหมเรียบรื่น ภายนอกเป็นกระโจมที่แลดูเรียบง่ายแต่ด้านในมีเครื่องใช้หรูหราและอบอุ่
“ข้าไม่ปรารถนาพิธีใหญ่โต ขอแค่ท่านพ่อท่านแม่ยอมรับก็พอ” ความปรารถนาของเจ้าสาวคือพิธีแต่งงานอย่างเรียบง่าย ทว่าในเวลาเพียงเจ็ดวันตระกูลได้แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งร่ำรวยจัดงานแต่งงานขึ้นที่ตุนหวงตามคำร้องขอของบิดาเจ้าสาว เมื่อเสร็จพิธีจึงเดินทางกลับแคว้นหาน เจ็ดวันที่ตระเตรียมงานมงคล หญิงสาวไม่ได้รับอนุญาตให้พบหน้าบุรุษที่จะเป็นสามีในอนาคต ซิ่นหลิง ซิ่นสือ กันอี๋ และซาโม่ที่คอยส่งข่าวให้นางรู้ว่าเขาสบายดี ว่านหนิงเหมยมองดูบุตรสาวที่ยามนี้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงมงคล หากจะกล่าวว่านางเตรียมชุดมงคลนี้ไว้ให้บุตรสาวนานแล้วก็เกรงว่าจะเป็นที่หัวเราะ คนเป็นมารดาหวังเพียงเห็นลูกๆ มีความสุขในชีวิตคู่ ครั้งที่นางแต่งงานนั้นเป็นสมรสพระราชทาน มารดาของนางไม่ได้ช่วยเหลือใดๆ ไม่มีสินเดิมให้ติดตัวมากนัก เมื่อถึงคราวลูกสาวของตนแต่งงาน นางจัดเตรียมไว้เต็มที่ มิใช่เพื่ออวดความร่ำรวยแต่เพื่อให้ลูกสาวไม่ลำบากในภายภาคหน้า ทว่านางมั่นใจว่าเจ้าบ่าวหรือว่าที่ลูกเขยคนนี้จะรักและดูแลแก้วตาดวงใจนางอย่างดียิ่ง นางเชื่อใจว่าเพราะคนผู้นั้นได้ยอมสละลมหายใจของตนเองเพื่อรักษาชีวิตของซิ
“อย่ากลัว มันจะปกป้องเจ้า” ดวงตางดงามเบิกตากว้าง น้ำตาที่เหือดแห้งไปหลั่งออกมาอีกระลอก “เป็นท่าน” ซิ่นฮวาจ้องมองเขา ระหว่างที่นางคลุกคลีในบ้านตระกูลเยี่ยน นางลอบถามบรรดาบ่าวไพร่ รับรู้มาว่าเยี่ยนหรงเหยาหมดสติไปนานห้าวัน ท่านหมอไม่อาจรั้งชีวิตได้ พลันจู่ๆ เขาก็ฟื้นขึ้นมา และร่างกายเกือบจะแข็งแรงดี ห้าวันที่เขาหมดสติไปคือวันที่เทพมังกรดินสูญสลายกลายเป็นหมอกสีเงินสลายมนตร์ดำที่ปกคลุมแคว้นหาน “ใจร้าย!” นางต่อว่าแล้วทำมือทุบแผ่นอกของเขาหลายครั้ง “ไยท่านไม่บอกข้าตั้งแต่แรก” ฮวงหลงเพิ่งรู้ว่ามือเรียวของนางมีน้ำหนักไม่น้อย แต่เขายอมให้นางทุบตีอยู่เช่นนั้นโดยไม่ปัดป้อง “สภาพข้าเช่นนี้ เจ้ายอมรับได้หรือ?” “ข้าเคยพูดแล้ว” นางฝืนกลั้นเสียงสะอื้น “ข้ารักท่านไม่ว่าท่านจะเป็นอย่างไรก็ตาม ข้ารักที่จิตใจของท่าน...แต่ท่าน...ท่านอยู่ตรงหน้าข้าแท้ๆ แต่ไม่ยอมเปิดเผยตัวเองแก่ข้า” “ฮวาเอ๋อร์ เขาเรียกนางอย่างอ่อนโยน รวบมือน้อยๆ ของนางไว้แล้วถอนหายใจแผ่วเบา “ข้ากำลังรับเคราะห์กรรมที่ทำไว้กับเจ้า ข้าเห็นเจ้า จดจำเจ้าได้ แต่เจ้ามองข
