“อ้อ! อีกสามวันถึงพิธีบวงสรวงเทพมังกรดินนี่เอง ท่านแม่จึงโกรธเจ้าที่หนีออกไปนอกตำหนักเช่นนี้” ซิ่นหลิงแย่งถั่วเคลือบน้ำตาลในจานของน้องชายมากิน
“ข้าเป็นผู้เชิญดอกไม้บูชาเทพมังกรดินทุกปี เรื่องแค่นี้ไม่มีวันทำผิดพลาด” นางเบ้ปากเล็กน้อยแล้วแหงนหน้าขึ้น “กันอี๋ เจ้าแกว่งแรงอีกหน่อยซิ”
กันอี๋นิ่งงันไป เขาไม่กล้าออกแรงมากนัก เกรงว่าจะทำให้นางบาดเจ็บ แต่เสียงหัวเราะของซาโม่ทำให้เขาหงุดหงิด
“นางไม่ตกชิงช้าง่ายดายหรอก” ซาโม่หัวเราะ เขารู้ว่ากันอี๋กังวลเรื่องใดอยู่ “แกว่งแรงอีกนิดเถิด ถ้านางร่วงลงไปข้าจะกระโดดไปรับให้เอง”
“อย่าเลย หน้านางยิ่งขี้เหร่อยู่ เผลอตกชิงช้าหน้าคว่ำคะมำไป ความงามที่มีอยู่น้อยนิดนี่จะจมหายไปกับพื้นดินเสียหมด”
“ซิ่นหลิง! ปากเจ้านี่มันปากสุนัขชัดๆ!” ซิ่นหลิงตวาดออกมาด้วยความโมโห หากไม่เพราะพวกเขาทั้งหมดเกิดและเติบโตพร้อมกัน คงไม่มีใครเชื่อว่าเทพธิดาน้อยๆ ผู้นี้จะมีอีกด้านที่เกรี้ยวกราดเอาแต่ใจ
“เฮ้! คนปากสุนัขต้องเป็นซาโม่ต่างหากไม่ใช่ข้า” ซิ่นหลิงโบ้ยไปทางซาโม่ เพราะความสนิทสนมนั่นแหละที่ทำให้พวกเขากล้าต่อปากต่อคำได้เผ็ดร้อนเช่นนี้
“ไม่เจอกันหลายปี เจ้าควบคุมตัวเองได้แล้วหรือซาโม่” ซิ่นฮวาถามอย่างเพิ่งนึกได้ ความลับหนึ่งที่น้อยคนจะรู้คือ มาร์คัสบิดาของซาโม่นั้นเป็นมนุษย์หมาป่า เมื่อแต่งงานกับซานม่านหวาไม่นานก็ได้กำเนิดบุตรชายคือซาโม่ ในปีที่ซาโม่อายุเจ็ดขวบ เขาแปลงกายเป็นหมาป่าครั้งแรก แต่เนื่องจากเป็นลูกครึ่งหมาป่าและมนุษย์ทำให้ยังไม่อาจควบคุมการแปลงกายของตนเองได้นัก อาจเป็นเพราะยังเด็กอยู่ และเมื่อแปลงกายเป็นหมาป่าเมื่อใด เขามักจำช่วงเวลานั้นไม่ได้ ชินอ๋องเฟยเทียนจึงเสนอให้ซาโม่เดินทางพร้อมกับซิ่นหลิง และกันอี๋ นอกจากร่ำเรียนศึกษาศาสตร์ด้านการปกครองแล้ว อาจารย์ฟู่ซิวอี๋ ผู้เคยเป็นอาจารย์ของท่านอ๋องมาก่อน เชื่อว่าการฝึกจิตสมาธิที่ดีและถูกต้องจะทำให้ซาโม่สามารถควบคุมการร่างกายของตนเองได้
“ฮืม” ซาโม่เพียงรับคำในลำคอ หลายปีมานี้เขาทุกข์ทรมานกับการถูกฝึกฝนอย่างหนักหน่วง เพื่อควบคุมอีกร่างของตน เขาอยากวิ่งหนี อยากฉีกทึ้งอีกร่างของตน เมื่อครั้งแรกที่ตนเองแปลงกายเป็นหมาป่านั้น เขาจดจำอะไรไม่ได้เลย ตื่นมาพบคราบเลือดเต็มเนื้อตัว เขายังจำความรู้สึกชิงชังตัวเองได้อย่างดียิ่ง ทว่าอาจารย์ฟู่ซิวอี๋กลับอดทนสั่งสอนไม่ถอดใจกับศิษย์โง่คนนี้ เขาจึงสามารถเข้าถึงอีกร่างของคนและใช้มันได้ตามใจต้องการ
ซิ่นฮวาเข้าใจไปว่าซาโม่ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ นางจึงไม่เอ่ยถามอะไรอีก ทั้งหมดพูดคุยกันจนดึกดื่น จนกระทั่งปี้เอ๋อร์-บ่าวรับใช้คนสนิทอีกคนของพระชายาหนิงเหมยมาตามให้กลับห้องพักผ่อน ทุกคนจึงเห็นควรยุติการสนทนาที่คล้ายไม่จบสิ้นเอาง่ายๆ
กันอี๋หยุดชิงช้าและยื่นมือไปประคองซิ่นฮวาลงจากมา หญิงสาวหันมาส่งยิ้มกว้าง นางไม่เคยหวงรอยยิ้ม ไม่ว่ากับผู้ใดนางมักยิ้มให้เสมอ กันอี๋เผลอขวมดคิ้ว นางกับซิ่นหลิงเกิดพร้อมกัน เป็นฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนกันมาก ยามเด็กเขาเองเคยจำซิ่นหลิงกับซิ่นฮวาสลับคนกัน แต่เพียงห้าปีที่เดินทางจากมา เวลานี้ซิ่นหลิงสูงใหญ่เป็นบุรุษที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายนักรบ ทว่าซิ่นฮวากลับเป็นหญิงสาวที่รูปร่างบอบบาง เวลานี้ทั้งสองไม่เหมือนฝาแฝดกันเลยสักนิด ความสูงของนางแค่ปลายคางของเขาเอง และนั้นทำให้เขาได้กลิ่นหอมจากเรือนผมของนาง
“ขอบใจนะ”
“อะ..อืม” กันอี๋พยายามปรับสีหน้าตนเอง เขาเห็นนางเป็นน้องแม้จะไม่เรียกว่าน้องก็ตาม ตลอดเวลาที่ผ่านมา มารดาของเขามักพร่ำบอกถึงฐานะที่แตกต่างของเขากับนาง วันนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไม
เห็นนหญิงสาวหมุนตัวเดินออกไป เขาอยากอาสาเดินไปส่งแต่กลับกัดริมฝีปากของตน มองแผ่นหลังของหญิงสาวเดินไปพร้อมกับปี้เอ๋อร์ นิสัยซุกซนของซิ่นฮวา มีเพียงปี้เอ๋อร์หญิงรับใช้ของพระชายาหนิงเหมยที่กล้าห้ามปรามซิ่นฮวา นางจึงไม่มีหญิงรับใช้มากมายเช่นบุตรสาวตระกูลใหญ่ เพราะต่อให้มีมากเพียงใดก็ไม่อาจรับมือท่านหญิงผู้ซุกซนคนนี้ได้
“จะทำอะไรก็รีบๆ เถิด นางงดงามเช่นนี้ ใครก็ต่างหมายเด็ดดอมดอกไม้งาม” ซาโม่พูดเหมือนกระซิบข้างกันอี๋ ไม่ได้หันมามองอีกฝ่าย แต่เดินแยกกลับไปเรือนพักของตัวเอง บิดามารดาเป็นคนสนิทของท่านอ๋อง ท่านอ๋องจึงประทานเรือนพักให้ไว้เป็นการส่วนตัว รวมทั้งชากกีและจื่อเหยี่ยนด้วย
ซิ่นหลิงเดินแยกไปเรือนของตน แม้กลับมากะทันหันแต่เรือนของเขาสะอาดสะอ้านราวกับมีคนอาศัยอยู่ตลอดเวลา นานหลายปีที่ต้องฝึกฝนตนเองในป่าเขา ท่ามกลางความหนาวเหน็บของฤดูกาลและความร้อนแรงของแดดกล้า ไม่ได้หลับนอนบนฟูกนุ่มนานเพียงใดแล้วหนอ ชายหนุ่มรำพึงกับตนเอง หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เขาหยิบตำราขึ้นหวังจะอ่านก่อนนอนสักนิดหน่อยก่อนเข้านอน แต่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวที่นอกหน้าต่าง ดวงตาคมหรี่มองอย่างระวัง
“หลิงเอ๋อร์! เจ้ารีบเปิดหน้าต่างเดี๋ยวนี้นะ”
เสียงของซิ่นฮวาร้องเรียกอยู่ด้านนอกทำให้เขารีบโยนหนังสือไว้ที่โต๊ะ ก้าวยาวๆ ไปเปิดหน้าต่าง เห็นน้องสาวฝาแฝดของตนแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว แต่ช่วยประคองให้นางปีนเข้ามาในห้องของเขา
“เจ้าเข้ามาทำอะไรอีก” บ่นทั้งที่หัวเราะ นางไม่มีพรสวรค์ด้านการฝึกยุทธเลยสักนิด ที่เอาตัวรอดได้นี่มันวิชาวานรชัดๆ เรื่องปีนป่ายต้นไม้นี่เป็นความคิดของนางทั้งนั้น
“ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วย” นางอยากพูดคุยกับเขาตั้งแต่อยู่ในสวนกระจ่างใจ แต่คนเยอะเกินไปนางไม่กล้าปริปากขอร้อง
“ข้าเพิ่งกลับมา เจ้าก็จะใช้งานข้าเลยรึ” ซิ่นหลิงส่ายหน้าไปมา “ว่ามาซิ”
“คือ...หลังเสร็จพิธีบวงสรวงก็จะถึงวันเกิดของข้า”
“ของข้าด้วย” ซิ่นหลิงพูดเติมให้ นางลืมไปหรือไรว่าเขาและนางเกิดวันเดือนเดียวกัน
“ก็นั่นแหละ ปีนี้ข้าสิบเจ็ดแล้ว”
“ใช่ ข้าก็อายุสิบเจ็ดเท่าเจ้านั่นแหละ?”
“คือ...” นางอ้ำอึ้ง ใบหน้าหวานแดงระเรื่อขึ้นมา “ข้ามีเรื่องให้เจ้าช่วย”
“ช่วยสิ่งใด?” คนปากเก่งอย่างนางนี่ ยามนี้ทำไมพูดจาวกวนนัก เขาบ่นในใจพลางรินน้ำชาให้ตัวเอง แล้วยกขึ้นดื่ม
“ช่วยพาข้าไปหอนางโลมหน่อยสิ”
พรวด!
“ตายจริง ไยเจ้าพ่นน้ำชาเป็นเด็กอย่างนี้ล่ะ” ซิ่นฮวาหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนส่งให้อีกฝ่ายรับมาซับมุมปาก
“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
“เจ้าได้ยินชัดแล้วไม่ต้องถามซ้ำหรอก” นางเบ้ปาก “ตกลงจะช่วยหรือไม่”
“เหตุใดเจ้าอยากไปหอนางโลม”
“ข้า...” นางกลอกตาไปมาก่อนพูดเสียงเบา “ข้าอยากรู้ว่าระหว่างชายหญิง ‘มีอะไร’ กันอย่างไร” หากมารดามาได้ยินเข้า เห็นทีคงถึงขั้นเป็นลมล้มพับเป็นแน่
ซิ่นหลิงพยายามสงบใจ เขาเป็นบุรุษเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างผ่าเผย แต่นางเป็นหญิงจะอยากรู้ไปทำไมกัน ที่สำคัญนางยังมิได้ออกเรือน
“เรื่องแบบนี้ให้ว่าที่สามีของเจ้าสอนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเข้าไปศึกษาหาความรู้ที่หอนางโลม” เขาส่ายหน้าไปมา น้องสาวของเขาซุกซนเกินไปแล้ว “ถ้าเจ้าอยากรู้จริงๆ ข้าจะหาหนังสือมาให้”
“ข้าเคยดูแล้วแต่ยังไม่เข้าใจ”
“......”