“ข้าจะไม่วันลืม” “อืม” ซ่งซีเหมยพยักหน้าและยิ้มรับถ้อยคำของเขา หัวใจเด็กหญิงพองโตอย่างน่าประหลาดใจ นางกลอกตาไปมาแล้วคิดได้ว่าเสร็จสิ้นภารกิจของตนแล้ว จึงหมุนตัวเดินออกมา แต่เดินจากมาได้ไม่กี่ก้าว นางก็นึกได้ว่าลืมกล่าวลาเขาจึงหมุนตัวกลับไปโบกไม้โบกมือ แล้วรีบหมุนตัวกลับออกวิ่งทันที กันอี๋ลุกขึ้นยืนช้าๆ มองร่างเล็กวิ่งไปจนสุดสายตา เขากังวลว่านางจะหกล้มอีก แต่ครั้งนี้นางวิ่งไปทางบุรุษผู้หนึ่งที่เหมือนจะยืนรออยู่นานแล้ว แม้จะเห็นไกลๆ แต่กันอี๋ก็เห็นสายตาของซ่งเหว่ยหนานจ้องมองมาทางเขา ก่อนจะยื่นมือไปรับน้องสาวให้เดินไปพร้อมกัน เด็กคนนั้นอายุเท่าไรกันนะ อายุสิบสองใช่ไหม? อายุน้อยกว่าเขาตั้งห้าปี เขาตบอกตัวเองเบาๆ ปิ่นหยกธรรมดาแต่เมื่อคนที่มอบให้เขานั้นไม่ธรรมดาเอาเสียเลย หรือว่าเขาควรจะสมัครเป็นองครักษ์ของเด็กน้อยคนนั้นดีนะ “เราไม่ได้เดินเล่นกันแบบนี้นานแค่ไหนแล้วนะ” ซ่งซีเหมยส่งเสียงเจื้อยแจ้วถามซ่งเหว่ยหนานที่จูงมือนางเดินดูโคมไฟหลากสีสันและน่าตาแปลกประหลาด “นั่นสินะ นานเพียงใดกันหนอ” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ “พี่ช่างเป็นพี่ชายที่ไม่
“พบสหายรู้ใจถือเป็นวาสนา” ฮวงหลงยิ้มบางๆ เขาไม่กล้าหาญพอที่จะเอ่ยกับนางว่าเขาคือ ‘ฮวงหลง’ และด้วยสภาพร่างกายที่อาศัยอยู่นี้ เส้นผมสีขาวโพลนเหมือนคนแก่ชรา ร่างกายยังอ่อนแอ และฐานะด้อยกว่านางมาก แม้รู้ว่านางไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยเรื่องเหล่านี้ ทว่า นางคิดว่าเขาจากนางไปแล้ว นางมีคนให้เลือกเคียงข้างมากนัก เขาได้แต่หวังว่าจะ...มีเยื่อใยใดบ้างที่นางจะสัมผัสถึงตัวเขาได้ ซ่งซีเหมยนั่งใกล้ๆ ซิ่นฮวา นางจิบน้ำชาและกินของว่างอย่างเพลิดเพลิน ช่วงเวลาที่นางป่วยอยู่นั้นกินอะไรไม่ค่อยได้มากนัก ซ้ำยังรู้สึกขมปลายลิ้นตลอดเวลาทำให้เบื่ออาหารไปด้วย แต่หลังจากปีศาจงูดำตายไป ร่างกายของนางก็ดีขึ้นหลายส่วน นางกลับมากินอาหารได้ปกติ อีกไม่นานร่างกายผ่ายผอมเหมือนเด็กโตไม่เต็มวัยนั้นคงสมบูรณ์ดีแลเป็นหญิงสาวกับคนอื่นบ้างกระมัง เด็กหญิงคิดในใจแอบลอบมองทางองครักษ์ของซิ่นฮวาหลายครั้ง เมื่อครู่นางแย่งปิ่นที่ซื้อมาจากมือแม่นมเก็บไว้ในอกเสื้ออย่างดี หวังใจว่าตัวเองจะมีความกล้าพอที่จะมอบให้... ซ่งเหวยหนานเดินเข้ามา สีหน้าอิดโรยอยู่บ้างแต่ยังคงประดับรอยยิ้ม ในฐานะผู้ปกครองแคว้นหาน แม้รับหน้า