ซิ่นหลิงไม่คิดว่า... ซิ่นฮวาจะกล้าดูหนังสือแบบนั้น ซิ่นฮวาเข้าใจสายตาของซิ่นหลิง นางทำจมูกย่นเหมือนแมวน้อย ท่าทางน่าเอ็นดูแต่หารู้ไม่ว่าใช้ไม้นี้กับซิ่นหลิงมิได้ “ถ้าข้าไม่ช่วย เจ้าก็ให้คนอื่นช่วยอยู่ดีใช่หรือไม่” ซิ่นฮวาพยักหน้ารับ นั่นทำให้ซิ่นหลิงหลับตาโอดครวญในใจ ที่เขาเห็นนางแต่งกายเป็นบุรุษถูกมารดาวิ่งไล่หมายทำโทษในวันนี้ คงเพราะความคิดแปลกประหลาดเช่นนี้เป็นแน่ “เอาเถอะ ข้าจะหาทางให้ก็แล้วกัน” “เร็วๆ ด้วย ข้าอยากไปก่อนวันบวงสรวงเทพมังกรดิน” “หา!” ใช้งานผู้อื่นแล้วยังมีการมาเร่งอีก “ไยรีบร้อนถึงเพียงนี้ นี่เจ้าวางแผนร้ายอันใดอยู่หรือไม่” “ไม่ใช่แผนร้ายเสียหน่อย” นางลูบปลายจมูกตัวเอง “เอาเป็นว่าเจ้ารับปากแล้ว ต้องช่วยให้ถึงที่สุด” ซิ่นหลิงได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง ที่เขาไปร่ำเรียนมาไม่มีกลวิธีรับมือหญิงดื้อและซุกซนอย่างนางเลย แล้วนี่ชายใดหนอที่จะถูกนางรังแกกลั่นแกล้งเอา หรือว่าจะเป็น... ป่านนี้แล้ว นางยังไม่ตัดใจอีกหรือ? ร่างบอบบางเร้นกายในความมืดกลับเข้ามาในห้องนอนของตน
“พี่ชาย!” ซิ่นฮวาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปทางบุรุษหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีเงินยวง เพราะนางเป็นแค่เด็กห้าขวบจึงได้แต่แหงนหน้าคอตั้งบ่าเพื่อได้เห็นแววตาประหลาดใจของเขา “เจ้ามองเห็นข้ารึ” ชายหนุ่มถามแล้วค่อยๆ นั่งลงบนส้นเท้า ทำให้เด็กหญิงไม่ต้องแหงนหน้าขึ้นมองเขา “ข้ามีสองตาย่อมมองเห็นพี่ชาย” เด็กหญิงยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกายวาววับ “ข้าเห็นพี่ชายหลายครั้งแล้ว ไยพี่ชายชอบทำเป็นมองไม่เห็นข้า” บุรุษหนุ่มไม่รู้ว่าควรทำหน้าอย่างไร เขามองเห็นนางตั้งแต่วันที่นางกับพี่ชายฝาแฝดของนางลืมตาแล้ว คอยเฝ้ามองนางเติบโตเช่นเดียวกับที่มองดูมารดาของนาง แต่เขาไม่รู้เลยว่า เด็กหญิงตัวเล็กผู้นี้มองเห็นเขาเช่นกัน เด็กหญิงยื่นมือไปจับเส้นผมนุ่มสลวยของเขาขึ้นดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เหมือนที่ท่านแม่เล่าให้ฟังเลย” เด็กหญิงส่งยิ้มกว้าง “ท่านแม่บอกว่าพี่ชายเป็นสหายของท่านแม่” “ฮืม” เขาเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น “คนอื่นมองไม่เห็นท่าน มีแต่ข้าที่มองเห็น” ราวกับค้นพบของล้ำค่า เด็กหญิงตัวน้อยแสดงความดีใจเป็นรอยยิ้มจนแก้มของนางเหมือนก้อนแป้ง
“พี่ชาย” นางคลี่ยิ้มอ่อนหวานแล้วรีบลุกขึ้นยืน แม้ตอนนี้จะอายุสิบห้าแล้ว แต่เมื่อยื่นใกล้เขานางก็ยังดูตัวเล็กไม่ต่างจากตอนที่นางห้าขวบนัก “ข้าบอกกี่ครั้ง นามของข้ามิใช่จะให้เจ้าเรียกพร่ำเพรื่อ” “ข้ามิได้พร่ำเพรื่อเสียหน่อย” นางย่นจมูกใส่ “เมื่อสองวันก่อนเจ้าก็เรียกข้า” เขาขมวดคิ้วแต่ใบหน้ายังเรียบนิ่งเช่นเคย “ก็คราวนั้นไฟไหม้ที่ตลาดนี่ ข้าก็ต้องเรียกพี่ชายให้มาช่วยดับไฟสิ” พี่ชายเป็นเทพมังกรดินผู้เป็นใหญ่ในหมู่มังกร นางก็แค่ขอให้มีฝนมาช่วยดับไฟ สิ่งที่นางทำล้วนมีเหตุผลแล้วจะเรียกว่านางเรียกเขาพร่ำเพรื่อได้อย่างไรเล่า “แล้วคราวนี้เจ้าเรียกข้ามาเพื่อสิ่งใด” เขาแสร้งทำหน้าเบื่อหน่าย ซ่อนความรู้สึกภายใน ต่อให้นางไม่เรียกเขา เขาคอยติดตามดูแลนางเสมออยู่แล้ว นางรีบยื่นหลังมือให้เขา ชายหนุ่มจ้องมองแต่ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติจึงย้ายสายตามาสบตากับดวงตาสุกใสของนาง “พี่ชายไม่เห็นรึ” “เห็นมือของเจ้า” “มือของข้าบวมแดงเพราะถูกผึ้งต่อย ท่านยังแกล้งทำเป็นไม่เห็นอีก” นางทำหน้างอง้ำ “ผึ้งต
แม้งานราชกิจมากมายเพียงใด ชินอ๋องผู้นี้ไม่เคยละเลยครอบครัวเลยสักคราเดียว ว่านหนิงเหมยซึ่งบัดนี้เป็นพระชายาขององค์ชายเฟยเทียนหรือชินอ๋อง นิ้วเรียวกำลังนวดคลึงกึ่งกลางหน้าผากให้ผู้เป็นสามีซึ่งเอนกายนอนบนตักของนางอยู่ “ดีขึ้นหรือไม่เพคะ” “ฮืม” เสียงครางรับคำในลำคอดังขึ้นก่อนที่จะเปิดเปลือกตาขึ้นและมองชายารักของตน “มองหม่อมฉันแบบนี้หมายความว่าอย่างไรเพคะ” ว่านหนิงเหมยถามกลบเกลื่อนความเขินอายที่ทำให้แก้มเนียนแดงระเรื่อ แม้อยู่กันมากว่าสิบเจ็ดปีแล้ว แต่นางยังคงเขินอายเมื่อถูกสายตาคมวาวคู่นี้จ้องมอง บุรุษวัยสี่สิบห้ายันกายลุกขึ้น มุมปากยกยิ้มโปรยเสน่ห์ แม้ยามนี้จะไม่มีรอยสักปีศาจมังกรเพลิงที่แขนซ้ายแล้ว แต่ร่างกายยังคงมีกรุ่นอายร้อนอยู่เสมอ เขาจึงมักสวมชุดนอนเนื้อผ้าบางเบาและยามนี้เสื้อตัวหลวมเผยแผ่นอกให้เห็นรำไร แม้จะมีลูกด้วยกันสามคนแล้ว เป็นสามีภรรยากันมาสิบเจ็ดปี แต่นางอดเขินอายกับการเย้ายวนของเขาไม่ได้เสียที เฟยเทียนพอใจกับการเห็นแก้มภรรยาแดงระเรื่อและเริ่มลามลำคอของนางแล้ว เขาหัวเราะในลำคอยื่นหน้าไปกดจุมพิตที่แก้มนุ่มเบาๆ คลอเ
“ตอนนี้ซิ่นหลิงถอดแบบท่านมาจนแทบจะเรียกได้ว่าพิมพ์เดียวกัน คงใส่ชุดสตรีทำอะไรพิเรนทร์ตามใจซิ่นฮวาไม่ได้อีกแล้ว” สองสามีภรรยาหัวเราะให้กัน เขาเป็นคนรักลูกมาก ใครก็ดูออก และเขาไม่ปิดบังความรักที่มีต่อลูกๆ เลย ในวัยเด็กที่บิดาผู้เป็นถึงฮ่องเต้หมางเมินต่อเขาที่เป็นลูกชายของผู้หญิงที่บิดาไม่รักใคร่ แทบจำความรู้สึกที่บิดาจับมือจูงเดินไม่ได้เลย เมื่อถึงเวลาที่เขาได้กลายเป็นบิดา เขาไม่ลังเลหรือเกรงคำติฉินนินทาของผู้ใด อุ้มเจ้าตัวเล็กไว้ในวงแขน ถ้าลูกร้องอยากขี่คอเขาก็ยอมให้ขี่คอ ลูกป่วยไข้ไม่สบาย เขาก็คอยเฝ้าช่วยเช็ดตัวให้ลูกด้วยสองมือของตนเอง จูงมือพวกเขาเดิน จับมือพวกเขาฝึกเขียนชื่อตัวเอง จดจำได้แม้กระทั่งวันที่ลูกๆ เปล่งเสียงเรียก ‘พ่อ’ ‘แม่’ ครั้งแรก ทั้งสองพึงพอใจที่ให้เด็กๆ เรียก ‘ท่านพ่อ’ ‘ท่านแม่’ ใช่ชีวิตครอบครัวแสนธรรมดา ละทิ้งคำว่าเชื้อพระวงศ์และยศศักดิ์ไว้เบื้องหลัง กินอาหารมื้อเย็นร่วมกัน และมักมีเสียงหัวเราะทุกครั้ง มือเรียวยื่นไปแตะแก้มของชายที่นั่งอยู่ตรงหน้า ดวงตาที่มองมีความหมายลึกซึ้ง “หม่อมฉันทำความดีใดไว้หนอจึงได้ครองคู่กับท่านอ๋อง
กลีบดอกสีขาวพิสุทธิ์กับกลิ่นหอมอ่อนจาง เคยเห็นจนชินตา แต่เมื่อวันหนึ่งไม่เห็นจึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เช่นเดียวกับที่รู้สึกว่าระยะนี้ไร้ ‘เสียงเรียก’ ที่ทำให้เขารำคาญใจนัก เจ้าของเส้นผมสีเงินยวงส่ายหน้าไปมา มองดอกไม้อยู่ดีๆ ไฉนคิดถึงเจ้าเด็กดื้อรั้นคนนั้นไปได้ นั้นสิ! เงียบหายไปเลย เป็นอะไรไปหรือเปล่านะ ฮวงหลงมองกล่องใส่ใบชาในมือเผลอระบายลมหายใจอย่างไม่รู้ตัว แล้วพาตัวเองกลับมาตำหนักของตน แม้เขาจะเป็นเทพมังกรดินที่มนุษย์ให้ความเคารพบูชา แต่เมื่อนับศักดิ์ในเผ่าพันธุ์มังกร เขาเป็นเพียงเทพนักรบเท่านั้น หน้าที่เขาของคือจัดการเหล่าภูตมารปีศาจและเทพมังกรแตกแถว เมื่อร่างสูงโปร่งเดินออกมานอกตำหนักของเทพหนี่วาแล้ว เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่ง ภูติวิหคนาม ‘ส่านเตี้ยน’ (ฟ้าแลบ) โบยบินผ่านกลีบเมฆมาปรากฏเบื้องหน้า ปีกสีฟ้าสดสวยยามกระพือปีกราวกับมีรัศมีอยู่รอบตัว ฮวงหลงเพียงยกมุมปากเป็นรอยยิ้ม “กลับไปก่อนเถิด ข้าจะแวะไปเยี่ยมเยือนสหายสักหน่อย” ภูติวิหคทำท่าคล้ายไม่พอใจ แต่มันยอมกระพือปีกอีกสองสามครั้งกลายร่างเป็นเพียงนกน้อยตัวหนึ่งเท่านั้