“หายตกใจแล้วหรือไม่” กันอี๋เอ่ยขึ้นแต่ยังยืนนิ่ง ใบหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉย เขาคว้าเอวบางของเด็กหญิงไว้ได้ทันก่อนที่หน้าคว่ำลงพื้นไป “อืม” ซ่งซีเหมยพยักหน้าหงึกหงัก คำตอบของนางทำให้สองมือที่จับเอวของนางอยู่นั้นยกตัวนางให้ปลายเท้ายืนบนพื้นดินแล้วค่อยคลายมือออก แต่ยังคงรอจนนางยืนได้มั่นคงแล้วจึงถอยออกไป เด็กหญิงทำตาปริบๆ นอกจากพี่ชายและท่านพ่อแล้ว นางไม่เคยใกล้ชิดบุรุษใดเช่นนี้มาก่อน กันอี๋ถอยห่างออกมารอจนเด็กหญิงตัวน้อยยืนได้มั่นคง ทว่าดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองเขาและตามด้วยพวงแก้มที่แดงระเรื่อขึ้นมาอย่างช้าๆ ทำให้เขาเผลอขมวดคิ้ว ‘นางบาดเจ็บหรือไร?’ ขยับตัวเข้าไปใกล้หมายจะเอ่ยถาม แต่เด็กหญิงถอยหลังแล้ววิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังของซิ่นฮวา ทำให้เขาได้แต่อ้าปากค้างอย่างงุนงง “เป็นอะไรไปรึซีเหม่ย” ซิ่นฮวากลั้นหัวเราะ เข้าใจว่าเด็กน้อยคงเขินอายที่ตัวเองซุ่มซ่ามต่อหน้าผู้อื่น “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” นางส่ายหน้าไปมาเร็วๆ ไม่กล้ามองไปทางองครักษ์ของซิ่นฮวา “ได้ยินว่าพี่สาวจะไปงานเลี้ยง ข้าจึงมาขอติดตามไปด้วย” “พี่ชายเจ้ารู้หรือไม่ที่จะไปกับข้า”
“ข้าเดินกับสหายผู้หนึ่ง” เขาเอ่ยตอบไม่ได้โกหก เขาชอบเดินหมาก นอกจากมารดาของซิ่นฮวาที่เขาเองก็ไม่ได้เดินหมากกับนางมาหลายสิบปี เขาก็บังเอิญพบเยี่ยนหรงเหยาที่กลายเป็นสหายร่วมเดินหมาก เขาเอ่ยตอบแล้วประคองไหล่กลมมนให้นั่งลงที่เก้าอี้กลม เยี่ยนหรงเหยามิให้ใครแตะต้องหมากกระดานนี้ เฝ้ารอเพียงเดินหมากกับเขาเท่านั้น “ท่านหญิง เดินหมากกับข้าสักกระดานได้หรือไม่” นางเงยหน้าขึ้นมองเขา น้ำเสียงราบเรียบแต่ฟังแล้วชวนให้รู้สึกใจอ่อน นางพยักหน้ารับกวาดตามองหมากขาวดำบนหมากกระดาน กลวิธีเดินหมากวางเม็ดหมากตีวงล้อมก่อนค่อยๆ กินพื้นที่อีกฝ่ายอย่างใจเย็น ใบหน้าหวานระบายยิ้มอย่างไม่รู้ตัว หลายวันมานี้นางร้องไห้จนแทบหลงวันคืน นางไม่ได้ถามเขาว่าสหายที่เขาเดินหมากด้วยเป็นใคร แต่นางไม่แปลกใจถ้าสหายที่เคยเดินหมากกระดานนี้คือคนเดียวกับที่สอนนางจับเม็ดหมาก “เจ้าอยากเดินต่อจากหมากกระดานนี้หรือ?” เขาถามแล้วหันไปพยักหน้าเรียกบ่าวรับใช้ให้นำน้ำชาเข้ามา “จะดีหรือ?” “เจ้าเดินหมากขาว ข้าเดินหมากดำ” “ได้!” นางเงยหน้าขึ้นยิ้มด้วยดวงตาพราวระยับ นางรู้ว่ามันไม่เหมาะไม่ควร แต่การได้เดินหมากกระดานเดียวกับคนที่นางคิดถ