“ได้ยินว่าเจ้าเมืองจะทำพิธีขอฝน” เยี่ยนหรงเหยาพูดอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก เขาคร้านจะจดจำว่ากี่ครั้งแล้วที่ทำให้ไปแล้วก็ยังไร้เม็ดฝนสักหยด ฮวงหลงเคาะปลายนิ้วที่โต๊ะอย่างครุ่นคิด เขาไม่มีหน้าที่บันดาลฝน เขาเป็นเทพมังกรดินที่ดูแลพื้นดินและสายน้ำ ทว่าอดแปลกใจไม่ได้ที่เมืองที่ชุ่มชื้นแห่งนี้แล้งยาวนานถึงเพียงนี้ ดวงตาคู่คมปิดเปลือกตาลง เยี่ยนหรงเหยามองบุรุษเบื้องหน้า สิบปีมานี่จากร่างกายสภาพเด็กชายผอมบางที่ยื่นเท้าข้างหนึ่งเข้าไปประตูปรโลกแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะมีชีวิตยืนยาวมาถึงวันนี้ เขาชาชินกับความเป็นและความตายของตนเอง อาศัยว่าตระกูลเยี่ยนร่ำรวยจากเหมืองแร่เงิน ท่านลุงเป็นอัครเสนาบดี ลูกพี่ลูกน้องเป็นสนมขององค์ฮ่องเต้ เรื่องเหล่านี้เขาไม่ได้สนใจนัก ด้วยสภาพร่างกายอ่อนแอตั้งแต่กำเนิด เขาเป็นบุตรชายของฮูหยินใหญ่ ทว่ามารดาตั้งครรภ์แรกเมื่ออายุมาก การให้กำเนิดเขาเป็นเรื่องเสี่ยงต่อสภาพร่างกายนัก แต่กระนั้น สตรีผู้หนึ่งก็ใฝ่ฝันจะเป็นมารดาคนจึงสู้อดทนอุ้มท้องให้กำเนิดบุตรชาย ทว่ากลับเป็นลูกชายที่เสมือนโถยาเช่นเขา เพราะบารมีตระกูลเดิมของมารดา ความมั่งคั่งและฐาน
“ทำไมพวกเจ้าถึงตัวสูงใหญ่กว่าข้านักนะ” หญิงสาวบ่นอุบอิบแต่กระนั้นคนที่อยู่ด้านหลังยังได้ยิน กันอี๋ไม่เอ่ยอะไร ได้แต่สูดเอากลิ่นหอมจากเรือนกายของหญิงสาวไว้เต็มปอด เขาเดินทางไปพร้อมกับซิ่นหลิงและซาโม่ ครั้งสุดท้ายที่เห็นนางก็เป็นเพียงเด็กหญิงอายุสิบสอง ห้าปีผ่านมาจากเด็กผู้หญิงคนนั้นมาบัดนี้นางกลายเป็นหญิงสาวงดงามเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทว่าดวงตาคู่นี้ของนางยังคงประกายระยิบระยับ ยามนางยิ้มหรือหัวเราะ ดวงตาจะให้ประกายแวววาวเป็นความงามที่ตรึงคนที่เผลอสบตาให้ต้องลุ่มหลงไปในดวงตาคู่นี้ กันอี๋ควบม้าอย่างไม่เร่งรีบนัก ซิ่นหลิงนัดหมายเวลาและห้องที่เลือกไว้แล้ว เพื่อให้เขาพาซิ่นฮวาตามไปพอดี เขายอมรับว่าความคิดของนางช่างแปลกประหลาดนัก แต่ก็นั่นแหละ มันไม่แปลกเลยถ้าหากเป็นความคิดที่มาจากสมองน้อยๆ ของซิ่นฮวา เพราะนางมักมีความคิดแปลกประหลาดเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ใบหน้าที่มักเรียบเฉยอยู่เสมอปรากฏรอยยิ้ม นางเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ยังเด็กจนเติบโตเป็นหญิงสาวงามสะพรั่งยังคงเป็นเช่นเดิม แม้เป็นบุตรีแสนรักของท่านอ๋องเฟยเทียนแต่นางกลับไม่เคย...ไม่เคยสักครั้งที่ใช้ยศศักดิ์
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ” ซิ่นฮวายกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากของตนเอง พยายามบอกเขาว่านางไม่มีเสียง คนที่เข้าใจคนแรกกลับเป็นซาโม่ “เจ้าพูดไม่ได้?” ซิ่นฮวาส่ายหน้าแล้วหัวเราะน้อยๆ เอ่ยปากช้าๆ ‘ข้า-ไม่-มี-เสียง-เจ้า-ต้อง-อ่าน-ปาก-ข้า’ ซาโม่พยักหน้าหงึกหงักแล้วหันมาทางซิ่นหลิงหมายใจจะอธิบายแต่อีกฝ่ายชิงยกมือห้ามไว้ก่อน เพราะเข้าใจในสิ่งที่ซิ่นฮวาสื่อสารออกมา สองพี่น้องสบตากัน ซิ่นหลิงรู้สึกจุกในอกไม่คิดว่าจะได้เห็นนางในสภาพเช่นนี้ สาวใช้คนสนิทของมารดารีบเดินเร็วๆ เข้ามาโดยไม่สนใจมารยาทใดทั้งสิ้น ยามนี้ใจของปี้เอ๋อร์กังวลเพียงเรื่องของท่านหญิงซิ่นฮวาเท่านั้น เมื่อนางมาถึงก็แทบแทรกทุกคนเข้าไปจับมือเรียวเล็กของหญิงสาว ปี้เอ๋อร์อ้าปากเหมือนจะเอ่ยถามแล้วเปลี่ยนใจ นางยืนตัวขึ้นแล้วหมุนตัวหันไปโบกมือโบกไม้ไล่ทุกคนในห้องให้ออกไปให้หมด “พวกท่านเป็นบุรุษออกไปก่อน ท่านหญิงต้องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า” แม้เป็นบุรุษตัวโตแต่ซิ่นหลิง กันอี๋ และซาโม่ แต่ยังคงเป็นเด็กในสายตาของปี้เอ๋อร์ นางเลี้ยงดูเด็กๆ เหล่านี้รวมทั้งคุณชายน้อยซิ่น
ซิ่นหลิงระบายลมหายใจบางเบา ยามนี้ได้แต่ช่วยเหลือแคว้นหานให้กลับคืนสู่สภาวะปกติ เขาไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่ซิ่นฮวาจะกลับมา เดิมทีเขามีภารกิจที่ได้รับมอบหมายเช่นกัน และคิดว่า ‘คีตาบำบัด’ ของซิ่นฮวาอาจพอช่วยรักษา ‘คนผู้หนึ่ง’ ได้ แต่เมื่อรู้ว่านางเองบาดเจ็บสาหัสในเวลานี้คงมิอาจรักษาใครได้ เขาจึงได้แต่พยายามสงบใจและใคร่ครวญหาวิธีการแก้ไขปัญหาของตนต่อไป ยังไม่ทันที่ซ่งเหว่ยหนานจะเอ่ยอะไรออกไป ซาโม่หันหน้าไปทางหนึ่งทำจมูกสูดดมกลิ่นในอากาศ ใบหน้าไร้อารมณ์นั้นปรากฏรอยยิ้มกว้าง ท่าทางตื่นเต้นดีใจนั้นทำให้ซิ่นหลิงและกันอี๋หันมองด้วยความสนใจ ลักษณะเด่นของซาโม่ที่ ‘จมูกดี’ วิหคตัวหนึ่งโบกบินในอากาศและเมื่อเห็นว่าบุรุษทั้งสี่เบื้องหน้าเป็นคนรู้จักที่เขาไม่จำเป็นต้องปกปิดเรื่องใดอีก วิหคตนนั้นกระพือปีกอยู่สองสามครั้งก่อนร่อนลงมากลายร่างเป็นมนุษย์ในร่างเด็กชายอายุราวสิบสี่ปี “ส่านเตี้ยน?” ซิ่นหลิงทักทันที เด็กหนุ่มประสานมือคารวะทุกท่าน เขาส่งยิ้มเล็กน้อยแล้วเบี่ยงตัวหลบเหมือนรอคอยใครผู้หนึ่ง คล้ายมีกลุ่มเมฆลอยต่ำลงมาใกล้จนกระทั่งกลุ่มเมฆนั้นสลายไป บุรุษเจ้าของเส้น
ซ่งเหว่ยหนานยืนมองร่างงูสีดำที่นอนขดสงบนิ่งในกรงเหล็กที่แข็งแรง งูน้อยยังคงสงบนิ่งหลับใหลคล้ายจำศีล ตั้งแต่วันที่สตรีแปลกหน้าที่เรียกตนเองว่าเมิ่งหย่าจิ้งคืนร่างกลับเป็นงูดำตนนี้ งูตัวนั้นขดตัวสงบนิ่งเช่นนี้มาตลอด แม้ผู้อื่นกล่าวเตือนให้เขาระวังแต่เขายังคงประคองงูตัวนี้ใส่ตะกร้าและให้คนจัดหากรงที่แข็งแรงมาใส่งูดำตัวนี้ไว้ ‘นางจะอยู่ในร่างงูดำจำศีลเช่นนี้ ไม่อาจทำร้ายผู้ใดได้อีก’ ชายหนุ่มยังจำน้ำเสียงของเทพมังกรผู้กลายร่างเป็นมนุษย์เอ่ยขึ้น ซิ่วอิ่งคืนร่างเดิมเป็นงูเขียวตัวน้อยถูกส่งตัวไปรอรับโทษทัณฑ์ขัดเกลาจิตใจที่อารามนักพรตหญิงแห่งหนึ่ง เดิมทีเมิ่งหย่าจิ้งเองต้องโทษทัณฑ์เช่นเดียวกัน แต่ซ่งเหว่ย-หนานกลับร้องขอที่จะดูแลนางเอง ‘ในเมื่อนางไร้พิษภัยใด ก็กักขังนางไว้ที่นี่เถิด เผื่อว่านางจะสำนึกผิดและบำเพ็ญเพียรอีกครา’ จวิ้นอี้นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้ารับ ยื่นมือไปจับมือของซ่งเหว่ยหนานให้หงายขึ้นแล้วเขียนอักขระที่กลางฝ่ามือร่ายมนตร์ให้ ‘ข้าร่ายมนตร์ไว้หากจำเป็นเจ้าสามารถจัดการนางได้ทันที’ จวิ้นอี้ถอนหายใจบางเบา ‘แต่การละเว