ซิ่นฮวาออกจะแปลกใจที่เห็นอาหารเบื้องหน้ามีแต่ของที่นางโปรดปราน นางชอบกินของทอดเป็นที่สุด ชอบมากพอๆ กับกินเนื้อแพะตุ๋นเครื่องยาจีนดีๆ ที่ทำให้เนื้อนุ่มจนแทบละลายในปาก และนางชอบกินผลไม้สดมากกว่าผลไม้ที่นำไปทำเป็นของหวาน เมื่อครั้งที่ลอบหลบหนีไปเที่ยวเล่นกับเทพมังกรดิน เขาจะนำผิงกั๋ว (แอปเปิ้ล) สีแดงสุกให้นางกัดกินบนหลังมังกรเสมอ แคว้นหานเพิ่งผ่านภัยแล้งมาได้ไม่กี่วัน แต่บ้านสกุลเยี่ยนดูจะไม่ขาดแคลนอาหารการกิน แน่นอนว่ายอมมีพอเหลือแจกจ่ายในช่วงเวลาที่ผ่านมา ก่อนหน้าที่ถูกเชื้อเชิญในมานั่งกินอาหารมื้อเที่ยงกับเยี่ยนหรงเหยา บิดาของเขาได้เข้ามาพูดคุยกับนางเล็กน้อยแต่ท่าทางเกรงอกเกรงใจเสียจนนางรู้สึกย่ำแย่เสียเอง กระนั้นนางย่อมเข้าใจดี ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลเพิ่งฟื้นจากอาการเจ็บป่วยหนักที่เรียกว่าได้ไปก้าวเท้าข้างหนึ่งข้ามประตูปรโลกแล้วนั้น คนเป็นบิดาย่อมต้องเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ นางเองไม่คิดว่าการกินอาหารมื้อเที่ยงร่วมกันจะเป็นเรื่องสลักสำคัญอันใด จึงมิได้ปฏิเสธ นัยต์ตาดำขลับคู่นั้นทอดมองอย่างอ่อนโยน ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดในใจของหญิงสาวไม่น้อย ไม่ใช่สิ่งท
“นางเคยพบคุณชายเยี่ยนมาก่อนรึ” “เคยพบขอรับ” กันอี๋ตอบพลางระบายลมหายใจ ‘แต่ไม่คิดว่าจะยอมรั้งอยู่แคว้นหานเพื่อคนที่พบหน้าเพียงครู่เดียว’ ซิ่นหลิงได้แต่พยักหน้ารับ “นางเป็นคนใจอ่อน เห็นผู้อื่นเดือดร้อนย่อมยื่นมือช่วยเหลือ และในเวลาเช่นนี้ หากนางทำสิ่งใดแล้วสบายใจก็ปล่อยให้นางทำเถิด อย่างไรเจ้าช่วยดูแลนางด้วย เข้าใจหรือไม่ กันอี๋” “รับทราบ” กันอี๋รับคำหนักแน่นแต่ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอไม่พอใจของซาโม่ “เจ้ามันก็ตามใจนางนัก” ซาโม่พ่นลมออกทางจมูก “เจ้าไม่ได้เป็นแค่องครักษ์ของนาง แต่ยังเป็นสหายอีกด้วย สหายที่ดีย่อมค่อยตักเตือนกันมิใช่หรือ” ซาโม่ตำหนิต่อหน้าและรู้ดีว่ากันอี๋ไม่โต้ตอบ เขาโคลงศีรษะอย่างหงุดแล้วก้าวออกไปอย่างรวดเร็วราวกับภูติผีวิญญาณที่ไร้ร่องรอย ซิ่นหลิงยื่นมือไปแตะไหล่กันอี๋เป็นเชิงปลอบใจ เขารู้ดีว่ากันอี๋คิดอย่างไรกับซิ่นฮวาและความรู้สึกของกันอี๋นั้นเขาเชื่อเหลือเกินว่ากันอี๋จะไม่มีวันให้ซิ่นฮวารับรู้ เพราะสหายผู้นี้เจียมเนื้อเจียมตนยิ่งกว่าผู้ใด เขาไม่ได้สนับสนุนหรือส่งเสริมและไม่ได้ขัดขวาง แต่ด้วยนิสัยของกันอี๋ เข
Comments