นางแหงนหน้ามองเห็นเพียงปลายคางของเขา ความรู้สึกวิงเวียนตาลายเข้ามาแทนที่ รู้สึกเจ็บร้าวทั่วแผ่นอก ร่างกายร้อนวาบราวกับถูกเพลิงเผาไหม้อยู่ภายใน นางได้แต่เอียงหน้าซบแผ่นอกของเขา ได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวใต้ใบหูของนาง “เจ้าต้องไม่เป็นอะไร” น้ำเสียงลอดไรฟันนั้นทำให้คนฟังปวดใจไม่น้อย “เจ้าต้องอยู่ข้างกายข้า!” ฮวงหลงสะท้อนใจจนหัวใจปวดร้าว หากไม่มีนางอยู่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาจะมีความหมายอะไรกัน! เพียงพยายามเคี่ยวยาสารพัดที่มีสรรพคุณถอนพิษโลหิตปีศาจงูดำ เหลือเพียงแค่บุกแดนสวรรค์ชิงโอสถทิพย์เท่านั้น ส่านเตี้ยนที่มุ่งหน้ามาหมายพบผู้เป็นนาย แต่เมื่อเห็นหญิงสาวในอ้อมอกใบหน้าซีดขาวราวไร้โลหิต มุมปากมีคราบเลือดสีดำเปื้อนเปรอะทำให้ผู้พบเห็นถึงกับผงะไป “ท่านหญิง..” ส่านเตี้ยนเองก็ค่อยดูแลซิ่นฮวาแทนผู้เป็นนายยามที่ท่านเทพมังกรดินลงมือเคี่ยวยาด้วยตนเอง แม้เขาเคยระอานิสัยเอาแต่ใจที่ทำให้นายของเขาต้องพลอยลำบากใจอยู่บ่อยครั้ง ซ้ำยังใช้งานเทพมังกรดินราวคนรับใช้ แต่เมื่อเห็นท่าทางเจ็บปวดของนางเพราะรับพิษแทนนายของตน เขาเองชื่นชม ห่วงใย และสำนึกในบุญคุณขอ
“เวลาพูดกับข้าเจ้าต้องสบตาข้า” ฮวงหลงเอ่ยเหมือนดุเด็กเล็กๆ หารู้ไม่ว่าลมหายใจของตนที่รินรดนั้นทำให้ใบหน้าของหญิงสาวแดงระเรื่อ “ข้าต้องอ่านปากเจ้าจึงจะเข้าใจความหมายที่เจ้าพูด” คล้ายถูกดวงตาคมเข้มคู่นั้นสะกดจิตใจ นางได้แต่พยักหน้ารับอย่างว่าง่ายในชั่วเวลาต่อมาถ้วยยาที่เทพมังกรหนุ่มถือมาก็ถูกยื่นมาจ่อตรงริมฝีปากของหญิงสาว นางเม้มปากแน่นไม่มีท่าทียินยอมให้ยารสขมนั้นไหลผ่านคอ ผู้เคี่ยวยาเลิกคิ้ว ใบหน้าน้อยๆ มีแววต่อต้านจริงจังกลับทำให้มุมปากของเขายกยิ้ม “ได้” น้ำเสียงเหมือนเกียจคร้านเอ่ยพร้อมเงยตัวขึ้น “ข้าป้อนยาให้เจ้าเองก็ได้” ‘ไม่! ไม่ต้อง!’ มือเล็กรีบยื่นไปคว้าถ้วยยามาถือไว้ด้วยตนเอง ให้เขาป้อนยาให้นางนะหรือ? ทรมานยิ่งนัก มิใช่เพียงต้องกล้ำกลืนยารสขมแต่เพราะเรียวลิ้นของเขาที่ปลุกปั่นจิตใจของนางให้ยิ่งงุนงง นางจ้องมองยาเข้มข้นในถ้วยหยก แม้มีกรุ่นอายลอยบางเบาแต่เมื่อประคองถ้วยยาไว้ในมือกลับไม่รู้สึกร้อนเลยสักนิด นางหลับตาแล้วกลั้นใจยกถ้วยยาขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแล้วยื่นถ้วยยาที่ว่างเปล่าส่งคืน ทว่ามือใหญ่ไม่ได้ยื่นไปถ้วยยาจากมือนาง แต่กลั
ครั้งนี้ เขาไม่ลังเลที่จะ ‘รัก’ นางอีกแล้ว ไม่ว่าจะมีเวลาสำหรับเขาและนางมากน้อยเพียงใด เขาจะถนอมเวลาที่ได้อยู่กับนาง ยอมรับทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่หวั่นเกรงสิ่งใดอีกแล้ว ผ้าห่มที่ถูกดึงมาจนปิดใบหน้าค่อยๆ ถูกเลื่อนออกจนเห็นดวงหน้าแดงระเรื่อของหญิงสาว ซิ่นฮวาเห็นเขาส่ายหน้าไปมาแล้วพึมพำเหนือใบหน้าของนาง “หน้าเจ้าแดงอีกแล้ว ไข้ขึ้นแล้วหรือ?” เขากระซิบใกล้ริมฝีปากของนาง ลมหายใจอุ่นรินรดใบหน้าของหญิงสาว นางตกตะลึงไม่ทันตั้งสติ เขาก็ประทับจูบลงที่ริมฝีปากอ่อนนุ่มของนางอีกครั้ง ครั้นนางได้จังหวะหอบหายใจ เขาก็ฉวยโอกาสแทรกลิ้นเปียกร้อนเข้าไปลิ้มรสความหวานในปากของนาง คล้ายลมหายใจร้อนของเขาไหลเวียนในกายนาง ร่างกายของนางร้อนรุ่มโดยเฉพาะช่องท้องที่เคร่งเครียดและหวามไหว ความปรารถนาแสนหวานก่อตัวขึ้นอีกระลอกทำให้ร่างกายบิดเร่าไปมาโดยไม่รู้ตัว รสจูบของเขาทวีความร้อนแรงขึ้น ดูดดื่มมากขึ้น จนนางแทบหมดเรี่ยวแรง สมองขาวโพลน เรียวลิ้นยั่วเย้าของเขาเรียกร้องให้นางตอบรับ ความไม่ประสีประสาทำให้นางเงอะงะ แต่นั่นยิ่งทำให้บุรุษหนุ่มเพลิดเพลินกับการสอนนางให้เรียนรู้การจ
ข้อเสนอของเขาทำให้นางพยักหน้ารับ ฮวงหลงเห็นบุปผาน้อยยินดีทำตามกฎก็โน้มหน้าลงยื่นปลายจมูกกดที่แก้มเนียนของหญิงสาว ‘ท่าน!’ ดวงตาเป็นประกายฉายแววตื่นตระหนก สองแขนของเขาคร่อมร่างของนางไว้ ร่างเล็กเอนหลังหนีปลายจมูกที่ยื่นมาซุกไซ้ใบหน้าของนางแต่กลายเป็นว่านางหงายหลังลงบนเตียงนอนโดยมีร่างของบุรุษหนุ่มตามลงไปทาบทับ ‘หยุดนะ! ท่านทำอะไร!’ สองมือยื่นไปยันกายของเขาไว้ แต่พอเจอสายตาจริงจังของเขาแล้ว นางกลับลืมถ้อยคำของตนไปหมดสิ้น “คราวนี้เข้าใจหรือไม่ แต่ก่อนที่เจ้าร้องขอให้ข้าพาเจ้ามาตำหนักแล้วข้าไม่สามารถพามาได้เพราะอะไร” ชายหนุ่มแสร้งทำเสียงตำหนิ “เจ้าไม่คิดหรือว่าข้าเป็นผู้คุมกฎต้องมาละเมิดกฎเสียเองเป็นเรื่องไม่สมควร” ถูกตำหนิต่อว่าเช่นนี้แล้ว นางจึงไม่กล้าขยับตัวอีกแต่มิอาจสบตาดวงตาลึกล้ำของอีกฝ่ายได้ นางจึงกลอกตาไปทางอื่นยอมให้ ‘กำจัด’ กลิ่นอายมนุษย์ของนาง เพราะนางหลบตาจึงไม่อาจเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขาได้ ฮวงหลงเพียงแค่อยากหยอกล้อนางเล่น ทว่าเมื่อตนเองก้มลงกดปลายจมูกดอมดมกลิ่นอายของหญิงสาวกลับเป็นฝ่ายถอนใจมิได้ ผิวกายเนียนนุ่มและกลิ่นหอมอ
‘ฮวงหลง’ นางอ้าปากที่ไร้เสียงเรียกชื่อเทพมังกรดิน ห้องที่นางนอนอยู่ตกแต่งงดงามราวกับนางนิทราในสวนดอกไม้ แต่นางกลับไม่มีสายตาเหลือไว้ชื่นชมสิ่งรอบข้างเพราะใจของนางพะวงถึงบุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวงที่นางมักใช้นิ้วเกี่ยวพันไว้อยู่เสมอ ‘ฮวงหลง’ นางเรียกเขาอีกทั้งที่รู้ว่าไม่มีเสียงใดหลุดรอดจากริมฝีปากของนาง หญิงสาวหมุนตัวมองรอบกาย นางกลัวว่าตนเองฝันไป หรือนางยังไม่ตื่น อาจยังอยู่ในกระท่อมใต้สระน้ำนั้นก็เป็นได้ จิตใจที่ว้าวุ่นทำให้นางไม่รู้ว่ามีคนก้าวเข้ามาใกล้และยืนซ้อนอยู่ด้านหลังจนกระทั่งนางหมุนตัวกลับมา ใบหน้าเกือบปะทะกับแผ่นอกกำยำ นางผงะไปด้านหลังครึ่งก้าว มือแกร่งข้างหนึ่งยื่นมาโอบแผ่นหลังของนางไว้ไม่ให้หงายหลังและดันร่างนางกลับเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดใบหน้าของนาง บุรุษหนุ่มกวาดสายตามองหญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า เขาส่ายหน้าไปมาส่งเสียงตำหนิไม่จริงจังนัก “เหตุใดเจ้าไม่สวมรองเท้า” ฮวงหลงเอ่ยถาม มือข้างหนึ่งของเขาถือถ้วยยานำเข้ามาให้นาง แม้ว่ามืออีกข้างจะโอบประคองแผ่นหลังของนางอยู่ แต่ยาในชามก็ไม่กระฉอกออกมาแม้แต
เขากำลังรักษาบาดแผลให้นาง ทว่าช่องท้องที่รู้สึกวะหวิวจนอยากจะส่งเสียงครวญครางออกมา นางไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้แต่นางก็อับอายจนต้องยกมือปิดปากตนเอง สายตาของนางมองเห็นจุดแดงเล็กๆ ที่โคนขาด้านในจึงรีบหนีบขาไว้ก่อนแต่ยังช้าเกินกว่าสายตาช่างสำรวจของเขามองเห็นก่อนแล้ว นางฝืนหนีบขาตัวเองไว้แน่นทำให้บุรุษหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินยวงเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่พอใจพร้อมกล่าวตำหนินาง “อย่าดื้อ ข้าต้องรักษาบาดแผลให้เจ้า” ซิ่นฮวาส่ายหน้าไปมาไม่ว่าอย่างไรนางไม่อยากอ้าเรียวขาออกเด็ดขาด “ข้าทำเช่นนี้ให้เจ้าตั้งแต่เจ้าเป็นเด็กเล็กๆ” มือแกร่งยื้อเรียวขาของนางไว้ แล้วแยกขางามออกอย่างใจเย็น กลิ่นกายของนางหอมหวานชวนให้มึนเมายิ่งนัก เขาต้องทุ่มเทสมาธิเพื่อรักษาบาดแผลบนร่างกายของนางมิให้ทิ้งรอยตำหนิใดไว้ ร่างหญิงสาวอ่อนระทวยดุจเดียวกับขี้ผึ้งต้องความร้อน ริมฝีปากของเขากดลงบนโคนขาด้านใน จุดอ่อนนุ่มบนร่างถูกสัมผัสอย่างตั้งใจ สองขาถูกเขาแยกออกจากกันและร่างของเขาอยู่ตรงกลางหว่างขาของนาง หญิงสาวพยายามกระถดตัวถอยหนีแต่มือแกร่งรั้งจับสะโพกนางไว้มั่น มุ่งมั่นก